ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 286 เขาเป็นคนที่ข้ารัก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 286 เขาเป็นคนที่ข้ารัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 286

เขาเป็นคนที่ข้ารัก

จิ่วหยานแสยะยิ้ม “พวกผู้ชายเขาต้องชอบการต่อสู้สิ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่จะชอบของอะไรแบบนี้ แต่หน้าเจ้าก็สวยยิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะ…”

“เจ้าจะไปเข้าใจความหมายของสวยงามได้ยังไงกัน?”

“มู่เทียน เจ้าชอบของพวกนี้มากเลยงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงเดินเข้ามาถาม

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและพูดออกมา “ข้าชอบมากเลยล่ะ” เธอมองกระต่ายที่อยู่ในมือและนึกถึงฮวงฟูอี้ ถ้าเป็นเขา เขาก็คงจะพูดว่า “ไอ้ตัวนี้จะหน้าเหมือนกับเขาได้ยังไง? เธอควรที่จะชอบฉันสิ…”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เธอคิดถึงเขามากจริงๆจนไม่รู้ว่าจะหยุดยังไงเลย

“มีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างเป็นห่วง

“ข้านึกถึงบางคนที่ข้ารัก…” หยดน้ำตาในดวงตาของ มู่หรงเสวี่ยไหลออกมา

สีหน้าของเธอในตอนนี้ทำให้สีหน้าของเฟิงจือหลิงและจิ่วหยานเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมๆกัน

“เจ้ามีคนรักแล้วงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม

มู่หรงค่อยๆเช็ดหยดน้ำตาออกจากที่หางตา “ข้าพูดอย่างนั้นงั้นเหรอ?! ข้าก็แค่คิดถึงเขา…”

เฟิงจือหลิงกำหมัดแน่นและกลืนคำพูดที่เหลือกลับเข้าไป คนแบบไหนกันนะที่ทำให้เขาคิดถึงจนถึงกับต้องร้องไห้? ต้องเป็นผุ้หญิงที่ดีเลิศขนาดไหนนะถึงจะคู่ควรกับสายตาและหัวใจของ มู่เทียน?

ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝันอะไรที่เกินจริงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากที่จะอยู่กับเขาตลอดเวลา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง มู่เทียนก็จะต้องมีคนรักและสร้างครอบครัว ถึงแม้เขาอยากที่จะอยู่ข้างๆเขา แต่ก็หาตำแหน่งที่เหมาะกับเขาไม่ได้เลย

“คนรักของเจ้าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันเหรอ?” จิ่วหยานที่อยู่อีกฝั่งก็หุบยิ้มเช่นกันและถามออกมา

“เขาเป็นจอมบงการ เย็นชาแต่ก็เหมือนเด็กและบ่อยครั้งที่เขาชอบทำตัวใกล้ชิดอย่างมาก เขารู้เสมอว่าข้าต้องการอะไรและข้าก็มีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับเขา…” มู่หรงเสวี่ยพูดถึง ฮวงฟูอี้และเธอก็ดูเหมือนจะมีคำพูดที่รักใคร่อย่างไม่สิ้นสุด เธอคิดถึงเขามากกว่าตอนที่จากมาซะอีก

“พอแล้ว เข้าไปพักในโรงแรมกันได้แล้ว” จิ่วหยานยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินหน้าบึ้งออกไปทันที

เหลือแค่มู่หรงที่กำลังยืนหน้างงอยู่อย่างนั้น เป็นอะไรกันเนี่ย?! เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆอยู่เลย เธอยังเล่าเรื่องไม่หนำใจเลย ถ้ามีคนฟังเธอก็ยังอยากที่จะพูดต่อ แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ดูเหมือนจะมีแค่ทางเดียวคือต้องเก็บความรู้สึกไว้ในหัวใจตัวเอง

“นางดีมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฟิงจือหลิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ถามออกมา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในโลกแต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ข้ารักมากที่สุด…”

สีหน้าที่แสดงออกมาของเธอดูมีความสุขอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าน้องสาวตัวเองคือคู่แข่งทางความรักของเขา เขานี่โง่จริงๆเลย ตอนนี้ศัตรูตัวจริงได้ปรากฏออกมาแล้ว

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ? ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เฟิงจือหลิงรีบดึงสติตัวเองกลับมาทันทีแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก แดดคงจะร้อนไปหน่อยน่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ!”

หลังจากวันนั้น เฟิงจือหลิงและจิ่วหยานก็เงียบไปมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาจะชอบเถียงกันตลอด แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่พูดอะไรกันเลย

มู่หรงนั่งอยู่ในรถม้าและมองไปที่คนทั้งสองที่นั่งกันเงียบเชียบและสุดท้ายก็เก็บเงียบไว้ไม่ไหว “พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรกัน? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“เขาสิแปลก”

“เขาสิแปลก”

ทั้งสองพูดออกมาพร้อมเป็นเสียงเดียวกัน เธอจึงถามออกไปอีก “ไม่เอาน่า พวกเจ้าสองคนเป็นอะไร? บอกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่มีอะไร แล้วจะให้ข้าบอกเรื่องอะไร?” จิ่วหยานหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

เฟิงจือหลิงเองก็ทำเป็นยกม่านขึ้นเพื่อมองวิวถนน ไม่มีใครสนใจมู่เทียนเลย

อันที่จริง พวกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ไม่ว่าจะพูดยังไง พวกเขาก็นึกถึงแต่เรื่องที่มู่เทียนพูดวันก่อน เรื่องคนรักของเขา

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและไม่อยากที่จะสนใจทั้งสองคนนี้อีกแล้ว เมื่อเธอลงจากรถม้า เธอก็หันไปคุยกับพวกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกแทนแต่เพราะสีผมของเธอ เธอจึงยังสวมหมวกอยู่ ยังไงซะหลังจากที่เข้ามาในเมืองแล้ว ผู้คนก็เริ่มที่จะเดินไปมากันมากขึ้นด้วย

หลายวันต่อมา ในที่สุดเธอก็มาถึงคฤหาสน์ขององค์ชายสาม ทันทีที่เธอลงมาจากรถม้า มู่หรงเสวี่ยก็ต้องตะลึงกับหญิงสาวสวยที่อยู่เบื้องหน้า

“ยินดีต้อนรับองค์ชายกลับบ้านเจ้าค่ะ!” ที่ด้านหน้าคฤหาสน์ขององค์ชายสามมีเหล่าองครักษ์และสาวสวยยืนอยู่มากมาย

น้ำเสียงที่ได้ยินเกือบที่จะทำให้มู่หรงเสวี่ยตกใจ เป็นน้ำเสียงของคนโบราณชัดๆ ถึงแม้มารยาทท่าทางจะแตกต่างจากราชวงศ์ที่เธอรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไร

“ลุกขึ้น!” จิ่วหยานพูดพร้อมยกมือขึ้นแล้วจึงก้าวเดินนำเข้าไป

มู่หรงมองจิ่วหยานที่อยู่ต่อหน้าเหล่าบริวารด้วยสายตาดูหมิ่น

จนกระทั่งจิ่วหยานเดินเข้าไป คนที่คุกเข่าอยู่ค่อยๆลุกขึ้น มู่หรงเสวี่ยไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นมารยาท ในช่วงเวลาที่ต่างกันก็มีกระบวนการและประเพณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอไม่ได้ใช้สายตามุมมองจากอนาคตมามองมุมมองในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าเขาสั่งให้เธอคุกเข่า เธอก็คงจะทำไม่ได้

ทันทีที่จิ่วหยานเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานทันที พ่อบ้านข้างหลังเขาก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเองก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน

“ลุงฟู จัดที่พักให้สองคนนี้ด้วย จัดที่ลานหิมะแล้วกัน…” หัวของจิ่วหยานไม่ได้เงยขึ้นมา แต่กลับหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านแทน แล้วจึงพูดกับพ่อบ้านที่เดิมตามเขาเข้ามา

“ขอรับองค์ชาย!” ลุงฟูตอบกลับมาด้วยท่าทางเคารพแต่ก็รู้สึกตกใจอยู่นิดหน่อย องค์ชายไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไปที่บ้านหิมะมาก่อนเลย สองคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมถึงได้รับเกียรติมากมายขนาดนี้?

แล้วเขาก็หันกลับมาพูดกับมู่เทียนด้วยความเคารพ “ท่านทั้งสอง เชิญตามข้ามาเลยครับ!”

มู่หรงพยักหน้าและเดิมตามไป

วิวของคฤหาสน์ที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณสวยงามมากๆ จากสายตาที่มองไม่สามารถที่จะเห็นขอบเขตได้เลย มีศาลาที่สวยงามอยู่ทุกที่ เหล่าก้อนหินและดอกไม้ถูกจัดไว้อย่างประณีตซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกผ่อนคลายได้โดยไม่รู้ตัว และไม่นานพวกเธอก็เดินมาถึงสนาม

คำว่า “เสี่ยวหยวน” ถูกเขียนไว้ที่ป้ายด้านบน ซึ่งเป็นป้ายไม้สีขาวสดใสและเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว เมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน กลีบดอกไม้มากมายก็ปลิวร่วงหล่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเรียกที่นี่ว่าเสี่ยวหยวน

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามันคือต้นอะไรแต่นี่ก็เป็นโลกที่คนละใบ อีกอย่างสิ่งมีชีวิตและต้นไม้ในทวีปเฟิงหยุนก็แปลกกว่ามาก เธอได้เห็นสิ่งแปลกๆมาแล้วมากมาย

หลังจากที่ลุงฟูเดินนำพวกเธอเข้าไปในลานบ้าน เขาก็แนะนำรายละเอียดของเสี่ยวหยวนและรวมถึงลานบ้านด้วยให้ มู่เทียนและเฟิงจือหลิงฟัง ในเสี่ยวหยวนมีห้าลาน แต่ละลานจะถูกแบ่งเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น

หลังจากที่แนะนำเสร็จ ลุงฟูก็ก้มโค้งให้พวกเขาทั้งสองเล็กน้อยและพูดออกมาว่า “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งคนงานได้ตลอดเลยนะขอรับ งั้นข้าไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านทั้งสองแล้ว”

มู่หรงพยักหน้าและพูดออกมาด้วยความเคยชิน “ขอบคุณนะลุงฟู!” เธอเพิ่งได้ยินจิ่วหยานเรียกเขาแบบนี้เมื่อกี้!

ดวงตาของลุงฟูแวบประกายประหลาดใจเล็กน้อยแล้วก็รีบเก็บกดมันไว้ด้วยความรวดเร็ว “ท่านทั้งสองมีเมตตามากเลย!”

หลังจากที่ลุงฟูออกไป มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงก็รีบเข้าไปในห้องทันที

“จือหลิง เจ้าช่วยเฝ้าให้ข้าทีนะ ข้าจะเข้าไปถามเสี่ยวไป๋ในมิติลับหน่อยว่ามันรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเพราะยังไงซะ ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านตัวเอง เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามากะทันหันจึงต้องมีคนคอยเฝ้าเอาไว้

เฟิงจือหลิงพยักหน้า “ตกลง เจ้าเข้าไปเถอะไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามาเลย!”

พวกเขาคุ้นเคยกันดีแล้ว เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน มู่หรงเสวี่ยจึงไม่ได้สุภาพกับเขามากนัก แล้วเธอก็เข้าไปในมิติลับ

มู่หรงตรงไปหาเสี่ยวไป๋ที่มักจะอยู่ในป่าผลไม้เสมอ อย่างที่คิดไว้เลยว่ามันต้องกำลังกินอยู่ ร่างที่อ้วนกลับแทบจะหันมามองตรงๆไม่ได้ด้วยซ้ำ

“กินแล้วก็กิน เจ้านี่รู้จักแต่เรื่องกินนะ!” มู่หรงพูดอย่างไม่พอใจไปที่เสี่ยวไป๋

“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย? อารมณ์ไม่ดีตลอดเลย ระวังจะกลายเป็นพวกโรคจิตนะ” เสี่ยวไป๋พูดออกมาพร้อมด้วยผลไม้ที่เต็มปาก

มู่หรงตีไปที่หัวของมัน “ยังจะมาสบายอารมณ์อยู่อีก เจ้านี่มันหมูกลับชาติมาเกินจริงๆ!”

“เป็นอะไร? เจ้าไม่สบายหรือไง?”

“พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน?! แล้วอยู่ดีๆพลังแห่งจิตวิญญาณของข้าก็หายไปหมดเลย เจ้ารู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ในที่สุดเสี่ยวไป๋ก็วางผลไม้ที่อยู่ในมือลง “เกิดอะไรขึ้นนะ?! ขอข้าดูพลังแห่งจิตวิญญาณเจ้าหน่อยสิ”

ทั่วทั้งร่างกายของมู่หรงเสวี่ยรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ เดิมทีเธอคิดว่ามันจะทำไม่ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้แต่เธอไม่คิดว่าพลังแห่งจิตวิญญาณจะควบแน่นอยู่ในฝ่ามือของเธอขึ้นมาทันที เธอโบกฝ่ามือออกไปไกลๆและแทบจะในทันที ก้อนหินก็ระเบิดออก เธอมองมาที่ฝ่ามือตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เอ๊ะ มันหายแล้วงั้นเหรอ?”

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?” เสี่ยวไป๋มองมาที่เธอและถามออกมา

“ไม่นะ ข้าเปล่า…” พูดยังไม่ทันจบเธอก็แวบออกมาจากมิติลับทันที

เฟิงจือหลิงมองมาที่มู่หรงที่เพิ่งจะหายเข้าไปแค่ไม่กี่วินาทีแล้วถามออกมา “ทำไมเร็วจังล่ะ?”

“จือหลิง ดูเหมือนข้าจะหายแล้วนะ!” มู่หรงพูดอย่างมีความสุขแล้วก็เริ่มรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ

อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมาสีหน้าของมู่หรงก็เปลี่ยนไป น่าแปลก ทำไมล่ะ ก็เห็นๆอยู่ว่าในมิติลับยังทำได้เลย

“มีอะไรงั้นเหรอ? พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าหายดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างมีความสุข

มู่หรงส่ายหน้าแล้วพูดออกมา “ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดเอง เจ้าเฝ้าไว้ก่อนนะ” แล้วเธอก็หายแวบไปในทันที

แน่นอนว่าทันทีที่เข้ามาในมิติลับ พลังแห่งจิตวิญญาณของเธอก็กลับมา เธอจับเสี่ยวไป๋และถามออกมา “เสี่ยวไป๋ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? ในมิติลับข้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณแต่ทันทีที่ข้าออกไป มันก็หายไปหมดเลย?”

เจ้าลูกบอลสีขาวยังคงหยุดกินอยู่ “เจ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไปถึงที่นั่นเหรอ?! ใช่ที่แผ่นดินใหญ่หรือเปล่า?”

มู่หรงส่ายหน้า “ไม่นะ ในระหว่างนี้มีหลายอย่างที่เกิดขึ้น ข้าได้บอกเจ้าหรือเปล่า?! เราอยากที่จะลงไปที่เบื้องล่างหน้าผา ผลก็คือในระหว่างที่ร่วงลงมา เราก็สลบไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาในที่ที่ไม่รู้จักแล้วเราก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณด้วย…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 286 เขาเป็นคนที่ข้ารัก

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 286 เขาเป็นคนที่ข้ารัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 286

เขาเป็นคนที่ข้ารัก

จิ่วหยานแสยะยิ้ม “พวกผู้ชายเขาต้องชอบการต่อสู้สิ มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นแหละที่จะชอบของอะไรแบบนี้ แต่หน้าเจ้าก็สวยยิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะ…”

“เจ้าจะไปเข้าใจความหมายของสวยงามได้ยังไงกัน?”

“มู่เทียน เจ้าชอบของพวกนี้มากเลยงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงเดินเข้ามาถาม

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและพูดออกมา “ข้าชอบมากเลยล่ะ” เธอมองกระต่ายที่อยู่ในมือและนึกถึงฮวงฟูอี้ ถ้าเป็นเขา เขาก็คงจะพูดว่า “ไอ้ตัวนี้จะหน้าเหมือนกับเขาได้ยังไง? เธอควรที่จะชอบฉันสิ…”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เธอคิดถึงเขามากจริงๆจนไม่รู้ว่าจะหยุดยังไงเลย

“มีอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างเป็นห่วง

“ข้านึกถึงบางคนที่ข้ารัก…” หยดน้ำตาในดวงตาของ มู่หรงเสวี่ยไหลออกมา

สีหน้าของเธอในตอนนี้ทำให้สีหน้าของเฟิงจือหลิงและจิ่วหยานเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมๆกัน

“เจ้ามีคนรักแล้วงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม

มู่หรงค่อยๆเช็ดหยดน้ำตาออกจากที่หางตา “ข้าพูดอย่างนั้นงั้นเหรอ?! ข้าก็แค่คิดถึงเขา…”

เฟิงจือหลิงกำหมัดแน่นและกลืนคำพูดที่เหลือกลับเข้าไป คนแบบไหนกันนะที่ทำให้เขาคิดถึงจนถึงกับต้องร้องไห้? ต้องเป็นผุ้หญิงที่ดีเลิศขนาดไหนนะถึงจะคู่ควรกับสายตาและหัวใจของ มู่เทียน?

ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝันอะไรที่เกินจริงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากที่จะอยู่กับเขาตลอดเวลา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง มู่เทียนก็จะต้องมีคนรักและสร้างครอบครัว ถึงแม้เขาอยากที่จะอยู่ข้างๆเขา แต่ก็หาตำแหน่งที่เหมาะกับเขาไม่ได้เลย

“คนรักของเจ้าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันเหรอ?” จิ่วหยานที่อยู่อีกฝั่งก็หุบยิ้มเช่นกันและถามออกมา

“เขาเป็นจอมบงการ เย็นชาแต่ก็เหมือนเด็กและบ่อยครั้งที่เขาชอบทำตัวใกล้ชิดอย่างมาก เขารู้เสมอว่าข้าต้องการอะไรและข้าก็มีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับเขา…” มู่หรงเสวี่ยพูดถึง ฮวงฟูอี้และเธอก็ดูเหมือนจะมีคำพูดที่รักใคร่อย่างไม่สิ้นสุด เธอคิดถึงเขามากกว่าตอนที่จากมาซะอีก

“พอแล้ว เข้าไปพักในโรงแรมกันได้แล้ว” จิ่วหยานยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินหน้าบึ้งออกไปทันที

เหลือแค่มู่หรงที่กำลังยืนหน้างงอยู่อย่างนั้น เป็นอะไรกันเนี่ย?! เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆอยู่เลย เธอยังเล่าเรื่องไม่หนำใจเลย ถ้ามีคนฟังเธอก็ยังอยากที่จะพูดต่อ แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ดูเหมือนจะมีแค่ทางเดียวคือต้องเก็บความรู้สึกไว้ในหัวใจตัวเอง

“นางดีมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฟิงจือหลิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ถามออกมา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในโลกแต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ข้ารักมากที่สุด…”

สีหน้าที่แสดงออกมาของเธอดูมีความสุขอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าน้องสาวตัวเองคือคู่แข่งทางความรักของเขา เขานี่โง่จริงๆเลย ตอนนี้ศัตรูตัวจริงได้ปรากฏออกมาแล้ว

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ? ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เฟิงจือหลิงรีบดึงสติตัวเองกลับมาทันทีแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก แดดคงจะร้อนไปหน่อยน่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ!”

หลังจากวันนั้น เฟิงจือหลิงและจิ่วหยานก็เงียบไปมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาจะชอบเถียงกันตลอด แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่พูดอะไรกันเลย

มู่หรงนั่งอยู่ในรถม้าและมองไปที่คนทั้งสองที่นั่งกันเงียบเชียบและสุดท้ายก็เก็บเงียบไว้ไม่ไหว “พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรกัน? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“เขาสิแปลก”

“เขาสิแปลก”

ทั้งสองพูดออกมาพร้อมเป็นเสียงเดียวกัน เธอจึงถามออกไปอีก “ไม่เอาน่า พวกเจ้าสองคนเป็นอะไร? บอกหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“ไม่มีอะไร แล้วจะให้ข้าบอกเรื่องอะไร?” จิ่วหยานหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

เฟิงจือหลิงเองก็ทำเป็นยกม่านขึ้นเพื่อมองวิวถนน ไม่มีใครสนใจมู่เทียนเลย

อันที่จริง พวกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ไม่ว่าจะพูดยังไง พวกเขาก็นึกถึงแต่เรื่องที่มู่เทียนพูดวันก่อน เรื่องคนรักของเขา

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและไม่อยากที่จะสนใจทั้งสองคนนี้อีกแล้ว เมื่อเธอลงจากรถม้า เธอก็หันไปคุยกับพวกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกแทนแต่เพราะสีผมของเธอ เธอจึงยังสวมหมวกอยู่ ยังไงซะหลังจากที่เข้ามาในเมืองแล้ว ผู้คนก็เริ่มที่จะเดินไปมากันมากขึ้นด้วย

หลายวันต่อมา ในที่สุดเธอก็มาถึงคฤหาสน์ขององค์ชายสาม ทันทีที่เธอลงมาจากรถม้า มู่หรงเสวี่ยก็ต้องตะลึงกับหญิงสาวสวยที่อยู่เบื้องหน้า

“ยินดีต้อนรับองค์ชายกลับบ้านเจ้าค่ะ!” ที่ด้านหน้าคฤหาสน์ขององค์ชายสามมีเหล่าองครักษ์และสาวสวยยืนอยู่มากมาย

น้ำเสียงที่ได้ยินเกือบที่จะทำให้มู่หรงเสวี่ยตกใจ เป็นน้ำเสียงของคนโบราณชัดๆ ถึงแม้มารยาทท่าทางจะแตกต่างจากราชวงศ์ที่เธอรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไร

“ลุกขึ้น!” จิ่วหยานพูดพร้อมยกมือขึ้นแล้วจึงก้าวเดินนำเข้าไป

มู่หรงมองจิ่วหยานที่อยู่ต่อหน้าเหล่าบริวารด้วยสายตาดูหมิ่น

จนกระทั่งจิ่วหยานเดินเข้าไป คนที่คุกเข่าอยู่ค่อยๆลุกขึ้น มู่หรงเสวี่ยไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นมารยาท ในช่วงเวลาที่ต่างกันก็มีกระบวนการและประเพณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอไม่ได้ใช้สายตามุมมองจากอนาคตมามองมุมมองในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าเขาสั่งให้เธอคุกเข่า เธอก็คงจะทำไม่ได้

ทันทีที่จิ่วหยานเข้าไปในคฤหาสน์ เขาก็เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานทันที พ่อบ้านข้างหลังเขาก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเองก็เดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน

“ลุงฟู จัดที่พักให้สองคนนี้ด้วย จัดที่ลานหิมะแล้วกัน…” หัวของจิ่วหยานไม่ได้เงยขึ้นมา แต่กลับหยิบเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านแทน แล้วจึงพูดกับพ่อบ้านที่เดิมตามเขาเข้ามา

“ขอรับองค์ชาย!” ลุงฟูตอบกลับมาด้วยท่าทางเคารพแต่ก็รู้สึกตกใจอยู่นิดหน่อย องค์ชายไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไปที่บ้านหิมะมาก่อนเลย สองคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมถึงได้รับเกียรติมากมายขนาดนี้?

แล้วเขาก็หันกลับมาพูดกับมู่เทียนด้วยความเคารพ “ท่านทั้งสอง เชิญตามข้ามาเลยครับ!”

มู่หรงพยักหน้าและเดิมตามไป

วิวของคฤหาสน์ที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณสวยงามมากๆ จากสายตาที่มองไม่สามารถที่จะเห็นขอบเขตได้เลย มีศาลาที่สวยงามอยู่ทุกที่ เหล่าก้อนหินและดอกไม้ถูกจัดไว้อย่างประณีตซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกผ่อนคลายได้โดยไม่รู้ตัว และไม่นานพวกเธอก็เดินมาถึงสนาม

คำว่า “เสี่ยวหยวน” ถูกเขียนไว้ที่ป้ายด้านบน ซึ่งเป็นป้ายไม้สีขาวสดใสและเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว เมื่อสายลมเย็นพัดผ่าน กลีบดอกไม้มากมายก็ปลิวร่วงหล่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเรียกที่นี่ว่าเสี่ยวหยวน

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามันคือต้นอะไรแต่นี่ก็เป็นโลกที่คนละใบ อีกอย่างสิ่งมีชีวิตและต้นไม้ในทวีปเฟิงหยุนก็แปลกกว่ามาก เธอได้เห็นสิ่งแปลกๆมาแล้วมากมาย

หลังจากที่ลุงฟูเดินนำพวกเธอเข้าไปในลานบ้าน เขาก็แนะนำรายละเอียดของเสี่ยวหยวนและรวมถึงลานบ้านด้วยให้ มู่เทียนและเฟิงจือหลิงฟัง ในเสี่ยวหยวนมีห้าลาน แต่ละลานจะถูกแบ่งเป็นห้องนอนและห้องนั่งเล่น

หลังจากที่แนะนำเสร็จ ลุงฟูก็ก้มโค้งให้พวกเขาทั้งสองเล็กน้อยและพูดออกมาว่า “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งคนงานได้ตลอดเลยนะขอรับ งั้นข้าไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านทั้งสองแล้ว”

มู่หรงพยักหน้าและพูดออกมาด้วยความเคยชิน “ขอบคุณนะลุงฟู!” เธอเพิ่งได้ยินจิ่วหยานเรียกเขาแบบนี้เมื่อกี้!

ดวงตาของลุงฟูแวบประกายประหลาดใจเล็กน้อยแล้วก็รีบเก็บกดมันไว้ด้วยความรวดเร็ว “ท่านทั้งสองมีเมตตามากเลย!”

หลังจากที่ลุงฟูออกไป มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงก็รีบเข้าไปในห้องทันที

“จือหลิง เจ้าช่วยเฝ้าให้ข้าทีนะ ข้าจะเข้าไปถามเสี่ยวไป๋ในมิติลับหน่อยว่ามันรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเพราะยังไงซะ ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านตัวเอง เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามากะทันหันจึงต้องมีคนคอยเฝ้าเอาไว้

เฟิงจือหลิงพยักหน้า “ตกลง เจ้าเข้าไปเถอะไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามาเลย!”

พวกเขาคุ้นเคยกันดีแล้ว เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน มู่หรงเสวี่ยจึงไม่ได้สุภาพกับเขามากนัก แล้วเธอก็เข้าไปในมิติลับ

มู่หรงตรงไปหาเสี่ยวไป๋ที่มักจะอยู่ในป่าผลไม้เสมอ อย่างที่คิดไว้เลยว่ามันต้องกำลังกินอยู่ ร่างที่อ้วนกลับแทบจะหันมามองตรงๆไม่ได้ด้วยซ้ำ

“กินแล้วก็กิน เจ้านี่รู้จักแต่เรื่องกินนะ!” มู่หรงพูดอย่างไม่พอใจไปที่เสี่ยวไป๋

“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย? อารมณ์ไม่ดีตลอดเลย ระวังจะกลายเป็นพวกโรคจิตนะ” เสี่ยวไป๋พูดออกมาพร้อมด้วยผลไม้ที่เต็มปาก

มู่หรงตีไปที่หัวของมัน “ยังจะมาสบายอารมณ์อยู่อีก เจ้านี่มันหมูกลับชาติมาเกินจริงๆ!”

“เป็นอะไร? เจ้าไม่สบายหรือไง?”

“พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน?! แล้วอยู่ดีๆพลังแห่งจิตวิญญาณของข้าก็หายไปหมดเลย เจ้ารู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ในที่สุดเสี่ยวไป๋ก็วางผลไม้ที่อยู่ในมือลง “เกิดอะไรขึ้นนะ?! ขอข้าดูพลังแห่งจิตวิญญาณเจ้าหน่อยสิ”

ทั่วทั้งร่างกายของมู่หรงเสวี่ยรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ เดิมทีเธอคิดว่ามันจะทำไม่ได้เหมือนกับก่อนหน้านี้แต่เธอไม่คิดว่าพลังแห่งจิตวิญญาณจะควบแน่นอยู่ในฝ่ามือของเธอขึ้นมาทันที เธอโบกฝ่ามือออกไปไกลๆและแทบจะในทันที ก้อนหินก็ระเบิดออก เธอมองมาที่ฝ่ามือตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เอ๊ะ มันหายแล้วงั้นเหรอ?”

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า?” เสี่ยวไป๋มองมาที่เธอและถามออกมา

“ไม่นะ ข้าเปล่า…” พูดยังไม่ทันจบเธอก็แวบออกมาจากมิติลับทันที

เฟิงจือหลิงมองมาที่มู่หรงที่เพิ่งจะหายเข้าไปแค่ไม่กี่วินาทีแล้วถามออกมา “ทำไมเร็วจังล่ะ?”

“จือหลิง ดูเหมือนข้าจะหายแล้วนะ!” มู่หรงพูดอย่างมีความสุขแล้วก็เริ่มรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ

อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมาสีหน้าของมู่หรงก็เปลี่ยนไป น่าแปลก ทำไมล่ะ ก็เห็นๆอยู่ว่าในมิติลับยังทำได้เลย

“มีอะไรงั้นเหรอ? พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าหายดีแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างมีความสุข

มู่หรงส่ายหน้าแล้วพูดออกมา “ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดเอง เจ้าเฝ้าไว้ก่อนนะ” แล้วเธอก็หายแวบไปในทันที

แน่นอนว่าทันทีที่เข้ามาในมิติลับ พลังแห่งจิตวิญญาณของเธอก็กลับมา เธอจับเสี่ยวไป๋และถามออกมา “เสี่ยวไป๋ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? ในมิติลับข้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณแต่ทันทีที่ข้าออกไป มันก็หายไปหมดเลย?”

เจ้าลูกบอลสีขาวยังคงหยุดกินอยู่ “เจ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไปถึงที่นั่นเหรอ?! ใช่ที่แผ่นดินใหญ่หรือเปล่า?”

มู่หรงส่ายหน้า “ไม่นะ ในระหว่างนี้มีหลายอย่างที่เกิดขึ้น ข้าได้บอกเจ้าหรือเปล่า?! เราอยากที่จะลงไปที่เบื้องล่างหน้าผา ผลก็คือในระหว่างที่ร่วงลงมา เราก็สลบไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาในที่ที่ไม่รู้จักแล้วเราก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณด้วย…”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+