ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 288 ความช่วยเหลือ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 288 ความช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 288

ความช่วยเหลือ

“เข้ามาสิ! ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” จิ่วหยวนพูดออกไปอย่างไม่พอใจเท่าไร

มู่หรงโผล่หน้าจากประตูเข้ามา “เฮ้ ข้าไม่ได้รบกวนเจ้านะ!”

หลังจากที่เห็นสีหน้าของมู่เทียน ซุนหมานหลี่ก็เบิกตาด้วยความประหลาดใจแต่ไม่นานก็จางหายไป “เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ!” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ละเอียดอ่อน น้ำเสียงของเขาชัดเจนและฟังดูพอใจแต่เพิ่มความเป็นกันเองเข้าไปอีก

มู่หรงก้าวเดินเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นเฟิงจือหลิงก็เดินตามเธอเข้าไปด้วยเหมือนกัน

“ในเมื่อองค์ชายมีแขกพิเศษมา งั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ซุนหมานหลี่พูดออกมาอย่างสุภาพ

“ได้! พ่อบ้านฟูจะพาเจ้าไปส่งที่ตำหนักท่านเสนาธิการ!” จิ่วหยวนพูดสั่งออกมา

“ได้ขอรับ องค์ชาย! ท่านซุน เชิญตามข้ามา…”

หลังจากที่รอให้ทั้งสองคนเดินห่างออกไปแล้ว จิ่วหยวนนวดไปที่ขมับที่รู้สึกปวดแล้วถามออกมา

“ทำไมถึงมีเวลาแวะมาที่นี่ด้วยล่ะ แล้วผมของเจ้า?” เมื่อกี้เขายังไม่ได้สนใจมาก แต่แล้วก็เห็นผมที่เปลี่ยนเป็นสีดำของ มู่เทียน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าก็มาเพื่อบอกเจ้าเรื่องนี้แหละ ข้าทำอันนี้มาด้วย เจ้าลองดูไหม?” เธอทำคอนแทคเลนส์มาทั้งหมดสองคู่ คู่หนึ่งเธอลองใช้เองและไม่มีปัญหาอะไร ส่วนอีกคู่คือคู่ที่เธอถืออยู่ตอนนี้

จิ่วหยวนรับกล่องที่อยู่ในมือมู่เทียนมา เปิดดูและเห็นฟิล์มกลมๆสองอัน มีสีดำอยู่ตรงกลางดูคล้ายกับดวงตาของคน “นี่มันอะไร?”

“มันจะช่วยให้ดวงตาเจ้าเป็นสีดำได้!” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

จิ่วหยวนจ้องไปที่กล่องในมืออย่างสับสนอยู่นาน เขาไม่เข้าใจว่าเจ้าสิ่งนี้มันใช่ยังไง “แล้วมันใช้ยังไง?”

มู่หรงเสวี่ยนึกขึ้นมาได้ทันทีว่านี่เป็นยุคโบราณและ จิ่วหยวนไม่รู้วิธีที่จะสวมคอนแทคเลนส์!

เธอหยิบกล่องที่อยู่ในมือจิ่วหยวนมา “ข้าจะช่วยเจ้าใส่เอง เจ้านั่งเฉยๆแล้วลืมตาไว้…” มู่หรงเดินเข้าไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าก่อนแล้วก็เช็ดมือให้สะอาด แล้วมือหนึ่งก็หยิบคอนแทคเลนส์ที่อยู่ในกล่องออกมา ส่วนอีกมือก็จับหน้าของจิ่วหยวนไว้ “เงยหน้า ลืมตาไว้นะอย่าขยับ!”

ใบหน้าของจิ่วหยวนเองก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของมู่เทียน ปลายจมูกของเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นที่หอมหวาน เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ เงยหน้าขึ้นและลืมตาไว้ซึ่งได้เห็นใบหน้าที่สวยงามของมู่เทียนด้วย ริมฝีปากแดงที่ละเอียดอ่อนของเขาทำให้เขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนสายตาได้

“อยู่เฉยๆนะ อย่ากะพริบตานะ แป๊บเดียวก็เรียบร้อยแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงอ่อนโยน

แล้วก็ค่อยๆวางคอนแทคเลนส์ลงบนปลายนิ้วอย่างระวังและค่อยๆใส่เข้าไปในตาของจิ่วหยวน “เอาละ เจ้าลองกะพริบตาดูสิว่ารู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

นอกจากความรู้สึกไม่สบายนิดหน่อยในตอนแรกๆ ก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บอะไรตรงไหนแล้ว “ไม่มี!”

“งั้นลองดูสิ!” มู่หรงเสวี่ยหยิบกระจกทองแดงจากที่โต๊ะมาพร้อมกับรอยยิ้มและวางไว้ตรงตำแหน่งของจิ่วหยวนด้วยท่าทางพอใจ

จิ่วหยวนมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้มู่เทียนใส่ไปที่ตาข้างขวาให้กลายเป็นสีดำ ส่วนตาซ้ายยังเป็นสีม่วงอยู่

เขาค่อยๆแตะไปที่ดวงตาของตัวเองในกระจกทองแดง ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่ออยู่นิดหน่อย ปัญหาที่เขาพยายามดิ้นรนมาตลอดมากกว่าสิบปีถูกจัดการโดยคนที่ชื่อ มู่เทียนคนนี้

มู่หรงเสวี่ยยื่นกล่องคอนแทคเลนส์อีกข้างให้เขา “ส่วนอีกข้าง เจ้าลองใส่เองแล้วกันนะ! ลองดู…”

จิ่วหยวนรับกล่องมา ในตอนแรกเขายังทำได้ไม่ดีเท่าไร เขาลองอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายก็ใส่ได้สำเร็จ

“อีกอย่างนะ เจ้านี่โดนไฟไม่ได้นะ ไม่งั้นกระจกพวกนี้จะละลาย แล้วตอนกลางคืนก็ถอดออกซะด้วยนะ…” มู่หรงเสวี่ยสั่ง

“ได้!” น้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย

โดยไม่ยอมละสายตาจากกระจกทองแดง จิ่วหยวนกลัวว่าที่เขาเห็นจะเป็นเพียงภาพลวงตา

มู่หรงไม่ได้ขัดอะไรเขา เธอเข้าใจความรู้สึกของเขาดี เธอพยักหน้ากับเฟิงจือหลิงที่เงียบมาตั้งแต่ต้นตนถึงตอนนี้ พวกเธอเดินออกไปอย่างเงียบๆ เธอคิดว่าในตอนนี้จิ่วหยวนคงอยากที่จะอยู่เงียบๆคนเดียว

“มู่เทียน เจ้าสุดยอดมากจริงๆ!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างชื่นชม พร้อมด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความพอใจอย่างไม่ปิดบัง

มู่หรงเสวี่ยเดินอยู่บนทางที่ปูด้วยก้อนหิน เพลิดเพลินกับบรรยากาศของคฤหาสน์และพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นมาเองหรอก นี่เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในโลกของข้า ข้าก็แค่ยืมเทคโนโลยีมาทำใหม่แค่นั้นเอง…” สติปัญญาของมนุษย์นี่ไม่สิ้นสุดจริงๆ

“ในยุคของเจ้ามันเป็นโลกแบบไหนกันเหรอ?” จู่ๆ เฟิงจือหลิงก็อยากที่จะเห็นโลกที่มู่เทียนและหญิงสาวที่เขารักอยู่ว่าเป็นยังไง

“ที่โลกของข้าหลักๆก็สงบดีนะ มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมากมายแต่ก็มาพร้อมกับมลพิษทางอากาศด้วย…มันก็เป็นทั้งโลกที่ดีและไม่ดีไปพร้อมๆกัน”

“เจ้าอยากที่จะกลับไปหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงถาม ถึงแม้เขาจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกไป

มู่หรงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่! ข้าอยากที่จะกลับไปมากๆเลย! คุณปู่คุณย่าของข้ายังรอให้ข้ากลับไปอยู่และคนที่ข้ารักด้วย…” ฮวงฟูอี้นายเป็นไงบ้างนะ?!

“ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็จะช่วยให้เจ้าทำสำเร็จเอง…” เฟิงจือหลิงพูดอย่างหนักแน่น

“ขอบใจนะเพื่อน” มู่หรงเสวี่ยตบไปที่ไหล่ของเขา หลังจากที่มาที่นี่ เธอโชคดีมากที่ได้เจอกลุ่มเพื่อนดีๆ เมื่อนึกถึงหลินหนาน มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าหมองลง หลายวันที่ผ่านมา เธอเข้าไปดูหลินหนานและคนอื่นๆแต่พวกเขาก็ยังถูกแช่แข็งอยู่เหมือนเดิม ยังไม่มีการเคลื่อนไหวและหมอกสีดำที่ปกคลุมร่างกายพวกเขาอยู่ก็ยังไม่จางหายไป โชคดีที่สัญญาณชีวิตไม่ได้แย่ลง

เฟิงจือหลิงมองรอยยิ้มของมู่เทียน ในจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ดวงตาของเขาแวบประกายดำมืด ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เขาก็ต้องการเพียงแค่ที่จะยืนอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ แม้แต่ครอบครัวเขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่เขาได้เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ เขาก็พอใจแล้วและจะไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว

หลายวันต่อมา

“เอาเป็นว่าข้าคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ข้างหลังดีไหม?” มู่หรงพุ่งเข้ามาในห้องทำงานของจิ่วหยวนและพูดออกมา

จิ่วหยวนปิดเอกสาร เงยหน้าขึ้นมามองมู่เทียนที่อยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความปวดหัว “อย่ามาอวดดี ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอกนะ…”

อีกสองดินแดนที่ชายแดนพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วและเขาได้รับรายงานจากสายลับว่าดูเหมือนทั้งสองดินแดนนี้จะร่วมมือกันและตั้งใจที่จะโจมตีดินแดนหิมะของเขาในคราวเดียวเลย ช่วงนี้เขาจึงต้องเตรียมความเป็นไปได้ทุกแง่มุมสำหรับเรื่องนี้

ถ้าทั้งสองดินแดนร่วมมือกันจริงๆ งั้นวันที่ดินแดนหิมะจะถูกพิชิตคงอยู่ไม่ห่างแล้ว อีกอย่างช่วงนี้สุขภาพของท่านพ่อก็เริ่มที่จะแย่ลงเรื่อยๆด้วย ยังไงซะท่านก็แก่มากแล้วด้วย จึงไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับตอนหนุ่มๆ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆของเขาก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วด้วยเช่นกัน เขาไม่เคยสนใจเรื่องสถานการณ์ภายในเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มที่จะต้องสู้เป็นการภายในแล้ว ตอนนี้เขากังวลทั้งเรื่องภายนอกและภายใน หลายวันที่ผ่านมานี้เขานอนไม่ค่อยจะหลับเลย เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสุงสิงกับเจ้าตัวแสบมู่เทียนหรอก

“เจ้าไม่ได้พักมานานแล้วไม่ใช่เหรอ?! ไปพักเถอะ ข้าจะช่วยอ่านเอกสารพวกนี้ให้เจ้าเอง…” มู่หรงเสวี่ยเองก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของจิ่วหยวนไม่ค่อยดีเท่าไร

“ข้าจะไปนอนได้ยังไง? เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก อย่ามาแตะนะ!” จิ่วหยวนรู้สึกไม่ไว้ใจมู่เทียนและเฟิงจือหลิน เขาส่งคนไปสืบเรื่องตัวตนของทั้งสองคนนี้ด้วยแต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยราวกับว่าโผล่ออกมาจากอากาศและสถานที่ที่พวกเขาปรากฏตัวมาครั้งแรกก็คือที่ป่าไร้ขอบเขต จริงๆแล้วเขาก็เชื่อเรื่องที่มู่เทียนบอก

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการข้า มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไร ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง” มู่หรงดึงเก้าอี้ออกมานั่งอยู่ตรงข้ามกับจิ่วหยวน

เฟิงจือหลิงเองก็ยืนอยู่หลังมู่เทียน อันที่จริงพวกเขาคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว ตั้งแต่ที่เสี่ยวไป๋บอกว่ามังกรที่แท้จริงคือคนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ตราบใดที่พวกเขาได้ช่วยจิ่วหยวนเอาชนะทุกอย่างได้ นี่ก็เป็นหนทางที่เร็วที่สุดแล้ว

นอกจากนี้เธอก็ได้ยินจิ่วหยวนพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังตึงเครียดและอาจจะเกิดสงครามได้ตลอดเวลา งั้นพวกเธอก็จะช่วยจิ่วหยวนสงบสงครามให้เร็วที่สุดซึ่งจะถือเป็นการช่วยผู้คนให้รอดจากความทุกข์ยากโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการรวมโลกไว้เป็นหนึ่งเดียว เธอเพียงแค่อยากจะเร่งความเร็วให้มันเร็วขึ้นก็เท่านั้น

จิ่วหยวนจ้องมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่นและสุดท้ายก็ค่อยๆพูดถึงเรื่องสถานการณ์ล่าสุดออกมา รวมทั้งเรื่องความลำบากใจและสถานการณ์ของดินแดนหิมะด้วย

สุดท้ายก็มองมาที่มู่เทียนด้วยท่าทางเงียบเชียบ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น นี่เขากำลังหวังลมๆแล้งๆอะไรอยู่เนี่ย? ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ได้หรอก ไม่งั้นหลายวันมานี้เขาคงไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องปัญหาพวกนี้ทุกวันหรอก

“ข้ามีวิธี! มู่หรงพูดออกมา

ไม่เพียงแค่จิ่วหยวน แต่ขนาดเฟิงจือหลิงก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ

“ไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าขอคิดอยู่เงียบๆคนเดียวหน่อย!”

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและพูดว่า “ข้ามีวิธีจริงๆนะ ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน…”

“งั้นบอกข้ามาหน่อยได้ไหม?” จิ่วหยวนตาลุกด้วยประกายแห่งความหวัง

“ใช้กำลังในการปราบปรามเพื่อเข้ายับยั้งโดยตรงแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิของโลกนี้!” มู่หรงพูด

สายตาของจิ่วหยวนหมองลง หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดออกมา “แม้ว่าดินแดนหิมะจะแข็งข้อแต่ก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก ดินแดนเดียวจะไปสู้กำลังทหารของสองดินแดนได้ยังไง ช่างมันเถอะ เจ้าไม่เข้าใจหรอก!” เขาหยิบเอกสารรายงานที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้งและอ่านอย่างละเอียด

“ที่เจ้าไม่สามารถจะต้านทานได้ก็เป็นเพราะกำลังทางทหารของเจ้ายังอยู่ในขั้นธรรมดาไง แล้วถ้ากองกำลังทหารของดินแดนหิมะมีกำลังเหนือกว่าทุกฝ่ายล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” หัวของจิ่วหยวนเงยขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าบอกว่าข้ามีวิธีไง ข้าสามารถที่จะเพิ่มกำลังความแข็งแกร่งของกองทหารของเจ้าได้…” เธอตัดสินในที่จะพัฒนาระเบิด เธอรู้สูตร มันไม่ได้ยากอะไร

“นี่เจ้าพูดจริงงั้นเหรอ?” จิ่วหยวนนั่งหลังตรง เขารู้ว่าดีว่าเมื่อมู่เทียนพูดออกมาเขาจะต้องมั่นใจเป็น100เท่าเลย เหมือนกับเรื่องผมสีม่วงและกระจกตาที่เขาใช้อยู่ตอนนี้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 288 ความช่วยเหลือ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 288 ความช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 288

ความช่วยเหลือ

“เข้ามาสิ! ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” จิ่วหยวนพูดออกไปอย่างไม่พอใจเท่าไร

มู่หรงโผล่หน้าจากประตูเข้ามา “เฮ้ ข้าไม่ได้รบกวนเจ้านะ!”

หลังจากที่เห็นสีหน้าของมู่เทียน ซุนหมานหลี่ก็เบิกตาด้วยความประหลาดใจแต่ไม่นานก็จางหายไป “เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ!” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ละเอียดอ่อน น้ำเสียงของเขาชัดเจนและฟังดูพอใจแต่เพิ่มความเป็นกันเองเข้าไปอีก

มู่หรงก้าวเดินเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นเฟิงจือหลิงก็เดินตามเธอเข้าไปด้วยเหมือนกัน

“ในเมื่อองค์ชายมีแขกพิเศษมา งั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ซุนหมานหลี่พูดออกมาอย่างสุภาพ

“ได้! พ่อบ้านฟูจะพาเจ้าไปส่งที่ตำหนักท่านเสนาธิการ!” จิ่วหยวนพูดสั่งออกมา

“ได้ขอรับ องค์ชาย! ท่านซุน เชิญตามข้ามา…”

หลังจากที่รอให้ทั้งสองคนเดินห่างออกไปแล้ว จิ่วหยวนนวดไปที่ขมับที่รู้สึกปวดแล้วถามออกมา

“ทำไมถึงมีเวลาแวะมาที่นี่ด้วยล่ะ แล้วผมของเจ้า?” เมื่อกี้เขายังไม่ได้สนใจมาก แต่แล้วก็เห็นผมที่เปลี่ยนเป็นสีดำของ มู่เทียน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าก็มาเพื่อบอกเจ้าเรื่องนี้แหละ ข้าทำอันนี้มาด้วย เจ้าลองดูไหม?” เธอทำคอนแทคเลนส์มาทั้งหมดสองคู่ คู่หนึ่งเธอลองใช้เองและไม่มีปัญหาอะไร ส่วนอีกคู่คือคู่ที่เธอถืออยู่ตอนนี้

จิ่วหยวนรับกล่องที่อยู่ในมือมู่เทียนมา เปิดดูและเห็นฟิล์มกลมๆสองอัน มีสีดำอยู่ตรงกลางดูคล้ายกับดวงตาของคน “นี่มันอะไร?”

“มันจะช่วยให้ดวงตาเจ้าเป็นสีดำได้!” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

จิ่วหยวนจ้องไปที่กล่องในมืออย่างสับสนอยู่นาน เขาไม่เข้าใจว่าเจ้าสิ่งนี้มันใช่ยังไง “แล้วมันใช้ยังไง?”

มู่หรงเสวี่ยนึกขึ้นมาได้ทันทีว่านี่เป็นยุคโบราณและ จิ่วหยวนไม่รู้วิธีที่จะสวมคอนแทคเลนส์!

เธอหยิบกล่องที่อยู่ในมือจิ่วหยวนมา “ข้าจะช่วยเจ้าใส่เอง เจ้านั่งเฉยๆแล้วลืมตาไว้…” มู่หรงเดินเข้าไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าก่อนแล้วก็เช็ดมือให้สะอาด แล้วมือหนึ่งก็หยิบคอนแทคเลนส์ที่อยู่ในกล่องออกมา ส่วนอีกมือก็จับหน้าของจิ่วหยวนไว้ “เงยหน้า ลืมตาไว้นะอย่าขยับ!”

ใบหน้าของจิ่วหยวนเองก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของมู่เทียน ปลายจมูกของเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นที่หอมหวาน เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ เงยหน้าขึ้นและลืมตาไว้ซึ่งได้เห็นใบหน้าที่สวยงามของมู่เทียนด้วย ริมฝีปากแดงที่ละเอียดอ่อนของเขาทำให้เขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนสายตาได้

“อยู่เฉยๆนะ อย่ากะพริบตานะ แป๊บเดียวก็เรียบร้อยแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงอ่อนโยน

แล้วก็ค่อยๆวางคอนแทคเลนส์ลงบนปลายนิ้วอย่างระวังและค่อยๆใส่เข้าไปในตาของจิ่วหยวน “เอาละ เจ้าลองกะพริบตาดูสิว่ารู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

นอกจากความรู้สึกไม่สบายนิดหน่อยในตอนแรกๆ ก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บอะไรตรงไหนแล้ว “ไม่มี!”

“งั้นลองดูสิ!” มู่หรงเสวี่ยหยิบกระจกทองแดงจากที่โต๊ะมาพร้อมกับรอยยิ้มและวางไว้ตรงตำแหน่งของจิ่วหยวนด้วยท่าทางพอใจ

จิ่วหยวนมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้มู่เทียนใส่ไปที่ตาข้างขวาให้กลายเป็นสีดำ ส่วนตาซ้ายยังเป็นสีม่วงอยู่

เขาค่อยๆแตะไปที่ดวงตาของตัวเองในกระจกทองแดง ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่ออยู่นิดหน่อย ปัญหาที่เขาพยายามดิ้นรนมาตลอดมากกว่าสิบปีถูกจัดการโดยคนที่ชื่อ มู่เทียนคนนี้

มู่หรงเสวี่ยยื่นกล่องคอนแทคเลนส์อีกข้างให้เขา “ส่วนอีกข้าง เจ้าลองใส่เองแล้วกันนะ! ลองดู…”

จิ่วหยวนรับกล่องมา ในตอนแรกเขายังทำได้ไม่ดีเท่าไร เขาลองอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายก็ใส่ได้สำเร็จ

“อีกอย่างนะ เจ้านี่โดนไฟไม่ได้นะ ไม่งั้นกระจกพวกนี้จะละลาย แล้วตอนกลางคืนก็ถอดออกซะด้วยนะ…” มู่หรงเสวี่ยสั่ง

“ได้!” น้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย

โดยไม่ยอมละสายตาจากกระจกทองแดง จิ่วหยวนกลัวว่าที่เขาเห็นจะเป็นเพียงภาพลวงตา

มู่หรงไม่ได้ขัดอะไรเขา เธอเข้าใจความรู้สึกของเขาดี เธอพยักหน้ากับเฟิงจือหลิงที่เงียบมาตั้งแต่ต้นตนถึงตอนนี้ พวกเธอเดินออกไปอย่างเงียบๆ เธอคิดว่าในตอนนี้จิ่วหยวนคงอยากที่จะอยู่เงียบๆคนเดียว

“มู่เทียน เจ้าสุดยอดมากจริงๆ!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างชื่นชม พร้อมด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความพอใจอย่างไม่ปิดบัง

มู่หรงเสวี่ยเดินอยู่บนทางที่ปูด้วยก้อนหิน เพลิดเพลินกับบรรยากาศของคฤหาสน์และพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นมาเองหรอก นี่เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในโลกของข้า ข้าก็แค่ยืมเทคโนโลยีมาทำใหม่แค่นั้นเอง…” สติปัญญาของมนุษย์นี่ไม่สิ้นสุดจริงๆ

“ในยุคของเจ้ามันเป็นโลกแบบไหนกันเหรอ?” จู่ๆ เฟิงจือหลิงก็อยากที่จะเห็นโลกที่มู่เทียนและหญิงสาวที่เขารักอยู่ว่าเป็นยังไง

“ที่โลกของข้าหลักๆก็สงบดีนะ มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมากมายแต่ก็มาพร้อมกับมลพิษทางอากาศด้วย…มันก็เป็นทั้งโลกที่ดีและไม่ดีไปพร้อมๆกัน”

“เจ้าอยากที่จะกลับไปหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงถาม ถึงแม้เขาจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกไป

มู่หรงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่! ข้าอยากที่จะกลับไปมากๆเลย! คุณปู่คุณย่าของข้ายังรอให้ข้ากลับไปอยู่และคนที่ข้ารักด้วย…” ฮวงฟูอี้นายเป็นไงบ้างนะ?!

“ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็จะช่วยให้เจ้าทำสำเร็จเอง…” เฟิงจือหลิงพูดอย่างหนักแน่น

“ขอบใจนะเพื่อน” มู่หรงเสวี่ยตบไปที่ไหล่ของเขา หลังจากที่มาที่นี่ เธอโชคดีมากที่ได้เจอกลุ่มเพื่อนดีๆ เมื่อนึกถึงหลินหนาน มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าหมองลง หลายวันที่ผ่านมา เธอเข้าไปดูหลินหนานและคนอื่นๆแต่พวกเขาก็ยังถูกแช่แข็งอยู่เหมือนเดิม ยังไม่มีการเคลื่อนไหวและหมอกสีดำที่ปกคลุมร่างกายพวกเขาอยู่ก็ยังไม่จางหายไป โชคดีที่สัญญาณชีวิตไม่ได้แย่ลง

เฟิงจือหลิงมองรอยยิ้มของมู่เทียน ในจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ดวงตาของเขาแวบประกายดำมืด ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เขาก็ต้องการเพียงแค่ที่จะยืนอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ แม้แต่ครอบครัวเขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่เขาได้เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ เขาก็พอใจแล้วและจะไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว

หลายวันต่อมา

“เอาเป็นว่าข้าคอยสนับสนุนเจ้าอยู่ข้างหลังดีไหม?” มู่หรงพุ่งเข้ามาในห้องทำงานของจิ่วหยวนและพูดออกมา

จิ่วหยวนปิดเอกสาร เงยหน้าขึ้นมามองมู่เทียนที่อยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความปวดหัว “อย่ามาอวดดี ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอกนะ…”

อีกสองดินแดนที่ชายแดนพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วและเขาได้รับรายงานจากสายลับว่าดูเหมือนทั้งสองดินแดนนี้จะร่วมมือกันและตั้งใจที่จะโจมตีดินแดนหิมะของเขาในคราวเดียวเลย ช่วงนี้เขาจึงต้องเตรียมความเป็นไปได้ทุกแง่มุมสำหรับเรื่องนี้

ถ้าทั้งสองดินแดนร่วมมือกันจริงๆ งั้นวันที่ดินแดนหิมะจะถูกพิชิตคงอยู่ไม่ห่างแล้ว อีกอย่างช่วงนี้สุขภาพของท่านพ่อก็เริ่มที่จะแย่ลงเรื่อยๆด้วย ยังไงซะท่านก็แก่มากแล้วด้วย จึงไม่ได้แข็งแรงเหมือนกับตอนหนุ่มๆ ส่วนพี่น้องคนอื่นๆของเขาก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วด้วยเช่นกัน เขาไม่เคยสนใจเรื่องสถานการณ์ภายในเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มที่จะต้องสู้เป็นการภายในแล้ว ตอนนี้เขากังวลทั้งเรื่องภายนอกและภายใน หลายวันที่ผ่านมานี้เขานอนไม่ค่อยจะหลับเลย เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสุงสิงกับเจ้าตัวแสบมู่เทียนหรอก

“เจ้าไม่ได้พักมานานแล้วไม่ใช่เหรอ?! ไปพักเถอะ ข้าจะช่วยอ่านเอกสารพวกนี้ให้เจ้าเอง…” มู่หรงเสวี่ยเองก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของจิ่วหยวนไม่ค่อยดีเท่าไร

“ข้าจะไปนอนได้ยังไง? เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก อย่ามาแตะนะ!” จิ่วหยวนรู้สึกไม่ไว้ใจมู่เทียนและเฟิงจือหลิน เขาส่งคนไปสืบเรื่องตัวตนของทั้งสองคนนี้ด้วยแต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยราวกับว่าโผล่ออกมาจากอากาศและสถานที่ที่พวกเขาปรากฏตัวมาครั้งแรกก็คือที่ป่าไร้ขอบเขต จริงๆแล้วเขาก็เชื่อเรื่องที่มู่เทียนบอก

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการข้า มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไร ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง” มู่หรงดึงเก้าอี้ออกมานั่งอยู่ตรงข้ามกับจิ่วหยวน

เฟิงจือหลิงเองก็ยืนอยู่หลังมู่เทียน อันที่จริงพวกเขาคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว ตั้งแต่ที่เสี่ยวไป๋บอกว่ามังกรที่แท้จริงคือคนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก ตราบใดที่พวกเขาได้ช่วยจิ่วหยวนเอาชนะทุกอย่างได้ นี่ก็เป็นหนทางที่เร็วที่สุดแล้ว

นอกจากนี้เธอก็ได้ยินจิ่วหยวนพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังตึงเครียดและอาจจะเกิดสงครามได้ตลอดเวลา งั้นพวกเธอก็จะช่วยจิ่วหยวนสงบสงครามให้เร็วที่สุดซึ่งจะถือเป็นการช่วยผู้คนให้รอดจากความทุกข์ยากโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการรวมโลกไว้เป็นหนึ่งเดียว เธอเพียงแค่อยากจะเร่งความเร็วให้มันเร็วขึ้นก็เท่านั้น

จิ่วหยวนจ้องมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่นและสุดท้ายก็ค่อยๆพูดถึงเรื่องสถานการณ์ล่าสุดออกมา รวมทั้งเรื่องความลำบากใจและสถานการณ์ของดินแดนหิมะด้วย

สุดท้ายก็มองมาที่มู่เทียนด้วยท่าทางเงียบเชียบ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น นี่เขากำลังหวังลมๆแล้งๆอะไรอยู่เนี่ย? ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ได้หรอก ไม่งั้นหลายวันมานี้เขาคงไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องปัญหาพวกนี้ทุกวันหรอก

“ข้ามีวิธี! มู่หรงพูดออกมา

ไม่เพียงแค่จิ่วหยวน แต่ขนาดเฟิงจือหลิงก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ

“ไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าขอคิดอยู่เงียบๆคนเดียวหน่อย!”

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและพูดว่า “ข้ามีวิธีจริงๆนะ ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน…”

“งั้นบอกข้ามาหน่อยได้ไหม?” จิ่วหยวนตาลุกด้วยประกายแห่งความหวัง

“ใช้กำลังในการปราบปรามเพื่อเข้ายับยั้งโดยตรงแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิของโลกนี้!” มู่หรงพูด

สายตาของจิ่วหยวนหมองลง หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดออกมา “แม้ว่าดินแดนหิมะจะแข็งข้อแต่ก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นหรอก ดินแดนเดียวจะไปสู้กำลังทหารของสองดินแดนได้ยังไง ช่างมันเถอะ เจ้าไม่เข้าใจหรอก!” เขาหยิบเอกสารรายงานที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้งและอ่านอย่างละเอียด

“ที่เจ้าไม่สามารถจะต้านทานได้ก็เป็นเพราะกำลังทางทหารของเจ้ายังอยู่ในขั้นธรรมดาไง แล้วถ้ากองกำลังทหารของดินแดนหิมะมีกำลังเหนือกว่าทุกฝ่ายล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” หัวของจิ่วหยวนเงยขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าบอกว่าข้ามีวิธีไง ข้าสามารถที่จะเพิ่มกำลังความแข็งแกร่งของกองทหารของเจ้าได้…” เธอตัดสินในที่จะพัฒนาระเบิด เธอรู้สูตร มันไม่ได้ยากอะไร

“นี่เจ้าพูดจริงงั้นเหรอ?” จิ่วหยวนนั่งหลังตรง เขารู้ว่าดีว่าเมื่อมู่เทียนพูดออกมาเขาจะต้องมั่นใจเป็น100เท่าเลย เหมือนกับเรื่องผมสีม่วงและกระจกตาที่เขาใช้อยู่ตอนนี้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+