ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 298 การกลับมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 298 การกลับมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 298

การกลับมา

“ได้!” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

หวังฉิงตกตะลึง

อย่างไรก็ตามองครักษ์หยุดหวังฉิงไว้ทันทีพร้อมทั้งพูดออกมา “ผู้ปกครองแห่งดินแดนต้องการที่จะพบเพียงท่านหญิงท่านนี้เท่านั้น!”

สีหน้าของหวังฉิงเครียดไปและที่มือก็กำด้ามดาบไว้แน่น สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่ช้าไม่นานเขาจะต้องเข้าไปในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนให้ได้

“ข้าจะเข้าไปคนเดียว เจ้ากลับไปก่อนได้เลย” มู่หรงเสวี่ยพูดกับหวังฉิง

“ฮึม!” หวังฉิงวางมือลงและเดินไปอีกฝั่ง เขาไม่ได้กลัวว่ามู่เทียนจะหนีหรอก ยังไงซะเฟิงจือหลิงก็ยังอยู่ในมือเขา

มุ่หรงเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับองครักษ์

คฤหาสน์ที่นี่เหมือนกับที่เธอคิดไว้ มีองค์ประกอบสมัยใหม่อยู่ในทุกที่ สวนด้านหลังสไตล์ยุโรปดูผ่อนคลายอย่างมาก บ้านด้านในเองก็ทำด้วยซีเมนต์ซึ่งต่างจากบ้านไม้ของยุคนี้เล็กน้อย ตัวบ้านดูใหม่อย่างมากและดูเหมือนว่าเพิ่งจะถูกสร้างมาได้ไม่นาน

ไม่ไกลจากสวนด้านหลังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่

“ถึงแล้วขอรับ!” องครักษ์พูด

มู่หรงมองไปรอบๆ อยากที่จะถามว่าเขาอยู่ไหนล่ะ?! มีผู้ชายเดินขึ้นมาจากสระ โป๊ด้วย!

“นายท่านของเรากำลังว่ายน้ำอยู่ ท่านนั่งรอตรงนี้ก็ได้!” องครักษ์จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยและประเมินเธออยู่ในใจ นายท่านยอมที่จะพบเด็กสาวแบบนี้ได้ยังไง? เมื่อกี้เขาถามนายท่านว่าจะให้พาเธอไปรอที่ห้องรับรองหรือเปล่า แต่นายท่านบอกว่าไม่ต้องแต่ให้พาตรงมาที่นี่เลย

เด็กสาวเองก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเห็นร่างกายของผู้ชายโป๊แต่สีหน้าของเธอกลับไม่เปลี่ยนอะไร เป็นผู้หญิงจากซ่องหรือไงถึงได้กล้าหาญขนาดนี้

งานอดิเรกของผู้ปกครองก็แปลก เขาชอบที่จะว่ายน้ำตลอดเลย เขาจะต้องว่ายน้ำอยู่ทุกวันด้วย!

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและเดินไปนั่งที่เก้าอี้สนามใต้ร่มไม้ที่อยู่ข้างๆสระว่ายน้ำ ผู้ปกครองของเมืองนี้ว่ายน้ำอย่างเพลิดเพลินและไม่รู้สึกเขินอะไรเลยสักนิด เมื่อกี้เธอได้เห็นเรือนร่างของเขาแล้วซึ่งก็น่าแปลก มันดูไม่เหมือนกับใครที่เธอรู้จักเลย

ท่านลอร์ดหลินหยางว่ายน้ำกลับไปกลับมา แล้วก็เดินมาที่ฝั่ง องครักษ์ก็รีบหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเข้าไปให้ทันที เขาบิดน้ำออกจากผมของตัวเองแล้วก็เช็ดด้วยผ้าขนหนู และเมื่อสวมเสื้อคลุมเขาก็เดินตรงมาหามู่หรงเสวี่ย

ในระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา หลินหยางเองก็มองมาที่เธอด้วย อย่างไรก็ตามหน้าตาของมู่หรงเสวี่ยตอนนี้ไม่ได้ดีเท่าไร เพราะเรื่องผิดพลาดก่อนหน้านี้ ที่หน้าของเธอยังมีผ้าพันแผลปิดอยู่ซะส่วนใหญ่

“จดหมายเป็นของเจ้างั้นเหรอ?” หลินหยางถาม

มู่หรงพยักหน้า “เจ้ามาจากที่นั่นงั้นเหรอ?” เธอไม่ได้พูดออกไปตรงๆเพราะรอบๆมีองครักษ์อยู่มากมาย

หลินหยางโบกมือ “ทุกคนไปแล้วได้!”

ทันใดนั้นองครักษ์ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็ค่อยๆถอยหลังออกไปทีละก้าว

“อะไร? มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นเหรอ?” หลินหยางถาม อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาเคยออกตามหาคนที่มาจากโลกเดียวกับเขาแต่ก็ไม่เจออะไร ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาคงเป็นคนเดียวที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เขาเคยคิดแบบนั้น

หลินหยางใช้ความรู้ที่เหนือกาลเวลาเพื่อตั้งหลักในพื้นที่ที่ไม่มีใครสนใจนี้ พูดตามตรงตอนนี้เขาไม่อยากที่จะเจอคนที่มาจากโลกเดียวกันแล้วเพราะนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายก็จะต้องมีความรู้ที่เหมือนกับเขา

ตอนที่เขาเห็นจดหมาย เขาคิดว่าจะเป็นผู้ชายแต่ไม่คิดเลยว่าคนที่เข้ามาจะเป็นผู้หญิง

เขายังคิดอยู่ว่าจะฆ่าอีกฝ่ายดีหรือเปล่า เพื่อที่ความเป็นเจ้าผู้ครองโลกจะได้เป็นของเขาคนเดียว

“มีบางเรื่อง!” มู่หรงเสวี่ยยังคิดอยู่ว่าจะพูดยังไง

ถึงแม้ความเป็นมิตรของอีกฝ่ายจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความเกลียดชังอะไร

หลินหยางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆมู่หรง แล้วไขว่ห้าง “พูดมา!”

“เจ้าอยากที่จะครองโลกงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปตรงๆ

สายตาของหลินหยางเย็นชา “ทำไม? เจ้าสนใจงั้นเหรอ?” ในใจกำลังคิดและประเมินอยู่ว่าจะจัดการกับมู่หรงยังไง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนั้นหรอกและข้าก็ไม่ได้ช่วยใครอยู่ด้วย ข้ามีบางอย่างที่ต้องการให้เจ้าช่วย” มู่หรงพูดเสียงเบา

“เจ้าคิดว่าจะบังคับข้าได้งั้นเหรอ? ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าเพิ่งมาถึงโลกนี้” เขาเคยส่งคนออกไปคอยดูเรื่องคนแปลกๆแต่ไม่มีข่าวอะไรเลย

“เจ้าถามว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้าไม่ใช่หรือไง?”

“ข้าไม่คิดว่าข้าอยากที่จะรู้ อีกอย่างเจ้ากล้าดียังไงถึงเข้ามาที่นี่คนเดียว? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าออกไปง่ายๆงั้นเหรอ?” คำพูดของหลินหยางเปล่งรังสีอำมหิตออกมาแต่ท่าทางของเขากลับดูเยือกเย็นอย่างมาก

ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้ากันได้ เธอเห็นการจัดการของดินแดนเฮ่ยเฉิงแล้วและคิดว่าผู้นำของดินแดนนี้เป็นผู้นำที่ดี ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะมาเจอเขา ถ้าลอร์ดของดินแดนนี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา เธอก็คงจะไม่เข้ามาตั้งแต่แรก

“แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะขังข้าไว้ได้” มู่หรงไม่สนใจคำขู่ของเขาและพูดออกไปอย่างสบายๆ

หลินหยางหยิบปืนพกออกมาทันทีและจ่อไปที่หน้าผากของมู่หรงเสวี่ย “ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าขังเจ้าไว้ที่นี่ได้นานเลยล่ะ!”

มู่หรงยิ้มและหายแวบเข้าไปในมิติลับทันที

ดวงตาของหลินหยางเบิกกว้างและหันไปรอบๆเพื่อมองหาร่างของมู่หรงเสวี่ย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ร้องออกมาด้วยความโกรธ “ออกมานะ!”

จากในมิติลับมู่หรงเสวี่ยสามารถเห็นปฏิกิริยาของ หลินหยางได้แต่เธอยังไม่คิดที่จะออกไปในตอนนี้ เธอจะต้องสร้างอะไรบางอย่างเพื่อป้องกันตัวเอง หลังจากที่ออกมาเธอจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ เธอรู้สึกว่ายิ่งสวยมากเท่าไรก็จะยิ่งปลอดภัย

อย่างแรกเลยเธอแกะผ้าพันแผลออกจากหน้า มองไปที่ใบหน้าที่เสียโฉมของตัวเองและหัวเราะกับตัวเอง ถ้าฮวงฟูอี้อยู่ที่นี่ เขาก็คงจะไม่ยอมให้เธอทำร้ายตัวเองแบบนี้แน่ๆ บางทีเขาน่าจะโกรธเธอไปนานเลย ตอนนี้เธอคิดถึงเขามากและอยากที่จะเจอเขาจริงๆ

เธอกลืนยารักษาบาดแผลเข้าไปแล้วใบหน้าของเธอก็ค่อยๆรักษาบาดแผล แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองต้องเสียโฉมหรอก ยังไงซะต่อหน้าฮวงฟูอี้เธอก็ไม่อยากที่จะมีความผิดพลาดอะไร บาดแผลค่อยๆรักษาตัวเองด้วยความเร็วที่มองเห็นได้และบาดแผลก็ค่อยๆเล็กลง

มู่หรงดึงพลังแห่งจิตวิญญาณกลับมาแล้วเดินเข้าไปที่หอคอย เสี่ยวไป๋กำลังหันหลังอยู่ ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่?!

เธอยื่นมือออกไป ยกมันขึ้นมาและถามออกไป “เสี่ยวไป๋ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”

อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าใบหน้าของเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที “เสี่ยวไป๋ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เม็ดเหงื่อของเสี่ยวไป๋ยังผุดออกมาอย่างต่อเนื่องจนขนสีขาวของมันเปียกชุ่มและกระจุกกันเป็นก้อน ซึ่งดูแล้วน่าจะเจ็บอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยรีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อที่จะตรวจอาการของเสี่ยวไป๋แล้วก็พบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเสี่ยวไป๋กำลังแผลงฤทธิ์และพยายามที่จะออกมาจากร่างของเสี่ยวไป๋

นี่มันน่ากลัวพอแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือมู่หรงเสวี่ยเห็นอักษรรูนแปลกๆที่สนามพลังของเสี่ยวไป๋และไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันปล่อยหมอกสีดำที่รุนแรงออกมา เธอหลบพลังจิตที่พุ่งออกมาและอยากที่จะตรวจสอบอักษรรูน แต่เมื่อเธอแตะไปที่มัน พลังแห่งจิตวิญญาณขนาดใหญ่ก็พุ่งมาที่มู่หรงเสวี่ยในทิศทางตรงกันข้ามก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้ตอบโต้

“ฟุบ!”

มู่หรงถูกพลังแห่งจิตวิญญาณโจมตีโดยตรงจนกระเด็นห่างออกไปสองสามเมตรและที่ปากก็กระอักเลือดออกมาทันที เธอไม่สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บหรือความเจ็บปวดของตัวเองแต่กลับวิ่งไปหาเสี่ยวไป๋ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ท่าทางของเสี่ยวไป๋ดูผิดแปลกไปอย่างมากราวกับว่ามันถูกปีศาจครอบงำ

“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋…” เธอร้องเรียกด้วยความกังวล

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป๋ดูเหมือนจะขาดสติไปแล้วและไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น พลังแห่งจิตวิญญาณที่เพิ่งจะแตกกระจายเมื่อกี้ดูเหมือนจะออกจากร่างของเขาไปแล้ว มู่หรงรีบเอายารักษาในระดับสูงออกมาด้วยความกังวลพร้อมด้วยนิ้วที่อ้าเปิดฟันที่ปิดแน่นของเสี่ยวไป๋ออกแล้วป้อนยาที่อยู่ในมือลงไปให้มันกลืนเข้าไป

อย่างไรก็ตามไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแต่กลับกลายเป็นอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ

วิญญาณของมู่หรงเองก็สั่นอย่างเจ็บปวด มู่หรงรู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดของเสี่ยวไป๋

จู่ๆมู่หรงก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบวิ่งออกไปนอกหอคอยไปยังสวนสมุนไพรเพื่อหาดอกไม้หลายสีที่ชวนเวียนหัวที่เธอไม่รู้จัก

เธอเคยเห็นดอกไม้แบบนี้ในภาพที่กำแพงหินในม่านน้ำตก มันถูกวาดไว้ว่าถ้ามีอสูญแห่งจิตวิญญาณให้เด็ดดอกไม้ขึ้นมาและกินเข้าไป

ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เธอจะได้ลองดู ไม่งั้นเสี่ยวไป๋คงจะต้องตาย มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่เด็ดไปมากกว่านี้ หลังจากที่เด็ดมาเพียงแค่ดอกเดียว เธอก็กลับไปที่หอคอยเก้าชั้น

ไม่กล้าที่จะเสียเวลาแม้สักนิดและรีบใส่กลีบดอกไม้เข้าไปในปากของเสี่ยวไป๋โดยตรง

การมองเห็นของเสี่ยวไป๋ค่อยๆเปลี่ยนไปและชีพจรที่เต้นรัวก็ค่อยๆเบาลง

มู่หรงเสวี่ยมีความสุขมากที่สิ่งที่เธอคิดไม่สูญเปล่า ทันทีที่เธอกำลังจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อเด็ดดอกไม้มาเพิ่มให้ เสี่ยวไป๋ เธอก็เห็นว่าร่างของเสี่ยวไป๋เริ่มที่จะเปล่งแสงจ้า โดยมีเสี่ยวไป๋เป็นศูนย์กลาง มันเริ่มที่จะเปล่งรังศีแสงสีทองออกมาเรื่อยๆแล้วมันก็ถูกปกคลุมด้วยบาร์เรียที่มองไม่เห็น

มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะกะพริบตาเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวไป๋

ลำแสงสีทองดูจะพร่ามัวเล็กน้อย มู่หรงเสวี่ยไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน เธอเข้าไปใกล้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดในวิญญาณของเธอจางหายไปแล้ว งั้นอย่างน้อยตอนนี้เสี่ยวไป๋ก็ไม่อยู่ในอันตรายแล้ว

เมื่อเวลาผ่านไป ลำแสงสีทองก็ค่อยๆจางลง

อย่างไรก็ตาม ภาพเหตุการณ์ข้างในก็ทำให้มู่หรงต้องเบิกตากว้าง แล้ววินาทีต่อมาก็ต้องหันมองไปรอบๆ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

ในบาร์เรียสีทองคือผู้ชายร่างกายเปลือยเปล่า เขาค่อยๆลืมตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีทองทรงเสน่ห์ของเขาดูเหมือนจะมีร่องรอยของความสับสนอยู่ด้วย วินาทีต่อมา จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นและกระโดดราวกับคนบ้า “โอ้ ตัวข้ากลับมาแล้ว ลัลลา ลัลลา!”

เมื่อเห็นมู่หรงเขาก็เข้ามากอด แขนที่แข็งแรงและ ทรงพลังอุ้มมู่หรงขึ้นและหมุ่นไปรอบๆ! “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้ากลับมาแล้ว!”

“วางข้าลง วางข้าลง!” มู่หรงเริ่มที่จะเวียนหัว ปัญหาคือเธอไม่กล้าที่จะลืมตาจึงหลับตาแน่นเพราะกลัวว่าจะต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น

หลังจากที่ดีใจอยู่นาน เสี่ยวไป๋ก็วางมู่หรงเสวี่ยลงและถามว่า “ทำไมเจ้าต้องหลับตาด้วยล่ะ?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 298 การกลับมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 298 การกลับมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 298

การกลับมา

“ได้!” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

หวังฉิงตกตะลึง

อย่างไรก็ตามองครักษ์หยุดหวังฉิงไว้ทันทีพร้อมทั้งพูดออกมา “ผู้ปกครองแห่งดินแดนต้องการที่จะพบเพียงท่านหญิงท่านนี้เท่านั้น!”

สีหน้าของหวังฉิงเครียดไปและที่มือก็กำด้ามดาบไว้แน่น สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่ช้าไม่นานเขาจะต้องเข้าไปในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนให้ได้

“ข้าจะเข้าไปคนเดียว เจ้ากลับไปก่อนได้เลย” มู่หรงเสวี่ยพูดกับหวังฉิง

“ฮึม!” หวังฉิงวางมือลงและเดินไปอีกฝั่ง เขาไม่ได้กลัวว่ามู่เทียนจะหนีหรอก ยังไงซะเฟิงจือหลิงก็ยังอยู่ในมือเขา

มุ่หรงเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับองครักษ์

คฤหาสน์ที่นี่เหมือนกับที่เธอคิดไว้ มีองค์ประกอบสมัยใหม่อยู่ในทุกที่ สวนด้านหลังสไตล์ยุโรปดูผ่อนคลายอย่างมาก บ้านด้านในเองก็ทำด้วยซีเมนต์ซึ่งต่างจากบ้านไม้ของยุคนี้เล็กน้อย ตัวบ้านดูใหม่อย่างมากและดูเหมือนว่าเพิ่งจะถูกสร้างมาได้ไม่นาน

ไม่ไกลจากสวนด้านหลังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่

“ถึงแล้วขอรับ!” องครักษ์พูด

มู่หรงมองไปรอบๆ อยากที่จะถามว่าเขาอยู่ไหนล่ะ?! มีผู้ชายเดินขึ้นมาจากสระ โป๊ด้วย!

“นายท่านของเรากำลังว่ายน้ำอยู่ ท่านนั่งรอตรงนี้ก็ได้!” องครักษ์จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยและประเมินเธออยู่ในใจ นายท่านยอมที่จะพบเด็กสาวแบบนี้ได้ยังไง? เมื่อกี้เขาถามนายท่านว่าจะให้พาเธอไปรอที่ห้องรับรองหรือเปล่า แต่นายท่านบอกว่าไม่ต้องแต่ให้พาตรงมาที่นี่เลย

เด็กสาวเองก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเห็นร่างกายของผู้ชายโป๊แต่สีหน้าของเธอกลับไม่เปลี่ยนอะไร เป็นผู้หญิงจากซ่องหรือไงถึงได้กล้าหาญขนาดนี้

งานอดิเรกของผู้ปกครองก็แปลก เขาชอบที่จะว่ายน้ำตลอดเลย เขาจะต้องว่ายน้ำอยู่ทุกวันด้วย!

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและเดินไปนั่งที่เก้าอี้สนามใต้ร่มไม้ที่อยู่ข้างๆสระว่ายน้ำ ผู้ปกครองของเมืองนี้ว่ายน้ำอย่างเพลิดเพลินและไม่รู้สึกเขินอะไรเลยสักนิด เมื่อกี้เธอได้เห็นเรือนร่างของเขาแล้วซึ่งก็น่าแปลก มันดูไม่เหมือนกับใครที่เธอรู้จักเลย

ท่านลอร์ดหลินหยางว่ายน้ำกลับไปกลับมา แล้วก็เดินมาที่ฝั่ง องครักษ์ก็รีบหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเข้าไปให้ทันที เขาบิดน้ำออกจากผมของตัวเองแล้วก็เช็ดด้วยผ้าขนหนู และเมื่อสวมเสื้อคลุมเขาก็เดินตรงมาหามู่หรงเสวี่ย

ในระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา หลินหยางเองก็มองมาที่เธอด้วย อย่างไรก็ตามหน้าตาของมู่หรงเสวี่ยตอนนี้ไม่ได้ดีเท่าไร เพราะเรื่องผิดพลาดก่อนหน้านี้ ที่หน้าของเธอยังมีผ้าพันแผลปิดอยู่ซะส่วนใหญ่

“จดหมายเป็นของเจ้างั้นเหรอ?” หลินหยางถาม

มู่หรงพยักหน้า “เจ้ามาจากที่นั่นงั้นเหรอ?” เธอไม่ได้พูดออกไปตรงๆเพราะรอบๆมีองครักษ์อยู่มากมาย

หลินหยางโบกมือ “ทุกคนไปแล้วได้!”

ทันใดนั้นองครักษ์ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็ค่อยๆถอยหลังออกไปทีละก้าว

“อะไร? มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นเหรอ?” หลินหยางถาม อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาเคยออกตามหาคนที่มาจากโลกเดียวกับเขาแต่ก็ไม่เจออะไร ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาคงเป็นคนเดียวที่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เขาเคยคิดแบบนั้น

หลินหยางใช้ความรู้ที่เหนือกาลเวลาเพื่อตั้งหลักในพื้นที่ที่ไม่มีใครสนใจนี้ พูดตามตรงตอนนี้เขาไม่อยากที่จะเจอคนที่มาจากโลกเดียวกันแล้วเพราะนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายก็จะต้องมีความรู้ที่เหมือนกับเขา

ตอนที่เขาเห็นจดหมาย เขาคิดว่าจะเป็นผู้ชายแต่ไม่คิดเลยว่าคนที่เข้ามาจะเป็นผู้หญิง

เขายังคิดอยู่ว่าจะฆ่าอีกฝ่ายดีหรือเปล่า เพื่อที่ความเป็นเจ้าผู้ครองโลกจะได้เป็นของเขาคนเดียว

“มีบางเรื่อง!” มู่หรงเสวี่ยยังคิดอยู่ว่าจะพูดยังไง

ถึงแม้ความเป็นมิตรของอีกฝ่ายจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความเกลียดชังอะไร

หลินหยางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆมู่หรง แล้วไขว่ห้าง “พูดมา!”

“เจ้าอยากที่จะครองโลกงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปตรงๆ

สายตาของหลินหยางเย็นชา “ทำไม? เจ้าสนใจงั้นเหรอ?” ในใจกำลังคิดและประเมินอยู่ว่าจะจัดการกับมู่หรงยังไง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนั้นหรอกและข้าก็ไม่ได้ช่วยใครอยู่ด้วย ข้ามีบางอย่างที่ต้องการให้เจ้าช่วย” มู่หรงพูดเสียงเบา

“เจ้าคิดว่าจะบังคับข้าได้งั้นเหรอ? ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าเพิ่งมาถึงโลกนี้” เขาเคยส่งคนออกไปคอยดูเรื่องคนแปลกๆแต่ไม่มีข่าวอะไรเลย

“เจ้าถามว่าข้าต้องการอะไรจากเจ้าไม่ใช่หรือไง?”

“ข้าไม่คิดว่าข้าอยากที่จะรู้ อีกอย่างเจ้ากล้าดียังไงถึงเข้ามาที่นี่คนเดียว? เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าออกไปง่ายๆงั้นเหรอ?” คำพูดของหลินหยางเปล่งรังสีอำมหิตออกมาแต่ท่าทางของเขากลับดูเยือกเย็นอย่างมาก

ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้ากันได้ เธอเห็นการจัดการของดินแดนเฮ่ยเฉิงแล้วและคิดว่าผู้นำของดินแดนนี้เป็นผู้นำที่ดี ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะมาเจอเขา ถ้าลอร์ดของดินแดนนี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา เธอก็คงจะไม่เข้ามาตั้งแต่แรก

“แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะขังข้าไว้ได้” มู่หรงไม่สนใจคำขู่ของเขาและพูดออกไปอย่างสบายๆ

หลินหยางหยิบปืนพกออกมาทันทีและจ่อไปที่หน้าผากของมู่หรงเสวี่ย “ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าขังเจ้าไว้ที่นี่ได้นานเลยล่ะ!”

มู่หรงยิ้มและหายแวบเข้าไปในมิติลับทันที

ดวงตาของหลินหยางเบิกกว้างและหันไปรอบๆเพื่อมองหาร่างของมู่หรงเสวี่ย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ร้องออกมาด้วยความโกรธ “ออกมานะ!”

จากในมิติลับมู่หรงเสวี่ยสามารถเห็นปฏิกิริยาของ หลินหยางได้แต่เธอยังไม่คิดที่จะออกไปในตอนนี้ เธอจะต้องสร้างอะไรบางอย่างเพื่อป้องกันตัวเอง หลังจากที่ออกมาเธอจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ เธอรู้สึกว่ายิ่งสวยมากเท่าไรก็จะยิ่งปลอดภัย

อย่างแรกเลยเธอแกะผ้าพันแผลออกจากหน้า มองไปที่ใบหน้าที่เสียโฉมของตัวเองและหัวเราะกับตัวเอง ถ้าฮวงฟูอี้อยู่ที่นี่ เขาก็คงจะไม่ยอมให้เธอทำร้ายตัวเองแบบนี้แน่ๆ บางทีเขาน่าจะโกรธเธอไปนานเลย ตอนนี้เธอคิดถึงเขามากและอยากที่จะเจอเขาจริงๆ

เธอกลืนยารักษาบาดแผลเข้าไปแล้วใบหน้าของเธอก็ค่อยๆรักษาบาดแผล แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองต้องเสียโฉมหรอก ยังไงซะต่อหน้าฮวงฟูอี้เธอก็ไม่อยากที่จะมีความผิดพลาดอะไร บาดแผลค่อยๆรักษาตัวเองด้วยความเร็วที่มองเห็นได้และบาดแผลก็ค่อยๆเล็กลง

มู่หรงดึงพลังแห่งจิตวิญญาณกลับมาแล้วเดินเข้าไปที่หอคอย เสี่ยวไป๋กำลังหันหลังอยู่ ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่?!

เธอยื่นมือออกไป ยกมันขึ้นมาและถามออกไป “เสี่ยวไป๋ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”

อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าใบหน้าของเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที “เสี่ยวไป๋ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เม็ดเหงื่อของเสี่ยวไป๋ยังผุดออกมาอย่างต่อเนื่องจนขนสีขาวของมันเปียกชุ่มและกระจุกกันเป็นก้อน ซึ่งดูแล้วน่าจะเจ็บอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยรีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อที่จะตรวจอาการของเสี่ยวไป๋แล้วก็พบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเสี่ยวไป๋กำลังแผลงฤทธิ์และพยายามที่จะออกมาจากร่างของเสี่ยวไป๋

นี่มันน่ากลัวพอแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือมู่หรงเสวี่ยเห็นอักษรรูนแปลกๆที่สนามพลังของเสี่ยวไป๋และไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันปล่อยหมอกสีดำที่รุนแรงออกมา เธอหลบพลังจิตที่พุ่งออกมาและอยากที่จะตรวจสอบอักษรรูน แต่เมื่อเธอแตะไปที่มัน พลังแห่งจิตวิญญาณขนาดใหญ่ก็พุ่งมาที่มู่หรงเสวี่ยในทิศทางตรงกันข้ามก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้ตอบโต้

“ฟุบ!”

มู่หรงถูกพลังแห่งจิตวิญญาณโจมตีโดยตรงจนกระเด็นห่างออกไปสองสามเมตรและที่ปากก็กระอักเลือดออกมาทันที เธอไม่สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บหรือความเจ็บปวดของตัวเองแต่กลับวิ่งไปหาเสี่ยวไป๋ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ท่าทางของเสี่ยวไป๋ดูผิดแปลกไปอย่างมากราวกับว่ามันถูกปีศาจครอบงำ

“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋…” เธอร้องเรียกด้วยความกังวล

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป๋ดูเหมือนจะขาดสติไปแล้วและไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น พลังแห่งจิตวิญญาณที่เพิ่งจะแตกกระจายเมื่อกี้ดูเหมือนจะออกจากร่างของเขาไปแล้ว มู่หรงรีบเอายารักษาในระดับสูงออกมาด้วยความกังวลพร้อมด้วยนิ้วที่อ้าเปิดฟันที่ปิดแน่นของเสี่ยวไป๋ออกแล้วป้อนยาที่อยู่ในมือลงไปให้มันกลืนเข้าไป

อย่างไรก็ตามไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแต่กลับกลายเป็นอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ

วิญญาณของมู่หรงเองก็สั่นอย่างเจ็บปวด มู่หรงรู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดของเสี่ยวไป๋

จู่ๆมู่หรงก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบวิ่งออกไปนอกหอคอยไปยังสวนสมุนไพรเพื่อหาดอกไม้หลายสีที่ชวนเวียนหัวที่เธอไม่รู้จัก

เธอเคยเห็นดอกไม้แบบนี้ในภาพที่กำแพงหินในม่านน้ำตก มันถูกวาดไว้ว่าถ้ามีอสูญแห่งจิตวิญญาณให้เด็ดดอกไม้ขึ้นมาและกินเข้าไป

ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เธอจะได้ลองดู ไม่งั้นเสี่ยวไป๋คงจะต้องตาย มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่เด็ดไปมากกว่านี้ หลังจากที่เด็ดมาเพียงแค่ดอกเดียว เธอก็กลับไปที่หอคอยเก้าชั้น

ไม่กล้าที่จะเสียเวลาแม้สักนิดและรีบใส่กลีบดอกไม้เข้าไปในปากของเสี่ยวไป๋โดยตรง

การมองเห็นของเสี่ยวไป๋ค่อยๆเปลี่ยนไปและชีพจรที่เต้นรัวก็ค่อยๆเบาลง

มู่หรงเสวี่ยมีความสุขมากที่สิ่งที่เธอคิดไม่สูญเปล่า ทันทีที่เธอกำลังจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อเด็ดดอกไม้มาเพิ่มให้ เสี่ยวไป๋ เธอก็เห็นว่าร่างของเสี่ยวไป๋เริ่มที่จะเปล่งแสงจ้า โดยมีเสี่ยวไป๋เป็นศูนย์กลาง มันเริ่มที่จะเปล่งรังศีแสงสีทองออกมาเรื่อยๆแล้วมันก็ถูกปกคลุมด้วยบาร์เรียที่มองไม่เห็น

มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะกะพริบตาเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวไป๋

ลำแสงสีทองดูจะพร่ามัวเล็กน้อย มู่หรงเสวี่ยไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน เธอเข้าไปใกล้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดในวิญญาณของเธอจางหายไปแล้ว งั้นอย่างน้อยตอนนี้เสี่ยวไป๋ก็ไม่อยู่ในอันตรายแล้ว

เมื่อเวลาผ่านไป ลำแสงสีทองก็ค่อยๆจางลง

อย่างไรก็ตาม ภาพเหตุการณ์ข้างในก็ทำให้มู่หรงต้องเบิกตากว้าง แล้ววินาทีต่อมาก็ต้องหันมองไปรอบๆ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

ในบาร์เรียสีทองคือผู้ชายร่างกายเปลือยเปล่า เขาค่อยๆลืมตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีทองทรงเสน่ห์ของเขาดูเหมือนจะมีร่องรอยของความสับสนอยู่ด้วย วินาทีต่อมา จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นและกระโดดราวกับคนบ้า “โอ้ ตัวข้ากลับมาแล้ว ลัลลา ลัลลา!”

เมื่อเห็นมู่หรงเขาก็เข้ามากอด แขนที่แข็งแรงและ ทรงพลังอุ้มมู่หรงขึ้นและหมุ่นไปรอบๆ! “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้ากลับมาแล้ว!”

“วางข้าลง วางข้าลง!” มู่หรงเริ่มที่จะเวียนหัว ปัญหาคือเธอไม่กล้าที่จะลืมตาจึงหลับตาแน่นเพราะกลัวว่าจะต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น

หลังจากที่ดีใจอยู่นาน เสี่ยวไป๋ก็วางมู่หรงเสวี่ยลงและถามว่า “ทำไมเจ้าต้องหลับตาด้วยล่ะ?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+