ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 32 กลับบ้าน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 32 กลับบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 32
กลับบ้าน

หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็วางเข็มทองคำลงและปิดกล่องอย่างระวัง “ฉันดูเข็มทองคำแล้วไม่มีปัญหา ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันอยากจะช่วยรักษาเสี่ยวหลินก่อนสักอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยฝังเข็มให้เขา พี่คิดว่าไง?”

“ผมไม่มีความเห็น ผมไม่มีความรู้เรื่องการรักษาโรคเลย เสี่ยวเสวี่ยตัดสินใจไปได้เลย อีกอย่างคุณไม่สนใจเรื่องพวกโจรเลยเหรอ?”

“ฉันจะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ? พรุ่งนี้เช้าเมื่อถึงเวลาพี่ก็ส่งเทปบันทึกเสียงวันนี้ให้พวกนักข่าวได้เลยนะแล้วบอกให้เขาจับเสี่ยวเข่อลี่ด้วย จะปล่อยคนที่บงการให้ลอยนวลไปได้ยังไงล่ะ?”

งั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง นี่ก็เริ่มดึกแล้ว ดูจากขอบตาแล้วคุณควรจะไปพักผ่อนได้แล้วนะ” เขาเป็นห่วงว่าเธอจะนอนดึกเกินไป

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะกลับไปเอาเครื่องดื่มจากที่ห้องมาให้พวกพี่ดื่มก่อน!” โดยไม่รอให้เขาตอบอะไร เธอกลับไปที่ห้องเพื่อเตรียมน้ำแห่งจิตวิญญาณ แน่นอนว่าเธอผสมให้มันเจือจาง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจจื่อเหวินแต่เธอกลัวว่าถ้าให้แบบเข้มข้นมันจะทำให้เกิดผลเสียซะมากกว่า

หลังจากนั้นสักพักเธอก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบให้พี่จื่อเหวิน หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับห้อง

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้หลับไปในทันทีแต่กลับเข้าไปในมิติลับ เธอจะไม่เข้ามาในมิติลับได้ยังไงล่ะเธอไม่ได้โง่นะ

เพียงแค่ว่าไก่ที่เธอเอามาเลี้ยงไว้เมื่อครั้งที่แล้วตอนนี้กระจายไปทั่วภูเขาและสนามเต็มไปหมดและมันก็มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าไก่ทั่วไปกว่าครึ่ง มู่หรงเสวี่ยรีบเข้าไปดูที่ทุ่งสมุนไพรแต่ไม่ได้แตะต้องมัน
หลังจากที่ได้เห็นว่าทุ่งสมุนไพรเรียบร้อยดี มู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สมุนไพรเสียหายไปเล็กน้อยและเธอเครียดอย่างมาก โชคดีที่พวกไก่ไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่กินผลไม้จากต้นไม้เท่านั้น

พวกไก่ก็รู้กฎด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?!!

มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หัวสมองที่เพิ่งเกิดใหม่ของตัวเอง คิดอะไรของเธอเนี่ย?

แต่เมื่อมองไปที่พวกไก่ที่อยู่ทั่วภูเขาและสนาม มู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับปวดหัวเลยเหมือนกัน จะทำยังไงให้ไก่พวกนี้มารวมกันได้เนี่ย

เพียงแค่คิดพวกไก่ทั่วทั้งภูเขาและสนามก็มารวมกันอยู่ต่อหน้าเธอตามที่สั่งอย่างคาดไม่ถึง

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเป็นเพราะมิติลับนี่เป็นของเธอหรือเปล่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถึงได้เชื่อฟังคำสั่งเธอ?!!!
สุดยอดเลย!!!

มู่หรงเสวี่ยออกคำสั่งในใจว่าอนุญาตให้พวกไก่อยู่ได้แค่ในสวนผลไม้ แน่นอนว่าพวกไก่วิ่งไปที่บริเวณดังกล่าว

ในที่สุด มู่หรงเสวี่ยที่จัดการพวกไก่เสร็จเรียบร้อย ก็หลับไปในตึกเล็กๆของมิติลับ อีกอย่างวันนี้เธอก็เหนื่อยมากจริงๆ

แล้วหลังจากนั้นเธอก็ฝึกฟีนิกซ์เก้าเข็ม ถึงแม้ฟีนิกซ์เก้าเข็มจะสลักอยู่ในใจเธออยู่แล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยลองทำเลยสักครั้ง เพื่อความปลอดภัยของเสี่ยวหลิน เธอจะต้องฝึกให้คุ้นชินกับเทคนิค โชคดีที่ในมิติลับมีโมเดลร่างกายมนุษย์ที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์จริงเอาไว้ให้ฝึกซ้อม

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าที่มู่หรงเสวี่ยเฝ้าฝึกฝนการฝังเข็มฟีนิกซ์ ตอนนี้เธอสามารถหลับตาแต่ก็ยังฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ เมื่อใช้การฝังเข็มและการบำบัดด้วยการรมยาสำหรับอาการหัวใจพิการแต่กำเนิดในหนังสือทางการแพทย์รวมกันแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกเป็น 100%

ฝีมือที่พัฒนาของมู่หรงเสวี่ยทำให้หัวใจเธอเริ่มที่จะผ่อนคลาย

พอหันมามองเวลา เธอคิดว่าภายนอกน่าจะเวลาเกือบเช้าแล้ว เธอจึงรีบออกมาจากมิติลับ อาบน้ำแล้วจึงสวมชุดนักเรียน ในระหว่างที่เธออยู่ในมิติลับมันก็ทำให้รูปร่างของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผิวของเธอขาวผ่องขึ้น ดวงตาสวยคู่เดิมยิ่งดูสดใสมากขึ้น

มู่หรงเสวี่ยจับไก่ออกมาจากมิติลับและเตรียมที่จะทำโจ๊กเป็นอาหารเช้าในวันนี้
หลังจากนั้นสักพัก กลิ่นไก่ก็หอมอบอวลไปทั่ว
ผลิตภัณฑ์ที่มาจากมิติลับจะพิเศษกว่าของทั่วไปจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยเคยลองใช้วัตถุดิบทั่วไปแล้วแต่ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ถึงแม้วัตถุดิบจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เหมือนกัน

มู่หรงเอาโจ๊กไก่ออกไปวางที่โต๊ะแล้วจึงเดินไปห้องข้างๆเพื่อที่จะเรียกพี่จื่อเหวินออกมากินอาหารเช้า

โม่จื่อเหวินกำลังคุยโทรศัพท์เรื่องการจัดการพวกโจรทั้งห้าเมื่อคืนตอนที่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเรียกจื่อหลินแล้วกลับมาคุยโทรศัพท์ต่อ

มู่หรงเห็นว่าเสี่ยวหลินที่น่ารักเป็นคนมาเปิดประตู จึงกอดเขาอย่างมีความสุขและจูบเขาที่หน้า “เสี่ยวหลิน นายนี่น่ารักจริงๆเลยนะ!”

โม่จื่อหลินทำปากจุ๊ๆ “พี่สาว ผมโตแล้วนะ ไม่น่ารักแล้ว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า โอเค พี่ไม่แกล้งแล้ว บอกให้พี่ใหญ่ไปกินข้าวเช้าที่ห้องพี่ด้วยนะ”

“ฝีมือทำอาหารของพี่สาวสุดยอดที่สุด” เมื่อพี่ใหญ่ยังคุยโทรศัพท์ยังไม่เสร็จ เขาจึงดึงแขนเสื้อของมู่หรงเสวี่ยไว้

โม่จื่อเหวินวางสายโทรศัพท์ และเห็นน้องชายของตัวเองยืนบิดไปบิดมาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ในเวลานี้โม่จื่อหลินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วเริ่มที่จะกินอาหารไปก่อนแล้ว “พี่ใหญ่รีบมาเร็ว โจ๊กของพี่สาวอร่อยมากเลย”

“แมวจอมตะกละเอ่ย ค่อยๆกินสิ”

โม่จื่อเหวินพร้อมที่จะกินแล้วแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู โม่จื่อเหวินมองไปที่มู่หรงเสวี่ย ในเวลานี้มู่หรงเสวี่ยก็งงเหมือนกัน เมื่อเดินไปที่ประตูเธอเห็นชูอี้เสิ่นที่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมรอยยิ้มที่สดใส

ไม่รู้ว่าทำไมดวงตาของมู่หรงเสวี่ยดูเศร้าลง

“เสี่ยวเสวี่ย คิดถึงฉันไหม?” ชูอี้เสิ่นยืนยิ้มอยู่ข้างนอกด้วยใบหน้าที่ดูลามกอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะปิดประตูทันทีพร้อมๆกับที่เขายื่นมือเข้ามา

ชูอี้เสิ่นยื่นมือเข้ามา “เสี่ยวเสวี่ย นี่ล้อฉันเล่นหรือไง?! ไม่น่ารักเลยนะ”

มู่หรงเสวี่ย “ใครน่ารัก? มีอะไร? ฉันไม่มีอารมณ์”

อย่างไรก็ตามทันทีที่ชูอี้เสิ่นเห็นร่างของชายอีกสองคนที่อยู่ในบ้าน คนหนึ่งก็คือโม่จื่อเหวินที่เคยเจอแล้วและรอยยิ้มของเขาก็หุบทันทีและไม่ช้าก็กลับมายิ้มใหม่

โม่จื่อเหวินนี่ดูเจ้าเล่ห์จริงๆ ท่าทางเขาไม่น่าไว้ใจเลย บอดี้การ์ดอะไรมาร่วมโต๊ะกินข้าวกับเจ้านายด้วย เมื่อเขาเห็นแบบนั้นก็นึกอิจฉาขึ้นมา ชูอี้เสิ่นคิดกับตัวเอง มู่หรงเสวี่ยเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้นอกจากแม่เขาเลย เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเปล่าแต่ก็ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆเธอ

ตอนที่เขายังเด็ก เขากับแม่ต้องอยู่กันตามลำพัง เขาไม่เคยเจอพ่อ บางครั้งเขาก็เคยถามแม่ว่าพ่อของเขาอยู่ที่ไหน? แต่แม่ก็ไม่ตอบและเอาแต่ร้องไห้เสมอ เขาถามอยู่ไม่กี่ครั้งและหลังจากนั้นก็ไม่กล้าที่จะถามอีก สายตาที่แม่มองเขามันเหมือนกับว่าแม่มองข้ามผ่านเขาไปมองคนอื่น ตอนที่ยังเด็กเขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงชอบมองเขาและทำสีหน้าคิดถึงอะไรขนาดนั้น

หลังจากนั้นแม่ก็ทิ้งเขาไปเช่นกัน เขาไม่ได้ยินเสียงที่พูดกับเขาแต่เพียงรู้สึกว่าโลกทอดทิ้งเขา ตอนนั้นเขาอายุแค่ 13 เอง

ไม่กี่ปีต่อมาชีวิตของเขาก็ยากลำบากมาก ล้มลุกคลุกคลานและไม่เคยทำอะไรสำเร็จ จนวันหนึ่งก็มีชายที่ขับรถเบนซ์ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงเข้ามาหาเขา มองเขาด้วยสายตาใจดีและพูดออกมาเบาๆว่า “มาเถอะลูกพ่อ!”

ปีนั้นเขาอายุได้ 18 ปี
ชูอี้เสิ่นหยุดคิดถึงอดีตแล้วจึงเดินไปหยิบชาม ตะเกียบและช้อนมากินโจ๊ก

“เสี่ยวเสวี่ยทำไมใจร้ายจังล่ะ เราสนิทกันขนาดนี้ทำไมไม่เรียกพี่มากินข้าวเช้าด้วยล่ะ?” หลังจากที่ตักโจ๊กเข้าปากไปเต็มคำ ชูอี้เสิ่นก็หยุดพูดและรีบกินต่อ เห็นได้ชัดว่าฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวเสวี่ยพัฒนาขึ้นเยอะเลยจริงๆ!

มู่หรงเสวี่ยมองท่าทางของชูอี้เสิ่นที่รีบร้อนกินอาหารและที่ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น

โชคดีที่เธอทำไว้เยอะ จึงไม่เป็นอะไรถ้าจะมีคนมาเพิ่มอีกสักคน อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรู้สึกเสียใจที่เช้านี้เธอเปิดประตูรับเขาเข้ามา ซึ่งในอนาคตเขาจะต้องมาปล้นอาหารเธอแบบนี้ทุกเช้าแน่ๆ

วันนี้เป็นวันหยุด เธอพาพี่เหวินกับเสี่ยวหลินกลับไปเจอพ่อแม่เธอที่บ้านได้ และเพื่อเติมอาหารเพิ่มด้วย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน มู่หรงเสวี่ยก็เอาผักมากมายและไก่สองตัวออกมาตอนที่ไม่มีใครอยู่ในครัว เมื่อเธอเดินออกมาและเห็นป้าหวู่จึงพูดกับป้าหวู่ว่า “ป้าหวู่คะ หนูเอาอาหารมาเพิ่มนะคะ เก็บไว้ในครัว ป้าเข้าไปจัดให้เรียบร้อยทีนะคะ”

ป้าหวู่เริ่มชินกับการที่คุณหนูจะเอาผักกลับมาที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราวแล้วจึงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เธอจึงตอบรับออกไปแล้วจึงเข้าไปในครัว

มู่หรงให้สองพี่น้องนั่งรอในห้องนั่งเล่น ทั้งสองนั่งเรียบร้อยหลังตรง โม่จื่อเหวินไม่เป็นอะไรแต่เสี่ยวหลินกลับกังวลจนหน้าซีด
มู่งหรงเสวี่ยมองอย่างสงสารจึงเดินเข้าไปและกระซิบกับเขา “เสี่ยวหลิน ชอบบ้านพี่ไหม?”

โม่จื่อหลินตอบด้วยรอยยิ้มเกร็งๆ “ชอบครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะ พ่อแม่พี่ใจดีมากๆเลย เหมือนกับพี่น่ะแหละ พวกเขาจะต้องชอบเสี่ยวหลิน ไม่ต้องกลัวนะ นายคิดว่าพี่ดุไหมล่ะ?”

ดวงตากลมโตกะพริบตาถี่ “จริงเหรอฮะ? พวกท่านจะชอบเสี่ยวหลินเหรอฮะ?”

“จริงสิ แน่นอนอยู่แล้ว พี่เคยโกหกนายเหรอ?” เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายลงของเสี่ยวหลิน มู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจของโม่จื่อหลินไม่ค่อยแข็งแรง รับเรื่องอารมณ์มากไม่ได้นัก โม่จื่อเหวินมองที่มู่หรงเสวี่ยอย่างขอบคุณ

หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาก็กลับมา สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือใบหน้าที่หล่อเหล่าของโม่จื่อเหวิน หลังจากที่ตะลึงกันไปสักพัก พวกเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่แต่ลูกสาวพวกเขาเป็นคนพาคนพวกนี้มางั้นพวกเขาจะทำให้เธอเสียหน้าไม่ได้

ทันทีที่โม่จื่อเหวินเห็นคู่สามีภรรยามู่หรง เขาก็รีบลุกขึ้นและกล่าวทักทายพวกเขาทันที “สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน”

โม่จื่อหลินที่ผ่อนคลายไปมากแล้วก็กลับกังวลขึ้นมาอีกเพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง “คุณลุง…อ่า…คุณป้า”

เมื่อเห็นท่าทางเครียดของโม่จื่อหลิน จางเข่อเหรินก็ยิ่งหัวเราะอย่างอบอุ่นพร้อมทั้งพูดว่า “ไม่ต้องพิธีมากหรอกจ้ะ นั่งลงเถอะ”

มู่หรงเสวี่ยกระโดดไปหาพ่อและดึงหน้าเขาเข้ามาซึ่งไม่ค่อยบ่อยนัก “พ่อคะ ยิ้มหน่อยสิ ทำหน้าจริงจังไปได้ พ่อกำลังทำให้เสี่ยวหลินกลัวนะคะ”

มู่หรงเฟิงหัวทำสีหน้าไม่ชอบและแกล้งทำเป็นโมโหพร้อมทั้งพูดออกไปว่า “ปล่อยเลยนะ อย่ามาทำเป็นเล่น!” แต่ดวงตาเขากลับเต็มไปด้วยความตลก

ในดวงตาของโม่จื่อหลินมีร่องรอยของความอิจฉาและความปรารถนา จางเข่อเหรินเห็นและคิดว่าเขาก็เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ เดิมทีเธอกังวลมากและเฝ้าสังเกตอย่างจริงจังแต่ตอนนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

จางเข่อเหรินมีมู่หรงเสวี่ยเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เธอจึงเป็นห่วงเรื่องชีวิตและเรื่องเพื่อนของลูกสาวอย่างมาก ตอนที่เสี่ยวเข่อลี่เข้ามาสนิทกับลูกสาว เธอเป็นกังวลอย่างมาก หลักๆก็เพราะเสี่ยวเข่อลี่เจ้าเล่ห์เกินไปทั้งๆที่อายุยังน้อย

เธอยังจำได้ว่าตอนที่เสี่ยวเข่อลี่แวะมาหาเสี่ยวเสวี่ย ดวงตาคู่นั้นที่เอาแต่จ้องของโบราณที่มีค่าทำให้เธอไม่ค่อยพอใจเท่าไร แถมเสี่ยวเข่อลี่ยังชอบวิ่งมาหาเธอเพื่อคอยทำให้เธอพอใจอยู่บ่อยครั้ง โชคไม่ดีที่เสี่ยวเข่อลี่เด็กเกินไปที่จะน่าพอใจ เธอเห็นพวกของมีค่าและอยากที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ของมู่หรง ฝันไปเถอะ!!!
แต่เสี่ยวเสวี่ยถูกเธอตามใจมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เธอไม่เคยปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยต้องทำงานอะไรเลยภายในบ้านใหญ่ และก็เป็นความประมาทของเธอเองที่ยอมให้เสี่ยวเข่อลี่เข้ามาเอาเปรียบเสี่ยวเสวี่ย ในระหว่างนั้นเธอคอยเตือนเสี่ยวเสวี่ยบ่อยครั้งแต่ผลที่ได้ออกมาไม่สวยเท่าไร ทุกครั้งจะต้องจบลงด้วยการที่คนสองคนเย็นชาใส่กัน หลังจากนั้นเสี่ยวเข่อลี่ก็กลายเป็นยิ่งพยายามที่จะเข้าใกล้ลูกสาวเธอมากขึ้นๆซึ่งทำให้เธอกังวลมานานมาก

โชคดีที่ช่วงหลังมานี้พวกเขาไม่ได้สนิทกันอีกแล้วและเสี่ยวเสวี่ยก็ไม่ได้พูดถึงเสี่ยวเข่อลี่อีก เธอไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกันหรืออะไร ยังไงซะครอบครัวก็สนิทกันมากขึ้น เสี่ยวเสวี่ยมีเหตุผลมากขึ้น ช่วงหลังๆมานี้เธอได้รู้จักเด็กๆหลายคนและทุกคนต่างก็เป็นเด็กที่ดีทำให้เธอสบายใจได้ขึ้นเยอะเลย

วันนี้เด็กสองคนนี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นบอดี้การ์ดแต่เสี่ยวเสวี่ยก็มองพวกเขาเป็นเพื่อน ตอนแรกเธอกังวลมากที่คนพวกนี้จะมาที่บ้านมู่หรง หลังจากที่ได้เจอพวกเขา เธอก็รู้เลยว่าตัวเองกังวลเกินไป ถึงแม้รูปร่างท่าทางของเขาจะหล่อเหลาเกินไป แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มคนนี้ เธอมองออกเลยว่าเขาก็แค่เด็กน้อยธรรมดาๆ

มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจาก ดูเหมือนแม่ของเธอจะชอบเสี่ยวหลินอย่างมาก เธอคิดว่าแม่ของเธอใจดีกับพวกเขาอย่างมาก เสี่ยวหลินยิ่งเปิดใจมากกว่าเดิมอีก รอยยิ้มสดใสมากอีกด้วย

พ่อของเธอก็ด้วย ยิ่งเราคุยกันเรื่องโม่จื่อเหวินมากเท่าไร พวกท่านก็ยิ่งตื่นเต้นและชอบใจมากขึ้นเท่านั้น

นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เธอสงสัยอีกนะ นี่เธอไม่มีสิทธิ์เลยหรือไง?!! พวกท่านไม่สนใจลูกสาวตัวเองได้ยังไง

ที่โต๊ะทานอาหาร พ่อคุยกับเสี่ยวเสวี่ยว่า “เสี่ยวเสวี่ย พ่อคิดว่าจื่อเหวินมีความสามารถเรื่องการทำธุรกิจนะ ลูกอยากให้เขามาช่วยพ่อที่บริษัทไหม?”

เสี่ยวเสวี่ยคิด: พ่อคะ ไม่ง่ายเลยนะที่จะหาคนแบบนี้ได้ แล้วนี่พ่อยังจะมาขโมยคนของลูกสาวตัวเองเหรอเนี่ย? มู่หรงเสวี่ยมองไปที่พ่อตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ

ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร โม่จื่อเหวินก็พูดออกมาว่า “ขอบคุณมากนะครับที่เมตตา แต่ผมสาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องเธอในฐานะอัศวินของคุณหนูไปตลอดชีวิต งั้น…”

มู่หรงเฟิงหัวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย รู้ไหมว่าการทำงานให้กับบริษัทของมู่หรงจะทำให้เขามีอนาคตที่ไปได้ไกลกว่าการมาเป็นบอดี้การ์ดมาก ในสายตาเขาจึงเกิดประกายแห่งความชื่นชม ยังไงซะเขาก็หวังให้รอบๆตัวของลูกสาวเขามีแต่คนที่ภักดีกับเธอ มันโอเคสำหรับเขาที่ในอนาคตจะมีคนที่คอยสนับสนุนเธอ

“ในเมื่อนายตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็จะไม่บังคับนายงั้นมากินกันต่อเถอะ…”

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ พ่อแม่ของมู่หรงเสวี่ยก็พูดถึงอาการป่วยของเสี่ยวหลินและบอกว่าพวกท่านอยากให้เสี่ยวหลินพักอยู่ในบ้านด้วยและอื่นๆอีก

เธอยังพูดไม่จบแต่แม่ของเธอก็ยกมือขึ้นซึ่งเธอต้องกังวลใช่ไหม?!!!
แน่นอนว่าเธอต้องถามความต้องการของเสี่ยวหลินด้วย เสี่ยวหลินพยักหน้าอย่างอายๆแล้วเขาก็หันไปมองที่โม่จื่อเหวิน ยังไงซะโม่จื่อเหวินก็เป็นผู้ปกครองและเขาก็อนุญาต

โม่จื่อเหวินไม่อยากที่จะรบกวนตระกูลมู่หรงมากนักแต่เมื่อเขาเห็นท่าทางมีความสุขของน้องชายมันก็ยากที่จะปฏิเสธ

โม่จื่อหลินรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่แสนสวย, กินอาหารแสนอร่อยและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ นี่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจเขารู้สึกได้ ตั้งแต่เด็กๆแม่ไม่เคยรักเขาเลย และเวลาที่พ่อเห็นเขาพ่อก็มักจะไม่พอใจและยายของเขาก็จากไปด้วยเช่นกัน โชคร้ายที่ยายของเขาก็จากไปด้วยเหลือไว้แค่เพียงพี่ชายกับเขา

แต่วันนี้มีคนมากมายที่ดีอย่างมาก ถ้านี่เป็นความฝันเขาก็ไม่อยากที่จะตื่นเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 32 กลับบ้าน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 32 กลับบ้าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 32
กลับบ้าน

หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็วางเข็มทองคำลงและปิดกล่องอย่างระวัง “ฉันดูเข็มทองคำแล้วไม่มีปัญหา ทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันอยากจะช่วยรักษาเสี่ยวหลินก่อนสักอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยฝังเข็มให้เขา พี่คิดว่าไง?”

“ผมไม่มีความเห็น ผมไม่มีความรู้เรื่องการรักษาโรคเลย เสี่ยวเสวี่ยตัดสินใจไปได้เลย อีกอย่างคุณไม่สนใจเรื่องพวกโจรเลยเหรอ?”

“ฉันจะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ? พรุ่งนี้เช้าเมื่อถึงเวลาพี่ก็ส่งเทปบันทึกเสียงวันนี้ให้พวกนักข่าวได้เลยนะแล้วบอกให้เขาจับเสี่ยวเข่อลี่ด้วย จะปล่อยคนที่บงการให้ลอยนวลไปได้ยังไงล่ะ?”

งั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง นี่ก็เริ่มดึกแล้ว ดูจากขอบตาแล้วคุณควรจะไปพักผ่อนได้แล้วนะ” เขาเป็นห่วงว่าเธอจะนอนดึกเกินไป

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะกลับไปเอาเครื่องดื่มจากที่ห้องมาให้พวกพี่ดื่มก่อน!” โดยไม่รอให้เขาตอบอะไร เธอกลับไปที่ห้องเพื่อเตรียมน้ำแห่งจิตวิญญาณ แน่นอนว่าเธอผสมให้มันเจือจาง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจจื่อเหวินแต่เธอกลัวว่าถ้าให้แบบเข้มข้นมันจะทำให้เกิดผลเสียซะมากกว่า

หลังจากนั้นสักพักเธอก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบให้พี่จื่อเหวิน หลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับห้อง

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้หลับไปในทันทีแต่กลับเข้าไปในมิติลับ เธอจะไม่เข้ามาในมิติลับได้ยังไงล่ะเธอไม่ได้โง่นะ

เพียงแค่ว่าไก่ที่เธอเอามาเลี้ยงไว้เมื่อครั้งที่แล้วตอนนี้กระจายไปทั่วภูเขาและสนามเต็มไปหมดและมันก็มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าไก่ทั่วไปกว่าครึ่ง มู่หรงเสวี่ยรีบเข้าไปดูที่ทุ่งสมุนไพรแต่ไม่ได้แตะต้องมัน
หลังจากที่ได้เห็นว่าทุ่งสมุนไพรเรียบร้อยดี มู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สมุนไพรเสียหายไปเล็กน้อยและเธอเครียดอย่างมาก โชคดีที่พวกไก่ไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่กินผลไม้จากต้นไม้เท่านั้น

พวกไก่ก็รู้กฎด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?!!

มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หัวสมองที่เพิ่งเกิดใหม่ของตัวเอง คิดอะไรของเธอเนี่ย?

แต่เมื่อมองไปที่พวกไก่ที่อยู่ทั่วภูเขาและสนาม มู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับปวดหัวเลยเหมือนกัน จะทำยังไงให้ไก่พวกนี้มารวมกันได้เนี่ย

เพียงแค่คิดพวกไก่ทั่วทั้งภูเขาและสนามก็มารวมกันอยู่ต่อหน้าเธอตามที่สั่งอย่างคาดไม่ถึง

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเป็นเพราะมิติลับนี่เป็นของเธอหรือเปล่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถึงได้เชื่อฟังคำสั่งเธอ?!!!
สุดยอดเลย!!!

มู่หรงเสวี่ยออกคำสั่งในใจว่าอนุญาตให้พวกไก่อยู่ได้แค่ในสวนผลไม้ แน่นอนว่าพวกไก่วิ่งไปที่บริเวณดังกล่าว

ในที่สุด มู่หรงเสวี่ยที่จัดการพวกไก่เสร็จเรียบร้อย ก็หลับไปในตึกเล็กๆของมิติลับ อีกอย่างวันนี้เธอก็เหนื่อยมากจริงๆ

แล้วหลังจากนั้นเธอก็ฝึกฟีนิกซ์เก้าเข็ม ถึงแม้ฟีนิกซ์เก้าเข็มจะสลักอยู่ในใจเธออยู่แล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยลองทำเลยสักครั้ง เพื่อความปลอดภัยของเสี่ยวหลิน เธอจะต้องฝึกให้คุ้นชินกับเทคนิค โชคดีที่ในมิติลับมีโมเดลร่างกายมนุษย์ที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์จริงเอาไว้ให้ฝึกซ้อม

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าที่มู่หรงเสวี่ยเฝ้าฝึกฝนการฝังเข็มฟีนิกซ์ ตอนนี้เธอสามารถหลับตาแต่ก็ยังฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ เมื่อใช้การฝังเข็มและการบำบัดด้วยการรมยาสำหรับอาการหัวใจพิการแต่กำเนิดในหนังสือทางการแพทย์รวมกันแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกเป็น 100%

ฝีมือที่พัฒนาของมู่หรงเสวี่ยทำให้หัวใจเธอเริ่มที่จะผ่อนคลาย

พอหันมามองเวลา เธอคิดว่าภายนอกน่าจะเวลาเกือบเช้าแล้ว เธอจึงรีบออกมาจากมิติลับ อาบน้ำแล้วจึงสวมชุดนักเรียน ในระหว่างที่เธออยู่ในมิติลับมันก็ทำให้รูปร่างของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผิวของเธอขาวผ่องขึ้น ดวงตาสวยคู่เดิมยิ่งดูสดใสมากขึ้น

มู่หรงเสวี่ยจับไก่ออกมาจากมิติลับและเตรียมที่จะทำโจ๊กเป็นอาหารเช้าในวันนี้
หลังจากนั้นสักพัก กลิ่นไก่ก็หอมอบอวลไปทั่ว
ผลิตภัณฑ์ที่มาจากมิติลับจะพิเศษกว่าของทั่วไปจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยเคยลองใช้วัตถุดิบทั่วไปแล้วแต่ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ถึงแม้วัตถุดิบจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เหมือนกัน

มู่หรงเอาโจ๊กไก่ออกไปวางที่โต๊ะแล้วจึงเดินไปห้องข้างๆเพื่อที่จะเรียกพี่จื่อเหวินออกมากินอาหารเช้า

โม่จื่อเหวินกำลังคุยโทรศัพท์เรื่องการจัดการพวกโจรทั้งห้าเมื่อคืนตอนที่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเรียกจื่อหลินแล้วกลับมาคุยโทรศัพท์ต่อ

มู่หรงเห็นว่าเสี่ยวหลินที่น่ารักเป็นคนมาเปิดประตู จึงกอดเขาอย่างมีความสุขและจูบเขาที่หน้า “เสี่ยวหลิน นายนี่น่ารักจริงๆเลยนะ!”

โม่จื่อหลินทำปากจุ๊ๆ “พี่สาว ผมโตแล้วนะ ไม่น่ารักแล้ว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า โอเค พี่ไม่แกล้งแล้ว บอกให้พี่ใหญ่ไปกินข้าวเช้าที่ห้องพี่ด้วยนะ”

“ฝีมือทำอาหารของพี่สาวสุดยอดที่สุด” เมื่อพี่ใหญ่ยังคุยโทรศัพท์ยังไม่เสร็จ เขาจึงดึงแขนเสื้อของมู่หรงเสวี่ยไว้

โม่จื่อเหวินวางสายโทรศัพท์ และเห็นน้องชายของตัวเองยืนบิดไปบิดมาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ในเวลานี้โม่จื่อหลินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วเริ่มที่จะกินอาหารไปก่อนแล้ว “พี่ใหญ่รีบมาเร็ว โจ๊กของพี่สาวอร่อยมากเลย”

“แมวจอมตะกละเอ่ย ค่อยๆกินสิ”

โม่จื่อเหวินพร้อมที่จะกินแล้วแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู โม่จื่อเหวินมองไปที่มู่หรงเสวี่ย ในเวลานี้มู่หรงเสวี่ยก็งงเหมือนกัน เมื่อเดินไปที่ประตูเธอเห็นชูอี้เสิ่นที่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมรอยยิ้มที่สดใส

ไม่รู้ว่าทำไมดวงตาของมู่หรงเสวี่ยดูเศร้าลง

“เสี่ยวเสวี่ย คิดถึงฉันไหม?” ชูอี้เสิ่นยืนยิ้มอยู่ข้างนอกด้วยใบหน้าที่ดูลามกอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะปิดประตูทันทีพร้อมๆกับที่เขายื่นมือเข้ามา

ชูอี้เสิ่นยื่นมือเข้ามา “เสี่ยวเสวี่ย นี่ล้อฉันเล่นหรือไง?! ไม่น่ารักเลยนะ”

มู่หรงเสวี่ย “ใครน่ารัก? มีอะไร? ฉันไม่มีอารมณ์”

อย่างไรก็ตามทันทีที่ชูอี้เสิ่นเห็นร่างของชายอีกสองคนที่อยู่ในบ้าน คนหนึ่งก็คือโม่จื่อเหวินที่เคยเจอแล้วและรอยยิ้มของเขาก็หุบทันทีและไม่ช้าก็กลับมายิ้มใหม่

โม่จื่อเหวินนี่ดูเจ้าเล่ห์จริงๆ ท่าทางเขาไม่น่าไว้ใจเลย บอดี้การ์ดอะไรมาร่วมโต๊ะกินข้าวกับเจ้านายด้วย เมื่อเขาเห็นแบบนั้นก็นึกอิจฉาขึ้นมา ชูอี้เสิ่นคิดกับตัวเอง มู่หรงเสวี่ยเป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้นอกจากแม่เขาเลย เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเปล่าแต่ก็ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆเธอ

ตอนที่เขายังเด็ก เขากับแม่ต้องอยู่กันตามลำพัง เขาไม่เคยเจอพ่อ บางครั้งเขาก็เคยถามแม่ว่าพ่อของเขาอยู่ที่ไหน? แต่แม่ก็ไม่ตอบและเอาแต่ร้องไห้เสมอ เขาถามอยู่ไม่กี่ครั้งและหลังจากนั้นก็ไม่กล้าที่จะถามอีก สายตาที่แม่มองเขามันเหมือนกับว่าแม่มองข้ามผ่านเขาไปมองคนอื่น ตอนที่ยังเด็กเขาไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงชอบมองเขาและทำสีหน้าคิดถึงอะไรขนาดนั้น

หลังจากนั้นแม่ก็ทิ้งเขาไปเช่นกัน เขาไม่ได้ยินเสียงที่พูดกับเขาแต่เพียงรู้สึกว่าโลกทอดทิ้งเขา ตอนนั้นเขาอายุแค่ 13 เอง

ไม่กี่ปีต่อมาชีวิตของเขาก็ยากลำบากมาก ล้มลุกคลุกคลานและไม่เคยทำอะไรสำเร็จ จนวันหนึ่งก็มีชายที่ขับรถเบนซ์ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงเข้ามาหาเขา มองเขาด้วยสายตาใจดีและพูดออกมาเบาๆว่า “มาเถอะลูกพ่อ!”

ปีนั้นเขาอายุได้ 18 ปี
ชูอี้เสิ่นหยุดคิดถึงอดีตแล้วจึงเดินไปหยิบชาม ตะเกียบและช้อนมากินโจ๊ก

“เสี่ยวเสวี่ยทำไมใจร้ายจังล่ะ เราสนิทกันขนาดนี้ทำไมไม่เรียกพี่มากินข้าวเช้าด้วยล่ะ?” หลังจากที่ตักโจ๊กเข้าปากไปเต็มคำ ชูอี้เสิ่นก็หยุดพูดและรีบกินต่อ เห็นได้ชัดว่าฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวเสวี่ยพัฒนาขึ้นเยอะเลยจริงๆ!

มู่หรงเสวี่ยมองท่าทางของชูอี้เสิ่นที่รีบร้อนกินอาหารและที่ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น

โชคดีที่เธอทำไว้เยอะ จึงไม่เป็นอะไรถ้าจะมีคนมาเพิ่มอีกสักคน อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรู้สึกเสียใจที่เช้านี้เธอเปิดประตูรับเขาเข้ามา ซึ่งในอนาคตเขาจะต้องมาปล้นอาหารเธอแบบนี้ทุกเช้าแน่ๆ

วันนี้เป็นวันหยุด เธอพาพี่เหวินกับเสี่ยวหลินกลับไปเจอพ่อแม่เธอที่บ้านได้ และเพื่อเติมอาหารเพิ่มด้วย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน มู่หรงเสวี่ยก็เอาผักมากมายและไก่สองตัวออกมาตอนที่ไม่มีใครอยู่ในครัว เมื่อเธอเดินออกมาและเห็นป้าหวู่จึงพูดกับป้าหวู่ว่า “ป้าหวู่คะ หนูเอาอาหารมาเพิ่มนะคะ เก็บไว้ในครัว ป้าเข้าไปจัดให้เรียบร้อยทีนะคะ”

ป้าหวู่เริ่มชินกับการที่คุณหนูจะเอาผักกลับมาที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราวแล้วจึงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เธอจึงตอบรับออกไปแล้วจึงเข้าไปในครัว

มู่หรงให้สองพี่น้องนั่งรอในห้องนั่งเล่น ทั้งสองนั่งเรียบร้อยหลังตรง โม่จื่อเหวินไม่เป็นอะไรแต่เสี่ยวหลินกลับกังวลจนหน้าซีด
มู่งหรงเสวี่ยมองอย่างสงสารจึงเดินเข้าไปและกระซิบกับเขา “เสี่ยวหลิน ชอบบ้านพี่ไหม?”

โม่จื่อหลินตอบด้วยรอยยิ้มเกร็งๆ “ชอบครับ”

“ไม่ต้องห่วงนะ พ่อแม่พี่ใจดีมากๆเลย เหมือนกับพี่น่ะแหละ พวกเขาจะต้องชอบเสี่ยวหลิน ไม่ต้องกลัวนะ นายคิดว่าพี่ดุไหมล่ะ?”

ดวงตากลมโตกะพริบตาถี่ “จริงเหรอฮะ? พวกท่านจะชอบเสี่ยวหลินเหรอฮะ?”

“จริงสิ แน่นอนอยู่แล้ว พี่เคยโกหกนายเหรอ?” เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายลงของเสี่ยวหลิน มู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจของโม่จื่อหลินไม่ค่อยแข็งแรง รับเรื่องอารมณ์มากไม่ได้นัก โม่จื่อเหวินมองที่มู่หรงเสวี่ยอย่างขอบคุณ

หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาก็กลับมา สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือใบหน้าที่หล่อเหล่าของโม่จื่อเหวิน หลังจากที่ตะลึงกันไปสักพัก พวกเขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่แต่ลูกสาวพวกเขาเป็นคนพาคนพวกนี้มางั้นพวกเขาจะทำให้เธอเสียหน้าไม่ได้

ทันทีที่โม่จื่อเหวินเห็นคู่สามีภรรยามู่หรง เขาก็รีบลุกขึ้นและกล่าวทักทายพวกเขาทันที “สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน”

โม่จื่อหลินที่ผ่อนคลายไปมากแล้วก็กลับกังวลขึ้นมาอีกเพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง “คุณลุง…อ่า…คุณป้า”

เมื่อเห็นท่าทางเครียดของโม่จื่อหลิน จางเข่อเหรินก็ยิ่งหัวเราะอย่างอบอุ่นพร้อมทั้งพูดว่า “ไม่ต้องพิธีมากหรอกจ้ะ นั่งลงเถอะ”

มู่หรงเสวี่ยกระโดดไปหาพ่อและดึงหน้าเขาเข้ามาซึ่งไม่ค่อยบ่อยนัก “พ่อคะ ยิ้มหน่อยสิ ทำหน้าจริงจังไปได้ พ่อกำลังทำให้เสี่ยวหลินกลัวนะคะ”

มู่หรงเฟิงหัวทำสีหน้าไม่ชอบและแกล้งทำเป็นโมโหพร้อมทั้งพูดออกไปว่า “ปล่อยเลยนะ อย่ามาทำเป็นเล่น!” แต่ดวงตาเขากลับเต็มไปด้วยความตลก

ในดวงตาของโม่จื่อหลินมีร่องรอยของความอิจฉาและความปรารถนา จางเข่อเหรินเห็นและคิดว่าเขาก็เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ เดิมทีเธอกังวลมากและเฝ้าสังเกตอย่างจริงจังแต่ตอนนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

จางเข่อเหรินมีมู่หรงเสวี่ยเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เธอจึงเป็นห่วงเรื่องชีวิตและเรื่องเพื่อนของลูกสาวอย่างมาก ตอนที่เสี่ยวเข่อลี่เข้ามาสนิทกับลูกสาว เธอเป็นกังวลอย่างมาก หลักๆก็เพราะเสี่ยวเข่อลี่เจ้าเล่ห์เกินไปทั้งๆที่อายุยังน้อย

เธอยังจำได้ว่าตอนที่เสี่ยวเข่อลี่แวะมาหาเสี่ยวเสวี่ย ดวงตาคู่นั้นที่เอาแต่จ้องของโบราณที่มีค่าทำให้เธอไม่ค่อยพอใจเท่าไร แถมเสี่ยวเข่อลี่ยังชอบวิ่งมาหาเธอเพื่อคอยทำให้เธอพอใจอยู่บ่อยครั้ง โชคไม่ดีที่เสี่ยวเข่อลี่เด็กเกินไปที่จะน่าพอใจ เธอเห็นพวกของมีค่าและอยากที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่ของมู่หรง ฝันไปเถอะ!!!
แต่เสี่ยวเสวี่ยถูกเธอตามใจมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เธอไม่เคยปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยต้องทำงานอะไรเลยภายในบ้านใหญ่ และก็เป็นความประมาทของเธอเองที่ยอมให้เสี่ยวเข่อลี่เข้ามาเอาเปรียบเสี่ยวเสวี่ย ในระหว่างนั้นเธอคอยเตือนเสี่ยวเสวี่ยบ่อยครั้งแต่ผลที่ได้ออกมาไม่สวยเท่าไร ทุกครั้งจะต้องจบลงด้วยการที่คนสองคนเย็นชาใส่กัน หลังจากนั้นเสี่ยวเข่อลี่ก็กลายเป็นยิ่งพยายามที่จะเข้าใกล้ลูกสาวเธอมากขึ้นๆซึ่งทำให้เธอกังวลมานานมาก

โชคดีที่ช่วงหลังมานี้พวกเขาไม่ได้สนิทกันอีกแล้วและเสี่ยวเสวี่ยก็ไม่ได้พูดถึงเสี่ยวเข่อลี่อีก เธอไม่รู้ว่าพวกเขาทะเลาะกันหรืออะไร ยังไงซะครอบครัวก็สนิทกันมากขึ้น เสี่ยวเสวี่ยมีเหตุผลมากขึ้น ช่วงหลังๆมานี้เธอได้รู้จักเด็กๆหลายคนและทุกคนต่างก็เป็นเด็กที่ดีทำให้เธอสบายใจได้ขึ้นเยอะเลย

วันนี้เด็กสองคนนี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นบอดี้การ์ดแต่เสี่ยวเสวี่ยก็มองพวกเขาเป็นเพื่อน ตอนแรกเธอกังวลมากที่คนพวกนี้จะมาที่บ้านมู่หรง หลังจากที่ได้เจอพวกเขา เธอก็รู้เลยว่าตัวเองกังวลเกินไป ถึงแม้รูปร่างท่าทางของเขาจะหล่อเหลาเกินไป แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มคนนี้ เธอมองออกเลยว่าเขาก็แค่เด็กน้อยธรรมดาๆ

มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจาก ดูเหมือนแม่ของเธอจะชอบเสี่ยวหลินอย่างมาก เธอคิดว่าแม่ของเธอใจดีกับพวกเขาอย่างมาก เสี่ยวหลินยิ่งเปิดใจมากกว่าเดิมอีก รอยยิ้มสดใสมากอีกด้วย

พ่อของเธอก็ด้วย ยิ่งเราคุยกันเรื่องโม่จื่อเหวินมากเท่าไร พวกท่านก็ยิ่งตื่นเต้นและชอบใจมากขึ้นเท่านั้น

นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่เธอสงสัยอีกนะ นี่เธอไม่มีสิทธิ์เลยหรือไง?!! พวกท่านไม่สนใจลูกสาวตัวเองได้ยังไง

ที่โต๊ะทานอาหาร พ่อคุยกับเสี่ยวเสวี่ยว่า “เสี่ยวเสวี่ย พ่อคิดว่าจื่อเหวินมีความสามารถเรื่องการทำธุรกิจนะ ลูกอยากให้เขามาช่วยพ่อที่บริษัทไหม?”

เสี่ยวเสวี่ยคิด: พ่อคะ ไม่ง่ายเลยนะที่จะหาคนแบบนี้ได้ แล้วนี่พ่อยังจะมาขโมยคนของลูกสาวตัวเองเหรอเนี่ย? มู่หรงเสวี่ยมองไปที่พ่อตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ

ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร โม่จื่อเหวินก็พูดออกมาว่า “ขอบคุณมากนะครับที่เมตตา แต่ผมสาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องเธอในฐานะอัศวินของคุณหนูไปตลอดชีวิต งั้น…”

มู่หรงเฟิงหัวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย รู้ไหมว่าการทำงานให้กับบริษัทของมู่หรงจะทำให้เขามีอนาคตที่ไปได้ไกลกว่าการมาเป็นบอดี้การ์ดมาก ในสายตาเขาจึงเกิดประกายแห่งความชื่นชม ยังไงซะเขาก็หวังให้รอบๆตัวของลูกสาวเขามีแต่คนที่ภักดีกับเธอ มันโอเคสำหรับเขาที่ในอนาคตจะมีคนที่คอยสนับสนุนเธอ

“ในเมื่อนายตัดสินใจแบบนั้น ฉันก็จะไม่บังคับนายงั้นมากินกันต่อเถอะ…”

หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ พ่อแม่ของมู่หรงเสวี่ยก็พูดถึงอาการป่วยของเสี่ยวหลินและบอกว่าพวกท่านอยากให้เสี่ยวหลินพักอยู่ในบ้านด้วยและอื่นๆอีก

เธอยังพูดไม่จบแต่แม่ของเธอก็ยกมือขึ้นซึ่งเธอต้องกังวลใช่ไหม?!!!
แน่นอนว่าเธอต้องถามความต้องการของเสี่ยวหลินด้วย เสี่ยวหลินพยักหน้าอย่างอายๆแล้วเขาก็หันไปมองที่โม่จื่อเหวิน ยังไงซะโม่จื่อเหวินก็เป็นผู้ปกครองและเขาก็อนุญาต

โม่จื่อเหวินไม่อยากที่จะรบกวนตระกูลมู่หรงมากนักแต่เมื่อเขาเห็นท่าทางมีความสุขของน้องชายมันก็ยากที่จะปฏิเสธ

โม่จื่อหลินรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลย ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่แสนสวย, กินอาหารแสนอร่อยและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ นี่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจเขารู้สึกได้ ตั้งแต่เด็กๆแม่ไม่เคยรักเขาเลย และเวลาที่พ่อเห็นเขาพ่อก็มักจะไม่พอใจและยายของเขาก็จากไปด้วยเช่นกัน โชคร้ายที่ยายของเขาก็จากไปด้วยเหลือไว้แค่เพียงพี่ชายกับเขา

แต่วันนี้มีคนมากมายที่ดีอย่างมาก ถ้านี่เป็นความฝันเขาก็ไม่อยากที่จะตื่นเลย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+