ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 325 การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 325 การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 325
การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม

“เอาเกี๊ยวมาอีกสองถ้วย” ถ้วยเปล่าที่โต๊ะของเสี่ยวไป๋วางตั้งเป็นกองสูง ทันทีที่เขาได้ออกมาโลกนี้ เขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับทุกอย่าง

แม้แต่เจ้าของร้านก็ยังเดินออกมาและถามอย่างระวัง “นายท่าน นี่ท่านกินไปกว่า 20 ถ้วยแล้วเหรอขอรับ?”

เสี่ยวไป๋แตะไปที่ท้องของตัวเองและรู้สึกว่ายังไม่อิ่มเลย “เอามาอีกห้าถ้วยเลย ข้ายังไม่อิ่ม เอ้านี่” เสี่ยวไป๋หยิบธนบัตรสีเงินใบหนึ่งร้อยตำลึงออกมาและยื่นให้เขา

เจ้าของร้านได้เห็นเยอะขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันเนี่ย? เขาจับไปที่กระเป๋าตัวเอง เงินทั้งหมดที่มีก็ยังไม่พอที่จะเอามาถอนได้เลย “มีตํ๋วเงินที่เล็กกว่านี้ไหมนายท่าน?! ข้าไม่มีเงินถอนเลย”
เสี่ยวไป๋หยิบธนบัตรสีเงินขึ้นมาและมองไปที่มัน แล้วเขาก็เห็นว่าในตัวมีแต่ธนบัตรสีเงินนี้เท่านั้น “ถ้าไม่มีทอนก็ไม่ต้องหาหรอก ทำอาหารอร่อยๆมาเพิ่มแล้วกัน” เสี่ยวไป๋เก็บเงินที่เหลือกลับเข้าไปอีกครั้ง

เจ้าของร้านดวงตาเบิกกว้าง แขกคนนี้รวยจริงๆเลย

“ได้ขอรับท่าน” ไม่ว่าเขาจะกินมากแค่ไหน แต่เมื่อได้เงินหนึ่งร้อยตำลึง เขาก็รีบไปทำอาหารแล้วเอามาเสิร์ฟเสี่ยวไป๋เพิ่มทันที

แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเมื่อกี้ตอนที่เสี่ยวไป๋หยิบกองธนบัตรสีเงินออกมาทำให้สองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลสะดุดตาขึ้นมา พวกเขาต่างก็มองหน้ากัน สายตาแวบประกายประเมินและไม่นานชายคนหนึ่งก็รีบเดินออกไป เหลือเพียงชายอีกคนที่กำลังนั่งจ้องเสี่ยวไป๋อยู่

ความสนใจทั้งหมดของเสี่ยวไป๋มุ่งไปที่อาหารน่าอร่อยและไม่ได้สนใจสายตาของคนรอบข้างเลย อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนจากในมิติลับ
เสี่ยวไป๋นี่โง่จริงๆเลย มู่หรงเคยด่าไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ ไม่รู้หรือไงว่าเงินไม่ใช่อะไรที่จะเอาออกมาโชว์กันแบบนี้ได้ เธอรู้ดีว่าเขาพึ่งพาไม่ค่อยได้แต่ก็คิดว่าเขาจะคิดให้มากกว่านี้ ตอนนี้พวกเธอไม่ควรที่จะสร้างปัญหาอะไร ต้องรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดก่อน

มู่หรงที่อยู่ในมิติลับอยากจะกระโดดเตะเขาจริงๆ คนอะไรสนใจแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลย

เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงก่อนที่สุดท้ายเสี่ยวไป๋จะวางถ้วยและตะเกียบลง ลุกขึ้นแตะไปที่ท้องบวมๆของตัวเองแล้วจึงเรอออกมาเสียงดัง เขาแทบจะกินทุกอย่างที่มีในร้านเลยทีเดียว

ในตอนนี้เจ้าของร้านกำลังยิ้มและเก็บกวาดทำความสะอาดร้าน วันนี้เขาขายดีอย่างมากเลย เขามีเงินพอที่จะซื้อที่และเปิดร้านเล็กๆได้เลย ตั้งแต่นี้ไปเขาสามารถที่จะลืมตาอ้าปากจากครอบครัวคนจนมาเป็นคนที่พอมีพอกินในระดับกลางได้เลย

เสี่ยวไป๋หยิบไม้จิ้มฟันและเดินออกจากร้านไป ชายที่อยู่ข้างหลังเขาก็รีบลุกขึ้นและเดินตามเขาไปด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเดินไปถึงทางแยก อยู่ดีๆก็มีผู้ชายห้าคนเดินมาตรงบริเวณทางแยก

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นชาเมื่อได้เห็นคนพวกนี้ มือกำหมัดแน่นพร้อมที่จะสู้ได้ทุกเมื่อ

“พวกเจ้าต้องการอะไร?”

“พี่ชาย พวกเรากำลังขัดสนเรื่องเงินกันนิดหน่อย เอาเป็นว่าให้พวกเรายืมหน่อยได้ไหม?” หนึ่งในชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

บ้าจริง! กล้าดียังไงมาปล้นเขาเนี่ย?!

โดยไม่พูดอะไรสักคำ เสี่ยวไป๋เหวี่ยงหมัดตรงเข้าไปทันที ถึงแม้จะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่เสี่ยวไป๋ก็เป็นสัตว์อสูร สัตว์อสูรจะมีผิวหนังที่หนาจึงไม่เกรงกลัวต่อการต่อสู้ใดๆ

ด้วยความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาจึงจัดการคนทั้งหกได้โดยไม่ต้องเสียเหงื่อสักหยด
“บ้าจริง เร็วเข้าสิ เจ้าจับมือมันสิ ไอ้หมอนี่จัดการยากจริงๆ” หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกซ้อมจนน่วมพูดขึ้นมา

“บ้าจริง เจ็บชะมัด ไอ้หมอนี่ทำมาจากเหล็กหรือไงกัน?”

“ไอ้พวกเหลือขอ กล้าดียังไงมาปล้นข้า อยากตายกันหรือไง?” เสี่ยวไป๋ที่เพิ่งจะกินอิ่ม รู้สึกอยากที่จะอ้วกออกมาเลย

เพราะเสียงเอะอะโวยวายของกลุ่มคน ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มที่จะสนใจและไม่นานทีมทหารของเมืองก็เข้ามาเจอ

“หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้!”

ทีมทหารลงมือด้วยความรวดเร็วและกลุ่มคนก็รีบแตกกระเจิงทันที กลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่เมื่อกี้อยากที่จะหนีทันที แต่สายตาที่แหลมคมของทหารเห็นและก้าวเข้ามาขวางทางได้ “พาทุกคนกลับไปที่สถานี”

“โอ้ ปล่อยข้านะ พวกเขาปล้นข้า แล้วพวกเจ้าจะพากลับไปด้วยทำไม?” เสี่ยวไป๋โบกมือและสุดท้ายก็สลัดหลุดจากทหารร่างเล็กทั้งสองคน หัวหน้าทหารมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็กลับไปพูดที่สถานี”

ถึงแม้เสี่ยวไป๋จะเชื่อถือไม่ค่อยได้แต่เขาก็รู้ว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเรื่องที่เขาต้านทานไม่ได้ เขาไม่สามารถที่จะจัดการทหารเป็นสิบคนนี้ได้

“คุกเข่าลง”

เสี่ยวไป๋ยืนนิ่งอย่างอวดดี พยายามจะให้เขาคุกเข่าลงงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก

เสี่ยวไป๋รู้สึกโกรธเหล่าทหารขึ้นมาทันที “อวดดี”

ทหารที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งกดเสี่ยวไป๋ไว้ทันทีและพยายามที่จะกดเขาลงกับพื้น

เสี่ยวไป๋ไม่ยอม เขาเป็นสุดยอดสัตว์อสูรนะ เขาจะคุกเข่าให้พ่อแม่เขาเท่านั้นแต่จะไม่ยอมคุกเข่าให้คนอื่นแน่ๆ

ทหารสองคนที่เข้ามาสู้กับเสี่ยวไป๋ล้มลงไปกองกับพื้นในเสี้ยววินาที

“อวดดี กล้าดียังไงถึงขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ ทุกคนจัดการ” หัวหน้าเจ้าที่ ตบไปที่โต๊ะด้วยความโกรธ

ทหารทุกคนต่างก็รีบพุ่งเข้าไป เสี่ยวไป๋ไม่สนใจเรื่องหน้าที่อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เขาจะยอมคุกเข่าได้ยังไง ฆ่าเขาเลยซะยังดีกว่า

โถงของสถานีเละไปหมด ตอนนี้พวกโจรสองสามคนเริ่มรวมตัวกัน พวกเขาต่างก็ส่งเสียงโวยวายและอยากที่จะหนี

มู่หรงที่อยู่ในมิติลับมองเหตุการณ์ที่วุ่นวายนี้ด้วยความกังวลเป็นอย่างมาก เธออยากที่จะออกมาแต่ถ้าออกมาในสถานีก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่กำลังเดินเข้าปากเสือแน่ๆ
ในตอนนี้ หวังฉิงที่บังเอิญผ่านมา รีบลงจากรถม้าและเดินเข้าไปข้างในทันที “พวกเจ้าทำเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่เนี่ย?”

เสียงคำรามที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาทำให้เหล่าคนที่กำลังวุ่นวายตัวแข็งขึ้นมาทันที หัวหน้าทีมที่กำลังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะรีบคุกเข่าลงด้วยความตื่นตกใจทันที

“ฝ่าบาท คือ”

“หยุดพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอรับๆๆ ทุกคนหยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”

เหล่าทหารค่อยหยุดนิ่ง มือต่างก็กุมไปที่ท้อง, ที่มือและที่หัวของตัวเองกัน

คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเสี่ยวไป๋ ด้วยร่างที่สูงเกือบสองเมตรจึงเห็นได้อย่างชัดเจน นี่ยังไม่พูดถึงใบหน้าที่หล่อเหลาอีก
ในดวงตาของหวังฉิงแวบประกายแสง เขามองไปที่ เสี่ยวไป๋ด้วยความเงียบ หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีเรื่องอะไรกัน? พูดมาสิ”

เจ้าหน้าที่รีบก้มหัวลงทันทีและตอบกลับมา “ข้าไม่บังอาจรบกวนฝ่าบาท ข้าสมควรตาย ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ข้าจะลงโทษเจ้านี่เอง”

“ข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น?”

เสี่ยวไป๋รีบเงยหน้าขึ้นทันที “วันนี้ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นวิธีการทำงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ พวกท่านรังแกคนบริสุทธิ์อย่างเรา แล้วแบบนี้พวกท่านจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”

สีหน้าของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที “นี่เจ้ากำลังพูดบ้าเรื่องอะไร?”

ฝ่าบาทยังอยู่ที่นี่ ถ้าเขาพูดแบบนี้ออกไป นี่อยากจะตายหรือไง?!

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับโมโหมากจนอยากจะกระทืบพื้นให้แหลก ไอ้เจ้าลูกบอลขาวนี่หายนะชัดๆ เพียงแค่เวลาไม่นานก็ได้เจอเข้ากับหวังฉิงซะแล้ว ขอร้องเถอะ สิ่งที่พวกเธอต้องการคือการหนีไปให้พ้นจากเทพแห่งสงครามคนนี้ โอเคไหม?!

น่าเสียดายที่เสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าหวังฉิงคนนี้เป็นใคร เขาไม่รู้จักคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาเลย

“เจ้าเป็นใคร?” หวังฉิงพูดกับเสี่ยวไป๋ ชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เขารู้สึกได้

“ข้าถูกไอ้พวกอันธพาลพวกนี้ปล้น แน่นอนว่าข้าไม่ยอม ก็เลยจัดการพวกมันในทันที และผลที่ได้ก็คือกลุ่มทหารพวกนี้ก็รีบพุ่งเข้ามาและบอกให้ข้ามาที่สถานี ข้าเป็นพลเมืองดี ถึงข้าจะไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าก็ยอมที่จะมาที่สถานีอย่างเชื่อฟัง”

หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็มองไปที่เจ้าหน้าที่สีหน้าซีดเผือดด้วยท่าทางสนใจแล้วจึงพูดต่อ “ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บังคับให้ข้าคุกเข่าลงโดยไม่พูดอะไรเลย ทำไมข้าต้องคุกเข่าลงด้วยในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด?”
ตั้งแต่สมัยโบราณจึงไม่มีข้าราชการที่ไม่คุกเข่า

หัวหน้าเจ้าหน้าที่อยากที่จะโต้ตอบแต่หวังฉิงโบกมือเขาจึงรีบหุบปากลง

ขนาดหวังฉิงก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามออกมา “เจ้าไม่ใช่คนท้องถิ่นงั้นเหรอ? เจ้ามาจากไหน?”

“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ?” ทำไมเขาต้องบอกด้วย ต่อให้คนตรงหน้าเป็นบุตรชายของราชา เขาก็ไม่กลัวหรอก

“อยากไปดื่มกับข้าหน่อยไหม? ข้าชื่นชมชายหนุ่มที่มีความกล้าจริงๆ” ดวงตาดำเข้มของหวังฉิงเปล่งประกายราวกับอัญมณีแล้วประกายนั้นก็จางหายไปในพริบตา ทำให้คนอื่นไม่เห็นว่าเขากำลังคิดอะไร

“เฮ้ เจ้านี่ตาแหลมจริงๆ ไปสิ ไปดื่มกันหน่อย” เสี่ยวไป๋พูดอย่างพอใจและรีบโอบไปที่ไหล่ของหวังฉิงทันที กลายเป็นภาพเพื่อนสนิทสองคนที่น่ามองจริงๆ

“บังอาจ” เจ้าหน้าที่ร้องออกมา

หวังฉิงมองไปที่มือที่ไหล่ตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สบัดออก เขาเพียงแค่จ้องไปที่เจ้าหน้าที่ “จัดการคนพวกนี้ซะ”

เจ้าหน้าที่รีบโค้งตัวทันทีและพูดออกมา “ขอรับฝ่าบาท”

“บังเอิญว่ามีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆนี้ด้วย บรรยากาศดีมาก ไวน์ที่นั่นก็รสชาติดีด้วย”

“จริงเหรอ เจ้านี่รสนิยมดีจริงๆ”

“…”

ในบางครั้งบางคราวก็จะมีบทสนทนาดีๆดังขึ้นมาบ้าง

เหล่าเจ้าหน้าที่ยืนหลังตรง พวกเขาไม่เข้าใจความคิดขององค์ราชาเลย

เขามองไปที่คนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เย็นชา มันคงต้องใช้การทรมานอย่างมากเพื่อที่จะลบความกลัวของเขาได้

เมื่อออกมานอกประตู ทหารก็นำม้ามาให้เสี่ยวไป๋

“เจ้ารู้วิธีขี่ม้าใช่ไหม สหาย?” หวังฉิงถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ

“กระแอม แน่นอน แค่นี้เรื่องเล็กๆ” เสี่ยวไป๋ตอบอย่างใจเย็น

ถึงแม้เขาจะไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะเหมือนๆกัน

ทันทีที่เท้าของหวังฉิงเหยียบไปที่ที่วางเท้า เขาก็ดีดตัวขึ้นไปที่หลังม้าทันที เสี่ยวไป๋เองก็ทำแบบเดียวกัน แต่ภาพที่คิดมันสวยเกินกว่าความเป็นจริงมาก เขาเกือบที่จะตกลงไปกองกับพื้น

สายตาของหวังฉิงฉายแววยิ้ม เสี่ยวไป๋กระแอมอย่างอึดอัดเล็กน้อย “บ้าจริง วันนี้รองเท้าที่ใส่มาลื่นจริงๆเลย”
การลองครั้งที่สอง เสี่ยวไป๋ล้มลงไปอย่างหมดท่า

ไอ้โง่เอ่ย สมองทึบหรือไง!

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าอยู่ในมิติลับ

หลังจากนั้นสักพัก แม้แต่เฟิงจือหลิงก็ยังเดินออกมา “มู่เทียน มีอะไรเหรอ?! ถึงได้โมโหขนาดนี้”

“ก็เสี่ยวไป๋ไง เพราะเขาข้าแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว” มู่หรงพูดโดยไม่เว้นหายใจเลย

“เสี่ยวไป๋หายไปไหนล่ะ?” เฟิงจือหลิงมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเขา

“ข้าให้เขาออกไปข้างนอก เขาเป็นคนเดียวที่หวังฉิงยังไม่เคยเห็นหน้า” มู่หรงพูดต่อ และเฟิงจือหลิงก็เข้าใจได้ในทันที “งั้นเขาทำอะไรถึงทำให้เจ้าโมโหได้ขนาดนี้?”
“เขาทำได้ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวข้าดูเอง เจ้าไปฝึกต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างกังวล เพราะกลัวว่าเขาจะถูกหวังฉิงหลอกเอาได้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 325 การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 325 การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 325
การเผชิญหน้าของการฆาตกรรม

“เอาเกี๊ยวมาอีกสองถ้วย” ถ้วยเปล่าที่โต๊ะของเสี่ยวไป๋วางตั้งเป็นกองสูง ทันทีที่เขาได้ออกมาโลกนี้ เขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับทุกอย่าง

แม้แต่เจ้าของร้านก็ยังเดินออกมาและถามอย่างระวัง “นายท่าน นี่ท่านกินไปกว่า 20 ถ้วยแล้วเหรอขอรับ?”

เสี่ยวไป๋แตะไปที่ท้องของตัวเองและรู้สึกว่ายังไม่อิ่มเลย “เอามาอีกห้าถ้วยเลย ข้ายังไม่อิ่ม เอ้านี่” เสี่ยวไป๋หยิบธนบัตรสีเงินใบหนึ่งร้อยตำลึงออกมาและยื่นให้เขา

เจ้าของร้านได้เห็นเยอะขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันเนี่ย? เขาจับไปที่กระเป๋าตัวเอง เงินทั้งหมดที่มีก็ยังไม่พอที่จะเอามาถอนได้เลย “มีตํ๋วเงินที่เล็กกว่านี้ไหมนายท่าน?! ข้าไม่มีเงินถอนเลย”
เสี่ยวไป๋หยิบธนบัตรสีเงินขึ้นมาและมองไปที่มัน แล้วเขาก็เห็นว่าในตัวมีแต่ธนบัตรสีเงินนี้เท่านั้น “ถ้าไม่มีทอนก็ไม่ต้องหาหรอก ทำอาหารอร่อยๆมาเพิ่มแล้วกัน” เสี่ยวไป๋เก็บเงินที่เหลือกลับเข้าไปอีกครั้ง

เจ้าของร้านดวงตาเบิกกว้าง แขกคนนี้รวยจริงๆเลย

“ได้ขอรับท่าน” ไม่ว่าเขาจะกินมากแค่ไหน แต่เมื่อได้เงินหนึ่งร้อยตำลึง เขาก็รีบไปทำอาหารแล้วเอามาเสิร์ฟเสี่ยวไป๋เพิ่มทันที

แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเมื่อกี้ตอนที่เสี่ยวไป๋หยิบกองธนบัตรสีเงินออกมาทำให้สองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลสะดุดตาขึ้นมา พวกเขาต่างก็มองหน้ากัน สายตาแวบประกายประเมินและไม่นานชายคนหนึ่งก็รีบเดินออกไป เหลือเพียงชายอีกคนที่กำลังนั่งจ้องเสี่ยวไป๋อยู่

ความสนใจทั้งหมดของเสี่ยวไป๋มุ่งไปที่อาหารน่าอร่อยและไม่ได้สนใจสายตาของคนรอบข้างเลย อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนจากในมิติลับ
เสี่ยวไป๋นี่โง่จริงๆเลย มู่หรงเคยด่าไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ ไม่รู้หรือไงว่าเงินไม่ใช่อะไรที่จะเอาออกมาโชว์กันแบบนี้ได้ เธอรู้ดีว่าเขาพึ่งพาไม่ค่อยได้แต่ก็คิดว่าเขาจะคิดให้มากกว่านี้ ตอนนี้พวกเธอไม่ควรที่จะสร้างปัญหาอะไร ต้องรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดก่อน

มู่หรงที่อยู่ในมิติลับอยากจะกระโดดเตะเขาจริงๆ คนอะไรสนใจแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลย

เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงก่อนที่สุดท้ายเสี่ยวไป๋จะวางถ้วยและตะเกียบลง ลุกขึ้นแตะไปที่ท้องบวมๆของตัวเองแล้วจึงเรอออกมาเสียงดัง เขาแทบจะกินทุกอย่างที่มีในร้านเลยทีเดียว

ในตอนนี้เจ้าของร้านกำลังยิ้มและเก็บกวาดทำความสะอาดร้าน วันนี้เขาขายดีอย่างมากเลย เขามีเงินพอที่จะซื้อที่และเปิดร้านเล็กๆได้เลย ตั้งแต่นี้ไปเขาสามารถที่จะลืมตาอ้าปากจากครอบครัวคนจนมาเป็นคนที่พอมีพอกินในระดับกลางได้เลย

เสี่ยวไป๋หยิบไม้จิ้มฟันและเดินออกจากร้านไป ชายที่อยู่ข้างหลังเขาก็รีบลุกขึ้นและเดินตามเขาไปด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเดินไปถึงทางแยก อยู่ดีๆก็มีผู้ชายห้าคนเดินมาตรงบริเวณทางแยก

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นชาเมื่อได้เห็นคนพวกนี้ มือกำหมัดแน่นพร้อมที่จะสู้ได้ทุกเมื่อ

“พวกเจ้าต้องการอะไร?”

“พี่ชาย พวกเรากำลังขัดสนเรื่องเงินกันนิดหน่อย เอาเป็นว่าให้พวกเรายืมหน่อยได้ไหม?” หนึ่งในชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

บ้าจริง! กล้าดียังไงมาปล้นเขาเนี่ย?!

โดยไม่พูดอะไรสักคำ เสี่ยวไป๋เหวี่ยงหมัดตรงเข้าไปทันที ถึงแม้จะไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณ แต่เสี่ยวไป๋ก็เป็นสัตว์อสูร สัตว์อสูรจะมีผิวหนังที่หนาจึงไม่เกรงกลัวต่อการต่อสู้ใดๆ

ด้วยความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาจึงจัดการคนทั้งหกได้โดยไม่ต้องเสียเหงื่อสักหยด
“บ้าจริง เร็วเข้าสิ เจ้าจับมือมันสิ ไอ้หมอนี่จัดการยากจริงๆ” หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกซ้อมจนน่วมพูดขึ้นมา

“บ้าจริง เจ็บชะมัด ไอ้หมอนี่ทำมาจากเหล็กหรือไงกัน?”

“ไอ้พวกเหลือขอ กล้าดียังไงมาปล้นข้า อยากตายกันหรือไง?” เสี่ยวไป๋ที่เพิ่งจะกินอิ่ม รู้สึกอยากที่จะอ้วกออกมาเลย

เพราะเสียงเอะอะโวยวายของกลุ่มคน ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มที่จะสนใจและไม่นานทีมทหารของเมืองก็เข้ามาเจอ

“หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้!”

ทีมทหารลงมือด้วยความรวดเร็วและกลุ่มคนก็รีบแตกกระเจิงทันที กลุ่มคนที่ต่อสู้กันอยู่เมื่อกี้อยากที่จะหนีทันที แต่สายตาที่แหลมคมของทหารเห็นและก้าวเข้ามาขวางทางได้ “พาทุกคนกลับไปที่สถานี”

“โอ้ ปล่อยข้านะ พวกเขาปล้นข้า แล้วพวกเจ้าจะพากลับไปด้วยทำไม?” เสี่ยวไป๋โบกมือและสุดท้ายก็สลัดหลุดจากทหารร่างเล็กทั้งสองคน หัวหน้าทหารมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็กลับไปพูดที่สถานี”

ถึงแม้เสี่ยวไป๋จะเชื่อถือไม่ค่อยได้แต่เขาก็รู้ว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเรื่องที่เขาต้านทานไม่ได้ เขาไม่สามารถที่จะจัดการทหารเป็นสิบคนนี้ได้

“คุกเข่าลง”

เสี่ยวไป๋ยืนนิ่งอย่างอวดดี พยายามจะให้เขาคุกเข่าลงงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก

เสี่ยวไป๋รู้สึกโกรธเหล่าทหารขึ้นมาทันที “อวดดี”

ทหารที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งกดเสี่ยวไป๋ไว้ทันทีและพยายามที่จะกดเขาลงกับพื้น

เสี่ยวไป๋ไม่ยอม เขาเป็นสุดยอดสัตว์อสูรนะ เขาจะคุกเข่าให้พ่อแม่เขาเท่านั้นแต่จะไม่ยอมคุกเข่าให้คนอื่นแน่ๆ

ทหารสองคนที่เข้ามาสู้กับเสี่ยวไป๋ล้มลงไปกองกับพื้นในเสี้ยววินาที

“อวดดี กล้าดียังไงถึงขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ ทุกคนจัดการ” หัวหน้าเจ้าที่ ตบไปที่โต๊ะด้วยความโกรธ

ทหารทุกคนต่างก็รีบพุ่งเข้าไป เสี่ยวไป๋ไม่สนใจเรื่องหน้าที่อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี เขาจะยอมคุกเข่าได้ยังไง ฆ่าเขาเลยซะยังดีกว่า

โถงของสถานีเละไปหมด ตอนนี้พวกโจรสองสามคนเริ่มรวมตัวกัน พวกเขาต่างก็ส่งเสียงโวยวายและอยากที่จะหนี

มู่หรงที่อยู่ในมิติลับมองเหตุการณ์ที่วุ่นวายนี้ด้วยความกังวลเป็นอย่างมาก เธออยากที่จะออกมาแต่ถ้าออกมาในสถานีก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่กำลังเดินเข้าปากเสือแน่ๆ
ในตอนนี้ หวังฉิงที่บังเอิญผ่านมา รีบลงจากรถม้าและเดินเข้าไปข้างในทันที “พวกเจ้าทำเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่เนี่ย?”

เสียงคำรามที่จู่ๆก็ดังขึ้นมาทำให้เหล่าคนที่กำลังวุ่นวายตัวแข็งขึ้นมาทันที หัวหน้าทีมที่กำลังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะรีบคุกเข่าลงด้วยความตื่นตกใจทันที

“ฝ่าบาท คือ”

“หยุดพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย” หวังฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอรับๆๆ ทุกคนหยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”

เหล่าทหารค่อยหยุดนิ่ง มือต่างก็กุมไปที่ท้อง, ที่มือและที่หัวของตัวเองกัน

คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือเสี่ยวไป๋ ด้วยร่างที่สูงเกือบสองเมตรจึงเห็นได้อย่างชัดเจน นี่ยังไม่พูดถึงใบหน้าที่หล่อเหลาอีก
ในดวงตาของหวังฉิงแวบประกายแสง เขามองไปที่ เสี่ยวไป๋ด้วยความเงียบ หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีเรื่องอะไรกัน? พูดมาสิ”

เจ้าหน้าที่รีบก้มหัวลงทันทีและตอบกลับมา “ข้าไม่บังอาจรบกวนฝ่าบาท ข้าสมควรตาย ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ข้าจะลงโทษเจ้านี่เอง”

“ข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น?”

เสี่ยวไป๋รีบเงยหน้าขึ้นทันที “วันนี้ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นวิธีการทำงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ พวกท่านรังแกคนบริสุทธิ์อย่างเรา แล้วแบบนี้พวกท่านจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”

สีหน้าของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที “นี่เจ้ากำลังพูดบ้าเรื่องอะไร?”

ฝ่าบาทยังอยู่ที่นี่ ถ้าเขาพูดแบบนี้ออกไป นี่อยากจะตายหรือไง?!

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในมิติลับโมโหมากจนอยากจะกระทืบพื้นให้แหลก ไอ้เจ้าลูกบอลขาวนี่หายนะชัดๆ เพียงแค่เวลาไม่นานก็ได้เจอเข้ากับหวังฉิงซะแล้ว ขอร้องเถอะ สิ่งที่พวกเธอต้องการคือการหนีไปให้พ้นจากเทพแห่งสงครามคนนี้ โอเคไหม?!

น่าเสียดายที่เสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าหวังฉิงคนนี้เป็นใคร เขาไม่รู้จักคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาเลย

“เจ้าเป็นใคร?” หวังฉิงพูดกับเสี่ยวไป๋ ชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เขารู้สึกได้

“ข้าถูกไอ้พวกอันธพาลพวกนี้ปล้น แน่นอนว่าข้าไม่ยอม ก็เลยจัดการพวกมันในทันที และผลที่ได้ก็คือกลุ่มทหารพวกนี้ก็รีบพุ่งเข้ามาและบอกให้ข้ามาที่สถานี ข้าเป็นพลเมืองดี ถึงข้าจะไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าก็ยอมที่จะมาที่สถานีอย่างเชื่อฟัง”

หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาก็มองไปที่เจ้าหน้าที่สีหน้าซีดเผือดด้วยท่าทางสนใจแล้วจึงพูดต่อ “ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บังคับให้ข้าคุกเข่าลงโดยไม่พูดอะไรเลย ทำไมข้าต้องคุกเข่าลงด้วยในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด?”
ตั้งแต่สมัยโบราณจึงไม่มีข้าราชการที่ไม่คุกเข่า

หัวหน้าเจ้าหน้าที่อยากที่จะโต้ตอบแต่หวังฉิงโบกมือเขาจึงรีบหุบปากลง

ขนาดหวังฉิงก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามออกมา “เจ้าไม่ใช่คนท้องถิ่นงั้นเหรอ? เจ้ามาจากไหน?”

“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ?” ทำไมเขาต้องบอกด้วย ต่อให้คนตรงหน้าเป็นบุตรชายของราชา เขาก็ไม่กลัวหรอก

“อยากไปดื่มกับข้าหน่อยไหม? ข้าชื่นชมชายหนุ่มที่มีความกล้าจริงๆ” ดวงตาดำเข้มของหวังฉิงเปล่งประกายราวกับอัญมณีแล้วประกายนั้นก็จางหายไปในพริบตา ทำให้คนอื่นไม่เห็นว่าเขากำลังคิดอะไร

“เฮ้ เจ้านี่ตาแหลมจริงๆ ไปสิ ไปดื่มกันหน่อย” เสี่ยวไป๋พูดอย่างพอใจและรีบโอบไปที่ไหล่ของหวังฉิงทันที กลายเป็นภาพเพื่อนสนิทสองคนที่น่ามองจริงๆ

“บังอาจ” เจ้าหน้าที่ร้องออกมา

หวังฉิงมองไปที่มือที่ไหล่ตัวเองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สบัดออก เขาเพียงแค่จ้องไปที่เจ้าหน้าที่ “จัดการคนพวกนี้ซะ”

เจ้าหน้าที่รีบโค้งตัวทันทีและพูดออกมา “ขอรับฝ่าบาท”

“บังเอิญว่ามีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆนี้ด้วย บรรยากาศดีมาก ไวน์ที่นั่นก็รสชาติดีด้วย”

“จริงเหรอ เจ้านี่รสนิยมดีจริงๆ”

“…”

ในบางครั้งบางคราวก็จะมีบทสนทนาดีๆดังขึ้นมาบ้าง

เหล่าเจ้าหน้าที่ยืนหลังตรง พวกเขาไม่เข้าใจความคิดขององค์ราชาเลย

เขามองไปที่คนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เย็นชา มันคงต้องใช้การทรมานอย่างมากเพื่อที่จะลบความกลัวของเขาได้

เมื่อออกมานอกประตู ทหารก็นำม้ามาให้เสี่ยวไป๋

“เจ้ารู้วิธีขี่ม้าใช่ไหม สหาย?” หวังฉิงถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ

“กระแอม แน่นอน แค่นี้เรื่องเล็กๆ” เสี่ยวไป๋ตอบอย่างใจเย็น

ถึงแม้เขาจะไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะเหมือนๆกัน

ทันทีที่เท้าของหวังฉิงเหยียบไปที่ที่วางเท้า เขาก็ดีดตัวขึ้นไปที่หลังม้าทันที เสี่ยวไป๋เองก็ทำแบบเดียวกัน แต่ภาพที่คิดมันสวยเกินกว่าความเป็นจริงมาก เขาเกือบที่จะตกลงไปกองกับพื้น

สายตาของหวังฉิงฉายแววยิ้ม เสี่ยวไป๋กระแอมอย่างอึดอัดเล็กน้อย “บ้าจริง วันนี้รองเท้าที่ใส่มาลื่นจริงๆเลย”
การลองครั้งที่สอง เสี่ยวไป๋ล้มลงไปอย่างหมดท่า

ไอ้โง่เอ่ย สมองทึบหรือไง!

มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าอยู่ในมิติลับ

หลังจากนั้นสักพัก แม้แต่เฟิงจือหลิงก็ยังเดินออกมา “มู่เทียน มีอะไรเหรอ?! ถึงได้โมโหขนาดนี้”

“ก็เสี่ยวไป๋ไง เพราะเขาข้าแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว” มู่หรงพูดโดยไม่เว้นหายใจเลย

“เสี่ยวไป๋หายไปไหนล่ะ?” เฟิงจือหลิงมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเขา

“ข้าให้เขาออกไปข้างนอก เขาเป็นคนเดียวที่หวังฉิงยังไม่เคยเห็นหน้า” มู่หรงพูดต่อ และเฟิงจือหลิงก็เข้าใจได้ในทันที “งั้นเขาทำอะไรถึงทำให้เจ้าโมโหได้ขนาดนี้?”
“เขาทำได้ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวข้าดูเอง เจ้าไปฝึกต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสี่ยวไป๋อย่างกังวล เพราะกลัวว่าเขาจะถูกหวังฉิงหลอกเอาได้

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+