ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 302 การช่วยเหลือ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 302 การช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 302
การช่วยเหลือ

“แล้วไงต่อ? มีวิธีหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เจ้าจะลงมือในเวลากลางวันไม่ได้ มันจะเห็นชัดเกินไปแต่ต่อให้ไม่ถูกจับได้ เขาก็น่าจะเดาไว้ว่าเป็นฝีมือของข้าเอง แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ดินแดนเฮ่ยเฉิงยังไม่ ทรงอำนาจพอที่จะถึงขั้นไปต่อกรกับดินแดนทั้งสามได้ งั้นข้าคิดว่าเราน่าจะลงมือกันตอนกลางคืน” หลินหยางอธิบายเสียงเบา

สุดท้ายมู่หรงก็เริ่มที่จะมีสำนึกขึ้นมาบ้าง เธอพูดอย่างขอโทษเล็กน้อย “ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”

หลินหยางมองมาที่เธอราวกับเห็นผี “นี่เจ้ากินยาผิดหรือเปล่า?”
สีหน้าสำนึกผิดของมู่หรงเสวี่ยจางหายไปทันที มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะเปลี่ยนท่าทางแบบนี้ “เจ้าจะเริ่มเมื่อไร ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

“เจ้างั้นเหรอ?! เจ้าจะบาดเจ็บเปล่าๆ ไม่ต้องห่วงนะ คนของข้าจะพาเพื่อนเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย” หลังจากนั้น หลินหยางก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ย

“นี่เจ้าคิดอะไรกับข้าหรือเปล่าเนี่ย?! หลงรักข้าหรือไง?” มู่หรงสะบัดผมอย่างหลงตัวเองและพูดออกมา

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ข้าก็ไม่ได้ชอบหน้าเจ้าเท่าไรหรอก” หลินหยางพูดอย่างรังเกียจ

หน้าเธอมีอะไรไม่ดีงั้นเหรอ?!! เธอออกจะน่ารัก ใช่ไหม? มู่หรงมองไปที่เขา “มีอะไรก็พูดมา มองหน้าข้าแล้วอิ่มหรือไง ฮ่ะ”

“ข้ากำลังคิดว่าเจ้าจะมีค่าเท่าไร?! เจ้าจะให้ข้ามาเลี้ยงดูเจ้าไม่ได้หรอกนะ จะมามัวนั่งๆนอนๆแล้วทำตัวขี้เกียจเหมือนหมูหรือไง?” ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

“โอเค โรงงานอาวุธเจ้าอยู่ที่ไหน? ข้าจะช่วยเจ้าผลิตเอง โอเคไหม?” เธอไม่ได้จะให้เขาช่วยฟรีๆอยู่แล้ว

“ทำได้เหรอ? อย่าทำพังล่ะ” ปกติแล้วผู้หญิงจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอก! ไม่พังหรอกน่า” มู่หรงพูด

“…”
พวกเธอคุยกันอยู่นานและเริ่มที่จะคุ้นเคยกันมากขึ้น หลินหยางชี้ให้มู่หรงเสวี่ยดูห้องพักที่อยู่ในชั้นสาม ส่วนหลินหยางจะพักอยู่ที่ชั้นสอง ในบ้านของผู้ปกครองไม่มีห้องว่าง พูดได้ว่าทุกตึกในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนถูกจัดสรรไว้เพื่อบรรดาพี่น้องผู้ชายของเขา และเขาเป็นคนเดียวที่มีห้องว่าง พวกเธอทั้งคู่เป็นคนสมัยใหม่และไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องพวกนี้

ที่อีกด้านหวังฉิงที่นั่งรอมาทั้งวัน อยากที่จะพุ่งไปที่อาคารหลักของเมืองหลายครั้ง แต่ก็ถูกห้ามไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอำนาจของปืนเป็นครั้งแรกและที่แขนเขาก็ได้รับบาดเจ็บด้วย กลายเป็นว่าภายใต้สายตาของดินแดนทั้งสาม ดินแดน เฮ่ยเฉิงกลับสร้างสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้ขึ้นมา

หวังฉิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องและมีแพทย์ที่ร่วมเดินทางช่วยเอากระสุนออกให้และคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด

เวลาผ่านไปนานเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่เขารู้ก็คือว่าดินแดนเฮ่ยเฉิงถูกพวกเขาควบคุมมานานแล้วและไม่ได้รับอนุญาตให้พัฒนา ไม่งั้นผลที่จะตามมาคงคิดไม่ถึงแน่ๆ โชคดีที่ไอ้สิ่งนี้สามารถยิงคนได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น ถ้าหลบดีๆก็จะไม่ตาย

แต่ไม่มีใครที่จะรับประกันได้ว่าในดินแดนเฮ่ยเฉิงจะไม่มีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก เช่น ปืนพกที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มาก

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปหลายครั้งแล้วก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เขียนจดหมายและยื่นให้ลูกน้องของตัวเอง “ส่งไปให้เร็วที่สุด”

องครักษ์ชุดดำรับจดหมายมาและเดินหายไปอย่างรวดเร็ว

มือข้างที่ไม่บาดเจ็บของหวังฉิงทุบลงไปที่โต๊ะจนโต๊ะแตกกระจายเป็นสี่ส่วน “บ้าเอ๊ย!” เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา

ในตอนนี้ หวังฉิงหวนนึกถึงท่าทางของมู่เทียนก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่าเธอรู้ว่าปืนพกคืออะไร อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ยอมที่จะบอกเขาว่าเธออยู่ข้างผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง นังผู้หญิงบ้า ถ้าเขาได้ตัวเธอกลับมา เธอจะต้องเจอดีแน่ๆ

อย่างน้อยเฟิงจือหลิงก็ยังอยู่ในมือเขา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรกับเฟิงจือหลิงดี

ตอนนี้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
อันที่จริงนี่ก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการหักหลัง เดิมทีมู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้อยู่ทีมเดียวกับเขาอยู่แล้วแต่เป็นการถูกบังคับมา อย่างไรก็ตามหวังฉิงก็มองมู่หรงเสวี่ยว่าเป็นผู้หญิงของตัวเองมานานแล้ว เขายอมรับไม่ได้อยู่นาน พูดได้ว่ายังมีศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอยู่ด้วย
ช่วงบ่ายนี้เฟิงจือหลิงถูกทำร้ายอยู่หลายครั้ง หวังฉิงเป็นคนที่ลงมือกับเขาเอง ถึงแม้จะฆ่าเขาไม่ได้แต่ได้ทรมานก็ยังถือว่าดี ถือซะว่าเป็นการเตือนถึงมู่เทียน

ที่ด้านนอกของบ้านหลังใหญ่มีเหล่าองครักษ์ที่นั่งหลับกันอยู่ด้านนอก เหล่าองครักษ์ตบไล่ยุ่งหลายคนจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาและรีบมองไปรอบๆอย่างระวังเพื่อดูว่ามีคนแปลกหน้าบ้างหรือเปล่า

กลุ่มของชายชุดดำเดินออกมาจากประตูเล็กของบ้านผู้ปกครองของดินแดนและรีบทำตัวกลืนไปกับความมืด พวกเขาคล่องแคล่วอย่างมากราวกับแมวดำที่ย่องเงียบในยามค่ำคืน ลมกระโชกแรงพัดผ่านเป็นบางครั้ง มีเสียงจักจั่นดังขึ้นมาและพวกเขาก็พึมพำเสียงเบา “ลมแรงมากเลยนะ”

ที่คฤหาสน์หลักมีแสงไฟสว่างจ้าและมีองครักษ์ในชุดดำเดินตรวจไปมากเป็นครั้งคราว ในคฤหาสน์มีห้องที่เป็นไม้ซึ่งมีกองกำลังเฝ้าอยู่เยอะมากและดูเหมือนจะกำลังเฝ้าคนสำคัญอยู่

ชายชุดดำรีบหมอบราบไปกับกำแพง เฝ้าดูพื้นที่และนับจำนวนของเหล่าองครักษ์ แล้วจึงหันไปส่งสัญญาณให้ชายชุดดำที่อยู่ไม่ห่าง ทันใดนั้นชายชุดดำนับสิบคนก็ยกผงยาที่อยู่ในมือขึ้นมาและโยนไปที่เหล่าผู้ตรวจการและองครักษ์ต่างๆ

เหล่าองครักษ์ก็ล้มลงไปทันทีก่อนที่จะทันได้ตอบโต้อะไร

ผู้นำของชายชุดดำคือหลินหยาง ประกายรอยยิ้มแวบในสายตาของเขา ผงที่มู่หรงเสวี่ยให้เขามานี่ใช้ง่ายกว่าเขาคิดไว้อีก

คนที่เหลือรีบเข้าไปงัดเปิดประตูของห้องไม้ที่ล็อกอยู่และอีกส่วนก็เฝ้าด้านนอกไว้ เพื่อกันองครักษ์คนอื่นที่จะเห็นการเคลื่อนไหวนี้

“เร็วเข้า!” หลินหยางพูด

หลังจากที่เปิดประตูห้องไม้แล้ว เขาก็เห็นร่างของชายที่สลบกองอยู่ที่พื้นพร้อมด้วยรอยแผลเล็กใหญ่ตามร่างกาย “เอาตัวเอามาและไปกันเถอะ!”

ในตอนนี้ องครักษ์ของอีกทีมเห็นถึงการเคลื่อนไหวนี้ พวกเขารีบวิ่งเข้ามาและมองไปที่สถานการณ์ด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นว่ามีเหล่าองครักษ์อยู่ทั่วไปหมดและรีบเคาะเกราะไม้ไผ่ทันที “ศัตรูโจมตี!”

แล้วทีมของเหล่าองครักษ์ก็รีบดึงดาบออกมาเผชิญหน้ากับพวกเขาทันที เพราะเสียงเมื่อกี้หลายคนที่หลับอยู่ในคฤหาสน์ก็รีบพุ่งไปที่ห้องเก็บฟืนทันที

“ไม่ ไปเร็ว!” พวกเขาที่เหลือตะโกนไปที่หลินหยาง

หนึ่งในพวกเขาพยุงเฟิงจือหลิงไว้ และคนที่เหลือต่างก็ดึงดาบออกมาเตรียมพร้อม แล้วเปิดช่องเพื่อที่จะออกไปนอกเขตบ้าน

“เคร้ง เคร้ง” เสียงดาบกระทบกันอย่างหนักในความมืด
หวังฉิงที่ยังหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา กระโดดลุกขึ้น หยิบดาบที่วางอยู่หัวเตียงและรีบไปในทิศทางของห้องเก็บฟืน

หลินหยางหยิบผงแป้งออกมาจากแขนตัวเองและโยนไปที่เหล่าองครักษ์ที่มาโจมตีเขา เหล่าองครักษ์จึงล้มลงไปกองกับพื้นทันทีเป็นบริเวณกว้าง “ไปเร็ว” คนทั้งสิบรีบวิ่งออกไปที่กำแพงด้วยความรวดเร็ว พวกเขาทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะป้องกันตัว ยังไงซะพวกเขาก็อยากที่จะสู้เพื่อราชาของตัวเอง จึงลงมือกันไม่ยั้ง

หวังฉิงเข้ามาเห็นเหล่าองครักษ์มากมายและรีบไปเปิดประตูห้องเก็บฟืนทันที สวยตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขากระโดดไปที่กำแพงและเห็นหลินหยางและคนอื่นๆกำลังล่าถอยไปอยู่ไกลๆ เขารีบวิ่งตามไปทันที “ไอ้หัวขโมย อย่าหนีนะ!”

หลินหยางและคนอื่นๆได้ยินเสียงตะโกนเบื้องหลัง จึงรีบเร่งความเร็วอย่างเงียบๆและแยกกลุ่มคนเป็นสองกลุ่ม สองทางทันที

หวังฉิงยืนอยู่ตรงทางแยกและทุบไปที่กำแพงเมือง “บ้าเอ๊ย!”

เขาไม่ได้ตามไป อีกฝ่ายมาเป็นกลุ่มแต่เขาตัวคนเดียว คงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไรที่จะตามไป เขาอาจจะพลาดเองได้ แต่เขาเองก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร ต้องเป็นมู่เทียนแน่ๆ ไม่ต้องเดาเลย เขานึกถึงเรื่องที่เธอยังไม่กลับออกมาเลยหลังจากที่เข้าไปในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดน เธอคงจะต้องทำข้อตกลงอะไรกับผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงแน่ๆ

หวังฉิงกลับมาที่คฤหาสน์ของตัวเองในดินแดนเฮ่ยเฉิงพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ในคฤหาสน์เองก็มีความวุ่นวายด้วยเหมือนกันและมีร่างของเหล่าองครักษ์มากมายที่ล้มกองอยู่กับพื้น เขานั่งลงยองๆเพื่อตรวจชีพจรของหนึ่งในองครักษ์และพบว่าพวกเขาเพียงแค่สลบไปแต่ยังไม่ตาย

ถ้าสามารถที่จะเรียกกองกำลังขนาดใหญ่มาได้ ก็คงจะเป็นความคิดที่ดี

“นายท่าน! พวกเรามาช้าไป!” เหล่าองครักษ์หลายคนคุกเข่าลงกับพื้น

“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” หวังฉิงลุกขึ้นและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในคฤหาสน์มีองครักษ์อยู่นับร้อยแต่กลับสู้คนแค่สิบคนไม่ได้ นี่ราวกับถูกตบเข้าที่หน้ากันชัดๆ

เหล่าองครักษ์หลายคนก้มหัวลง “เชิญลงโทษได้เลยขอรับ!”

เหล่าองครักษ์ของหวังฉิงต้องจัดการกับเรื่องอื่นมากมายอยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าจะต้องมาจัดการกับเรื่องคนอื่นๆอีก

“ลุกขึ้นและปลุกพวกคนที่กองอยู่กับพื้นนี่ด้วย!” นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาวุ่นวายแบบนี้ มันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะซุ่มวางแผนอย่างเงียบๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา องครักษ์หลายคนของหวังฉิงก็เข้ามาและพูดว่า “นายท่าน เหล่าองครักษ์ปลุกไม่ฟื้นเลยครับ…”

“เป็นอะไร? ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้หรือไง?” หวังฉิงไม่ห่วงเรื่ององครักษ์พวกนี้แต่ห่วงเรื่องผงแป้งมากกว่า

“ดูเหมือนว่าโดยยาในปริมาณที่มากเกินไป เดาว่าพรุ่งนี้พวกเขาก็น่าจะฟื้นขึ้นมาเองได้”

“ไปเรียกให้หมอใหญ่มาดูแล้วกัน เห็นหรือเปล่าว่าพวกนั้นใช้ยาอะไรกัน?” ถ้าผงยานี้ได้รับการผลิตในปริมาณที่มากๆ ไม่ต้องพูดถึงดินแดนแห่งไฟเลย แม้แต่ทั้งสามดินแดนรวมกันก็อาจจะยังต้านไม่ได้เลย บางทีพวกเขาน่าจะต้องพิจารณาเรื่องการจัดการดินแดนเฮ่ยเฉิงซะก่อนแล้วค่อยกลับมาสู้กันเองทีหลัง

“ไท่ยี่บอกว่ามันค่อนข้างยากที่จะบอกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ผงยาอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกันแต่ก็คล้ายๆกับยาที่ทรงอำนาจของเรา”

“ไร้สาระ ยานั้นจะทำให้คนสลบได้ในทันทีได้ยังไง?” หวังฉิงส่ายมือและพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชาเพราะยาที่ทรงอำนาจของพวกเขาต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็ 15 นาทีกว่าที่จะออกฤทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โดนก็ไม่ได้สลบไปในทันทีแต่สติจะค่อยๆเบลออย่างช้าๆ

องครักษ์คุกเข่าลงที่พื้นและไม่กล้าที่จะตอบอะไรอีก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 302 การช่วยเหลือ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 302 การช่วยเหลือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 302
การช่วยเหลือ

“แล้วไงต่อ? มีวิธีหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“เจ้าจะลงมือในเวลากลางวันไม่ได้ มันจะเห็นชัดเกินไปแต่ต่อให้ไม่ถูกจับได้ เขาก็น่าจะเดาไว้ว่าเป็นฝีมือของข้าเอง แต่มันก็คงจะดีกว่าถ้าไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ดินแดนเฮ่ยเฉิงยังไม่ ทรงอำนาจพอที่จะถึงขั้นไปต่อกรกับดินแดนทั้งสามได้ งั้นข้าคิดว่าเราน่าจะลงมือกันตอนกลางคืน” หลินหยางอธิบายเสียงเบา

สุดท้ายมู่หรงก็เริ่มที่จะมีสำนึกขึ้นมาบ้าง เธอพูดอย่างขอโทษเล็กน้อย “ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน”

หลินหยางมองมาที่เธอราวกับเห็นผี “นี่เจ้ากินยาผิดหรือเปล่า?”
สีหน้าสำนึกผิดของมู่หรงเสวี่ยจางหายไปทันที มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะเปลี่ยนท่าทางแบบนี้ “เจ้าจะเริ่มเมื่อไร ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

“เจ้างั้นเหรอ?! เจ้าจะบาดเจ็บเปล่าๆ ไม่ต้องห่วงนะ คนของข้าจะพาเพื่อนเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย” หลังจากนั้น หลินหยางก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ย

“นี่เจ้าคิดอะไรกับข้าหรือเปล่าเนี่ย?! หลงรักข้าหรือไง?” มู่หรงสะบัดผมอย่างหลงตัวเองและพูดออกมา

“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ข้าก็ไม่ได้ชอบหน้าเจ้าเท่าไรหรอก” หลินหยางพูดอย่างรังเกียจ

หน้าเธอมีอะไรไม่ดีงั้นเหรอ?!! เธอออกจะน่ารัก ใช่ไหม? มู่หรงมองไปที่เขา “มีอะไรก็พูดมา มองหน้าข้าแล้วอิ่มหรือไง ฮ่ะ”

“ข้ากำลังคิดว่าเจ้าจะมีค่าเท่าไร?! เจ้าจะให้ข้ามาเลี้ยงดูเจ้าไม่ได้หรอกนะ จะมามัวนั่งๆนอนๆแล้วทำตัวขี้เกียจเหมือนหมูหรือไง?” ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

“โอเค โรงงานอาวุธเจ้าอยู่ที่ไหน? ข้าจะช่วยเจ้าผลิตเอง โอเคไหม?” เธอไม่ได้จะให้เขาช่วยฟรีๆอยู่แล้ว

“ทำได้เหรอ? อย่าทำพังล่ะ” ปกติแล้วผู้หญิงจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอก! ไม่พังหรอกน่า” มู่หรงพูด

“…”
พวกเธอคุยกันอยู่นานและเริ่มที่จะคุ้นเคยกันมากขึ้น หลินหยางชี้ให้มู่หรงเสวี่ยดูห้องพักที่อยู่ในชั้นสาม ส่วนหลินหยางจะพักอยู่ที่ชั้นสอง ในบ้านของผู้ปกครองไม่มีห้องว่าง พูดได้ว่าทุกตึกในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดนถูกจัดสรรไว้เพื่อบรรดาพี่น้องผู้ชายของเขา และเขาเป็นคนเดียวที่มีห้องว่าง พวกเธอทั้งคู่เป็นคนสมัยใหม่และไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องพวกนี้

ที่อีกด้านหวังฉิงที่นั่งรอมาทั้งวัน อยากที่จะพุ่งไปที่อาคารหลักของเมืองหลายครั้ง แต่ก็ถูกห้ามไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอำนาจของปืนเป็นครั้งแรกและที่แขนเขาก็ได้รับบาดเจ็บด้วย กลายเป็นว่าภายใต้สายตาของดินแดนทั้งสาม ดินแดน เฮ่ยเฉิงกลับสร้างสิ่งที่น่ากลัวขนาดนี้ขึ้นมา

หวังฉิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องและมีแพทย์ที่ร่วมเดินทางช่วยเอากระสุนออกให้และคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด

เวลาผ่านไปนานเขาก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่เขารู้ก็คือว่าดินแดนเฮ่ยเฉิงถูกพวกเขาควบคุมมานานแล้วและไม่ได้รับอนุญาตให้พัฒนา ไม่งั้นผลที่จะตามมาคงคิดไม่ถึงแน่ๆ โชคดีที่ไอ้สิ่งนี้สามารถยิงคนได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น ถ้าหลบดีๆก็จะไม่ตาย

แต่ไม่มีใครที่จะรับประกันได้ว่าในดินแดนเฮ่ยเฉิงจะไม่มีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก เช่น ปืนพกที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มาก

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปหลายครั้งแล้วก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เขียนจดหมายและยื่นให้ลูกน้องของตัวเอง “ส่งไปให้เร็วที่สุด”

องครักษ์ชุดดำรับจดหมายมาและเดินหายไปอย่างรวดเร็ว

มือข้างที่ไม่บาดเจ็บของหวังฉิงทุบลงไปที่โต๊ะจนโต๊ะแตกกระจายเป็นสี่ส่วน “บ้าเอ๊ย!” เขาอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา

ในตอนนี้ หวังฉิงหวนนึกถึงท่าทางของมู่เทียนก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่าเธอรู้ว่าปืนพกคืออะไร อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ยอมที่จะบอกเขาว่าเธออยู่ข้างผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง นังผู้หญิงบ้า ถ้าเขาได้ตัวเธอกลับมา เธอจะต้องเจอดีแน่ๆ

อย่างน้อยเฟิงจือหลิงก็ยังอยู่ในมือเขา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรกับเฟิงจือหลิงดี

ตอนนี้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
อันที่จริงนี่ก็พูดไม่ได้ว่าเป็นการหักหลัง เดิมทีมู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้อยู่ทีมเดียวกับเขาอยู่แล้วแต่เป็นการถูกบังคับมา อย่างไรก็ตามหวังฉิงก็มองมู่หรงเสวี่ยว่าเป็นผู้หญิงของตัวเองมานานแล้ว เขายอมรับไม่ได้อยู่นาน พูดได้ว่ายังมีศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายอยู่ด้วย
ช่วงบ่ายนี้เฟิงจือหลิงถูกทำร้ายอยู่หลายครั้ง หวังฉิงเป็นคนที่ลงมือกับเขาเอง ถึงแม้จะฆ่าเขาไม่ได้แต่ได้ทรมานก็ยังถือว่าดี ถือซะว่าเป็นการเตือนถึงมู่เทียน

ที่ด้านนอกของบ้านหลังใหญ่มีเหล่าองครักษ์ที่นั่งหลับกันอยู่ด้านนอก เหล่าองครักษ์ตบไล่ยุ่งหลายคนจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาและรีบมองไปรอบๆอย่างระวังเพื่อดูว่ามีคนแปลกหน้าบ้างหรือเปล่า

กลุ่มของชายชุดดำเดินออกมาจากประตูเล็กของบ้านผู้ปกครองของดินแดนและรีบทำตัวกลืนไปกับความมืด พวกเขาคล่องแคล่วอย่างมากราวกับแมวดำที่ย่องเงียบในยามค่ำคืน ลมกระโชกแรงพัดผ่านเป็นบางครั้ง มีเสียงจักจั่นดังขึ้นมาและพวกเขาก็พึมพำเสียงเบา “ลมแรงมากเลยนะ”

ที่คฤหาสน์หลักมีแสงไฟสว่างจ้าและมีองครักษ์ในชุดดำเดินตรวจไปมากเป็นครั้งคราว ในคฤหาสน์มีห้องที่เป็นไม้ซึ่งมีกองกำลังเฝ้าอยู่เยอะมากและดูเหมือนจะกำลังเฝ้าคนสำคัญอยู่

ชายชุดดำรีบหมอบราบไปกับกำแพง เฝ้าดูพื้นที่และนับจำนวนของเหล่าองครักษ์ แล้วจึงหันไปส่งสัญญาณให้ชายชุดดำที่อยู่ไม่ห่าง ทันใดนั้นชายชุดดำนับสิบคนก็ยกผงยาที่อยู่ในมือขึ้นมาและโยนไปที่เหล่าผู้ตรวจการและองครักษ์ต่างๆ

เหล่าองครักษ์ก็ล้มลงไปทันทีก่อนที่จะทันได้ตอบโต้อะไร

ผู้นำของชายชุดดำคือหลินหยาง ประกายรอยยิ้มแวบในสายตาของเขา ผงที่มู่หรงเสวี่ยให้เขามานี่ใช้ง่ายกว่าเขาคิดไว้อีก

คนที่เหลือรีบเข้าไปงัดเปิดประตูของห้องไม้ที่ล็อกอยู่และอีกส่วนก็เฝ้าด้านนอกไว้ เพื่อกันองครักษ์คนอื่นที่จะเห็นการเคลื่อนไหวนี้

“เร็วเข้า!” หลินหยางพูด

หลังจากที่เปิดประตูห้องไม้แล้ว เขาก็เห็นร่างของชายที่สลบกองอยู่ที่พื้นพร้อมด้วยรอยแผลเล็กใหญ่ตามร่างกาย “เอาตัวเอามาและไปกันเถอะ!”

ในตอนนี้ องครักษ์ของอีกทีมเห็นถึงการเคลื่อนไหวนี้ พวกเขารีบวิ่งเข้ามาและมองไปที่สถานการณ์ด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นว่ามีเหล่าองครักษ์อยู่ทั่วไปหมดและรีบเคาะเกราะไม้ไผ่ทันที “ศัตรูโจมตี!”

แล้วทีมของเหล่าองครักษ์ก็รีบดึงดาบออกมาเผชิญหน้ากับพวกเขาทันที เพราะเสียงเมื่อกี้หลายคนที่หลับอยู่ในคฤหาสน์ก็รีบพุ่งไปที่ห้องเก็บฟืนทันที

“ไม่ ไปเร็ว!” พวกเขาที่เหลือตะโกนไปที่หลินหยาง

หนึ่งในพวกเขาพยุงเฟิงจือหลิงไว้ และคนที่เหลือต่างก็ดึงดาบออกมาเตรียมพร้อม แล้วเปิดช่องเพื่อที่จะออกไปนอกเขตบ้าน

“เคร้ง เคร้ง” เสียงดาบกระทบกันอย่างหนักในความมืด
หวังฉิงที่ยังหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา กระโดดลุกขึ้น หยิบดาบที่วางอยู่หัวเตียงและรีบไปในทิศทางของห้องเก็บฟืน

หลินหยางหยิบผงแป้งออกมาจากแขนตัวเองและโยนไปที่เหล่าองครักษ์ที่มาโจมตีเขา เหล่าองครักษ์จึงล้มลงไปกองกับพื้นทันทีเป็นบริเวณกว้าง “ไปเร็ว” คนทั้งสิบรีบวิ่งออกไปที่กำแพงด้วยความรวดเร็ว พวกเขาทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะป้องกันตัว ยังไงซะพวกเขาก็อยากที่จะสู้เพื่อราชาของตัวเอง จึงลงมือกันไม่ยั้ง

หวังฉิงเข้ามาเห็นเหล่าองครักษ์มากมายและรีบไปเปิดประตูห้องเก็บฟืนทันที สวยตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขากระโดดไปที่กำแพงและเห็นหลินหยางและคนอื่นๆกำลังล่าถอยไปอยู่ไกลๆ เขารีบวิ่งตามไปทันที “ไอ้หัวขโมย อย่าหนีนะ!”

หลินหยางและคนอื่นๆได้ยินเสียงตะโกนเบื้องหลัง จึงรีบเร่งความเร็วอย่างเงียบๆและแยกกลุ่มคนเป็นสองกลุ่ม สองทางทันที

หวังฉิงยืนอยู่ตรงทางแยกและทุบไปที่กำแพงเมือง “บ้าเอ๊ย!”

เขาไม่ได้ตามไป อีกฝ่ายมาเป็นกลุ่มแต่เขาตัวคนเดียว คงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไรที่จะตามไป เขาอาจจะพลาดเองได้ แต่เขาเองก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร ต้องเป็นมู่เทียนแน่ๆ ไม่ต้องเดาเลย เขานึกถึงเรื่องที่เธอยังไม่กลับออกมาเลยหลังจากที่เข้าไปในบ้านของผู้ปกครองแห่งดินแดน เธอคงจะต้องทำข้อตกลงอะไรกับผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงแน่ๆ

หวังฉิงกลับมาที่คฤหาสน์ของตัวเองในดินแดนเฮ่ยเฉิงพร้อมด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ในคฤหาสน์เองก็มีความวุ่นวายด้วยเหมือนกันและมีร่างของเหล่าองครักษ์มากมายที่ล้มกองอยู่กับพื้น เขานั่งลงยองๆเพื่อตรวจชีพจรของหนึ่งในองครักษ์และพบว่าพวกเขาเพียงแค่สลบไปแต่ยังไม่ตาย

ถ้าสามารถที่จะเรียกกองกำลังขนาดใหญ่มาได้ ก็คงจะเป็นความคิดที่ดี

“นายท่าน! พวกเรามาช้าไป!” เหล่าองครักษ์หลายคนคุกเข่าลงกับพื้น

“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” หวังฉิงลุกขึ้นและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในคฤหาสน์มีองครักษ์อยู่นับร้อยแต่กลับสู้คนแค่สิบคนไม่ได้ นี่ราวกับถูกตบเข้าที่หน้ากันชัดๆ

เหล่าองครักษ์หลายคนก้มหัวลง “เชิญลงโทษได้เลยขอรับ!”

เหล่าองครักษ์ของหวังฉิงต้องจัดการกับเรื่องอื่นมากมายอยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าจะต้องมาจัดการกับเรื่องคนอื่นๆอีก

“ลุกขึ้นและปลุกพวกคนที่กองอยู่กับพื้นนี่ด้วย!” นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาวุ่นวายแบบนี้ มันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะซุ่มวางแผนอย่างเงียบๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา องครักษ์หลายคนของหวังฉิงก็เข้ามาและพูดว่า “นายท่าน เหล่าองครักษ์ปลุกไม่ฟื้นเลยครับ…”

“เป็นอะไร? ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้หรือไง?” หวังฉิงไม่ห่วงเรื่ององครักษ์พวกนี้แต่ห่วงเรื่องผงแป้งมากกว่า

“ดูเหมือนว่าโดยยาในปริมาณที่มากเกินไป เดาว่าพรุ่งนี้พวกเขาก็น่าจะฟื้นขึ้นมาเองได้”

“ไปเรียกให้หมอใหญ่มาดูแล้วกัน เห็นหรือเปล่าว่าพวกนั้นใช้ยาอะไรกัน?” ถ้าผงยานี้ได้รับการผลิตในปริมาณที่มากๆ ไม่ต้องพูดถึงดินแดนแห่งไฟเลย แม้แต่ทั้งสามดินแดนรวมกันก็อาจจะยังต้านไม่ได้เลย บางทีพวกเขาน่าจะต้องพิจารณาเรื่องการจัดการดินแดนเฮ่ยเฉิงซะก่อนแล้วค่อยกลับมาสู้กันเองทีหลัง

“ไท่ยี่บอกว่ามันค่อนข้างยากที่จะบอกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ผงยาอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกันแต่ก็คล้ายๆกับยาที่ทรงอำนาจของเรา”

“ไร้สาระ ยานั้นจะทำให้คนสลบได้ในทันทีได้ยังไง?” หวังฉิงส่ายมือและพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชาเพราะยาที่ทรงอำนาจของพวกเขาต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็ 15 นาทีกว่าที่จะออกฤทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โดนก็ไม่ได้สลบไปในทันทีแต่สติจะค่อยๆเบลออย่างช้าๆ

องครักษ์คุกเข่าลงที่พื้นและไม่กล้าที่จะตอบอะไรอีก

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+