ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 299 ข้าคิดดีแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 299 ข้าคิดดีแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 299

ข้าคิดดีแล้ว

“ไปสวมเสื้อผ้าก่อน! ไอ้โง่เอ๊ย” มู่หรงปิดตาและพูดออกมาโดยไม่หายใจ

เสี่ยวไป๋รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังโป๊อยู่ “โอ้!” เขารีบวิ่งเข้าไปหาเสื้อผ้าใส่ก่อนที่จะกลับออกมา

“เอาละ ลืมตาได้แล้ว” เสี่ยวไป๋พูด

มู่หรงค่อยๆเหล่ตามอง เมื่อเห็นว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงเอามือลง “เจ้าคือเสี่ยวไป๋งั้นเหรอ?”

โลกนี้ช่างลึกลับถึงขนาดที่ว่าสัตว์ก็สามารถที่จะกลายเป็นมนุษย์ได้ มู่หรงเสวี่ยยังสับสนอยู่

“ใช่ ในที่สุดข้าก็ได้คืนร่าง บ้าจริง ก่อนหน้านี้ข้านี่มันอ่อนด้อยจริงๆ ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าเอาอะไรให้ข้ากินงั้นเหรอ?” ถึงแม้ในตอนนั้นความเจ็บปวดจะมากจนแทบทนไม่ได้แต่เขาก็ยังมีสติอยู่นิดหน่อย จึงจำได้รางๆว่ามีคนเอาอะไรมาป้อนให้กินและจู่ๆร่างกายก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาราวกับเศษเสี้ยวที่ฟื้นมาจากเถ้าถ่าน

“เป็นกลีบดอกไม้เจ็ดสีที่อยู่ในสวนสมุนไพรด้านหน้าน่ะ” มุ่หรงพูดแล้วก็มองไปที่ร่างสูงของเสี่ยวไป๋ แล้วจะชินกับเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย เสี่ยวไป๋ดูคล้ายกับคนตะวันตกอยู่หน่อยๆ เขามีผมสีเงินยาวและร่างสูงที่น่าจะเกือบสองเมตรได้ มีดวงตาที่ลึกและจมูกโด่ง “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า? ทำไมถึงกลายเป็นสัตว์แห่งจิตวิญญาณได้ล่ะ?”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย เมื่อกี้เจ้าหมายถึงดอกไม้หลากสีที่อยู่ในสวนสมุนไพรงั้นเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถามและเดินออกไปข้างนอก

มู่หรงเสวี่ยรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? มันค้นตำราสมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในมิติลับแล้วแต่ก็ยังไม่เจอบันทึกหรือโครงสร้างที่เกี่ยวกับดอกไม้เจ็ดสีเลย

ดอกไม้เจ็ดสียังคงเปล่งประกายสียงระยิบระยับอยู่ ล้อมรอบไปด้วยออร่า มันหนาพอที่จะกลั่นเป็นหยดได้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่ามันไม่ธรรมดาเพราะความพิเศษของดอกไม้ชนิดนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงแยกมันออกมาปลูกในพื้นที่โล่งต่างหาก สมุนไพรอื่นๆจะเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาแต่ดอกไม้หลากสีนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและยังคงอยู่ในรูปร่างเดิมตลอด ดูเหมือนว่าเวลาที่ผ่านไปจะไม่ได้มีผลอะไรกับมันเลย เดิมทีดอกไม้เจ็ดสีจะมีเจ็ดกลีบ ตอนนี้เหลือเพียงแค่หกกลีบแต่มันก็ยังไม่มีร่องรอยความเสียหายอะไรเลยแม้สักนิด

เสี่ยวไป๋ค่อยๆนั่งลงและมองไปที่ดอกไม้แสนสวยอย่างละเอียด เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องมันเพราะกลัวว่าจะทำลายออร่าของดอกไม้ อันที่จริงเขาเห็นดอกไม้นี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในมิติลับแล้ว เพราะออร่าที่ดูแปลกทำให้มั่นใจมากว่าดอกไม้นี่จะต้องไม่ธรรมดา

“ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้นี้มาก่อนเลย แม้แต่ในโลกที่แบ่งแยกก็ไม่มี” เสี่ยวไป๋สืบทอดมรดกมากว่าหมื่นปี

“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละแล้วสักวันเจ้าก็จะรู้เองแหละ ว่าแต่ เจ้าโอเคแล้วหรือยัง? เจ้าอยากที่จะกินอีกหน่อยไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เสี่ยวไป๋จ้องไปที่เธอ “ไม่ ข้ารู้สึกดีขึ้นนานแล้ว อย่าเอาดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์นี่มาใช้สิ้นเปลืองเลย และถ้าเจ้ากินไปหนึ่ง มันก็จะเสียไปหนึ่ง” ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่กินเข้าไปเองแต่เมื่อเห็นช่องว่างของกลีบดอกไม้เจ็ดสี เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ

มันแย่หรือเปล่าที่ใช้มันเพียงแค่เพื่อการปลดผนึก?!

“ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของกินสำหรับมนุษย์” มู่หรงเปิดปากและพูดออกมา

“บ้าเหรอ นี่มันใช้เพื่อช่วยชีวิตได้เลยนะ ก่อนอื่นเลยต้องเก็บมันอย่างระวัง ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันก็สามารถที่จะเปิดผนึกของข้าได้”

“เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า เสี่ยวไป๋? เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยนะ” มู่หรงเสวี่ยเชื่อมโยงเสี่ยวไป๋ที่ตัวอ้วนกลมกับเสี่ยวไป๋ที่ดูหล่อเหลาตอนนี้ไม่ได้เลย ท่าทางเขาดูแปลกแบบนี้ได้ยังไง

“ข้าเป็นอสูรเทพเจ้า ข้าสามารถที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ เพียงแค่ว่าส่วนที่เป็นเทพได้ถูกฆ่าไปแล้วและถูกปิดผนึกไว้ในสงครามเมื่อหมื่นปีที่แล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเกลียดจนต้องกัดฟันแน่น เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนปิดผนึกไว้ อยากที่จะหาทางแก้แค้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“งั้นเจ้าก็อยู่ในร่างของมนุษย์ตลอดงั้นเหรอ?” น่าทึ่งมาก โลกนี้มีทุกอย่างจริงๆ ถ้าเป็นชีวิตที่แล้วเธอคงนึกอะไรแบบนี้ไม่ออกแน่

“แล้วข้าก็สามารถที่จะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ด้วยแต่ร่างมนุษย์ค่อนข้างจะคล่องแคล่วกว่า” เสี่ยวไป๋อธิบาย

“เมื่อกี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเลย?” มู่หรงถามด้วยความประหลาดใจ

เสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดออกมา “ฮ่าฮ่า ข้ากู้การฝึกตนของตัวเองได้แล้ว เพียงแค่เสี่ยววินาทีเจ้าก็ลงไปกองกับพื้นได้ เข้าใจหรือเปล่า?! ตอนนี้ไม่มีใครที่จะเทียบได้แล้ว ดูเอาไว้นะ! ฮ่าฮ่าฮ่า”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเครียดขึ้น ตอนที่เธอไม่ได้ถาม เสี่ยวไป่ก็ยังเป็นเสี่ยวไป๋และท่าทางของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด เส้นขนสีขาวกลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา

ระดับเทพงั้นเหรอ?! สำหรับเธอหนทางยังอีกยาวไกล ช่วงที่ผ่านมานี้เธอไม่ได้ฝึกตนเลยเพราะข้อจำกัดของมิติก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องคือเธอไม่มีเวลาเลย เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องตามหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรเพื่อที่จะได้ออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด

“ไม่ต้องขำเลย น่าเกลียดจริงๆ!” มู่หรงอยากที่จะตบไปที่หัวของเสี่ยวไป๋แต่เธอก็ทำไม่ได้จึงได้แต่ตบไปที่ไหล่ของเสี่ยวไป๋แทน

“แหม เจ้าก็แค่อิจฉาข้า! อย่าปฏิเสธเลย”

“พูดตามตรงนะ ในเมื่อเจ้าเป็นอสูรเทพ งั้นถ้าเจ้าออกไปข้างนอกจะมีข้อจำกัดเรื่องมิติหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างคาดหวัง

เสี่ยวไป๋หยุดหัวเราะทันที “แน่นอนว่าเมื่อข้าออกไปก็เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ข้อห้ามของมิติค่อนข้างที่จะเข้มงวดมากๆ ถึงแม้จะเป็นคำสั่งของพระเจ้าก็ยังถูกจำกัดเลย” เสี่ยวไป๋พูด

มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูก “งั้นเจ้าจะมีประโยชน์อะไรเนี่ย?”

“บ้าจริง ข้ามีประโยชน์จะตายนะ อ่า อย่าเพิ่งไปสิ ฟังข้าก่อน ข้าเป็นผู้ใหญ่นะ”

มู่หรงปิดหูและวิ่งออกไป ขี้เกียจที่จะต้องฟังเขาพูดโม้

เธอเข้าไปในห้องปรุงยา มองไปที่ผงที่ใช้สำหรับป้องกันตัวและผงพิษที่อยู่รอบตัวมากมายด้วยความดีใจ

ตอนนี้ลอร์ดหลินหยางเตรียมตัวไว้แล้ว ทันทีที่เธอเดินออกไปเธอก็อาจจะถูกยิงก็ได้ เธอจะต้องปกป้องตัวเองก่อนที่จะออกไป หลังจากที่เตรียมผงต่างๆเสร็จ เธอก็เดินไปที่ศาลาอาวุธที่อยู่ชั้นสอง เลือกเกราะอ่อนที่สามารถปกป้องตัวเธอได้และสวมมันไว้ตั้งแต่แรก เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเธอจะไม่ตายถ้าปืนยิงมาที่เธอ

ถ้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณ เธอจะต้องมีปวดหัวขนาดนี้ทำไม? ก็แค่สร้างบาร์เรียจากพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาป้องกันตัวเอง

เสี่ยวไป๋เห็นมู่หรงกำลังจะออกไปข้างนอก ในปากก็ยังเคี้ยวผลไม้แห่งจิตวิญญาณอยู่และรีบคายออกมาทันที “เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?! ถึงได้แต่งตัวอย่างกับเต่าทองแบบนี้เนี่ย?”

“ข้ายังคิดว่ามันไม่พอเลยที่จะออกไปจากที่นี่”

“ข้างนอกนั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้าจะออกไปกับเจ้าด้วย”

“อย่า เจ้ามีแต่จะมาถ่วงข้า อีกอย่างเจ้าก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน แล้วจะออกไปทำไมกัน? ตัวคนเดียวข้าจะหนีได้ง่ายกว่า” มู่หรงพูดออกไปอย่างรังเกียจ

เสี่ยวไป๋พูดไม่ออก

มู่หรงมองไปที่สถานการณ์ภายนอกและเห็นว่ามีองครักษ์มากมายกำลังปูพรมค้นหากันอยู่ในขณะที่ลอร์ด หลินหยางยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม ออกคำสั่งด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เธอหยิบขวดยาพิษไว้ในมือและกินยาแก้พิษไปก่อนหน้านี้แล้ว

ทันใดนั้นมู่หรงก็ไปปรากฏตัวในจุดเดิม โบกมือโปรยยาใส่ลอร์ดหลินหยางโดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว เขาจะสูดพิษเข้าไปในร่างกายทันทีจนทำให้เขาล้มลงไปกองกับพื้นได้เลย

“อย่าขยับ ถ้าขยับอีกข้าก็รับประกันไม่ได้นะว่าท่านลอร์ดของพวกเจ้าจะไม่เป็นอะไร โอเคไหม?” มู่หรงนั่งลงไปที่พื้นทันที มีดแหลมจ่ออยู่ที่คอของหลินหยาง

“บ้าเอ๊ย ปล่อยท่านลอร์ดของพวกเรานะ!”

“ไม่งั้นข้าจะยิงเจ้า!”

“ปล่อยนะ”

องครักษ์ที่ยังค้นหาเธออยู่รอบๆต่างก็เข้ามาล้อมรอบ มู่หรงเสวี่ยทีละคนๆ และกระบอกปืนในมือพวกเขาก็เล็งมาที่หัวของมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม ที่หัวเธอสวมหมวกกันน็อคไว้แล้วซึ่งกระสุนไม่มีทางที่จะทะลุผ่านไปได้แน่ ถึงแม้เธอจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่อุปกรณ์ของจิตวิญญาณเหล่านี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกมันเป็นของพิเศษ

หลินหยางแอบกัดฟันตัวเองอยู่เงียบๆ เขาประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไป ตอนนี้ร่างกายของเขาทั่วทั้งร่างรู้สึกอ่อนแอไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสู้กับผู้หญิงคนนี้เลย แค่จะยกหัวตัวเองเขาก็ยังทำไม่ได้เลย

“บอกให้พวกเขาถอยออกไปให้หมด!” มู่หรงพูด

หลินหยางจ้องมาที่มู่หรงด้วยสายตาที่ดุร้าย แต่ก็ไม่เปิดปากพูดอะไร!

มู่หรงไม่ได้สนใจสายตาของเขา ที่มุมปากของเธอแสยะยิ้ม “ว่าไง ข้าคิดว่าเจ้าควรที่จะรู้นะว่าพวกเขาฆ่าข้าไม่ได้หรอก”

“ถอยไป” หลินหยางพูดกับพวกการ์ดที่อยู่รอบๆ

“ท่านลอร์ด ผู้หญิงคนนี้…”

“ถอยไป! ข้าคิดดีแล้ว”

องครักษ์คนอื่นๆจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและหัวหน้าองครักษ์ก็พูดออกมา “ถ้าท่านลอร์ดของเราเป็นอะไรแม้ปลายผม แม้แต่สุดปลายโลก เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้!”

หลังจากที่พูดจบ เหล่าองครักษ์ก็รีบถอยหลังตามหัวหน้าการ์ดออกไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเป็นลอร์ดที่ดีมาก เหล่าองครักษ์ของเจ้าภักดีกับเจ้า” มู่หรงดึงมีดขึ้นมาและพูดออกมา

หลินหยางไม่ได้มีความรู้สึกกับที่แห่งนี้มากนัก ทั้งหมดมันก็เพราะเหล่าลูกน้องที่ภักดีทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงสร้างเครื่องมือทางการทหารขึ้นมา เมื่อได้เห็นว่าลูกน้องของเขาต่อสู้เพื่อโลกนี้อย่างวีรบุรุษและกลายเป็นเจ้าผู้ครองโลก เขาจึงไม่ต่อต้านเรื่องการรวมกันของโลก อนาคตของผู้คนเพื่อความสามัคคีของประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเองก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไร

ในเมื่อจะต้องมีคนที่จะขึ้นมาครองโลก งั้นทำไมไม่เป็นเขาเองเลยล่ะ

“เจ้าต้องการเรื่องบ้าอะไรกันแน่?” หลินหยางถาม

มู่หรงเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะทำหรอก ข้าแค่อยากที่จะบอกเจ้าว่าเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าเจ้าไม่ทำแบบนั้นซะก่อน ข้าก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”

หลินหยางพยายามที่จะพยุงร่างกายตัวเองขึ้นและนั่งตรง ถึงแม้เขาจะล้มไปในมือของอีกฝ่าย แต่ก็ยังอยากที่จะรักษาเกียรติความเป็นชายไว้

“พูดมาว่าเจ้าต้องการอะไร! ข้าไม่มีอะไรที่จะพูด” อันที่จริงในตอนแรกเขาไม่ได้อยากที่จะฆ่าเธอ ถ้ามู่หรงเสวี่ยเป็นผู้ชาย เขาก็อาจที่จะทำ แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขาก็แค่อยากที่จะทำให้เธอกลัว อย่างน้อยจากหนึ่งในสองคน เขาก็อยากที่จะเป็นคนที่เหนือกว่า

น่าเสียดายที่เขาไร้ความสามารถ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าจู่ๆมู่หรงเสวี่ยหายตัวไปได้ยังไง แม้แต่เทคโนโลยีในอนาคตที่ล้ำหน้า มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ อย่างไรก็ตาม ก็มีเสื้อคลุมล่องหนแต่เสื้อคลุมล่องหนนั้นก็เกิดจากการสะท้อนของสภาพแวดล้อมภายนอก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 299 ข้าคิดดีแล้ว

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 299 ข้าคิดดีแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 299

ข้าคิดดีแล้ว

“ไปสวมเสื้อผ้าก่อน! ไอ้โง่เอ๊ย” มู่หรงปิดตาและพูดออกมาโดยไม่หายใจ

เสี่ยวไป๋รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังโป๊อยู่ “โอ้!” เขารีบวิ่งเข้าไปหาเสื้อผ้าใส่ก่อนที่จะกลับออกมา

“เอาละ ลืมตาได้แล้ว” เสี่ยวไป๋พูด

มู่หรงค่อยๆเหล่ตามอง เมื่อเห็นว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยจึงเอามือลง “เจ้าคือเสี่ยวไป๋งั้นเหรอ?”

โลกนี้ช่างลึกลับถึงขนาดที่ว่าสัตว์ก็สามารถที่จะกลายเป็นมนุษย์ได้ มู่หรงเสวี่ยยังสับสนอยู่

“ใช่ ในที่สุดข้าก็ได้คืนร่าง บ้าจริง ก่อนหน้านี้ข้านี่มันอ่อนด้อยจริงๆ ว่าแต่เมื่อกี้เจ้าเอาอะไรให้ข้ากินงั้นเหรอ?” ถึงแม้ในตอนนั้นความเจ็บปวดจะมากจนแทบทนไม่ได้แต่เขาก็ยังมีสติอยู่นิดหน่อย จึงจำได้รางๆว่ามีคนเอาอะไรมาป้อนให้กินและจู่ๆร่างกายก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาราวกับเศษเสี้ยวที่ฟื้นมาจากเถ้าถ่าน

“เป็นกลีบดอกไม้เจ็ดสีที่อยู่ในสวนสมุนไพรด้านหน้าน่ะ” มุ่หรงพูดแล้วก็มองไปที่ร่างสูงของเสี่ยวไป๋ แล้วจะชินกับเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย เสี่ยวไป๋ดูคล้ายกับคนตะวันตกอยู่หน่อยๆ เขามีผมสีเงินยาวและร่างสูงที่น่าจะเกือบสองเมตรได้ มีดวงตาที่ลึกและจมูกโด่ง “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า? ทำไมถึงกลายเป็นสัตว์แห่งจิตวิญญาณได้ล่ะ?”

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย เมื่อกี้เจ้าหมายถึงดอกไม้หลากสีที่อยู่ในสวนสมุนไพรงั้นเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถามและเดินออกไปข้างนอก

มู่หรงเสวี่ยรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? มันค้นตำราสมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในมิติลับแล้วแต่ก็ยังไม่เจอบันทึกหรือโครงสร้างที่เกี่ยวกับดอกไม้เจ็ดสีเลย

ดอกไม้เจ็ดสียังคงเปล่งประกายสียงระยิบระยับอยู่ ล้อมรอบไปด้วยออร่า มันหนาพอที่จะกลั่นเป็นหยดได้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่ามันไม่ธรรมดาเพราะความพิเศษของดอกไม้ชนิดนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงแยกมันออกมาปลูกในพื้นที่โล่งต่างหาก สมุนไพรอื่นๆจะเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาแต่ดอกไม้หลากสีนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยและยังคงอยู่ในรูปร่างเดิมตลอด ดูเหมือนว่าเวลาที่ผ่านไปจะไม่ได้มีผลอะไรกับมันเลย เดิมทีดอกไม้เจ็ดสีจะมีเจ็ดกลีบ ตอนนี้เหลือเพียงแค่หกกลีบแต่มันก็ยังไม่มีร่องรอยความเสียหายอะไรเลยแม้สักนิด

เสี่ยวไป๋ค่อยๆนั่งลงและมองไปที่ดอกไม้แสนสวยอย่างละเอียด เขาไม่กล้าที่จะแตะต้องมันเพราะกลัวว่าจะทำลายออร่าของดอกไม้ อันที่จริงเขาเห็นดอกไม้นี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในมิติลับแล้ว เพราะออร่าที่ดูแปลกทำให้มั่นใจมากว่าดอกไม้นี่จะต้องไม่ธรรมดา

“ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้นี้มาก่อนเลย แม้แต่ในโลกที่แบ่งแยกก็ไม่มี” เสี่ยวไป๋สืบทอดมรดกมากว่าหมื่นปี

“ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละแล้วสักวันเจ้าก็จะรู้เองแหละ ว่าแต่ เจ้าโอเคแล้วหรือยัง? เจ้าอยากที่จะกินอีกหน่อยไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

เสี่ยวไป๋จ้องไปที่เธอ “ไม่ ข้ารู้สึกดีขึ้นนานแล้ว อย่าเอาดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์นี่มาใช้สิ้นเปลืองเลย และถ้าเจ้ากินไปหนึ่ง มันก็จะเสียไปหนึ่ง” ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่กินเข้าไปเองแต่เมื่อเห็นช่องว่างของกลีบดอกไม้เจ็ดสี เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ

มันแย่หรือเปล่าที่ใช้มันเพียงแค่เพื่อการปลดผนึก?!

“ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของกินสำหรับมนุษย์” มู่หรงเปิดปากและพูดออกมา

“บ้าเหรอ นี่มันใช้เพื่อช่วยชีวิตได้เลยนะ ก่อนอื่นเลยต้องเก็บมันอย่างระวัง ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่มันก็สามารถที่จะเปิดผนึกของข้าได้”

“เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า เสี่ยวไป๋? เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยนะ” มู่หรงเสวี่ยเชื่อมโยงเสี่ยวไป๋ที่ตัวอ้วนกลมกับเสี่ยวไป๋ที่ดูหล่อเหลาตอนนี้ไม่ได้เลย ท่าทางเขาดูแปลกแบบนี้ได้ยังไง

“ข้าเป็นอสูรเทพเจ้า ข้าสามารถที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ เพียงแค่ว่าส่วนที่เป็นเทพได้ถูกฆ่าไปแล้วและถูกปิดผนึกไว้ในสงครามเมื่อหมื่นปีที่แล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเกลียดจนต้องกัดฟันแน่น เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนปิดผนึกไว้ อยากที่จะหาทางแก้แค้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง

“งั้นเจ้าก็อยู่ในร่างของมนุษย์ตลอดงั้นเหรอ?” น่าทึ่งมาก โลกนี้มีทุกอย่างจริงๆ ถ้าเป็นชีวิตที่แล้วเธอคงนึกอะไรแบบนี้ไม่ออกแน่

“แล้วข้าก็สามารถที่จะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ด้วยแต่ร่างมนุษย์ค่อนข้างจะคล่องแคล่วกว่า” เสี่ยวไป๋อธิบาย

“เมื่อกี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเลย?” มู่หรงถามด้วยความประหลาดใจ

เสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดออกมา “ฮ่าฮ่า ข้ากู้การฝึกตนของตัวเองได้แล้ว เพียงแค่เสี่ยววินาทีเจ้าก็ลงไปกองกับพื้นได้ เข้าใจหรือเปล่า?! ตอนนี้ไม่มีใครที่จะเทียบได้แล้ว ดูเอาไว้นะ! ฮ่าฮ่าฮ่า”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเครียดขึ้น ตอนที่เธอไม่ได้ถาม เสี่ยวไป่ก็ยังเป็นเสี่ยวไป๋และท่าทางของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด เส้นขนสีขาวกลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา

ระดับเทพงั้นเหรอ?! สำหรับเธอหนทางยังอีกยาวไกล ช่วงที่ผ่านมานี้เธอไม่ได้ฝึกตนเลยเพราะข้อจำกัดของมิติก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องคือเธอไม่มีเวลาเลย เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องตามหาสายเลือดที่แท้จริงของมังกรเพื่อที่จะได้ออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด

“ไม่ต้องขำเลย น่าเกลียดจริงๆ!” มู่หรงอยากที่จะตบไปที่หัวของเสี่ยวไป๋แต่เธอก็ทำไม่ได้จึงได้แต่ตบไปที่ไหล่ของเสี่ยวไป๋แทน

“แหม เจ้าก็แค่อิจฉาข้า! อย่าปฏิเสธเลย”

“พูดตามตรงนะ ในเมื่อเจ้าเป็นอสูรเทพ งั้นถ้าเจ้าออกไปข้างนอกจะมีข้อจำกัดเรื่องมิติหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างคาดหวัง

เสี่ยวไป๋หยุดหัวเราะทันที “แน่นอนว่าเมื่อข้าออกไปก็เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ข้อห้ามของมิติค่อนข้างที่จะเข้มงวดมากๆ ถึงแม้จะเป็นคำสั่งของพระเจ้าก็ยังถูกจำกัดเลย” เสี่ยวไป๋พูด

มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูก “งั้นเจ้าจะมีประโยชน์อะไรเนี่ย?”

“บ้าจริง ข้ามีประโยชน์จะตายนะ อ่า อย่าเพิ่งไปสิ ฟังข้าก่อน ข้าเป็นผู้ใหญ่นะ”

มู่หรงปิดหูและวิ่งออกไป ขี้เกียจที่จะต้องฟังเขาพูดโม้

เธอเข้าไปในห้องปรุงยา มองไปที่ผงที่ใช้สำหรับป้องกันตัวและผงพิษที่อยู่รอบตัวมากมายด้วยความดีใจ

ตอนนี้ลอร์ดหลินหยางเตรียมตัวไว้แล้ว ทันทีที่เธอเดินออกไปเธอก็อาจจะถูกยิงก็ได้ เธอจะต้องปกป้องตัวเองก่อนที่จะออกไป หลังจากที่เตรียมผงต่างๆเสร็จ เธอก็เดินไปที่ศาลาอาวุธที่อยู่ชั้นสอง เลือกเกราะอ่อนที่สามารถปกป้องตัวเธอได้และสวมมันไว้ตั้งแต่แรก เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าเธอจะไม่ตายถ้าปืนยิงมาที่เธอ

ถ้ามีพลังแห่งจิตวิญญาณ เธอจะต้องมีปวดหัวขนาดนี้ทำไม? ก็แค่สร้างบาร์เรียจากพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาป้องกันตัวเอง

เสี่ยวไป๋เห็นมู่หรงกำลังจะออกไปข้างนอก ในปากก็ยังเคี้ยวผลไม้แห่งจิตวิญญาณอยู่และรีบคายออกมาทันที “เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?! ถึงได้แต่งตัวอย่างกับเต่าทองแบบนี้เนี่ย?”

“ข้ายังคิดว่ามันไม่พอเลยที่จะออกไปจากที่นี่”

“ข้างนอกนั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้าจะออกไปกับเจ้าด้วย”

“อย่า เจ้ามีแต่จะมาถ่วงข้า อีกอย่างเจ้าก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน แล้วจะออกไปทำไมกัน? ตัวคนเดียวข้าจะหนีได้ง่ายกว่า” มู่หรงพูดออกไปอย่างรังเกียจ

เสี่ยวไป๋พูดไม่ออก

มู่หรงมองไปที่สถานการณ์ภายนอกและเห็นว่ามีองครักษ์มากมายกำลังปูพรมค้นหากันอยู่ในขณะที่ลอร์ด หลินหยางยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม ออกคำสั่งด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เธอหยิบขวดยาพิษไว้ในมือและกินยาแก้พิษไปก่อนหน้านี้แล้ว

ทันใดนั้นมู่หรงก็ไปปรากฏตัวในจุดเดิม โบกมือโปรยยาใส่ลอร์ดหลินหยางโดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว เขาจะสูดพิษเข้าไปในร่างกายทันทีจนทำให้เขาล้มลงไปกองกับพื้นได้เลย

“อย่าขยับ ถ้าขยับอีกข้าก็รับประกันไม่ได้นะว่าท่านลอร์ดของพวกเจ้าจะไม่เป็นอะไร โอเคไหม?” มู่หรงนั่งลงไปที่พื้นทันที มีดแหลมจ่ออยู่ที่คอของหลินหยาง

“บ้าเอ๊ย ปล่อยท่านลอร์ดของพวกเรานะ!”

“ไม่งั้นข้าจะยิงเจ้า!”

“ปล่อยนะ”

องครักษ์ที่ยังค้นหาเธออยู่รอบๆต่างก็เข้ามาล้อมรอบ มู่หรงเสวี่ยทีละคนๆ และกระบอกปืนในมือพวกเขาก็เล็งมาที่หัวของมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม ที่หัวเธอสวมหมวกกันน็อคไว้แล้วซึ่งกระสุนไม่มีทางที่จะทะลุผ่านไปได้แน่ ถึงแม้เธอจะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่อุปกรณ์ของจิตวิญญาณเหล่านี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกมันเป็นของพิเศษ

หลินหยางแอบกัดฟันตัวเองอยู่เงียบๆ เขาประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไป ตอนนี้ร่างกายของเขาทั่วทั้งร่างรู้สึกอ่อนแอไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสู้กับผู้หญิงคนนี้เลย แค่จะยกหัวตัวเองเขาก็ยังทำไม่ได้เลย

“บอกให้พวกเขาถอยออกไปให้หมด!” มู่หรงพูด

หลินหยางจ้องมาที่มู่หรงด้วยสายตาที่ดุร้าย แต่ก็ไม่เปิดปากพูดอะไร!

มู่หรงไม่ได้สนใจสายตาของเขา ที่มุมปากของเธอแสยะยิ้ม “ว่าไง ข้าคิดว่าเจ้าควรที่จะรู้นะว่าพวกเขาฆ่าข้าไม่ได้หรอก”

“ถอยไป” หลินหยางพูดกับพวกการ์ดที่อยู่รอบๆ

“ท่านลอร์ด ผู้หญิงคนนี้…”

“ถอยไป! ข้าคิดดีแล้ว”

องครักษ์คนอื่นๆจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวและหัวหน้าองครักษ์ก็พูดออกมา “ถ้าท่านลอร์ดของเราเป็นอะไรแม้ปลายผม แม้แต่สุดปลายโลก เราก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้!”

หลังจากที่พูดจบ เหล่าองครักษ์ก็รีบถอยหลังตามหัวหน้าการ์ดออกไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเป็นลอร์ดที่ดีมาก เหล่าองครักษ์ของเจ้าภักดีกับเจ้า” มู่หรงดึงมีดขึ้นมาและพูดออกมา

หลินหยางไม่ได้มีความรู้สึกกับที่แห่งนี้มากนัก ทั้งหมดมันก็เพราะเหล่าลูกน้องที่ภักดีทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับพวกเขา ดังนั้นเขาจึงสร้างเครื่องมือทางการทหารขึ้นมา เมื่อได้เห็นว่าลูกน้องของเขาต่อสู้เพื่อโลกนี้อย่างวีรบุรุษและกลายเป็นเจ้าผู้ครองโลก เขาจึงไม่ต่อต้านเรื่องการรวมกันของโลก อนาคตของผู้คนเพื่อความสามัคคีของประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเองก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไร

ในเมื่อจะต้องมีคนที่จะขึ้นมาครองโลก งั้นทำไมไม่เป็นเขาเองเลยล่ะ

“เจ้าต้องการเรื่องบ้าอะไรกันแน่?” หลินหยางถาม

มู่หรงเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะทำหรอก ข้าแค่อยากที่จะบอกเจ้าว่าเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก อีกอย่างถ้าเจ้าไม่ทำแบบนั้นซะก่อน ข้าก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”

หลินหยางพยายามที่จะพยุงร่างกายตัวเองขึ้นและนั่งตรง ถึงแม้เขาจะล้มไปในมือของอีกฝ่าย แต่ก็ยังอยากที่จะรักษาเกียรติความเป็นชายไว้

“พูดมาว่าเจ้าต้องการอะไร! ข้าไม่มีอะไรที่จะพูด” อันที่จริงในตอนแรกเขาไม่ได้อยากที่จะฆ่าเธอ ถ้ามู่หรงเสวี่ยเป็นผู้ชาย เขาก็อาจที่จะทำ แต่อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขาก็แค่อยากที่จะทำให้เธอกลัว อย่างน้อยจากหนึ่งในสองคน เขาก็อยากที่จะเป็นคนที่เหนือกว่า

น่าเสียดายที่เขาไร้ความสามารถ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าจู่ๆมู่หรงเสวี่ยหายตัวไปได้ยังไง แม้แต่เทคโนโลยีในอนาคตที่ล้ำหน้า มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ อย่างไรก็ตาม ก็มีเสื้อคลุมล่องหนแต่เสื้อคลุมล่องหนนั้นก็เกิดจากการสะท้อนของสภาพแวดล้อมภายนอก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+