ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 316 หิวมากงั้นเหรอ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 316 หิวมากงั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 316
หิวมากงั้นเหรอ

ดวงตาของมู่หรงหันมาชั่วครู่ พยุงเฟิงจือหลิงที่กำลังนอนอยู่ที่พื้น เธอโยนเขาเข้าไปในมิติลับ

หวังฉิงไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ หลังจากที่เห็นท่าทางของ มู่หรงเสวี่ย เขาพยายามที่จะหยุดเธอแต่มันก็สายเกินไป

มู่หรงเสวี่ยยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับหวังฉิง

“เอาเขาออกมา ไม่งั้นข้าจะไม่รับปากว่าข้าจะทำอะไรบ้าง?” หวังฉิงพูด

“ไม่ เขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

ดวงตาของหวังฉิงแวบประกายแสงแล้วจึงเผยรอยยิ้ม “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเขาคือคนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่?”
“เจ้าหมายความว่าไง?” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป

“เจ้าลืมครั้งที่แล้วที่พวกของเจ้าโผล่มาที่บ้านแล้วงั้นเหรอ?”

สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปหลายครั้ง แน่นอน เธอไม่ได้ลืมเรื่องครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเฟิงจือหลิงเป็นตัวปลอม ครั้งนี้ก็เหมือนกันงั้นเหรอ?!

หวังฉิงไม่รู้ความคิดและสีหน้าของเธอ เขามองไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือเปล่า

มู่หรงคิดอยู่สักพักแล้วไม่นานเธอก็หายไปจากจุดที่ยืน

ครั้งนี้หวังฉิงที่ยังอยู่ข้างนอกร้อนรนด้วยความตกใจ สีหน้าที่นิ่งสงบในตอนแรกของเขาจางหายไป

“มู่เทียน เจ้าออกมาเลยนะ”

“มู่เทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าออกมาเลยนะ!”
“มู่เทียน…” หวังฉิงร้องเรียกออกไปในอากาศ

ทหารมากมายของหวังฉิงและยังผู้คุมที่อยู่นอกห้องขังอีกต่างก็ตกใจมากกว่าอีก อยู่ดีๆคนสองคนก็หายตัวไปกลางห้องขัง แบบนี้พวกเขาจะไม่ตกใจได้ยังไงล่ะ?!

“ผี ผี…” หนึ่งในผู้คุมตัวสั่นเทิ้ม

“โอ้ พระเจ้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

แค่คิดว่าคนที่อยู่กับพวกเขามาตั้งหลายวันแต่ใครจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นผี แค่นี้พวกเขาก็ขนลุกแล้ว

สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา “ตะโกนหาอะไรกัน?”

“ท่านหวังฉิง สองคนนั้น…” ผู้คุมชี้ไปที่ห้องขังพร้อมขาที่สั่นเทา

“ก็แค่การปลอมตัว ไอ้พวกโง่ ส่งคนออกไปค้นหาและอย่าให้ยุงแม้แต่ตัวเดียวหลุดออกไปได้นะ” หวังฉิงสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แล้วหันไปรอบๆและนั่งลงที่เก้าอี้ไม้นอกห้องขัง จ้องไปที่ห้องขังไม่วางตา

หลังจากที่ได้รับคำสั่ง ผู้คุมก็รีบสั่งให้ทหารที่อยู่ด้านนอกล้อมห้องขังเล็กๆนี้ไว้

ใบหน้าที่คมได้รูปของหวังฉิงเคร่งเครียดขึ้น เขารู้อยู่แล้วว่ามู่เทียนเจ้าเล่ห์และเขาก็เตรียมทุกอย่างมาอย่างดีแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะทำแบบนี้ “บ้าจริง!” เขาทุบไปที่โต๊ะไม้อย่างแรง

ผู้คุมและทหารที่อยู่รอบๆอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไปพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะไม้แต่ไม่มีใครกล้าที่จะหันไปมองสีหน้าของหวังฉิง

มู่หรงเข้าไปในมิติลับและพบว่าเฟิงจือหลิงยังไม่ฟื้นอีก และเสี่ยวไป๋ก็กำลังดูอยู่

“เขาเป็นอะไรเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถาม

“ไม่เป็นไร ข้าจะดูเอง” มันก็ดีแล้วที่ยังไม่ฟื้น เธอจะได้ตรวจอย่างสะดวก
มู่หรงเสวี่ยคุกเข่าลงและปลดกระดุมเสื้อเขาออก

เจ้าลูกบอลสีขาวไม่อยากจะเชื่อ มันมองมาที่มู่หรงเสวี่ยและพูดออกมา “เจ้า เจ้า เจ้าหิวกระหายมากหรือไง นี่มันยังกลางวันแสกๆอยู่เลยนะ…”

เมื่อมู่หรงได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ เธอไม่ได้โกรธแต่หันไปชกหมัดใส่เสี่ยวไป๋ “พูดอะไรไร้สาระ?”

“เจ้ากำลังคิดอะไรถึงได้ถอดเสื้อผ้าเขาแบบนี้ล่ะ? ข้าไม่ได้พูดอะไรไร้สาระสักหน่อย” เสี่ยวไป๋พึมพำ

มู่หรงเตะไปที่เขา “ไปให้พ้นเลย อย่ามาเกะกะข้า”

“ไปก็ได้ ข้าจะยกสนามให้ก็ได้ ใครจะกล้าปฏิเสธได้…” เสี่ยวไป๋พูดกับตัวเองไปเรื่อยตลอดทาง

มู่หรงกรอกตาและหันกลับมาตรวจร่างกายเฟิงจือหลิงอย่างละเอียดเพื่อหาร่องรอยการปลอมตัว

หลังจากที่ดูอยู่นาน มู่หรงก็ไม่เจอร่องรอยการปลอมตัวตรงไหน

เธอยื่นมือออกไปและแตะไปที่ใบหน้า ถ้ามีการเปลี่ยนหน้ามา สัมผัสจะต้องแตกต่าง ในระหว่างที่มู่หรงกำลังตรวจคอของเฟิงจือหลิงอย่างละเอียด ขนตาของเฟิงจือหลิงก็เริ่มสั่นแล้วก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นใบหน้าในความฝันปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นความฝันและไม่อยากที่จะฟื้นสติอยู่นาน

“น่าแปลก ไม่มีอะไรเลย” มือของมู่หรงแตะไปที่ผิวหนังของเฟิงจือหลิงเล็กน้อย

เฟิงจือหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเล็กน้อย สัมผัสของมือที่อ่อนนุ่มของมู่เทียนที่กำลังลูบไปตามผิวหนังของเขาทำให้เขารู้สึกหลงใหลแล้วทั่วร่างกายก็เริ่มที่จะรู้สึกร้อนขึ้นมานิดหน่อย
เขายื่นมือออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ จับมือเล็กเรียวของมู่หรงเสวี่ยและร้องเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “มู่เทียน…”

มู่หรงเสวี่ยรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที เห็นดวงตาที่ดูซับซ้อนและน่าหลงใหลคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและถามออกมา “เจ้าฟื้นแล้วเหรอ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ถึงแม้จะถามออกไปแต่มู่หรงก็ยังจ้องไปที่เฟิงจือหลิงตาเขม็ง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า แล้วยื่นมือออกไปลูบเบาๆที่ใบหน้าของมู่หรง “นี่ไม่ใช่ความฝัน” นี่เป็นเรื่องจริง

แน่นอน มันยากที่จะเชื่อแต่ความฝันจะจางหายไปได้ เฟิงจือหลิงตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อมู่หรงเสวี่ยจ้องมาที่เขาแปลกๆ เขาก็ได้สติ เมื่อเขาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร เขาก็รีบดึงมือตัวเองกลับทันทีแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความอายเล็กน้อย

“เราเข้ามาในมิติลับได้ยังไง?” เฟิงจือหลิงถาม

เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไป เขาอยู่ในห้องขัง
มู่หรงเดินไปหาผลไม้แห่งจิตวิญญาณพลังงานต่ำมาและส่งให้เฟิงจือหลิง “เจ้าน่าจะกินผลไม้แห่งจิตวิญญาณนี่ก่อน ร่างกายเจ้ายังอ่อนแออยู่ ผลไม้แห่งจิตวิญญาณนี่จะช่วยฟื้นพลังให้ร่างกายเจ้าได้”

ตอนที่เธอกำลังลังเลแล้วเธอก็ได้ยินเขาพูดคำว่ามิติลับออกมาก็รู้ได้เลยว่านี่คือเฟิงจือหลิงตัวจริง เธอไม่ต้องเดาเลย

เฟิงจือหลิงรับผลไม้มาและกัดไปคำเล็กแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่มู่เทียนด้วยความกังวล “ครั้งนี้เจ้าจะไปไหนอีก? ข้าเป็นห่วงเจ้านะ มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม นี่คือเพื่อนเธอ “ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ได้เลย ข้ามีบางเรื่องที่ต้องไปจัดการ ข้าต้องออกไปจัดการหน่อย”

“เจ้าจะไปไหน? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เฟิงจือหลิงรีบวางผลไม้แห่งจิตวิญญาณและพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ข้าแค่จะออกไปดูสถานการณ์หน่อย”
เฟิงจือหลิงลุกขึ้นกะทันหันและเดาว่าเขาคงไม่ได้กินอะไรมานาน นอกจากนี้เขายังได้รับยาเกินขนาดอยู่หลายวันด้วย ร่างกายเขาก็ยังอ่อนแออยู่นิดหน่อยดังนั้นเขาจึงเซอยู่หลายครั้งและเกือบที่จะล้มลงไป

เมื่อเห็นแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงรีบเข้ามาช่วยเขา “เห็นไหม เจ้ายังอ่อนแออยู่เลย ให้ข้าช่วยพวกเจ้าเข้าไปพักนะ” มู่หรงพูด

อันที่จริง เธอจะไม่ปล่อยให้เฟิงจือหลิงออกไป คนเดียวลงมือมันสะดวกกว่าสองคนมาก อย่างน้อยเธอก็ต้องออกจากดินแดนแห่งไฟให้ได้ก่อน

มู่หรงพยุงเฟิงจือหลิงไปนั่งที่โซฟาแล้วจึงพูดออกมา “ส่งมือเจ้ามา”

เฟิงจือหลิงยื่นมือออกไปและมองด้วยความสงสัย

“ข้าจะดูว่าภายในเจ้าเป็นยังไงบ้าง อย่าฝืนนะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

จนกระทั่งเธอมั่นใจแล้วว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองยังมีอยู่ มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งอก ยังไงซะเธอก็สูญเสียความทรงจำไป แม้ว่าเธอจะนึกชิ้นส่วนอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง แต่ยังไงซะเรื่องส่วนใหญ่เธอก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี เธอยังรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆในหัวใจอยู่ดี

“พักผ่อนเถอะ ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ กินผลเยอะๆนะ ถ้าเจ้ามีอะไรสงสัยก็ถามเสี่ยวไป๋ได้เลยนะ” มู่หรงชี้ไปที่เสี่ยวไป๋ที่อยู่ไม่ห่างและพูดออกมา

เฟิงจือหลิงมองไปตามทิศทางที่มู่หรงชี้ แล้วจู่ๆก็นั่งหลังตรงขึ้นมาทันทีพร้อมถามออกมาอย่างสุภาพ “เขาเป็นใครเหรอ?”

มีผู้ชายคนอื่นในมิติลับได้ยังไงเนี่ย?!

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปชั่วขณะ “เขาคือเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เหรอ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง? เสี่ยวไป๋เป็นเจ้าตัวกลมไม่ใช่เหรอ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยความประหลาดใจ
มู่หรงขมวดคิ้ว หลังจากที่เธอเสียความทรงจำไปพอเธอเข้ามาในมิติลับก็เห็นเจ้าลูกบอลขาวกลายเป็นแบบนี้แล้ว แต่ทำไมเฟิงจือหลิงจะต้องแปลกใจขนาดนี้ด้วย

หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก มู่หรงก็พูดออกมาเสียงเรียบ “ข้าสูญเสียความทรงจำไป”

“อะไร อะไรนะ?” เฟิงจือหลิงตะลึง สายตาที่เย็นชาของเขากลายเป็นประหลาดใจและกลายเป็นกังวลขึ้นมาทันที “มู่เทียน เกินอะไรขึ้นกับเจ้างั้นเหรอ?”

เขาดึงมู่หรงมาและมองตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก

มู่หรงส่ายหัว “ไม่เป็นไร ข้าบังเอิญได้รับบาดเจ็บที่หัว เดาว่าอีกไม่นานความทรงจำข้าก็คงจะกลับมา” เธอเองก็ส่งรอยยิ้มปลอบใจไปให้เขา

“เจ้าจำเรื่องข้าได้งั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยท่าทางระมัดระวัง สายตาแวบประกายความกังวล
มู่หรงพยักหน้า “จำได้นิดหน่อย แต่ข้าจะต้องจำได้ทั้งหมด”

เฟิงจือหลิงค่อยๆเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก็ยังดี นี่พิสูจน์ว่าเขายังมีน้ำหนักในใจเธอใช่ไหม?! จู่ๆในหัวใจเขาก็เกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมา

“ขอบคุณมากนะมู่เทียน ขอบคุณที่จำข้าได้นะ”

ริมฝีปากบางของมู่หรงยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ไปพร้อมๆกัน “ขอบคุณข้าเรื่องอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

แล้วเธอก็หันหัวไปเรียก “เสี่ยวไป๋ มานี่หน่อย”

เสี่ยวไป๋เดินเข้ามาและพูดว่า “ทำไมเสร็จเร็วจังล่ะ?”

ไอ้ตัวนี้มันอะไรกันเนี่ย?!!

มู่หรงมองเขาโดยไร้ความปรานีใดๆทั้งสิ้นแล้วพูดออกมา “จือหลิงบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้หน้าตาแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

เฟิงจือหลิงอดไม่ได้ที่จะมองเสี่ยวไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขามันห่างไกลมาก เขานึกภาพชายที่อยู่ตรงหน้ากับเสี่ยวไป๋ที่ตัวกลมไม่ออกเลยจริงๆ

ตรงหน้าเขาคือเสี่ยวไป๋ที่หน้าผากกว้าง, แก้มป่อง ริมฝีปากพร้อมรอยยิ้มสงบนิ่งและคิ้วเรียวได้รูป นอกจากนี้ยังมีดวงตาดำเข้มที่เปล่งประกายราวกับยามค่ำคืนและร่างกายที่สูงโปร่ง เขาดูทรงเสน่ห์ขนาดนี้ได้ยังไงกัน

“ข้าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็อย่าให้ข้าต้องอธิบาย ข้าสร้างร่างสมมุติได้และก็แค่นั่นแหละ” แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

แต่ก็ไม่มีใครแล้วนอกจากเสี่ยวไป๋ มู่หรงมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างพูดอะไรไม่ออก “อย่าไปสนใจเขาเลย เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายนะ ข้าจะออกไปก่อน”
“ข้าจะออกไปด้วย ข้าไม่มั่นใจถ้าให้เจ้าออกไปคนเดียว” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเป็นห่วง

มู่หรงส่ายหัว “ไม่ ข้าไม่เป็นอันตรายหรอก ไม่ต้องห่วงนะ ข้ามีมิติลับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าก็จะเข้ามาในนี้ทันทีเลย เจ้าสบายใจได้เลย”

“ข้าขอโทษนะที่ตัวเองไร้ประโยชน์ขนาดนี้” เฟิงจือหลิงกำหมัดแน่นและพูดออกมา

“เราเป็นเพื่อนกัน ต่อไปเจ้าห้ามพูดอะไรแบบนี้อีกนะ ข้ายังรู้สึกอยู่เลยว่าตัวเองต้องขอโทษเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคงไม่ต้องมาที่นี่ เจ้าฝึกตนที่นี่ได้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตนะ” มู่หรงพูด

เธอเคยได้ยินเรื่องเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวไป๋และเฟิงจือหลิงต้องมาที่โลกนี้ ทั้งหมดก็เพราะเธอเอง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 316 หิวมากงั้นเหรอ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 316 หิวมากงั้นเหรอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 316
หิวมากงั้นเหรอ

ดวงตาของมู่หรงหันมาชั่วครู่ พยุงเฟิงจือหลิงที่กำลังนอนอยู่ที่พื้น เธอโยนเขาเข้าไปในมิติลับ

หวังฉิงไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ หลังจากที่เห็นท่าทางของ มู่หรงเสวี่ย เขาพยายามที่จะหยุดเธอแต่มันก็สายเกินไป

มู่หรงเสวี่ยยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับหวังฉิง

“เอาเขาออกมา ไม่งั้นข้าจะไม่รับปากว่าข้าจะทำอะไรบ้าง?” หวังฉิงพูด

“ไม่ เขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

ดวงตาของหวังฉิงแวบประกายแสงแล้วจึงเผยรอยยิ้ม “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเขาคือคนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่?”
“เจ้าหมายความว่าไง?” สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป

“เจ้าลืมครั้งที่แล้วที่พวกของเจ้าโผล่มาที่บ้านแล้วงั้นเหรอ?”

สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไปหลายครั้ง แน่นอน เธอไม่ได้ลืมเรื่องครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเฟิงจือหลิงเป็นตัวปลอม ครั้งนี้ก็เหมือนกันงั้นเหรอ?!

หวังฉิงไม่รู้ความคิดและสีหน้าของเธอ เขามองไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือเปล่า

มู่หรงคิดอยู่สักพักแล้วไม่นานเธอก็หายไปจากจุดที่ยืน

ครั้งนี้หวังฉิงที่ยังอยู่ข้างนอกร้อนรนด้วยความตกใจ สีหน้าที่นิ่งสงบในตอนแรกของเขาจางหายไป

“มู่เทียน เจ้าออกมาเลยนะ”

“มู่เทียน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าออกมาเลยนะ!”
“มู่เทียน…” หวังฉิงร้องเรียกออกไปในอากาศ

ทหารมากมายของหวังฉิงและยังผู้คุมที่อยู่นอกห้องขังอีกต่างก็ตกใจมากกว่าอีก อยู่ดีๆคนสองคนก็หายตัวไปกลางห้องขัง แบบนี้พวกเขาจะไม่ตกใจได้ยังไงล่ะ?!

“ผี ผี…” หนึ่งในผู้คุมตัวสั่นเทิ้ม

“โอ้ พระเจ้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

แค่คิดว่าคนที่อยู่กับพวกเขามาตั้งหลายวันแต่ใครจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นผี แค่นี้พวกเขาก็ขนลุกแล้ว

สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา “ตะโกนหาอะไรกัน?”

“ท่านหวังฉิง สองคนนั้น…” ผู้คุมชี้ไปที่ห้องขังพร้อมขาที่สั่นเทา

“ก็แค่การปลอมตัว ไอ้พวกโง่ ส่งคนออกไปค้นหาและอย่าให้ยุงแม้แต่ตัวเดียวหลุดออกไปได้นะ” หวังฉิงสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แล้วหันไปรอบๆและนั่งลงที่เก้าอี้ไม้นอกห้องขัง จ้องไปที่ห้องขังไม่วางตา

หลังจากที่ได้รับคำสั่ง ผู้คุมก็รีบสั่งให้ทหารที่อยู่ด้านนอกล้อมห้องขังเล็กๆนี้ไว้

ใบหน้าที่คมได้รูปของหวังฉิงเคร่งเครียดขึ้น เขารู้อยู่แล้วว่ามู่เทียนเจ้าเล่ห์และเขาก็เตรียมทุกอย่างมาอย่างดีแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะทำแบบนี้ “บ้าจริง!” เขาทุบไปที่โต๊ะไม้อย่างแรง

ผู้คุมและทหารที่อยู่รอบๆอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไปพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะไม้แต่ไม่มีใครกล้าที่จะหันไปมองสีหน้าของหวังฉิง

มู่หรงเข้าไปในมิติลับและพบว่าเฟิงจือหลิงยังไม่ฟื้นอีก และเสี่ยวไป๋ก็กำลังดูอยู่

“เขาเป็นอะไรเหรอ?” เสี่ยวไป๋ถาม

“ไม่เป็นไร ข้าจะดูเอง” มันก็ดีแล้วที่ยังไม่ฟื้น เธอจะได้ตรวจอย่างสะดวก
มู่หรงเสวี่ยคุกเข่าลงและปลดกระดุมเสื้อเขาออก

เจ้าลูกบอลสีขาวไม่อยากจะเชื่อ มันมองมาที่มู่หรงเสวี่ยและพูดออกมา “เจ้า เจ้า เจ้าหิวกระหายมากหรือไง นี่มันยังกลางวันแสกๆอยู่เลยนะ…”

เมื่อมู่หรงได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋ เธอไม่ได้โกรธแต่หันไปชกหมัดใส่เสี่ยวไป๋ “พูดอะไรไร้สาระ?”

“เจ้ากำลังคิดอะไรถึงได้ถอดเสื้อผ้าเขาแบบนี้ล่ะ? ข้าไม่ได้พูดอะไรไร้สาระสักหน่อย” เสี่ยวไป๋พึมพำ

มู่หรงเตะไปที่เขา “ไปให้พ้นเลย อย่ามาเกะกะข้า”

“ไปก็ได้ ข้าจะยกสนามให้ก็ได้ ใครจะกล้าปฏิเสธได้…” เสี่ยวไป๋พูดกับตัวเองไปเรื่อยตลอดทาง

มู่หรงกรอกตาและหันกลับมาตรวจร่างกายเฟิงจือหลิงอย่างละเอียดเพื่อหาร่องรอยการปลอมตัว

หลังจากที่ดูอยู่นาน มู่หรงก็ไม่เจอร่องรอยการปลอมตัวตรงไหน

เธอยื่นมือออกไปและแตะไปที่ใบหน้า ถ้ามีการเปลี่ยนหน้ามา สัมผัสจะต้องแตกต่าง ในระหว่างที่มู่หรงกำลังตรวจคอของเฟิงจือหลิงอย่างละเอียด ขนตาของเฟิงจือหลิงก็เริ่มสั่นแล้วก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นใบหน้าในความฝันปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ชั่วขณะหนึ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นความฝันและไม่อยากที่จะฟื้นสติอยู่นาน

“น่าแปลก ไม่มีอะไรเลย” มือของมู่หรงแตะไปที่ผิวหนังของเฟิงจือหลิงเล็กน้อย

เฟิงจือหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเล็กน้อย สัมผัสของมือที่อ่อนนุ่มของมู่เทียนที่กำลังลูบไปตามผิวหนังของเขาทำให้เขารู้สึกหลงใหลแล้วทั่วร่างกายก็เริ่มที่จะรู้สึกร้อนขึ้นมานิดหน่อย
เขายื่นมือออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ จับมือเล็กเรียวของมู่หรงเสวี่ยและร้องเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “มู่เทียน…”

มู่หรงเสวี่ยรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที เห็นดวงตาที่ดูซับซ้อนและน่าหลงใหลคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและถามออกมา “เจ้าฟื้นแล้วเหรอ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ถึงแม้จะถามออกไปแต่มู่หรงก็ยังจ้องไปที่เฟิงจือหลิงตาเขม็ง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า แล้วยื่นมือออกไปลูบเบาๆที่ใบหน้าของมู่หรง “นี่ไม่ใช่ความฝัน” นี่เป็นเรื่องจริง

แน่นอน มันยากที่จะเชื่อแต่ความฝันจะจางหายไปได้ เฟิงจือหลิงตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อมู่หรงเสวี่ยจ้องมาที่เขาแปลกๆ เขาก็ได้สติ เมื่อเขาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร เขาก็รีบดึงมือตัวเองกลับทันทีแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความอายเล็กน้อย

“เราเข้ามาในมิติลับได้ยังไง?” เฟิงจือหลิงถาม

เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไป เขาอยู่ในห้องขัง
มู่หรงเดินไปหาผลไม้แห่งจิตวิญญาณพลังงานต่ำมาและส่งให้เฟิงจือหลิง “เจ้าน่าจะกินผลไม้แห่งจิตวิญญาณนี่ก่อน ร่างกายเจ้ายังอ่อนแออยู่ ผลไม้แห่งจิตวิญญาณนี่จะช่วยฟื้นพลังให้ร่างกายเจ้าได้”

ตอนที่เธอกำลังลังเลแล้วเธอก็ได้ยินเขาพูดคำว่ามิติลับออกมาก็รู้ได้เลยว่านี่คือเฟิงจือหลิงตัวจริง เธอไม่ต้องเดาเลย

เฟิงจือหลิงรับผลไม้มาและกัดไปคำเล็กแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่มู่เทียนด้วยความกังวล “ครั้งนี้เจ้าจะไปไหนอีก? ข้าเป็นห่วงเจ้านะ มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม นี่คือเพื่อนเธอ “ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ได้เลย ข้ามีบางเรื่องที่ต้องไปจัดการ ข้าต้องออกไปจัดการหน่อย”

“เจ้าจะไปไหน? ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” เฟิงจือหลิงรีบวางผลไม้แห่งจิตวิญญาณและพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ข้าแค่จะออกไปดูสถานการณ์หน่อย”
เฟิงจือหลิงลุกขึ้นกะทันหันและเดาว่าเขาคงไม่ได้กินอะไรมานาน นอกจากนี้เขายังได้รับยาเกินขนาดอยู่หลายวันด้วย ร่างกายเขาก็ยังอ่อนแออยู่นิดหน่อยดังนั้นเขาจึงเซอยู่หลายครั้งและเกือบที่จะล้มลงไป

เมื่อเห็นแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงรีบเข้ามาช่วยเขา “เห็นไหม เจ้ายังอ่อนแออยู่เลย ให้ข้าช่วยพวกเจ้าเข้าไปพักนะ” มู่หรงพูด

อันที่จริง เธอจะไม่ปล่อยให้เฟิงจือหลิงออกไป คนเดียวลงมือมันสะดวกกว่าสองคนมาก อย่างน้อยเธอก็ต้องออกจากดินแดนแห่งไฟให้ได้ก่อน

มู่หรงพยุงเฟิงจือหลิงไปนั่งที่โซฟาแล้วจึงพูดออกมา “ส่งมือเจ้ามา”

เฟิงจือหลิงยื่นมือออกไปและมองด้วยความสงสัย

“ข้าจะดูว่าภายในเจ้าเป็นยังไงบ้าง อย่าฝืนนะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

จนกระทั่งเธอมั่นใจแล้วว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองยังมีอยู่ มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งอก ยังไงซะเธอก็สูญเสียความทรงจำไป แม้ว่าเธอจะนึกชิ้นส่วนอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง แต่ยังไงซะเรื่องส่วนใหญ่เธอก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี เธอยังรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆในหัวใจอยู่ดี

“พักผ่อนเถอะ ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ กินผลเยอะๆนะ ถ้าเจ้ามีอะไรสงสัยก็ถามเสี่ยวไป๋ได้เลยนะ” มู่หรงชี้ไปที่เสี่ยวไป๋ที่อยู่ไม่ห่างและพูดออกมา

เฟิงจือหลิงมองไปตามทิศทางที่มู่หรงชี้ แล้วจู่ๆก็นั่งหลังตรงขึ้นมาทันทีพร้อมถามออกมาอย่างสุภาพ “เขาเป็นใครเหรอ?”

มีผู้ชายคนอื่นในมิติลับได้ยังไงเนี่ย?!

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปชั่วขณะ “เขาคือเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เหรอ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง? เสี่ยวไป๋เป็นเจ้าตัวกลมไม่ใช่เหรอ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยความประหลาดใจ
มู่หรงขมวดคิ้ว หลังจากที่เธอเสียความทรงจำไปพอเธอเข้ามาในมิติลับก็เห็นเจ้าลูกบอลขาวกลายเป็นแบบนี้แล้ว แต่ทำไมเฟิงจือหลิงจะต้องแปลกใจขนาดนี้ด้วย

หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก มู่หรงก็พูดออกมาเสียงเรียบ “ข้าสูญเสียความทรงจำไป”

“อะไร อะไรนะ?” เฟิงจือหลิงตะลึง สายตาที่เย็นชาของเขากลายเป็นประหลาดใจและกลายเป็นกังวลขึ้นมาทันที “มู่เทียน เกินอะไรขึ้นกับเจ้างั้นเหรอ?”

เขาดึงมู่หรงมาและมองตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก

มู่หรงส่ายหัว “ไม่เป็นไร ข้าบังเอิญได้รับบาดเจ็บที่หัว เดาว่าอีกไม่นานความทรงจำข้าก็คงจะกลับมา” เธอเองก็ส่งรอยยิ้มปลอบใจไปให้เขา

“เจ้าจำเรื่องข้าได้งั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามด้วยท่าทางระมัดระวัง สายตาแวบประกายความกังวล
มู่หรงพยักหน้า “จำได้นิดหน่อย แต่ข้าจะต้องจำได้ทั้งหมด”

เฟิงจือหลิงค่อยๆเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ก็ยังดี นี่พิสูจน์ว่าเขายังมีน้ำหนักในใจเธอใช่ไหม?! จู่ๆในหัวใจเขาก็เกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมา

“ขอบคุณมากนะมู่เทียน ขอบคุณที่จำข้าได้นะ”

ริมฝีปากบางของมู่หรงยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ก็ยังดูเซ็กซี่ไปพร้อมๆกัน “ขอบคุณข้าเรื่องอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

แล้วเธอก็หันหัวไปเรียก “เสี่ยวไป๋ มานี่หน่อย”

เสี่ยวไป๋เดินเข้ามาและพูดว่า “ทำไมเสร็จเร็วจังล่ะ?”

ไอ้ตัวนี้มันอะไรกันเนี่ย?!!

มู่หรงมองเขาโดยไร้ความปรานีใดๆทั้งสิ้นแล้วพูดออกมา “จือหลิงบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้หน้าตาแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

เฟิงจือหลิงอดไม่ได้ที่จะมองเสี่ยวไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขามันห่างไกลมาก เขานึกภาพชายที่อยู่ตรงหน้ากับเสี่ยวไป๋ที่ตัวกลมไม่ออกเลยจริงๆ

ตรงหน้าเขาคือเสี่ยวไป๋ที่หน้าผากกว้าง, แก้มป่อง ริมฝีปากพร้อมรอยยิ้มสงบนิ่งและคิ้วเรียวได้รูป นอกจากนี้ยังมีดวงตาดำเข้มที่เปล่งประกายราวกับยามค่ำคืนและร่างกายที่สูงโปร่ง เขาดูทรงเสน่ห์ขนาดนี้ได้ยังไงกัน

“ข้าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็อย่าให้ข้าต้องอธิบาย ข้าสร้างร่างสมมุติได้และก็แค่นั่นแหละ” แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

แต่ก็ไม่มีใครแล้วนอกจากเสี่ยวไป๋ มู่หรงมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างพูดอะไรไม่ออก “อย่าไปสนใจเขาเลย เจ้าพักอยู่ที่นี่ให้สบายนะ ข้าจะออกไปก่อน”
“ข้าจะออกไปด้วย ข้าไม่มั่นใจถ้าให้เจ้าออกไปคนเดียว” เฟิงจือหลิงพูดอย่างเป็นห่วง

มู่หรงส่ายหัว “ไม่ ข้าไม่เป็นอันตรายหรอก ไม่ต้องห่วงนะ ข้ามีมิติลับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าก็จะเข้ามาในนี้ทันทีเลย เจ้าสบายใจได้เลย”

“ข้าขอโทษนะที่ตัวเองไร้ประโยชน์ขนาดนี้” เฟิงจือหลิงกำหมัดแน่นและพูดออกมา

“เราเป็นเพื่อนกัน ต่อไปเจ้าห้ามพูดอะไรแบบนี้อีกนะ ข้ายังรู้สึกอยู่เลยว่าตัวเองต้องขอโทษเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคงไม่ต้องมาที่นี่ เจ้าฝึกตนที่นี่ได้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตนะ” มู่หรงพูด

เธอเคยได้ยินเรื่องเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวไป๋และเฟิงจือหลิงต้องมาที่โลกนี้ ทั้งหมดก็เพราะเธอเอง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+