ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 313 ความโศกเศร้า

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 313 ความโศกเศร้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 313 ความโศกเศร้า

“สิ่งที่ฝ่าบาทอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ เจ้าควรที่จะดูแลตัวเอง ไม่งั้นฝ่าบาทก็คงจะเสียใจแน่ๆ” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“กินให้หมดเลยนะ ยังมีอีกเยอะเลย” ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฝางเสี่ยวโหรวพูดจะทำให้เธอรู้สึกอับอายมาก

หวังฉิงกระแอมออกมาเบาๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบมู่หรงเสวี่ยพูดไม่เกินสองคำ มีบางคนรู้สึกไม่พอใจเธอ องค์ชายไม่ได้พูดอะไรกับเธอและสีหน้าของเขาก็เย็นชา
“นางเป็นลูกสาวบ้านไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย?” หวังซิน นางสนมที่อยู่ถัดมาเองก็ถามคำถามเดียวกันซึ่งเสี่ยวโหรวก็อยู่ข้างหน้าเธอด้วย

วัตถุประสงค์ก็ชัดเจนอยู่แล้วคือเพื่อเตือนถึงเรื่องตัวตนของเธอ อย่าคิดใฝ่สูงมากนัก พวกเธอเคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลรวยๆของเมืองหลวงมามาก แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลเล็กๆในหุบเขา

มู่หรงเสวี่ยกินเพียงอาหารของตัวเองและไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้
ยุคโบราณกับยุคสมัยใหม่นี่แตกต่างกันจริงๆ พวกเขามีภรรยาหลายคนและยังมีนางสนมอีกและทุกคนต่างก็อยู่รวมกันอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องพวกนี้ ประเพณีของแต่ละยุคก็แตกต่างกันไป นี่คือความเหนือกว่าของผู้ชายและความด้อยกว่าของผู้หญิง เธอจะคาดหวังให้คนโบราณมาเข้าใจเรื่องผัวเดียวเมียเดียวแบบสมัยใหม่ก็คงไม่ได้

ทุกคนต่างก็มองมาที่มู่เทียน รอฟังคำตอบของเธอ! ทุกคนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังกินอย่างมีความสุขและไม่ได้ตั้งใจที่จะตอบอะไรออกมาเลยด้วย
แม้แต่หวังฉิงก็ทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาเองก็มองไปที่มู่เทียนและพูดออกมา “เจ้าจะไม่ตอบคำถามเวลาที่คนอื่นพูดด้วยหรือไง?”
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมาจากอาหารและแสยะยิ้มออกมา “เขาอยู่ที่ไหน?” ตลกจริงๆ นี่เขาคิดจริงๆเหรอว่าคนอย่างเธอจะเป็นผู้หญิงในฮาเล็มของเขาได้เนี่ย?! เธอไม่รังเกียจที่จะคอยย้ำเตือนเขาหรอก

อย่างที่คิดไว้ สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป “นี่เจ้าทรมานตัวเองและห่วงเขางั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้ทรมานตัวเอง นี่ข้าทำให้เจ้าเป็นห่วงงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน
“ปัง!” หวังฉิงทุบตะเกียบลงกับโต๊ะ
“ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ” ทุกคนรอบๆต่างก็รีบคุกเข่าลง รวมทั้งนางสนมข้างกายก็ไม่เว้น

มีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่ยังนั่งจ้องด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตรงข้ามหวังฉิง
สุดท้ายก็เป็นหวังฉิงเองที่พูดออกมา “ข้าจะพาเจ้าไปเจอเขาพรุ่งนี้”

“ลุกขึ้น”
ในตอนนี้กลุ่มคนไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมาอีกแล้ว
ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินระวังแต่ในใจกลับคิดไปได้มากมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะฝางเสี่ยวโหรว จากการสนทนาระหว่างหวังฉิงและมู่เทียน เธอก็มั่นใจได้อย่างว่ามู่เทียนไม่ใช่สาวที่บริสุทธิ์ในฮาเล็มแห่งนี้

เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้เธอจะได้เจอเฟิงจือหลิง มู่หรงเสวี่ยก็โล่งอกและสีหน้าของเธอก็อ่อนโยนลง
“เจ้าชอบสวนด้านหลังมากเลยงั้นเหรอ?” จู่ๆหวังฉิงก็ถามขึ้นมา
ฝางเสี่ยวโหรวกำตะเกียบแน่นอย่างกังวลและหัวใจของเธอก็เต้นรัว เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจที่เธอไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน มู่เทียนคนนี้สำคัญกับหัวใจของหวังฉิงมากกว่าที่เธอคิดไว้มาก

แม้แต่ในตอนนี้หวังฉิงก็ยังไม่ยอมให้เธอก้าวเข้าไปในสวนเลย
มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก แล้วก็ได้สติกลับมาและเข้าใจว่าหวังฉิงถามอะไร
“ก็ไม่เลว” เธอตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้สนใจความคิดในหัวใจของตัวเอง สวนนั่นก็ดีมากๆเลย วิวสวยมาก

สายตาของหวังฉิงแวบประกายรอยยิ้ม “ถ้าชอบก็พักอยู่ที่นั่นเถอะ”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและไม่ได้คิดอะไรมาก
หัวใจของฝางเสี่ยวโหรวรู้สึกตกใจอย่างมากและความอิจฉาที่แรงกล้าก็พุ่งขึ้นมาทันที

องค์ชายใจดีกับนางมากจนเธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองสั่นคลอน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ข้างองค์ชาย เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นองค์หญิง แต่เมื่อเวลาผ่านมานาน เธอก็เริ่มที่จะมั่นใจแล้วว่าตำแหน่งองค์หญิงจะต้องเป็นของเธอ

แต่ก่อนถึงแม้องค์ชายจะเย็นชาอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็ปฏิบัติกับเธออย่างดี เธอมักจะได้รับความเคารพอย่างที่เธอควรจะได้รับ ในคฤหาสน์ นอกจากองค์ชายแล้ว ก็มีเพียงเธอที่คำพูดมีน้ำหนัก ปกติแล้วองค์ชายจะไม่ค่อยสนใจใคร มีสมาชิกของตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมายที่อยากจะเข้ามาหาองค์ชาย แต่องค์ชายกลับไม่เคยสนใจเลย

ถึงแม้บางคนจะเป็นคู่สมรสที่จักรพรรดิมอบให้ก็ตามและพวกเธอต่างก็พร้อมจะสมรสโดยไม่ต้องถามองค์ชาย
เดิมทีเธอเคยคิดว่าถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตำแหน่งสนมเอกก็จะต้องตกเป็นของเธอแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆจะมีมู่เทียนโผล่เข้ามา แถมยังเป็นคนที่องค์ชายพากลับมาเองด้วยซ้ำ แบบนี้ก็เดาได้เลยว่านางจะมีความสำคัญมากแค่ไหน

ในจังหวะที่ไม่มีใครสนใจดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวก็แวบประกายดุดันขึ้นมาแต่ไม่นานก็จางหายไป
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังฉิงก็เดินกลับไปพร้อมกับมู่เทียน
“ถ้าผู้ชายอย่างเจ้าต้องการผู้หญิง ทำไมเจ้าต้องเป็นข้าด้วย?” มู่หรงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“แต่ผู้หญิงพวกนั้นไม่ใช่เจ้า” หวังฉิงจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาที่หนักแน่นและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ในชีวิตที่แล้ว เธอลองที่จะมีความรักซึ่งทำให้เธอได้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

“ข้าไม่มีวันชอบเจ้า งั้นยอมแพ้ซะเถอะ” มู่หรงพูดอย่างเย็นชาแล้วจึงเร่งเท้าเดินไป ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของเธอถึงแวบกลับไปนึกถึงอดีตอีกครั้ง
ทำให้หัวใจของเธอสั่นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าในช่วงที่เกิดความจำเสื่อมนี่มันเกิดอะไรขึ้นแต่เธอรู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียบางอย่างที่สำคัญอย่างมากไป
หวังฉิงเดินตามเธอมา กลายเป็นคนหนึ่งเดินหนีส่วนอีกคนหนึ่งเดินตาม แสงยามค่ำคืนทำให้เงาของทั้งสองคนซ้อนทับกัน

ที่ห่างออกไปโดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว มีอีกร่างที่ตามมาด้วย คนคนนั้นคือฝางเสี่ยวโหรว เธอไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้เกินไป จึงทำได้เพียงเดินตามจากระยะไกลๆ ส่วนพวกแม่บ้านที่คอยดูแล เธอก็บอกให้พวกนางกลับไปแล้ว

ฝางเสี่ยวโหรวตามไปพร้อมด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว ผู้ชายที่สูงศักดิ์อย่างองค์ชายต้องมาเดินตามผู้หญิงเมื่อไรกัน เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับไปที่ห้อง เธอก็ปิดประตูอย่างไร้มารยาทและกั้นไม่ให้หวังฉิงเข้าไปในห้องด้วย
หวังฉิงยืนเงียบอยู่นาน จนกระทั่งแสงไฟในห้องดับไปแล้วเขาจึงเดินออกไป
ที่กลางบ่อบัว ร่างที่บอบบางของฝางเสี่ยวโหรวกำลังยืนอยู่อย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท” ฝางเสี่ยวโหรวร้องเรียกเขา
“นี่มันก็กลางดึกแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่กลับไปพักอีกล่ะ?” หวังฉิงถามเสียงเบา
“มีบางเรื่องที่ข้าต้องขอคำแนะนำจากท่าน?” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้ม
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หวังฉิงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน พวกเขาเดินกลับไปที่โถงหลังด้วยกัน

“เป็นเรื่องของน้องเล็ก นางเพิ่งเข้ามาที่คฤหาสน์และอาจจะยังไม่คุ้นเคย ข้าอยากที่จะทำให้นางได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้แต่ดูเหมือนนางจะไม่สนใจนามสนมของข้าเท่าไร ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงมาถามท่าน”
หลังจากที่เงียบไป ฝางเสี่ยวโหรวก็พูดต่อ “ถึงแม้ท่านจะไม่สนใจ แต่ก็ควรที่จะสนใจเรื่องตระกูลของผู้หญิงด้วย มันเป็นเรื่องยากที่ตระกูลไร้หัวนอนปลายเท้าจะเข้ามาอยู่ในวัง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฝางเสี่ยวโหรวก็ชำเลืองมองไปที่สีหน้าของหวังฉิงเล็กน้อยและพบว่าสีหน้าของเขาเริ่มที่จะเครียดขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะจริงจัง เมื่อเขาได้ฟัง เขาก็เริ่มที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมานิดหน่อย เขาต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

ปกติแล้วนางสนมหลายคนที่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ องค์ชายจะบอกให้เธอตัดสินใจไปตามเหมาะสมได้เลยแต่ตอนนี้เขากำลังคิดอย่างจริงจัง
ถึงแม้เธอจะไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายสนใจผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ
“ทำไมเหรอ?” หวังฉิงไม่ได้ยินเรื่องที่ฝางเสวี่ยโหรวพูด

“ข้าอยากจะให้น้องเล็กมาเป็นนางสนม แบบนั้นคงจะดีกว่า ยังไงซะตำหนักที่สวนด้านหลังก็เกินตำแหน่งของนางไปหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยถามน้องเรื่องตระกูลของนางแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากที่จะบอกเท่าไร ไม่รู้ว่ากังวลเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“นางสนมงั้นเหรอ?” สีหน้าของหวังฉิงครึมขึ้น เธอจะเป็นนางสนมได้ยังไง?
สีหน้าของฝางเสี่ยวโหรวสะดุดและรอยยิ้มของเธอก็จางลงเล็กน้อย นี่องค์ชายอยากจะยกบัลลังก์ให้ผู้หญิงคนนี้จริงๆงั้นเหรอ?

เธอพยายามอดกลั้นและกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ปล่อยมือและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “องค์ชาย อันที่จริงการเป็นนางสนมก็เพื่อประโยชน์ของนางเองด้วยเหมือนกัน”
“เหรอ?” สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและเขาก็จ้องไปที่ดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวมากขึ้นไปอีก

“ท่านทรงอำนาจที่สุดเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในดินแดนแห่งไฟ ท่านไม่รู้หรือไงว่ามีตระกูลขุนนางมากแค่ไหนที่กำลังจ้องในจุดของเราอยู่?! ตัวตนของน้องเล็กก็จะถูกจับตามองมากขึ้น ถ้านางได้เป็นพระสนมของว่าที่จักรพรรดิ ทุกคนก็จะต้องเล็งมาที่น้องเล็ก ใช่ไหมคะ?”
“ใครมันจะกล้า?”
“ข้าเชื่อว่าท่านจะปกป้องนางได้แต่ผู้คนก็จะไม่ลืมเรื่องนี้หรอก ใช่ไหมเจ้าคะ?! ข้าคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ข้าเกรงว่าน้องเล็กอาจจะไม่คุ้นเคย ยังไงนางก็ยังใหม่กับที่นี่อยู่” ฝางเสี่ยวโหรวพูดอีกครั้งอย่างเนียนๆ

หวังฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดพวกนี้เลย
“ข้าจะเอาไปคิดดูนะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเสี่ยวโหรว”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ฝ่าบาทนี่ก็ดึกมากแล้ว รักษาสุขภาพแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำดีกว่านะเจ้าคะ?” ฝางเสี่ยวโหรวมองพร้อมสายตาที่คาดหวังและสีหน้าของเธอก็แดงระเรื่อ

“มันก็ดึกมากแล้วจริงๆ กลับไปพักเถอะ” แล้วเขาก็หันหลังและเดินไปอีกทาง เหลือไว้เพียงใบหน้าเล็กที่ยังยืนอยู่จุดเดิม
เธออุตส่าห์แบกหน้าตามองค์ชายมาถึงที่นี่ แต่องค์ชายกลับทิ้งเธอไว้และปฏิเสธที่ค้างกับเธอ
เธอแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าทั้งผืน หลังจากเวลาผ่านไปนาน เธอก็หันกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่เทียน, มู่เทียน จะโผล่หน้ามาทำไมเนี่ย

อันที่จริงจู่ๆหวังฉิงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณฝางเสี่ยวโหรวที่เตือนเรื่องนี้กับเขา
มู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมาก เขาจะต้องให้คนไปสร้างตัวตนให้เธอโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นเธอคงจะผ่านด้านท่านพ่อไปไม่ได้แน่ๆ
เมื่อคิดถึงคำพูดของมู่เทียนวันนี้ เขาก็รู้สึกชัดเจนอย่างมาก มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องพาผู้หญิงแบบนี้กลับมาแล้วปิดกั้นเขาขนาดนี้ เขารู้สึกเศร้ามากกว่าการที่ไม่ได้เจอเธออีก

การที่ได้เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
การไม่เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
นี่เป็นดั่งยาพิษ แต่จะทำยังไงได้ เขาไม่ต้องการยารักษาเลยสักนิด
หวังฉิงนวดขมับที่กำลังปวด นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ในตอนนี้นี้ มู่หรงล็อกประตูแล้วและเข้าไปที่มิติลับ และเป็นอีกครั้งที่เธอลากเจ้าลูกบอลสีขาวออกมาถาม เธอจะต้องรู้ว่าตัวเองมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่า?
เสวี่ยไป๋ปฏิเสธทันที อันที่จริงเสี่ยวไป๋ไม่เคยได้ยินมู่หรงเสวี่ยพูดถึงคนรักเลย แต่เฟิงจือหลิงเคยได้ยินเรื่องนี้
มู่หรงรู้สึกทรมานและหัวใจก็โศกเศร้าไปพร้อมๆกันด้วย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 313 ความโศกเศร้า

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 313 ความโศกเศร้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 313 ความโศกเศร้า

“สิ่งที่ฝ่าบาทอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ เจ้าควรที่จะดูแลตัวเอง ไม่งั้นฝ่าบาทก็คงจะเสียใจแน่ๆ” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“กินให้หมดเลยนะ ยังมีอีกเยอะเลย” ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฝางเสี่ยวโหรวพูดจะทำให้เธอรู้สึกอับอายมาก

หวังฉิงกระแอมออกมาเบาๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบมู่หรงเสวี่ยพูดไม่เกินสองคำ มีบางคนรู้สึกไม่พอใจเธอ องค์ชายไม่ได้พูดอะไรกับเธอและสีหน้าของเขาก็เย็นชา
“นางเป็นลูกสาวบ้านไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย?” หวังซิน นางสนมที่อยู่ถัดมาเองก็ถามคำถามเดียวกันซึ่งเสี่ยวโหรวก็อยู่ข้างหน้าเธอด้วย

วัตถุประสงค์ก็ชัดเจนอยู่แล้วคือเพื่อเตือนถึงเรื่องตัวตนของเธอ อย่าคิดใฝ่สูงมากนัก พวกเธอเคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลรวยๆของเมืองหลวงมามาก แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของลูกสาวตระกูลเล็กๆในหุบเขา

มู่หรงเสวี่ยกินเพียงอาหารของตัวเองและไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้
ยุคโบราณกับยุคสมัยใหม่นี่แตกต่างกันจริงๆ พวกเขามีภรรยาหลายคนและยังมีนางสนมอีกและทุกคนต่างก็อยู่รวมกันอย่างสันติ
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องพวกนี้ ประเพณีของแต่ละยุคก็แตกต่างกันไป นี่คือความเหนือกว่าของผู้ชายและความด้อยกว่าของผู้หญิง เธอจะคาดหวังให้คนโบราณมาเข้าใจเรื่องผัวเดียวเมียเดียวแบบสมัยใหม่ก็คงไม่ได้

ทุกคนต่างก็มองมาที่มู่เทียน รอฟังคำตอบของเธอ! ทุกคนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังกินอย่างมีความสุขและไม่ได้ตั้งใจที่จะตอบอะไรออกมาเลยด้วย
แม้แต่หวังฉิงก็ทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาเองก็มองไปที่มู่เทียนและพูดออกมา “เจ้าจะไม่ตอบคำถามเวลาที่คนอื่นพูดด้วยหรือไง?”
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมาจากอาหารและแสยะยิ้มออกมา “เขาอยู่ที่ไหน?” ตลกจริงๆ นี่เขาคิดจริงๆเหรอว่าคนอย่างเธอจะเป็นผู้หญิงในฮาเล็มของเขาได้เนี่ย?! เธอไม่รังเกียจที่จะคอยย้ำเตือนเขาหรอก

อย่างที่คิดไว้ สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป “นี่เจ้าทรมานตัวเองและห่วงเขางั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้ทรมานตัวเอง นี่ข้าทำให้เจ้าเป็นห่วงงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดประชดประชัน
“ปัง!” หวังฉิงทุบตะเกียบลงกับโต๊ะ
“ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ” ทุกคนรอบๆต่างก็รีบคุกเข่าลง รวมทั้งนางสนมข้างกายก็ไม่เว้น

มีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่ยังนั่งจ้องด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตรงข้ามหวังฉิง
สุดท้ายก็เป็นหวังฉิงเองที่พูดออกมา “ข้าจะพาเจ้าไปเจอเขาพรุ่งนี้”

“ลุกขึ้น”
ในตอนนี้กลุ่มคนไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมาอีกแล้ว
ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินระวังแต่ในใจกลับคิดไปได้มากมายหลายเรื่อง โดยเฉพาะฝางเสี่ยวโหรว จากการสนทนาระหว่างหวังฉิงและมู่เทียน เธอก็มั่นใจได้อย่างว่ามู่เทียนไม่ใช่สาวที่บริสุทธิ์ในฮาเล็มแห่งนี้

เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้เธอจะได้เจอเฟิงจือหลิง มู่หรงเสวี่ยก็โล่งอกและสีหน้าของเธอก็อ่อนโยนลง
“เจ้าชอบสวนด้านหลังมากเลยงั้นเหรอ?” จู่ๆหวังฉิงก็ถามขึ้นมา
ฝางเสี่ยวโหรวกำตะเกียบแน่นอย่างกังวลและหัวใจของเธอก็เต้นรัว เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจที่เธอไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน มู่เทียนคนนี้สำคัญกับหัวใจของหวังฉิงมากกว่าที่เธอคิดไว้มาก

แม้แต่ในตอนนี้หวังฉิงก็ยังไม่ยอมให้เธอก้าวเข้าไปในสวนเลย
มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก แล้วก็ได้สติกลับมาและเข้าใจว่าหวังฉิงถามอะไร
“ก็ไม่เลว” เธอตอบเสียงเรียบ โดยไม่ได้สนใจความคิดในหัวใจของตัวเอง สวนนั่นก็ดีมากๆเลย วิวสวยมาก

สายตาของหวังฉิงแวบประกายรอยยิ้ม “ถ้าชอบก็พักอยู่ที่นั่นเถอะ”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและไม่ได้คิดอะไรมาก
หัวใจของฝางเสี่ยวโหรวรู้สึกตกใจอย่างมากและความอิจฉาที่แรงกล้าก็พุ่งขึ้นมาทันที

องค์ชายใจดีกับนางมากจนเธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองสั่นคลอน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ข้างองค์ชาย เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นองค์หญิง แต่เมื่อเวลาผ่านมานาน เธอก็เริ่มที่จะมั่นใจแล้วว่าตำแหน่งองค์หญิงจะต้องเป็นของเธอ

แต่ก่อนถึงแม้องค์ชายจะเย็นชาอยู่นิดหน่อย แต่เขาก็ปฏิบัติกับเธออย่างดี เธอมักจะได้รับความเคารพอย่างที่เธอควรจะได้รับ ในคฤหาสน์ นอกจากองค์ชายแล้ว ก็มีเพียงเธอที่คำพูดมีน้ำหนัก ปกติแล้วองค์ชายจะไม่ค่อยสนใจใคร มีสมาชิกของตระกูลที่มีชื่อเสียงมากมายที่อยากจะเข้ามาหาองค์ชาย แต่องค์ชายกลับไม่เคยสนใจเลย

ถึงแม้บางคนจะเป็นคู่สมรสที่จักรพรรดิมอบให้ก็ตามและพวกเธอต่างก็พร้อมจะสมรสโดยไม่ต้องถามองค์ชาย
เดิมทีเธอเคยคิดว่าถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตำแหน่งสนมเอกก็จะต้องตกเป็นของเธอแน่ๆ ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆจะมีมู่เทียนโผล่เข้ามา แถมยังเป็นคนที่องค์ชายพากลับมาเองด้วยซ้ำ แบบนี้ก็เดาได้เลยว่านางจะมีความสำคัญมากแค่ไหน

ในจังหวะที่ไม่มีใครสนใจดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวก็แวบประกายดุดันขึ้นมาแต่ไม่นานก็จางหายไป
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังฉิงก็เดินกลับไปพร้อมกับมู่เทียน
“ถ้าผู้ชายอย่างเจ้าต้องการผู้หญิง ทำไมเจ้าต้องเป็นข้าด้วย?” มู่หรงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“แต่ผู้หญิงพวกนั้นไม่ใช่เจ้า” หวังฉิงจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาที่หนักแน่นและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ในชีวิตที่แล้ว เธอลองที่จะมีความรักซึ่งทำให้เธอได้รู้ว่าความรักเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ

“ข้าไม่มีวันชอบเจ้า งั้นยอมแพ้ซะเถอะ” มู่หรงพูดอย่างเย็นชาแล้วจึงเร่งเท้าเดินไป ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของเธอถึงแวบกลับไปนึกถึงอดีตอีกครั้ง
ทำให้หัวใจของเธอสั่นรัวขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าในช่วงที่เกิดความจำเสื่อมนี่มันเกิดอะไรขึ้นแต่เธอรู้สึกว่าตัวเองได้สูญเสียบางอย่างที่สำคัญอย่างมากไป
หวังฉิงเดินตามเธอมา กลายเป็นคนหนึ่งเดินหนีส่วนอีกคนหนึ่งเดินตาม แสงยามค่ำคืนทำให้เงาของทั้งสองคนซ้อนทับกัน

ที่ห่างออกไปโดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว มีอีกร่างที่ตามมาด้วย คนคนนั้นคือฝางเสี่ยวโหรว เธอไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้เกินไป จึงทำได้เพียงเดินตามจากระยะไกลๆ ส่วนพวกแม่บ้านที่คอยดูแล เธอก็บอกให้พวกนางกลับไปแล้ว

ฝางเสี่ยวโหรวตามไปพร้อมด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว ผู้ชายที่สูงศักดิ์อย่างองค์ชายต้องมาเดินตามผู้หญิงเมื่อไรกัน เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับไปที่ห้อง เธอก็ปิดประตูอย่างไร้มารยาทและกั้นไม่ให้หวังฉิงเข้าไปในห้องด้วย
หวังฉิงยืนเงียบอยู่นาน จนกระทั่งแสงไฟในห้องดับไปแล้วเขาจึงเดินออกไป
ที่กลางบ่อบัว ร่างที่บอบบางของฝางเสี่ยวโหรวกำลังยืนอยู่อย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท” ฝางเสี่ยวโหรวร้องเรียกเขา
“นี่มันก็กลางดึกแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่กลับไปพักอีกล่ะ?” หวังฉิงถามเสียงเบา
“มีบางเรื่องที่ข้าต้องขอคำแนะนำจากท่าน?” ฝางเสี่ยวโหรวพูดพร้อมรอยยิ้ม
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หวังฉิงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้หยุดเดิน พวกเขาเดินกลับไปที่โถงหลังด้วยกัน

“เป็นเรื่องของน้องเล็ก นางเพิ่งเข้ามาที่คฤหาสน์และอาจจะยังไม่คุ้นเคย ข้าอยากที่จะทำให้นางได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้แต่ดูเหมือนนางจะไม่สนใจนามสนมของข้าเท่าไร ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงมาถามท่าน”
หลังจากที่เงียบไป ฝางเสี่ยวโหรวก็พูดต่อ “ถึงแม้ท่านจะไม่สนใจ แต่ก็ควรที่จะสนใจเรื่องตระกูลของผู้หญิงด้วย มันเป็นเรื่องยากที่ตระกูลไร้หัวนอนปลายเท้าจะเข้ามาอยู่ในวัง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฝางเสี่ยวโหรวก็ชำเลืองมองไปที่สีหน้าของหวังฉิงเล็กน้อยและพบว่าสีหน้าของเขาเริ่มที่จะเครียดขึ้นมานิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะจริงจัง เมื่อเขาได้ฟัง เขาก็เริ่มที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมานิดหน่อย เขาต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

ปกติแล้วนางสนมหลายคนที่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ องค์ชายจะบอกให้เธอตัดสินใจไปตามเหมาะสมได้เลยแต่ตอนนี้เขากำลังคิดอย่างจริงจัง
ถึงแม้เธอจะไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายสนใจผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ
“ทำไมเหรอ?” หวังฉิงไม่ได้ยินเรื่องที่ฝางเสวี่ยโหรวพูด

“ข้าอยากจะให้น้องเล็กมาเป็นนางสนม แบบนั้นคงจะดีกว่า ยังไงซะตำหนักที่สวนด้านหลังก็เกินตำแหน่งของนางไปหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าเคยถามน้องเรื่องตระกูลของนางแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากที่จะบอกเท่าไร ไม่รู้ว่ากังวลเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“นางสนมงั้นเหรอ?” สีหน้าของหวังฉิงครึมขึ้น เธอจะเป็นนางสนมได้ยังไง?
สีหน้าของฝางเสี่ยวโหรวสะดุดและรอยยิ้มของเธอก็จางลงเล็กน้อย นี่องค์ชายอยากจะยกบัลลังก์ให้ผู้หญิงคนนี้จริงๆงั้นเหรอ?

เธอพยายามอดกลั้นและกำผ้าเช็ดหน้าแน่น
หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ปล่อยมือและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “องค์ชาย อันที่จริงการเป็นนางสนมก็เพื่อประโยชน์ของนางเองด้วยเหมือนกัน”
“เหรอ?” สีหน้าของเขายังคงเย็นชาและเขาก็จ้องไปที่ดวงตาของฝางเสี่ยวโหรวมากขึ้นไปอีก

“ท่านทรงอำนาจที่สุดเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในดินแดนแห่งไฟ ท่านไม่รู้หรือไงว่ามีตระกูลขุนนางมากแค่ไหนที่กำลังจ้องในจุดของเราอยู่?! ตัวตนของน้องเล็กก็จะถูกจับตามองมากขึ้น ถ้านางได้เป็นพระสนมของว่าที่จักรพรรดิ ทุกคนก็จะต้องเล็งมาที่น้องเล็ก ใช่ไหมคะ?”
“ใครมันจะกล้า?”
“ข้าเชื่อว่าท่านจะปกป้องนางได้แต่ผู้คนก็จะไม่ลืมเรื่องนี้หรอก ใช่ไหมเจ้าคะ?! ข้าคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ข้าเกรงว่าน้องเล็กอาจจะไม่คุ้นเคย ยังไงนางก็ยังใหม่กับที่นี่อยู่” ฝางเสี่ยวโหรวพูดอีกครั้งอย่างเนียนๆ

หวังฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องรายละเอียดพวกนี้เลย
“ข้าจะเอาไปคิดดูนะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเสี่ยวโหรว”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ฝ่าบาทนี่ก็ดึกมากแล้ว รักษาสุขภาพแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำดีกว่านะเจ้าคะ?” ฝางเสี่ยวโหรวมองพร้อมสายตาที่คาดหวังและสีหน้าของเธอก็แดงระเรื่อ

“มันก็ดึกมากแล้วจริงๆ กลับไปพักเถอะ” แล้วเขาก็หันหลังและเดินไปอีกทาง เหลือไว้เพียงใบหน้าเล็กที่ยังยืนอยู่จุดเดิม
เธออุตส่าห์แบกหน้าตามองค์ชายมาถึงที่นี่ แต่องค์ชายกลับทิ้งเธอไว้และปฏิเสธที่ค้างกับเธอ
เธอแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าทั้งผืน หลังจากเวลาผ่านไปนาน เธอก็หันกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว
มู่เทียน, มู่เทียน จะโผล่หน้ามาทำไมเนี่ย

อันที่จริงจู่ๆหวังฉิงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณฝางเสี่ยวโหรวที่เตือนเรื่องนี้กับเขา
มู่เทียนไม่ใช่คนจากโลกนี้ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมาก เขาจะต้องให้คนไปสร้างตัวตนให้เธอโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นเธอคงจะผ่านด้านท่านพ่อไปไม่ได้แน่ๆ
เมื่อคิดถึงคำพูดของมู่เทียนวันนี้ เขาก็รู้สึกชัดเจนอย่างมาก มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องพาผู้หญิงแบบนี้กลับมาแล้วปิดกั้นเขาขนาดนี้ เขารู้สึกเศร้ามากกว่าการที่ไม่ได้เจอเธออีก

การที่ได้เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
การไม่เจอก็เป็นเรื่องทุกข์
นี่เป็นดั่งยาพิษ แต่จะทำยังไงได้ เขาไม่ต้องการยารักษาเลยสักนิด
หวังฉิงนวดขมับที่กำลังปวด นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ในตอนนี้นี้ มู่หรงล็อกประตูแล้วและเข้าไปที่มิติลับ และเป็นอีกครั้งที่เธอลากเจ้าลูกบอลสีขาวออกมาถาม เธอจะต้องรู้ว่าตัวเองมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่า?
เสวี่ยไป๋ปฏิเสธทันที อันที่จริงเสี่ยวไป๋ไม่เคยได้ยินมู่หรงเสวี่ยพูดถึงคนรักเลย แต่เฟิงจือหลิงเคยได้ยินเรื่องนี้
มู่หรงรู้สึกทรมานและหัวใจก็โศกเศร้าไปพร้อมๆกันด้วย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+