ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 285 เจอเฟิงจือหลิงแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 285 เจอเฟิงจือหลิงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 285

เจอเฟิงจือหลิงแล้ว

องค์ชายสามโบกมือไปที่องครักษ์ที่นั่งข้างๆและองครักษ์ก็เข้ามาช่วยอุ้มเฟิงจือหลิงทันที

“ช่วยพาเขาไปที่ต้นไม้ตรงนั้นที!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับองครักษ์

องครักษ์พยักหน้าและอุ้มเฟิงจือหลิงไปที่ต้นไม้อย่างง่ายดาย มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความสำคัญของพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้นไปอีก ถ้าเธอมีพลังก็คงจะอุ้มเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอก

มู่หรงเสวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เดินไปที่แม่น้ำ เอาผ้าชุบน้ำแล้วกลับมานั่งข้างๆเฟิงจือหลิงพร้อมทั้งค่อยๆเช็ดไปที่หน้าเขาแล้วเลื่อนมาที่แขน แอบหยิบขวดยาออกมาจากมิติลับ เปิดฝาขวดและค่อยๆป้อนใส่ปากเขา โชคดีที่ยาละลายได้ในปากเลย เธอจึงไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่กลืนยาเข้าไป

“เขาใช่ผู้ชายที่เจ้ากำลังตามหาหรือเปล่า?” องค์ชายสามถามหลังจากที่มองพวกเขาอยู่นาน

มู่หรงเสวี่ยเก็บขวดยาทันทีแล้วหันมาหาองค์ชายสามและพูดออกมาว่า “ใช่! ขอบคุณมากเลยนะ”

“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกเจ้าถึงได้บาดเจ็บไปหมดล่ะ? มีศัตรูหรือเปล่า?” องค์ชายสามถาม

“เปล่า ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย พวกเราตกลงมาจากท้องฟ้า พวกเราก็เลยบาดเจ็บ” เมื่อเทียบกับน้ำเสียล้อเล่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยจริงจังมากกว่าเดิมเพราะองค์ชายสามช่วยเธอตามหาเฟิงจือหลิง เป็นเพราะพวกเธอเป็นหนี้ความเมตตาของเขา

องค์ชายสามพยายามที่จะล้อเลียนมู่เทียนแต่เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของมู่เทียน เขาจึงปิดปากแล้วถามออกมา “นี่เจ้าพูดจริงเหรอ?” น่าขำจะตาย คนจะล่วงลงมาจากท้องฟ้าได้จริงๆงั้นเหรอ?!

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าพูดจริงเสมอแหละ…”

“เจ้าเป็นปีศาจหรือเปล่า?” สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนไปและถามออกมา!

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่บาดเจ็บได้เหมือนกัน”

องค์ชายสามมองมาที่เธอและรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเธอสวยมากแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรเลยสักนิด ขนาดผมสีม่วงของเธอก็ยังดูสวยอย่างไม่น่าเชื่อ “งั้นทำไมผมของเจ้าถึงเป็นสีม่วงล่ะ? แต่สีผมของเพื่อนเจ้ากลับแตกต่างไปไม่เหมือนกับของเจ้า ผมเขาเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด…”

“ผมข้าก็เคยเป็นสีดำแต่ข้าไม่ชอบเลยสักนิด ข้าชอบสีม่วงมากกว่า”

“ใครจะชอบอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้ได้ยังไง? นอกจากเจ้าจะเป็นปีศาจเท่านั้นแหละ!” องค์ชายสามพึมพำเสียงเบา

“แปลกงั้นเหรอ?! สีม่วงเป็นสีของความสูงส่งและงดงามนะซึ่งก็เหมาะกับตัวตนที่เป็นนายน้อยของข้าดีออก!” มู่หรงเสวี่ยพูด และเธอก็เข้าใจได้คลุมเครือว่าที่องค์ชายสามทำดีกับพวกเธอก็อาจจะเป็นเพราะผมสีม่วงของเธอ ในระหว่างที่คุยกัน เธอสังเกตเห็นว่าองค์ชายสามดูเหมือนจะหลบตาทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ในยุคที่ล้าหลังแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจได้ว่าทำไม

“ฮ่า?” เฟิงจือหลิงที่นอนอยู่ที่พื้นเริ่มที่จะฟื้นขึ้นมา

“จือหลิง เป็นไงบ้าง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเป็นห่วง

เฟิงจือหลิงรีบลุกขึ้นทันทีและเงยหน้าขึ้นลงเพื่อมอง มู่เทียน “มู่เทียน เจ้าล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“ข้าไม่เป็นไร มีแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น อีกไม่นานข้าก็หาย” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วสีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น “จือหลิง พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้ายังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” เธอพูดด้วยเสียงเบาต่ำ

“พลังแห่งจิตวิญญาณงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงรีบรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างกายทันที สักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและก็หยุดรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ “มันเกิดอะไรขึ้น?”

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ ข้าฟื้นมาก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณแล้ว มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ๆ เราต้องแก้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไม่งั้นเราคงไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่แน่ๆ…”

มีเรื่องอื่นที่เขาอยากจะถามอีก เฟิงจือหลิงเห็นว่ามีหลายคนที่กำลังมองพวกเขาอยู่ เขาค่อยๆเอนไปที่ใกล้หูของมู่หรงเสวี่ยและถามออกมาว่า “พวกเขาเป็นใครเหรอ?”

“มาเถอะ ข้าจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือองค์ชายสามและนี่ก็เพื่อนสนิทของข้าเอง เฟิงจือหลิง! เขาช่วยเจ้าไว้นะ” มู่หรงพูด

“องค์ชายสามงั้นเหรอ?! ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน” เฟิงจือหลิงพูดอย่างรู้สึกขอบคุณ

องค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้า สีหน้าของเขาเย็นชาและเมื่อหันไปมองมู่เทียนก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไรอยู่

จู่ๆบรรยากาศก็ดูอึดอัดขึ้นมา

“องค์ชายสาม” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกออกมา

“เจ้าเรียกข้าว่าจิ่วหยานก็ได้!” องค์ชายสามพูดกับ มู่เทียน

“จิ่วหยานงั้นเหรอ?! คืออย่างนี้นะก่อนหน้านี้ข้ารบกวนเจ้ามานานแล้ว ตอนนี้ข้าเจอเพื่อนแล้วงั้นพวกเราขอแยกทางตรงนี้เลยแล้วกัน ยานี่สามารถถอนพิษยาพิษได้ทุกชนิด ข้าให้เจ้าถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้…” เธอหยิบขวดยาถอนพิษออกมาจากแขนตัวเองและยื่นส่งให้จิ่วหยาน

องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนด้วยสายตาเย็นชาและไม่ได้รับขวดยามาแต่กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแทน “อืม อยากจะไปหลังจากที่ข้าเพิ่งช่วยไว้เลยงั้นเหรอ?”

มู่หรงพูด “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“เรายังมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีกและอีกอย่างถ้าเรายังตามเจ้าไปเรื่อยๆก็คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าเปล่าๆ” มู่หรงไม่สนใจสีหน้าที่เย็นชาของเขาและก็ยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

สีหน้าขององค์ชายสามอ่อนโยนลงเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าควรที่จะมากับข้า ปัญหามันเริ่มตั้งแต่ที่ได้เจอหน้าเจ้าแล้ว อีกอย่างข้าไม่สนใจปัญหาเล็กน้อยแบบนี้หรอก แล้วที่นี่ถ้าเจ้าไม่มีตัวตน ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกเนรเทศออกไปแน่ๆ…”

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงอยากที่จะเก็บพวกเขาไว้ น่าจะพูดว่าเขาอยากที่จะเก็บมู่เทียนไว้มากกว่าแต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้พวกเขาจากไปในตอนนี้

“แต่…” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธออยากที่จะหาทางออกแต่จากสิ่งที่จิ่วหยานพูด พวกเขาคงจะต้องเจอปัญหาอีกมากมายแน่ๆ

“ไม่ต้องพูดแล้ว ขึ้นรถเถอะ” องค์ชายสามออกเดินนำขึ้นรถไปก่อน

มุ่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองหน้ากันและกัน และสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าค่อยไปตัดสินใจกันอีกทีหลังจากที่ไปถึงเมืองหลวงแล้วกัน พวกเขาต่างก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ด้วย นี่ก็ถือเป็นโชคดีแล้วที่มีคนเข้ามาช่วยพวกเขาไว้

“รีบขึ้นมาเร็วสิ!” เสียงขององค์ชายสามดังออกมาจากรถม้า

“ไปกันเถอะ จือหลิง ขึ้นรถกันก่อนเถอะ”

เฟิงจือหลิงพยักหน้าแล้วพวกเขาก็เดินไปในทิศทางของรถม้าด้วยกัน

เหล่าองครักษ์ต่างก็จ้องมาที่คนทั้งสอง มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกองครักษ์ที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิมอีก

หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้า จิ่วหยานก็นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งในขณะที่เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยนั่งด้วยกันที่อีกฝั่ง

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข ในระหว่างที่จิ่วหยานก็จ้องมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา

“มู่เทียน!” จิ่วหยานอดไม่ได้ที่จะเรียกออกมา

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาถาม “มีอะไรเหรอ?”

จิ่วหยานตบไปที่เบาะนั่งข้างๆเขา “มานี่ มานั่งตรงนี้…”

“ทำไมเหรอ?” เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ทำไมต้องให้เธอเปลี่ยนที่นั่งด้วยล่ะ

“มานี่ เพื่อนเจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา มานั่งนี่แล้วปล่อยให้เขาได้พักหน่อย…” จิ่วหยานพูด

“โอ้ ใช่สิ! ข้าขอโทษนะจือหลิง ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย พักเถอะ” เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้นและหันไปนั่งข้างๆจิ่วหยานแทนโดยที่เฟิงจือหลิงยังไม่ทันที่จะได้ห้าม!

สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขาก็มองไปที่ดวงตาของจิ่วหยานด้วยท่าทางตรวจสอบ จิ่วหยานก็เผยรอยยิ้มอย่างมีนัย

ชายทั้งสองจ้องตากันโดยที่มู่หรงไม่ได้สนใจเลยสักนิด

ถึงแม้รถม้าจะไม่ได้เล็กมากแต่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันก็ใกล้กันมากจนจิ่วหยานได้กลิ่นหอมจางๆจากตัวของ มู่เทียนอย่างชัดเจน เสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดบางและดูเหมือนจะมีเศษดิน เศษฝุ่นที่สกปรกติดๆอยู่ด้วยแต่กลิ่นที่ร่างกายของเธอกลับหอมอย่างมาก

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยรู้สึกตลอดว่าเฟิงจือหลิงและ จิ่วหยานมีบางอย่างที่ผิดปกติไป พวกเขามักจะเถียงเรื่องตำแหน่งที่นั่งของเธออยู่บ่อยๆ จนสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ลงไปจากรถม้าและไปเดินกับพวกองครักษ์ เพราะแบบนี้ ท่าทางของพวกองครักษ์ที่มีต่อมู่หรงเสวี่ยจึงค่อยๆดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนในตอนแรกๆ

อาทิตย์ต่อมา พวกเขาก็เข้ามาถึงเมืองแต่ก็ยังเป็นแค่พื้นที่เขตแดนของตัวเมือง ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงเมืองหลวง

“เอานี่ไปแล้วออกไปข้างนอก…” จิ่วหยานส่งหมวกปีกให้

มู่หรงรู้ดีจึงรับมาและสวมไว้ที่หัว “ไปกันเถอะ!”

อย่างไรก็ตาม สายตาของเฟิงจือหลิงแวบประกายปวดใจออกมา เขาอยากที่จะรับเรื่องทั้งหมดนี้แทนมู่เทียน ไม่ใช่แค่เรื่องที่มีผมสีม่วง เขาอยากที่จะรับสายตาแปลกๆที่คนอื่นมอง มู่เทียนมาไว้กับตัวเอง ถึงแม้มู่เทียนจะทำเหมือนไม่สนใจไยดีตลอดแต่เขาก็ยังรู้สึกลำบาคใจแทนเขาอยู่ดี

จิ่วหยานเข้าใจความรู้สึกแบบนี้มากที่สุด ถึงแม้มันจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึก บาดแผลบางอย่างก็เจ็บปวดไปตลอดชีวิตไม่ยอมไปไหน

มู่หรงเสวี่ยเห็นข้าวของมากมายที่ขายอยู่ตามท้องถนนผ่านหมวกปีกที่เธอสวมอยู่ เธอเดินไปที่แผงลอยเพื่อดูตุ๊กตาด้วยความสนใจอย่างมาก เมื่อไม่มีเครื่องจักรเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยมือเหล่านี้จึงดูประณีตและสวยงามมากขึ้น แตกต่างจากการผลิตจำนวนมากที่ดูเหมือนพวกมันถูกผลิตออกมาโดยไม่พิถีพิถัน มู่หรงเสวี่ยกอดมันไว้ด้วยความรู้สึกชอบมากๆ

“ชอบเหรอพ่อหนุ่ม?! ถ้าชอบก็ซื้อสิ ของดีเลยนะ ราคาก็ไม่แพงด้วย!” เจ้าของร้านพยายามพูดขายเรื่อยๆ

มู่หรงเสวี่ยกำลังที่จะจ่ายเงินแต่จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่มีเงินของพื้นที่นี้ เธอจึงต้องวางลงด้วยท่าทางเขินๆ แต่ข้างๆกลับมีมือที่เรียวสวยยื่นธนบัตรสีเงินมาพร้อมทั้งพูดว่า “เอ้านี่ ขอซื้อทั้งหมดเลย!”

“ขอบคุณ ขอบคุณมากนะ!” เจ้าของร้านพยักหน้าและโค้งหัวให้หลายครั้ง มือก็ถือธนบัตรสีเงินไว้และหัวเราะจนกระทั่งเห็นฟันได้เลย ธนบัตรนี้มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยเหลียงซึ่งเพียงพอสำหรับที่จะเลี้ยงครอบครัวเล็กๆได้เลย!

มู่หรงเสวี่ยตกใจ “จิ่วหยาน อย่าเลย ทำไมถึงซื้อเยอะขนาดนี้ล่ะ…”

“จะซื้อเท่าไรก็ได้ที่เจ้าชอบเลย ข้ามีเงินเยอะแยะ…” จิ่วหยานพูด “แต่เจ้านี่ชอบของกระจุกกระจิกอย่างกับผู้หญิงเลย…” แต่พูดไปร่างกายของมู่เทียนก็ผอมมากด้วย วันก่อนที่เขาโอบเอวก็รู้สึกได้ว่าเอวเล็กและนุ่มนิ่มอย่างกับผู้หญิง ถ้าหน้าอกของเขาไม่ได้แบนราบ เขาก็คงจะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ

“เจ้าเป็นผู้ชาย นี่เป็นศิลปะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง?! สายตาเจ้านี่ไม่มีรสนิยมเลยนะ…” สายตาที่แสดงถึงความขอบคุณเมื่อกี้จางหายไปแล้ว!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 285 เจอเฟิงจือหลิงแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 285 เจอเฟิงจือหลิงแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 285

เจอเฟิงจือหลิงแล้ว

องค์ชายสามโบกมือไปที่องครักษ์ที่นั่งข้างๆและองครักษ์ก็เข้ามาช่วยอุ้มเฟิงจือหลิงทันที

“ช่วยพาเขาไปที่ต้นไม้ตรงนั้นที!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับองครักษ์

องครักษ์พยักหน้าและอุ้มเฟิงจือหลิงไปที่ต้นไม้อย่างง่ายดาย มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความสำคัญของพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้นไปอีก ถ้าเธอมีพลังก็คงจะอุ้มเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอก

มู่หรงเสวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เดินไปที่แม่น้ำ เอาผ้าชุบน้ำแล้วกลับมานั่งข้างๆเฟิงจือหลิงพร้อมทั้งค่อยๆเช็ดไปที่หน้าเขาแล้วเลื่อนมาที่แขน แอบหยิบขวดยาออกมาจากมิติลับ เปิดฝาขวดและค่อยๆป้อนใส่ปากเขา โชคดีที่ยาละลายได้ในปากเลย เธอจึงไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่กลืนยาเข้าไป

“เขาใช่ผู้ชายที่เจ้ากำลังตามหาหรือเปล่า?” องค์ชายสามถามหลังจากที่มองพวกเขาอยู่นาน

มู่หรงเสวี่ยเก็บขวดยาทันทีแล้วหันมาหาองค์ชายสามและพูดออกมาว่า “ใช่! ขอบคุณมากเลยนะ”

“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกเจ้าถึงได้บาดเจ็บไปหมดล่ะ? มีศัตรูหรือเปล่า?” องค์ชายสามถาม

“เปล่า ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย พวกเราตกลงมาจากท้องฟ้า พวกเราก็เลยบาดเจ็บ” เมื่อเทียบกับน้ำเสียล้อเล่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยจริงจังมากกว่าเดิมเพราะองค์ชายสามช่วยเธอตามหาเฟิงจือหลิง เป็นเพราะพวกเธอเป็นหนี้ความเมตตาของเขา

องค์ชายสามพยายามที่จะล้อเลียนมู่เทียนแต่เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของมู่เทียน เขาจึงปิดปากแล้วถามออกมา “นี่เจ้าพูดจริงเหรอ?” น่าขำจะตาย คนจะล่วงลงมาจากท้องฟ้าได้จริงๆงั้นเหรอ?!

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าพูดจริงเสมอแหละ…”

“เจ้าเป็นปีศาจหรือเปล่า?” สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนไปและถามออกมา!

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่บาดเจ็บได้เหมือนกัน”

องค์ชายสามมองมาที่เธอและรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเธอสวยมากแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรเลยสักนิด ขนาดผมสีม่วงของเธอก็ยังดูสวยอย่างไม่น่าเชื่อ “งั้นทำไมผมของเจ้าถึงเป็นสีม่วงล่ะ? แต่สีผมของเพื่อนเจ้ากลับแตกต่างไปไม่เหมือนกับของเจ้า ผมเขาเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด…”

“ผมข้าก็เคยเป็นสีดำแต่ข้าไม่ชอบเลยสักนิด ข้าชอบสีม่วงมากกว่า”

“ใครจะชอบอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้ได้ยังไง? นอกจากเจ้าจะเป็นปีศาจเท่านั้นแหละ!” องค์ชายสามพึมพำเสียงเบา

“แปลกงั้นเหรอ?! สีม่วงเป็นสีของความสูงส่งและงดงามนะซึ่งก็เหมาะกับตัวตนที่เป็นนายน้อยของข้าดีออก!” มู่หรงเสวี่ยพูด และเธอก็เข้าใจได้คลุมเครือว่าที่องค์ชายสามทำดีกับพวกเธอก็อาจจะเป็นเพราะผมสีม่วงของเธอ ในระหว่างที่คุยกัน เธอสังเกตเห็นว่าองค์ชายสามดูเหมือนจะหลบตาทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ในยุคที่ล้าหลังแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจได้ว่าทำไม

“ฮ่า?” เฟิงจือหลิงที่นอนอยู่ที่พื้นเริ่มที่จะฟื้นขึ้นมา

“จือหลิง เป็นไงบ้าง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเป็นห่วง

เฟิงจือหลิงรีบลุกขึ้นทันทีและเงยหน้าขึ้นลงเพื่อมอง มู่เทียน “มู่เทียน เจ้าล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“ข้าไม่เป็นไร มีแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น อีกไม่นานข้าก็หาย” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วสีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น “จือหลิง พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้ายังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” เธอพูดด้วยเสียงเบาต่ำ

“พลังแห่งจิตวิญญาณงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงรีบรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างกายทันที สักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและก็หยุดรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ “มันเกิดอะไรขึ้น?”

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ ข้าฟื้นมาก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณแล้ว มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ๆ เราต้องแก้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไม่งั้นเราคงไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่แน่ๆ…”

มีเรื่องอื่นที่เขาอยากจะถามอีก เฟิงจือหลิงเห็นว่ามีหลายคนที่กำลังมองพวกเขาอยู่ เขาค่อยๆเอนไปที่ใกล้หูของมู่หรงเสวี่ยและถามออกมาว่า “พวกเขาเป็นใครเหรอ?”

“มาเถอะ ข้าจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือองค์ชายสามและนี่ก็เพื่อนสนิทของข้าเอง เฟิงจือหลิง! เขาช่วยเจ้าไว้นะ” มู่หรงพูด

“องค์ชายสามงั้นเหรอ?! ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน” เฟิงจือหลิงพูดอย่างรู้สึกขอบคุณ

องค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้า สีหน้าของเขาเย็นชาและเมื่อหันไปมองมู่เทียนก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไรอยู่

จู่ๆบรรยากาศก็ดูอึดอัดขึ้นมา

“องค์ชายสาม” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกออกมา

“เจ้าเรียกข้าว่าจิ่วหยานก็ได้!” องค์ชายสามพูดกับ มู่เทียน

“จิ่วหยานงั้นเหรอ?! คืออย่างนี้นะก่อนหน้านี้ข้ารบกวนเจ้ามานานแล้ว ตอนนี้ข้าเจอเพื่อนแล้วงั้นพวกเราขอแยกทางตรงนี้เลยแล้วกัน ยานี่สามารถถอนพิษยาพิษได้ทุกชนิด ข้าให้เจ้าถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้…” เธอหยิบขวดยาถอนพิษออกมาจากแขนตัวเองและยื่นส่งให้จิ่วหยาน

องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนด้วยสายตาเย็นชาและไม่ได้รับขวดยามาแต่กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแทน “อืม อยากจะไปหลังจากที่ข้าเพิ่งช่วยไว้เลยงั้นเหรอ?”

มู่หรงพูด “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“เรายังมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีกและอีกอย่างถ้าเรายังตามเจ้าไปเรื่อยๆก็คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าเปล่าๆ” มู่หรงไม่สนใจสีหน้าที่เย็นชาของเขาและก็ยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

สีหน้าขององค์ชายสามอ่อนโยนลงเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าควรที่จะมากับข้า ปัญหามันเริ่มตั้งแต่ที่ได้เจอหน้าเจ้าแล้ว อีกอย่างข้าไม่สนใจปัญหาเล็กน้อยแบบนี้หรอก แล้วที่นี่ถ้าเจ้าไม่มีตัวตน ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกเนรเทศออกไปแน่ๆ…”

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงอยากที่จะเก็บพวกเขาไว้ น่าจะพูดว่าเขาอยากที่จะเก็บมู่เทียนไว้มากกว่าแต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้พวกเขาจากไปในตอนนี้

“แต่…” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธออยากที่จะหาทางออกแต่จากสิ่งที่จิ่วหยานพูด พวกเขาคงจะต้องเจอปัญหาอีกมากมายแน่ๆ

“ไม่ต้องพูดแล้ว ขึ้นรถเถอะ” องค์ชายสามออกเดินนำขึ้นรถไปก่อน

มุ่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองหน้ากันและกัน และสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าค่อยไปตัดสินใจกันอีกทีหลังจากที่ไปถึงเมืองหลวงแล้วกัน พวกเขาต่างก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ด้วย นี่ก็ถือเป็นโชคดีแล้วที่มีคนเข้ามาช่วยพวกเขาไว้

“รีบขึ้นมาเร็วสิ!” เสียงขององค์ชายสามดังออกมาจากรถม้า

“ไปกันเถอะ จือหลิง ขึ้นรถกันก่อนเถอะ”

เฟิงจือหลิงพยักหน้าแล้วพวกเขาก็เดินไปในทิศทางของรถม้าด้วยกัน

เหล่าองครักษ์ต่างก็จ้องมาที่คนทั้งสอง มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกองครักษ์ที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิมอีก

หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้า จิ่วหยานก็นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งในขณะที่เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยนั่งด้วยกันที่อีกฝั่ง

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข ในระหว่างที่จิ่วหยานก็จ้องมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา

“มู่เทียน!” จิ่วหยานอดไม่ได้ที่จะเรียกออกมา

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาถาม “มีอะไรเหรอ?”

จิ่วหยานตบไปที่เบาะนั่งข้างๆเขา “มานี่ มานั่งตรงนี้…”

“ทำไมเหรอ?” เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ทำไมต้องให้เธอเปลี่ยนที่นั่งด้วยล่ะ

“มานี่ เพื่อนเจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา มานั่งนี่แล้วปล่อยให้เขาได้พักหน่อย…” จิ่วหยานพูด

“โอ้ ใช่สิ! ข้าขอโทษนะจือหลิง ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย พักเถอะ” เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้นและหันไปนั่งข้างๆจิ่วหยานแทนโดยที่เฟิงจือหลิงยังไม่ทันที่จะได้ห้าม!

สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขาก็มองไปที่ดวงตาของจิ่วหยานด้วยท่าทางตรวจสอบ จิ่วหยานก็เผยรอยยิ้มอย่างมีนัย

ชายทั้งสองจ้องตากันโดยที่มู่หรงไม่ได้สนใจเลยสักนิด

ถึงแม้รถม้าจะไม่ได้เล็กมากแต่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันก็ใกล้กันมากจนจิ่วหยานได้กลิ่นหอมจางๆจากตัวของ มู่เทียนอย่างชัดเจน เสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดบางและดูเหมือนจะมีเศษดิน เศษฝุ่นที่สกปรกติดๆอยู่ด้วยแต่กลิ่นที่ร่างกายของเธอกลับหอมอย่างมาก

ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยรู้สึกตลอดว่าเฟิงจือหลิงและ จิ่วหยานมีบางอย่างที่ผิดปกติไป พวกเขามักจะเถียงเรื่องตำแหน่งที่นั่งของเธออยู่บ่อยๆ จนสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ลงไปจากรถม้าและไปเดินกับพวกองครักษ์ เพราะแบบนี้ ท่าทางของพวกองครักษ์ที่มีต่อมู่หรงเสวี่ยจึงค่อยๆดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนในตอนแรกๆ

อาทิตย์ต่อมา พวกเขาก็เข้ามาถึงเมืองแต่ก็ยังเป็นแค่พื้นที่เขตแดนของตัวเมือง ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงเมืองหลวง

“เอานี่ไปแล้วออกไปข้างนอก…” จิ่วหยานส่งหมวกปีกให้

มู่หรงรู้ดีจึงรับมาและสวมไว้ที่หัว “ไปกันเถอะ!”

อย่างไรก็ตาม สายตาของเฟิงจือหลิงแวบประกายปวดใจออกมา เขาอยากที่จะรับเรื่องทั้งหมดนี้แทนมู่เทียน ไม่ใช่แค่เรื่องที่มีผมสีม่วง เขาอยากที่จะรับสายตาแปลกๆที่คนอื่นมอง มู่เทียนมาไว้กับตัวเอง ถึงแม้มู่เทียนจะทำเหมือนไม่สนใจไยดีตลอดแต่เขาก็ยังรู้สึกลำบาคใจแทนเขาอยู่ดี

จิ่วหยานเข้าใจความรู้สึกแบบนี้มากที่สุด ถึงแม้มันจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึก บาดแผลบางอย่างก็เจ็บปวดไปตลอดชีวิตไม่ยอมไปไหน

มู่หรงเสวี่ยเห็นข้าวของมากมายที่ขายอยู่ตามท้องถนนผ่านหมวกปีกที่เธอสวมอยู่ เธอเดินไปที่แผงลอยเพื่อดูตุ๊กตาด้วยความสนใจอย่างมาก เมื่อไม่มีเครื่องจักรเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยมือเหล่านี้จึงดูประณีตและสวยงามมากขึ้น แตกต่างจากการผลิตจำนวนมากที่ดูเหมือนพวกมันถูกผลิตออกมาโดยไม่พิถีพิถัน มู่หรงเสวี่ยกอดมันไว้ด้วยความรู้สึกชอบมากๆ

“ชอบเหรอพ่อหนุ่ม?! ถ้าชอบก็ซื้อสิ ของดีเลยนะ ราคาก็ไม่แพงด้วย!” เจ้าของร้านพยายามพูดขายเรื่อยๆ

มู่หรงเสวี่ยกำลังที่จะจ่ายเงินแต่จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่มีเงินของพื้นที่นี้ เธอจึงต้องวางลงด้วยท่าทางเขินๆ แต่ข้างๆกลับมีมือที่เรียวสวยยื่นธนบัตรสีเงินมาพร้อมทั้งพูดว่า “เอ้านี่ ขอซื้อทั้งหมดเลย!”

“ขอบคุณ ขอบคุณมากนะ!” เจ้าของร้านพยักหน้าและโค้งหัวให้หลายครั้ง มือก็ถือธนบัตรสีเงินไว้และหัวเราะจนกระทั่งเห็นฟันได้เลย ธนบัตรนี้มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยเหลียงซึ่งเพียงพอสำหรับที่จะเลี้ยงครอบครัวเล็กๆได้เลย!

มู่หรงเสวี่ยตกใจ “จิ่วหยาน อย่าเลย ทำไมถึงซื้อเยอะขนาดนี้ล่ะ…”

“จะซื้อเท่าไรก็ได้ที่เจ้าชอบเลย ข้ามีเงินเยอะแยะ…” จิ่วหยานพูด “แต่เจ้านี่ชอบของกระจุกกระจิกอย่างกับผู้หญิงเลย…” แต่พูดไปร่างกายของมู่เทียนก็ผอมมากด้วย วันก่อนที่เขาโอบเอวก็รู้สึกได้ว่าเอวเล็กและนุ่มนิ่มอย่างกับผู้หญิง ถ้าหน้าอกของเขาไม่ได้แบนราบ เขาก็คงจะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ

“เจ้าเป็นผู้ชาย นี่เป็นศิลปะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง?! สายตาเจ้านี่ไม่มีรสนิยมเลยนะ…” สายตาที่แสดงถึงความขอบคุณเมื่อกี้จางหายไปแล้ว!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+