ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 290 เจ้าชายจิ่วฮวง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 290 เจ้าชายจิ่วฮวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 290

เจ้าชายจิ่วฮวง

สองวันต่อมา มู่หรงบิดขี้เกียจแล้วก็มองรูปวาดในมือด้วยท่าทางพอใจแล้วก็ลุกขึ้น

“เสร็จแล้ว จือหลิง ไปหาจิ่วหยวนกันเถอะ เอารูปวาดอาวุธนี่ให้เขาก่อน!” มู่หรงเดินออกไปพร้อมกับรูปวาดในมือ

ส่วนเรื่องที่เธอไม่ได้ดินปืนนี่ยิ่งทำให้มันเป็นปัญหาอย่างมากและมันก็ไม่ใช่อะไรที่จะผลิตกันได้ง่ายๆด้วย

มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าดินปืนเริ่มใช้กันในสงครามปลายราชวงศ์ถังต้นศตวรรษที่ 10 ดินปืนถูกใช้ในกองทหารและกลายเป็นอาวุธใหม่ที่ทรงอำนาจซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ในด้านกลยุทธ์, ยุทธวิธีและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการทหาร ในระยะแรกอาวุธดินปืนมีประสิทธิภาพในการระเบิดต่ำและส่วนใหญ่ถูกใช้ในการลอบวางเพลิง ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีจะทำให้ประสิทธิภาพการระเบิดของดินปืนแรงมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นอาวุธประเภทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในช่วงต่อต้านสงครามญี่ปุ่นกองทัพของจีนเองก็ใช้อาวุธดินปืนในการต่อสู้ ในราชวงศ์ซ่งก็มีการใช้ดินปืนในกิจการทหารมากขึ้น เพื่อต่อต้านการโจมตีป่าเถื่อนของเซี่ยและ จินในหลียวหนิงตะวันตก ราชวงศ์ซ่งเหนือให้ความสำคัญกับการทดสอบ, ผลิตดินปืนและอาวุธดินปืน ถังฟู ผู้นำกองทัพทางน้ำและฉีปู่ ครูฝึกทหาร ครั้งหนึ่งเคยสร้างอาวุธดินปืนใหม่ในพระราชวัง เช่น จรวดและลูกไฟซึ่งได้รับการยกย่องจากเจิ้นจง ตั้งแต่นั้นดินปืนก็กลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นของกองทัพซ่ง

ต่อมารัฐบาลซ่งเหนือได้จัดตั้งโรงงานผลิตดินปืนขึ้นที่เมืองเปียนเหลียงซึ่งเป็นเมืองหลวง เป็นโรงงานผลิตอย่างเป็นทางการที่เชี่ยวชาญในการผลิตดินปืนและอาวุธปืน (ตัวอย่างเช่น “กวงเป่ยล้อมเมือง”) ด้วย “ลูกศรดินปืนหน้าไม้เจ็ดพันดอก, ลูกศรธนูไฟอาบยาพิษหมื่นดอก, และปืนใหญ่สามพันสองหมื่นกระบอก (ดินปืนที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงที่มีหนามเหล็กรอบๆ)

ในปี 1044 เซิงกงเหลียงเขียนสาระสำคัญทั่วไปไว้ในอู้จิ้งซึ่งบันทึกสูตรดินปืนสามชนิดและอาวุธดินปืนหลากหลายชนิดพร้อมภาพประกอบไว้ นี่คือกระบวนการผลิตอาวุธปืนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อถึงยุคราชวงศ์ซ่งใต้ เทคโนโลยีของอาวุธดินปืนก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ คณบดีเฉินกุ้ยโจว (อันหลู่, หูเป่ย์) เคยเก็บภาษีอาวุธปืนด้วย

ในช่วงกลางและปลายของราชวงศ์ซ่งใต้อาวุธปืนปรากฏขึ้นอีกครั้งและเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอีกขั้น มีการคิดค้นอาวุธปืนรูปหลอดที่มีอิทธิพลกว้างไกล

เมื่อเปลี่ยนกระบอกไม้ไผ่เป็นท่อเหล็กหรือทองแดง, ซินทำจากเหล็กและวัสดุอื่น ๆ (คล้ายกับกระสุน) และจากนั้นดินปืนก็ใช้ความตึงในการระเบิดเพื่อดันรังของตัวดันออกซึ่งเป็นพื้นฐานของปืนไรเฟิลและกระสุนในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเมื่อมีดินปืนก็ต้องมีปืน หลักการของการระเบิดจะเหมือนกัน เมื่อราชวงศ์ซ่งทำลายราชวงศ์ถังใต้และยึดจินหลิงได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ปืนในการเล่นหมากรุกจีนซึ่งทำให้ราชวงศ์ซ่งเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ “อาวุธปืน”

ตามประวัติที่เธอรู้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องใช้เวลานาน แต่นี่เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก่อนที่ทั้งสองดินแดนจะมาเยือน ดังนั้นเวลาอาจจะไม่พอ ถ้าเป็นอย่างงั้นเธอก็ควรที่จะสร้างอาวุธสำเร็จพวกนี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะไปถึงห้องทำงานของจิ่วหยวน เธอก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่ถนน สีหน้าของผู้นำเย็นชาและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นชุดของตระกูลราชวงศ์ ถ้าเธอเดาไม่ผิด เขาจะต้องเป็นพี่ชายของจิ่วหยวนแน่ๆ หนึ่งในบรรดาองค์ชาย

มู่หรงค่อยๆเก็บภาพวาดเข้าไปด้านในของแขนเสื้อ หยุดเดินและค่อยๆถอยหลังกลับ ตั้งใจว่าจะให้คนที่อยู่เบื้องหน้าเดินผ่านไปก่อน

“กล้าดียังไงถึงได้ไม่คุกเข่าเวลาที่เจอองค์ชาย!” เสียงคมดังออกมา

มู่หรงหันไปมอง จากสายตาดูแล้วน่าจะเป็นขันที แต่ไม่มีทางที่เธอจะคุกเข่าลง!

เฟิงจือหลิงรีบเข้ามายืนเบื้องหน้ามู่เทียน กำมีดในมือแน่นและมองไปที่คนที่อยู่เบื้องหน้า

“ทหาร จับชายสองคนนี้!” น้ำเสียงที่เปล่งออกมายิ่งดุดันมากขึ้นไปอีก

เฟิงจือหลิงรีบดึงมีดออกมาในทันที

“เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้ชายที่เป็นผู้นำ ที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายโบกมือเพื่อห้ามเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆเขา

ขันทีที่อยู่ถัดจากองค์ชายโค้งตัวและถอยหลังกลับไป

“เจ้าเป็นใคร?” ท่าทางสูงส่งขององค์ชายไม่ได้เบาลงเลย เขาเดินตรงเข้าไปหามู่หรงเสวี่ยและถามออกมา

“ก็แค่คนธรรมดา!” มู่หรงตอบเสียงเบา

องค์ชายมองคนทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้า และในหัวใจก็มีความคิดมากมาย ผู้ชายทั้งสองคนนี้ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าที่จะเป็นคนธรรมดาแน่ๆ

“พี่ฮวง! มาที่นี่ได้ยังไง?” จิ่วหยวนที่รีบเดินเข้ามาจากระยะไกลพูดออกมา

“อะไร?! ข้าจะแวะมาหน่อยไม่ได้หรือไง?” องค์ชายถาม

“ข้าก็แค่ล้อเล่น แต่นี่มันก็ดึกไปหน่อยที่จะแวะมา มาเถอะ เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ!” จิ่วหยวนยืนขวางระหว่างมู่เทียนและองค์ชายไว้ กั้นสายตาขององค์ชายและรีบเชิญองค์ชายอย่างอบอุ่นเพื่อให้เข้าไปในห้อง

“เดี๋ยวสิ!” องค์ชายองค์ชายผลักเขาออกเล็กน้อย

รอยยิ้มที่สีหน้าของจิ่วหยวนสะดุดเล็กน้อย

“ตำหนักของจักรพรรดิมีแขกตั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมข้าถึงไม่เจอเด็กน่ารักแบบนี้ที่คฤหาสน์เลยล่ะ?” องค์ชายค่อยๆเดินผ่านจิ่วหยวนและเดินไปหามู่หรงเสวี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่แบนราบ เขาก็คงจะไม่เชื่อว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจะสวยได้ราวกับดอกไมร์เทิลเครปขนาดนี้

“สองคนนี้เป็นเพื่อนของข้าเอง พวกเขาไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่อะไร พวกเราก็แค่บังเอิญเจอกันตอนที่ข้าออกไปข้างนอกครั้งที่แล้ว ข้าก็เลยเชิญพวกเขามาที่คฤหาสน์ พวกเขาไม่ใช่คนจากราชวงศ์อะไร ก็เลยไม่เข้าใจเรื่องธรรมเนียมของราชวงศ์ อย่าถือสาเลยนะ เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่านะ สองคนนี้ก็แค่คนธรรมดาและองค์ชายไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรกันมากหรอกนะ!” มือจิ่วหยวนที่อยู่ด้านหลังค่อยๆกำแน่นแต่สีหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ซึ่งดูราวกับว่ามู่เทียนและเฟิงจือหลิงไม่คู่ควรที่จะพูดถึงอะไร

มู่เทียนและเฟิงจือหลิงยืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้แสดงท่าทางอ่อนน้อมหรืออวดดีอะไร ซึ่งทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่เป็นอิสระและมีเกียรติและนี่ก็ยิ่งทำให้องค์ชายสนใจมากขึ้นไปอีก

“อ่า! เจ้าผิดแล้วล่ะ ข้าสนใจพวกเขาทั้งสองคนอย่างมากเลยล่ะ เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าเชิญพวกเจ้าไปที่ตำหนักข้าในฐานะแขก?” พัดที่พับอยู่ในมือขององค์ชายตีไปที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆและหันหัวมาพูดกับจิ่วหยวน

จิ่วหยวนแสดงสีหน้าเล็กน้อย “ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไปสร้างปัญหาให้ได้นะ…”

“ไม่เป็นไร ยังไงซะที่ตำหนักข้าก็เงียบเหงา ถ้าได้ต้อนรับคนทั้งสองนี้ก็คงจะดี! ข้าชื่อจิ่วฮวง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าชื่ออะไรกัน?” จิ่วฮวงถาม

มู่หรงมองไปที่จิ่วหยวนแล้วจึงตอบออกมา “มู่เทียน!”

“เฟิงจือหลิง!” เขาเก็บมีดที่อยู่ในมือและตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงเสวี่ยไม่ชอบสังคมศักดินา ระบบจักรพรรดิที่ครองโลกอะไรแบบนี้ โชคดีที่จิ่วหยวนไม่ได้บอกให้พวกเธอคุกเข่า ไม่งั้นพวกเธอคงเข้ากับจิ่วหยวนได้ไม่ดีขนาดนี้ แต่ถ้าพูดถึงองค์ชายคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้วดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเขาเชิญพวกเธอทั้งสองคนทำไม?!

“พวกเจ้าจะมาเยี่ยมที่ตำหนักของข้า บังเอิญว่าข้าอยากที่จะฟังพวกเจ้าสองคนเล่าถึงอะไรหลายอย่างข้างนอกบ้าง ในฐานะองค์ชาย ข้าแทบจะไม่มีโอกาสได้ออกไปดูโลกภายนอกเลย ซึ่งข้าอยากที่จะออกไปมากจริงๆ พวกเจ้ารังเกียจที่จะเล่าให้ข้าฟังหน่อยไหม?” ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่การบุกรุกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการคุกคาม

ในตอนนี้ จิ่วหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างและพูดออกมา “ท่านพี่ ตำหนักของท่านอยู่ในวัง มันคงไม่ดีเท่าไรที่จะให้คนนอกเข้าไปข้างใน…”

ตำหนักฝั่งตะวันออกขององค์ชายอยู่ด้านในของวัง ถึงแม้จะอยู่ห่างจากตำหนักหลักของท่านพ่อแต่ยังไงก็ยังอยู่ในวังอยู่ดี ปกติแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพระราชวังแถมยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาอยู่ทุกที่ด้วย ถ้าสองคนนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง ถึงแม้เขาอยากที่จะปกป้องพวกเขาแต่ก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ

“ก็แค่แขกสองคนเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ก็แค่คุยกันเฉยๆเอง ข้าไม่ทำให้เพื่อนของเจ้าลำบากใจหรอกน่า ถ้าเจ้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของวัง มันก็ไม่ใช่อะไรที่จำเป็นเลยนะ ข้าดูแลเรื่องนี้เองได้!” จิ่วฮวงพูดเสียงเบา สองคนนี้ทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของสองคนนี้เลย? อีกอย่าง น้องชายของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นห่วงสองคนนี้อย่างมากด้วย

“ต้องขอบคุณความมีน้ำใจขององค์ชายด้วย แต่พวกเราสองคนคงไม่กล้าที่จะเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเขตพระราชวงศ์หรอก ถ้าองค์ชายอยากที่จะฟังเรื่องของโลกภายนอก ท่านก็สามารถแวะมาได้ตลอดเวลา พวกเรายินดีที่จะเล่าให้ องค์ชายฟังทั้งคืนเลย” มู่หรงโค้งตัวและพูดออกมา

“โอ้?! ผู้ชายที่ดูหยาบคายแต่ทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้ล่ะ?! ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคนคงไม่ใช่คนธรรมแล้วล่ะ พวกเจ้ามาจากดินแดนอื่นหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชา

“ไม่ใช่แบบนั้นเลย! พวกเราไม่ได้มาจากดินแดนอื่นแน่ๆ!” แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ดินแดนหิมะด้วยเหมือนกัน

“โอ้!” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อ “งั้นในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากที่จะไป ข้าก็ไม่อยากที่จะบังคับอะไรแต่ก็ไว้คุยกันใหม่ครั้งหน้าแล้วกัน! น้องหยวน เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

“ได้เลยท่านพี่!” จิ่วหยวนพูดและเดินนำจิ่วฮวงเข้าไปที่ตำหนัก ในระหว่างนั้นก็โบกมือไปทางคนทั้งสองเพื่อบอกให้พวกเขารีบกลับไปที่ห้อง

จิ่วหยวนไม่คิดว่าอยู่ดีๆองค์ชายจะแวะมาแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงจะบอกมู่เทียนให้อยู่แต่ในห้อง เมื่อพูดถึงองค์ชายฮวงแล้ว เขาเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาพี่น้อง หลายปีที่ผ่านมา องค์ชายและพี่ชายต่างก็ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากเหล่าขุนนาง และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถที่จะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ในอีกไม่กี่ปีด้วย

มู่เทียนและเฟิงจือหลิงรีบตรงกลับไปที่ห้องของพวกเขา อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนของยุคนี้มากนัก ยังไงซะพวกเธอก็ไม่ใช่คนจากยุคนี้ ยกเว้นก็แต่จิ่วหยวน

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็รู้ดีว่าองค์ชายตั้งใจที่จะให้พวกเธอเข้าไปในวัง และคิดว่าพวกเธอก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ด้วยและคงจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไปด้วยแล้ว

ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ พวกเธอก็ไม่อยากที่จะเปิดเผยเรื่องมิติลับ!

“ข้าคิดว่าองค์ชายจะต้องคอยจับตาเรื่องพวกเราแน่ๆเลย ว่าไหม?” มู่หรงกลับมาที่ห้องและพูดออกมา

“มันก็เป็นเรื่องปกตินะ มู่เทียนอย่าไปสนใจเรื่องนี้มากเลย ในเมื่อเราเลือกที่จะช่วยจิ่วหยวนให้ขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วต่อให้เราต้องเจอกับสมาชิกคนอื่นของราชวงศ์!” เฟิงจือหลิงพูดปลอบใจ

“เจ้าก็พูดถูก! ต่อไปเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ว่าแต่ออกไปหาข่าวข้างนอกกันเถอะ” มู่หรงพูด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 290 เจ้าชายจิ่วฮวง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 290 เจ้าชายจิ่วฮวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 290

เจ้าชายจิ่วฮวง

สองวันต่อมา มู่หรงบิดขี้เกียจแล้วก็มองรูปวาดในมือด้วยท่าทางพอใจแล้วก็ลุกขึ้น

“เสร็จแล้ว จือหลิง ไปหาจิ่วหยวนกันเถอะ เอารูปวาดอาวุธนี่ให้เขาก่อน!” มู่หรงเดินออกไปพร้อมกับรูปวาดในมือ

ส่วนเรื่องที่เธอไม่ได้ดินปืนนี่ยิ่งทำให้มันเป็นปัญหาอย่างมากและมันก็ไม่ใช่อะไรที่จะผลิตกันได้ง่ายๆด้วย

มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าดินปืนเริ่มใช้กันในสงครามปลายราชวงศ์ถังต้นศตวรรษที่ 10 ดินปืนถูกใช้ในกองทหารและกลายเป็นอาวุธใหม่ที่ทรงอำนาจซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ในด้านกลยุทธ์, ยุทธวิธีและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการทหาร ในระยะแรกอาวุธดินปืนมีประสิทธิภาพในการระเบิดต่ำและส่วนใหญ่ถูกใช้ในการลอบวางเพลิง ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีจะทำให้ประสิทธิภาพการระเบิดของดินปืนแรงมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นอาวุธประเภทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในช่วงต่อต้านสงครามญี่ปุ่นกองทัพของจีนเองก็ใช้อาวุธดินปืนในการต่อสู้ ในราชวงศ์ซ่งก็มีการใช้ดินปืนในกิจการทหารมากขึ้น เพื่อต่อต้านการโจมตีป่าเถื่อนของเซี่ยและ จินในหลียวหนิงตะวันตก ราชวงศ์ซ่งเหนือให้ความสำคัญกับการทดสอบ, ผลิตดินปืนและอาวุธดินปืน ถังฟู ผู้นำกองทัพทางน้ำและฉีปู่ ครูฝึกทหาร ครั้งหนึ่งเคยสร้างอาวุธดินปืนใหม่ในพระราชวัง เช่น จรวดและลูกไฟซึ่งได้รับการยกย่องจากเจิ้นจง ตั้งแต่นั้นดินปืนก็กลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นของกองทัพซ่ง

ต่อมารัฐบาลซ่งเหนือได้จัดตั้งโรงงานผลิตดินปืนขึ้นที่เมืองเปียนเหลียงซึ่งเป็นเมืองหลวง เป็นโรงงานผลิตอย่างเป็นทางการที่เชี่ยวชาญในการผลิตดินปืนและอาวุธปืน (ตัวอย่างเช่น “กวงเป่ยล้อมเมือง”) ด้วย “ลูกศรดินปืนหน้าไม้เจ็ดพันดอก, ลูกศรธนูไฟอาบยาพิษหมื่นดอก, และปืนใหญ่สามพันสองหมื่นกระบอก (ดินปืนที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงที่มีหนามเหล็กรอบๆ)

ในปี 1044 เซิงกงเหลียงเขียนสาระสำคัญทั่วไปไว้ในอู้จิ้งซึ่งบันทึกสูตรดินปืนสามชนิดและอาวุธดินปืนหลากหลายชนิดพร้อมภาพประกอบไว้ นี่คือกระบวนการผลิตอาวุธปืนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เมื่อถึงยุคราชวงศ์ซ่งใต้ เทคโนโลยีของอาวุธดินปืนก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ คณบดีเฉินกุ้ยโจว (อันหลู่, หูเป่ย์) เคยเก็บภาษีอาวุธปืนด้วย

ในช่วงกลางและปลายของราชวงศ์ซ่งใต้อาวุธปืนปรากฏขึ้นอีกครั้งและเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอีกขั้น มีการคิดค้นอาวุธปืนรูปหลอดที่มีอิทธิพลกว้างไกล

เมื่อเปลี่ยนกระบอกไม้ไผ่เป็นท่อเหล็กหรือทองแดง, ซินทำจากเหล็กและวัสดุอื่น ๆ (คล้ายกับกระสุน) และจากนั้นดินปืนก็ใช้ความตึงในการระเบิดเพื่อดันรังของตัวดันออกซึ่งเป็นพื้นฐานของปืนไรเฟิลและกระสุนในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเมื่อมีดินปืนก็ต้องมีปืน หลักการของการระเบิดจะเหมือนกัน เมื่อราชวงศ์ซ่งทำลายราชวงศ์ถังใต้และยึดจินหลิงได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ปืนในการเล่นหมากรุกจีนซึ่งทำให้ราชวงศ์ซ่งเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ “อาวุธปืน”

ตามประวัติที่เธอรู้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องใช้เวลานาน แต่นี่เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก่อนที่ทั้งสองดินแดนจะมาเยือน ดังนั้นเวลาอาจจะไม่พอ ถ้าเป็นอย่างงั้นเธอก็ควรที่จะสร้างอาวุธสำเร็จพวกนี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะไปถึงห้องทำงานของจิ่วหยวน เธอก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่ถนน สีหน้าของผู้นำเย็นชาและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นชุดของตระกูลราชวงศ์ ถ้าเธอเดาไม่ผิด เขาจะต้องเป็นพี่ชายของจิ่วหยวนแน่ๆ หนึ่งในบรรดาองค์ชาย

มู่หรงค่อยๆเก็บภาพวาดเข้าไปด้านในของแขนเสื้อ หยุดเดินและค่อยๆถอยหลังกลับ ตั้งใจว่าจะให้คนที่อยู่เบื้องหน้าเดินผ่านไปก่อน

“กล้าดียังไงถึงได้ไม่คุกเข่าเวลาที่เจอองค์ชาย!” เสียงคมดังออกมา

มู่หรงหันไปมอง จากสายตาดูแล้วน่าจะเป็นขันที แต่ไม่มีทางที่เธอจะคุกเข่าลง!

เฟิงจือหลิงรีบเข้ามายืนเบื้องหน้ามู่เทียน กำมีดในมือแน่นและมองไปที่คนที่อยู่เบื้องหน้า

“ทหาร จับชายสองคนนี้!” น้ำเสียงที่เปล่งออกมายิ่งดุดันมากขึ้นไปอีก

เฟิงจือหลิงรีบดึงมีดออกมาในทันที

“เดี๋ยวก่อน!” ในตอนนี้ชายที่เป็นผู้นำ ที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายโบกมือเพื่อห้ามเหล่าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆเขา

ขันทีที่อยู่ถัดจากองค์ชายโค้งตัวและถอยหลังกลับไป

“เจ้าเป็นใคร?” ท่าทางสูงส่งขององค์ชายไม่ได้เบาลงเลย เขาเดินตรงเข้าไปหามู่หรงเสวี่ยและถามออกมา

“ก็แค่คนธรรมดา!” มู่หรงตอบเสียงเบา

องค์ชายมองคนทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้า และในหัวใจก็มีความคิดมากมาย ผู้ชายทั้งสองคนนี้ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าที่จะเป็นคนธรรมดาแน่ๆ

“พี่ฮวง! มาที่นี่ได้ยังไง?” จิ่วหยวนที่รีบเดินเข้ามาจากระยะไกลพูดออกมา

“อะไร?! ข้าจะแวะมาหน่อยไม่ได้หรือไง?” องค์ชายถาม

“ข้าก็แค่ล้อเล่น แต่นี่มันก็ดึกไปหน่อยที่จะแวะมา มาเถอะ เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ!” จิ่วหยวนยืนขวางระหว่างมู่เทียนและองค์ชายไว้ กั้นสายตาขององค์ชายและรีบเชิญองค์ชายอย่างอบอุ่นเพื่อให้เข้าไปในห้อง

“เดี๋ยวสิ!” องค์ชายองค์ชายผลักเขาออกเล็กน้อย

รอยยิ้มที่สีหน้าของจิ่วหยวนสะดุดเล็กน้อย

“ตำหนักของจักรพรรดิมีแขกตั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมข้าถึงไม่เจอเด็กน่ารักแบบนี้ที่คฤหาสน์เลยล่ะ?” องค์ชายค่อยๆเดินผ่านจิ่วหยวนและเดินไปหามู่หรงเสวี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่แบนราบ เขาก็คงจะไม่เชื่อว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าจะสวยได้ราวกับดอกไมร์เทิลเครปขนาดนี้

“สองคนนี้เป็นเพื่อนของข้าเอง พวกเขาไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่อะไร พวกเราก็แค่บังเอิญเจอกันตอนที่ข้าออกไปข้างนอกครั้งที่แล้ว ข้าก็เลยเชิญพวกเขามาที่คฤหาสน์ พวกเขาไม่ใช่คนจากราชวงศ์อะไร ก็เลยไม่เข้าใจเรื่องธรรมเนียมของราชวงศ์ อย่าถือสาเลยนะ เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่านะ สองคนนี้ก็แค่คนธรรมดาและองค์ชายไม่จำเป็นต้องไปสนใจอะไรกันมากหรอกนะ!” มือจิ่วหยวนที่อยู่ด้านหลังค่อยๆกำแน่นแต่สีหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ซึ่งดูราวกับว่ามู่เทียนและเฟิงจือหลิงไม่คู่ควรที่จะพูดถึงอะไร

มู่เทียนและเฟิงจือหลิงยืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้แสดงท่าทางอ่อนน้อมหรืออวดดีอะไร ซึ่งทำให้รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่เป็นอิสระและมีเกียรติและนี่ก็ยิ่งทำให้องค์ชายสนใจมากขึ้นไปอีก

“อ่า! เจ้าผิดแล้วล่ะ ข้าสนใจพวกเขาทั้งสองคนอย่างมากเลยล่ะ เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าเชิญพวกเจ้าไปที่ตำหนักข้าในฐานะแขก?” พัดที่พับอยู่ในมือขององค์ชายตีไปที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆและหันหัวมาพูดกับจิ่วหยวน

จิ่วหยวนแสดงสีหน้าเล็กน้อย “ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไปสร้างปัญหาให้ได้นะ…”

“ไม่เป็นไร ยังไงซะที่ตำหนักข้าก็เงียบเหงา ถ้าได้ต้อนรับคนทั้งสองนี้ก็คงจะดี! ข้าชื่อจิ่วฮวง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าชื่ออะไรกัน?” จิ่วฮวงถาม

มู่หรงมองไปที่จิ่วหยวนแล้วจึงตอบออกมา “มู่เทียน!”

“เฟิงจือหลิง!” เขาเก็บมีดที่อยู่ในมือและตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มู่หรงเสวี่ยไม่ชอบสังคมศักดินา ระบบจักรพรรดิที่ครองโลกอะไรแบบนี้ โชคดีที่จิ่วหยวนไม่ได้บอกให้พวกเธอคุกเข่า ไม่งั้นพวกเธอคงเข้ากับจิ่วหยวนได้ไม่ดีขนาดนี้ แต่ถ้าพูดถึงองค์ชายคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้วดูจะไม่ค่อยดีเท่าไร และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเขาเชิญพวกเธอทั้งสองคนทำไม?!

“พวกเจ้าจะมาเยี่ยมที่ตำหนักของข้า บังเอิญว่าข้าอยากที่จะฟังพวกเจ้าสองคนเล่าถึงอะไรหลายอย่างข้างนอกบ้าง ในฐานะองค์ชาย ข้าแทบจะไม่มีโอกาสได้ออกไปดูโลกภายนอกเลย ซึ่งข้าอยากที่จะออกไปมากจริงๆ พวกเจ้ารังเกียจที่จะเล่าให้ข้าฟังหน่อยไหม?” ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่การบุกรุกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการคุกคาม

ในตอนนี้ จิ่วหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างและพูดออกมา “ท่านพี่ ตำหนักของท่านอยู่ในวัง มันคงไม่ดีเท่าไรที่จะให้คนนอกเข้าไปข้างใน…”

ตำหนักฝั่งตะวันออกขององค์ชายอยู่ด้านในของวัง ถึงแม้จะอยู่ห่างจากตำหนักหลักของท่านพ่อแต่ยังไงก็ยังอยู่ในวังอยู่ดี ปกติแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพระราชวังแถมยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาอยู่ทุกที่ด้วย ถ้าสองคนนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง ถึงแม้เขาอยากที่จะปกป้องพวกเขาแต่ก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ

“ก็แค่แขกสองคนเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ก็แค่คุยกันเฉยๆเอง ข้าไม่ทำให้เพื่อนของเจ้าลำบากใจหรอกน่า ถ้าเจ้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของวัง มันก็ไม่ใช่อะไรที่จำเป็นเลยนะ ข้าดูแลเรื่องนี้เองได้!” จิ่วฮวงพูดเสียงเบา สองคนนี้ทำให้เขารู้สึกอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของสองคนนี้เลย? อีกอย่าง น้องชายของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นห่วงสองคนนี้อย่างมากด้วย

“ต้องขอบคุณความมีน้ำใจขององค์ชายด้วย แต่พวกเราสองคนคงไม่กล้าที่จะเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเขตพระราชวงศ์หรอก ถ้าองค์ชายอยากที่จะฟังเรื่องของโลกภายนอก ท่านก็สามารถแวะมาได้ตลอดเวลา พวกเรายินดีที่จะเล่าให้ องค์ชายฟังทั้งคืนเลย” มู่หรงโค้งตัวและพูดออกมา

“โอ้?! ผู้ชายที่ดูหยาบคายแต่ทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้ล่ะ?! ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคนคงไม่ใช่คนธรรมแล้วล่ะ พวกเจ้ามาจากดินแดนอื่นหรือเปล่า?” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชา

“ไม่ใช่แบบนั้นเลย! พวกเราไม่ได้มาจากดินแดนอื่นแน่ๆ!” แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ดินแดนหิมะด้วยเหมือนกัน

“โอ้!” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อ “งั้นในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากที่จะไป ข้าก็ไม่อยากที่จะบังคับอะไรแต่ก็ไว้คุยกันใหม่ครั้งหน้าแล้วกัน! น้องหยวน เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

“ได้เลยท่านพี่!” จิ่วหยวนพูดและเดินนำจิ่วฮวงเข้าไปที่ตำหนัก ในระหว่างนั้นก็โบกมือไปทางคนทั้งสองเพื่อบอกให้พวกเขารีบกลับไปที่ห้อง

จิ่วหยวนไม่คิดว่าอยู่ดีๆองค์ชายจะแวะมาแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงจะบอกมู่เทียนให้อยู่แต่ในห้อง เมื่อพูดถึงองค์ชายฮวงแล้ว เขาเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาพี่น้อง หลายปีที่ผ่านมา องค์ชายและพี่ชายต่างก็ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากเหล่าขุนนาง และพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถที่จะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ในอีกไม่กี่ปีด้วย

มู่เทียนและเฟิงจือหลิงรีบตรงกลับไปที่ห้องของพวกเขา อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนของยุคนี้มากนัก ยังไงซะพวกเธอก็ไม่ใช่คนจากยุคนี้ ยกเว้นก็แต่จิ่วหยวน

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็รู้ดีว่าองค์ชายตั้งใจที่จะให้พวกเธอเข้าไปในวัง และคิดว่าพวกเธอก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ด้วยและคงจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไปด้วยแล้ว

ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ พวกเธอก็ไม่อยากที่จะเปิดเผยเรื่องมิติลับ!

“ข้าคิดว่าองค์ชายจะต้องคอยจับตาเรื่องพวกเราแน่ๆเลย ว่าไหม?” มู่หรงกลับมาที่ห้องและพูดออกมา

“มันก็เป็นเรื่องปกตินะ มู่เทียนอย่าไปสนใจเรื่องนี้มากเลย ในเมื่อเราเลือกที่จะช่วยจิ่วหยวนให้ขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วต่อให้เราต้องเจอกับสมาชิกคนอื่นของราชวงศ์!” เฟิงจือหลิงพูดปลอบใจ

“เจ้าก็พูดถูก! ต่อไปเราต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ ว่าแต่ออกไปหาข่าวข้างนอกกันเถอะ” มู่หรงพูด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+