ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 333 การวางยาพิษ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 333 การวางยาพิษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 333
การวางยาพิษ

เธอหลับตาและน้ำตาสองสายก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม
สีหน้าที่ดื้อดึงเริ่มที่จะคลายลงและกลายเป็นสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นเพราะท่าทางของเธอ

หวิงฉิงขมวดคิ้ว นี่เขาเข้าใจเธอผิดหรือเปล่า?! มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อนึกถึงท่าทางที่ไร้ที่ติของฟางเสี่ยวโหรวก่อนหน้านี้

เขาขมวดคิ้วและกระซิบเสียงเบา “ลุกขึ้น ข้าจะสืบให้รู้ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนโง่”

ฟางเสี่ยวโหรวลืมตาขึ้น ดวงตาที่กลอกอยู่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งความรัก เธอไม่ได้พูดอะไรและรู้สึกว่าหวังฉิงเองก็เชื่อเธออยู่นิดหน่อย

หวังฉิงลุกขึ้นและพูดออกมา “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำอีก ข้าไปก่อนล่ะ”

หลังจากที่หวังฉิงออกไปแล้ว ฟางเสี่ยวโหรวยังนั่งอยู่ที่พื้นร่างกายยังสั่นเทิ้ม เธอทนไม่ได้ที่องค์ชายมองเธอด้วยสายตารังเกียจแบบนั้น เธอรักหวังฉิงมากกว่าใครอื่น

ฟางเสี่ยวโหรวลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบกล่องออกมา

สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไปและเดินไปยืนข้างๆ ฟางเสี่ยวโหรว “องค์หญิงโหรว นี่ท่านจะทำอะไร?”

ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่แม่นมด้วยสายตาเย็นชา “เข้าใจใช่ไหมว่าเรื่องไหนที่ควรพูด เรื่องไหนไม่ควรพูด?”

“แม่นม” เธอพูด

“แม่นม ท่านเป็นคนเดียวที่ข้าเชื่อใจ” ฟางเสี่ยวโหรวพูดเสียงเรียบ
“เชื่อใจข้าเถอะ” แม่นมพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ฟางเสี่ยวโหรวพยักหน้าและวางกล่องใส่ในมือของนาง

ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันและกัน มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในดวงตาของกันและกัน

เช้าวันต่อมา เป็นเช้าที่สดใส

มู่หรงบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วก็ลืมเรื่องที่จะออกไปข้างนอก ถึงแม้จะอยู่ในตำหนักมาแค่อาทิตย์เดียวแต่ มู่หรงเสวี่ยกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเฉาตาย

ผู้หญิงยุคนี้ไม่มีอะไรสนุกเลยจริงๆ มีข้อจำกัดมากมายที่ไม่ต้องพูดถึงเลย ทำได้แค่เพียงเชื่อฟังคำสั่งสามีและคอยอบรมลูกๆเท่านั้น ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อจริงๆ

เวลานี้ในห้องครัว

“โอ้ รอเดี๋ยว เจ้าทำเงินตกนะ” แม่นมของฟางเสี่ยวโหรวพูดกับสาวใช้ที่กำลังถือซุปเม็ดบัว

เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็รีบก้มหัวทันทีและเห็นเหรียญเงินเปล่งประกายอยู่

นางรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีแต่เพราะในมือถือซุปเม็ดบัวอยู่

ในตอนนี้แม่นมเดินตรงเข้ามา “ข้าถือให้เอง”

“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม” สาวใช้ร่างเล็กพูดอย่างมีความสุข

ใครบ้างละที่ไม่ชอบเงิน เงินทั้งหมดที่เธอมียังไม่เท่ากับเหรียญเงินที่อยู่ตรงหน้านี่เลย

อีกอย่างครอบครัวของเธอก็กำลังลำบาก เหรียญเงินนี่จะทำให้น้องๆของเธอได้เรียนหนังสือ
ประกายเย็นชาแวบเข้ามาในดวงตาของแม่นม และผงแป้งก็ถูกโรยลงไปในซุปเม็ดบัวระหว่างที่สาวใช้กำลังก้มตัวลง

ผงแป้งสลายไปพร้อมกับน้ำซุปจึงไม่เห็นความผิดปกติอะไร

“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม”

“ด้วยความยินดี เจ้าเอาซุปไปส่งเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ร่างเล็กมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เพียงแค่เวลาสั้นๆแต่ไม่รู้เลยว่าซุปในมือของเธอถูกปนเปื้อนไปแล้ว

มู่หรงบังเอิญรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยและอยากที่จะกินทันทีเลย

“รอเดี๋ยวเจ้าค่ะนายหญิงมู่” เสี่ยวฉิงหยิบเข็มเงินออกมา

มู่หรงเสวี่ยสงสัยอยู่สักพัก “ทำแบบนี้เพื่ออะไรงั้นเหรอ?”

“ให้สาวใช้ทดสอบก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเรียบ

ในฐานะสาวใช้ เธอเคยเห็นเรื่องสกปรกมากมายมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเรื่องการระวังจึงเป็นนิสัยปกติของเธอ

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงฟางเสวี่ยโหรวจึงไม่ได้ขัดการกระทำของเสี่ยวฉิง การไม่เสี่ยงคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

เสี่ยวฉิงจิ้มเข็มเงินลงไปเพื่อตรวจสอบ เข็มเงินยังคงเปล่งประกายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอจึงเริ่มรู้สึกวางใจ “ได้แล้วเจ้าค่ะ”

มู่หรงพยักหน้าเบาๆและจึงเริ่มกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าซุปเม็ดบัวนี่รสชาติออกจะแปลกจากเดิมไปนิดหน่อยแต่ก็รีบลืมเรื่องนี้ไปทันที

ก็จริงที่เธอเคยดูละครมากเกินไปแต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก

หลังจากที่กินเสร็จ มู่หรงก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย สติเริ่มที่จะรางเลือนนิดๆ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกไม่ดีเลย

“เสี่ยวฉิง ไปตามองค์ชายมา” แล้วมู่หรงก็รีบหยิบยาถอนพิษออกมาจากมิติลับและมีเวลาเพียงแค่โยนยาเข้าไปในปากแล้วเธอก็สลบไป

เหล่าสาวใช้ที่เห็นต่างก็ร้องกรี๊ดด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“นายหญิง”

“รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว”

“แจ้งฝ่าบาทด้วย”

พร้อมกันนี้เสี่ยวฉิงก็ช่วยพยุงมู่หรงเสวี่ยที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้นและพามานอนที่เตียง โชคดีที่เธอมีเวลาได้กินยาถอนพิษทัน ในวินาทีที่เธอกำลังจะสลบ มู่หรงเสวี่ยมีเวลาแวบไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
หวังฉิงรีบมาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?! พวกทาสทุกคนอย่าคิดว่าจะรอดตัวไปได้นะ” หวังฉิงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

“หมอหลวงอยู่ที่ไหน? ทำไมเขายังมาไม่ถึงอีก?” หวังฉิง กอดมู่เทียนที่นอนอยู่บนเตียง ในหัวใจสั่นรัวไปด้วยความเจ็บปวด

ในตอนนี้สีหน้าของมู่เทียนซีดเผือดและลมหายใจก็อ่อนแรงมาก

ในพระราชวงศ์ฉิงมีหมอหลวงสองคนที่ได้รับแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิและพวกเขาก็มีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา

เสี่ยวฉิงคุกเข่าอยู่ข้างๆเตียง รู้สึกกังวลจนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

“ฝ่าบาท” ยังไม่ทันที่หมอหลวงทั้งสองจะได้ยืนอย่างมั่นคง พวกเขาก็ต้องรีบทำความเคารพซะก่อน

“เข้ามา ไม่ต้องมากพิธี นางเป็นอะไร?” หวังฉิงเก็บซ่อนความกังวลในน้ำเสียงไม่ได้จึงพูดออกไปเสียงเบา

“วางนางลงก่อนนะขอรับ” หมอหลวงพูดอย่างระวัง

ตอนแรก พวกเขาคิดว่าองค์ชายเป็นอะไร จึงมาด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ พวกเขารีบตรงมาจากห้องปรุงยาเลย

ที่ห้องปรุงยา พวกเขาจะต้องถอดรองเท้าก่อนที่จะเดินเข้าไป และพวกเขาจะสวมรองเท้าเพียงแค่ตอนที่จะออกไปหาอะไรกินเท่านั้น ดังนั้นหมอหลวงทั้งสองคนจึงมาด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมากนักเพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะสำคัญกับองค์ชายอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นสีหน้าแบบนี้ของเขา

หวังฉิงค่อยๆวางมู่เทียนลงที่เตียงอย่างระวังแล้วจึงลุกออกจากเตียงเพื่อหลีกทางทันทีเพื่อเปิดที่ให้หมอหลวงได้ทำงาน
หมอหลวงตรวจชีพจรของมู่เทียนอย่างรอบคอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ส่ายหัวพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้หมอหลวงอีกคนเข้ามาตรวจดู

หัวใจของหวังฉิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาที่คอ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบถามออกไป

หวู่ไท่ยี่รีบคุกเข่าลงทันที “เรียนองค์ชาย ตอนนี้ชีพจร, ชีพจรของนางอ่อนแรงมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรื่องอะไรแบบนี้ มันเหมือนกับมีสองอาการที่กำลังสู้กันอยู่ หนึ่งคืออาการถูกวางยาพิษและอาการของการฟื้นตัว

ความโกรธของหวังฉิงพุ่งขึ้นมาทันที “พวกเจ้ามันไร้ค่ามากเลย รู้ตัวหรือเปล่า?”

“อย่าเพิ่งโมโหขอรับ” เขาคุกเข่าลงทันที

หวู่ไท่ยี่ตัวสั่นเทอมแล้วจึงพูดต่อ “ฝ่าบาท ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่เข้าใจแต่ดูเหมือนว่านางจะถูกวางยา” มีสัญญาณของการวางยาพิษอยู่

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป เขามองไปที่เสี่ยวฉิงที่กำลังคุกเข่าอยู่อีกด้าน “บางข้ามาว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ?”

เสี่ยวฉิงร้องไห้และพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งเรื่องซุปเม็ดบัวที่ใช้เข็มเงินตรวจสอบแล้ว

หวังฉิงมองไปที่ซุปเม็ดบัวที่วางอยู่บนโต๊ะ “หมอหวู่ ตรวจที่ซุปเม็ดบัวนี่ที”

หวู่ไท่ยี่ได้รับคำสั่งให้ตรวจซุปเม็ดบัวอย่างระมัดระวัง เขาส่ายหัวเล็กน้อย “ซุปเม็ดบัวนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ”

สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นางล้มลงหลังจากที่ดื่มซุปเม็ดบัวนี่ ตอนนี้มันไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่มันจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

“ไปเอาหมามา เจ้าไป เร็วด้วย”

องครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆหวังฉิงรีบออกไปจากห้อง หลังจากนั้นสักพักเขาก็พาหมาเข้ามา

“ป้อนซุปให้หมากิน” หวังฉิงพูด

แน่นอนว่าไม่นานหลังจากที่ป้อนซุป หมาที่เมื่อกี้ยังเห่าก็เงียบไปในทันทีแล้วก็ขาดใจตายในที่สุด

สีหน้าของหวู่ไท่ยี่เปลี่ยนไปทันที

“ไอ้คนอวดดี กล้าดียังไงมาบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ?”

เมื่อได้เห็นการตายของหมาที่เกิดขึ้นกะทันหัน ดวงตาที่จ้องของหวังฉิงก็แดงขึ้นมาทันที

“ถ้าพวกเจ้าช่วยนางไม่ได้ พวกเจ้าก็เตรียมตัวถูกฝังได้เลย” ความกลัวที่จะต้องสูญเสียแล่นไปทั่วร่างของหวังฉิง

หวู่ไท่ยี่เดินไปหาหมอหลวงอีกคน หมอหลินและถามออกมาด้วยเสียงเบา “มีอะไรหรือเปล่า?”

สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้กลายเป็นหมอเก่งๆ แล้วตอนนี้เขาจะต้องมาตายงั้นเหรอ

หมอหลินดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่มีเวลามาสนใจความโกรธเกรี้ยวขององค์ชาย ความมหัศจรรย์แห่งการแพทย์ทำให้เขาสนใจมากกว่า

“คือมันเป็นไปไม่ได้!” หลินเทียนลินเองก็ยังประหลาดใจ

นางตายแล้วงั้นเหรอ สีหน้าของหวู่ไท่ยี่กลายเป็นซีดเผือดทันที มือทั้งสองข้างที่จับชีพจรของมู่เทียนอยู่สั่นเทิ้มไปชั่วขณะ เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อแล้วสีหน้าเขาก็ดูประหลาดใจเหมือนกับหมอหลิน

“นี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ”

หวังฉิงรู้สึกกังวลและแทบจะหายใจไม่ทั่วท้องแต่หมอหลวงทั้งสองกลับยังโอ้เอ้อยู่ซึ่งทำให้เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มันเกิดอะไรขึ้น?! มีอันตรายอะไรหรือเปล่า?” หวังฉิงตะโกนถามออกมาด้วยความโมโหพร้อมความตื่นตระหนกในหัวใจ

“รายงานองค์ราชา แม่นางคนนี้ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”

“ไร้สาระ! ทหาร เอาตัวพวกมันออกไปตัดหัว” ถึงแม้เขาจะหวังให้มู่เทียนไม่เป็นอะไรแต่หมาก็ตายไปแล้ว แล้วจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง!?

จะต้องไม่มีใครรอดไปได้

“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยองค์ชาย เรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง แม่นางคนนี้จะฟื้นในอีกไม่ช้า” หมอหวู่รีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาทันที
หมอหลินไม่ได้พูดอะไร แต่ใครบ้างจะไม่กลัวตาย

สีหน้าของหวังฉิงเครียดขึ้นมาทันที เขาเดินไปที่เตียงของมู่เทียนและนั่งลง มือที่สั่นเทิ้มของเขาอังที่ปลายจมูกของเธอ

โชคดีที่ยังมีร่องรอยลมหายใจร้อนๆอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

สีหน้าของเธอไม่ค่อยซีดแล้ว เขาค่อยอุ้มมู่เทียนให้มาอยู่ในอ้อมแขนอย่างระวังราวกับว่าสิ่งนี้จะช่วยทำให้ร่างกายของเธออุ่นขึ้นได้ ไม่เหน็บหนาว

ผู้คนที่คุกเข่าอยู่ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ หวังฉิงไม่ได้บอกให้พวกเขาลุกขึ้น ผู้หญิงที่เขารักยังต้องทรมานงั้นพวกเขาก็ไม่ควรจะรู้สึกสุขสบายไปกว่าเธอ

ที่อีกด้าน ฟางเสี่ยวโหรวกำลังเดินไปมาอยู่ในห้องด้วยความกังวล เวลาผ่านไปนานกว่าที่แม่นมจะเปิดประตูเข้ามา

ฟางเสี่ยวโหรวหันไปพูด “พวกเจ้าทุกคนกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องรออยู่ที่นี่แล้ว”

“เจ้าค่ะท่านหญิงเสี่ยวโหรว”

หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ทุกคนในตำหนักก็กลับออกไป ฟางเสี่ยวโหรวถามออกมาด้วยความเป็นกังวล “แม่นม เป็นยังไงบ้าง? รู้อะไรบ้างหรือยัง?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 333 การวางยาพิษ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 333 การวางยาพิษ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 333
การวางยาพิษ

เธอหลับตาและน้ำตาสองสายก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม
สีหน้าที่ดื้อดึงเริ่มที่จะคลายลงและกลายเป็นสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นเพราะท่าทางของเธอ

หวิงฉิงขมวดคิ้ว นี่เขาเข้าใจเธอผิดหรือเปล่า?! มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อนึกถึงท่าทางที่ไร้ที่ติของฟางเสี่ยวโหรวก่อนหน้านี้

เขาขมวดคิ้วและกระซิบเสียงเบา “ลุกขึ้น ข้าจะสืบให้รู้ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนโง่”

ฟางเสี่ยวโหรวลืมตาขึ้น ดวงตาที่กลอกอยู่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งความรัก เธอไม่ได้พูดอะไรและรู้สึกว่าหวังฉิงเองก็เชื่อเธออยู่นิดหน่อย

หวังฉิงลุกขึ้นและพูดออกมา “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำอีก ข้าไปก่อนล่ะ”

หลังจากที่หวังฉิงออกไปแล้ว ฟางเสี่ยวโหรวยังนั่งอยู่ที่พื้นร่างกายยังสั่นเทิ้ม เธอทนไม่ได้ที่องค์ชายมองเธอด้วยสายตารังเกียจแบบนั้น เธอรักหวังฉิงมากกว่าใครอื่น

ฟางเสี่ยวโหรวลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบกล่องออกมา

สีหน้าของแม่นมเปลี่ยนไปและเดินไปยืนข้างๆ ฟางเสี่ยวโหรว “องค์หญิงโหรว นี่ท่านจะทำอะไร?”

ฟางเสี่ยวโหรวมองไปที่แม่นมด้วยสายตาเย็นชา “เข้าใจใช่ไหมว่าเรื่องไหนที่ควรพูด เรื่องไหนไม่ควรพูด?”

“แม่นม” เธอพูด

“แม่นม ท่านเป็นคนเดียวที่ข้าเชื่อใจ” ฟางเสี่ยวโหรวพูดเสียงเรียบ
“เชื่อใจข้าเถอะ” แม่นมพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ฟางเสี่ยวโหรวพยักหน้าและวางกล่องใส่ในมือของนาง

ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันและกัน มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในดวงตาของกันและกัน

เช้าวันต่อมา เป็นเช้าที่สดใส

มู่หรงบิดขี้เกียจ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วก็ลืมเรื่องที่จะออกไปข้างนอก ถึงแม้จะอยู่ในตำหนักมาแค่อาทิตย์เดียวแต่ มู่หรงเสวี่ยกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเฉาตาย

ผู้หญิงยุคนี้ไม่มีอะไรสนุกเลยจริงๆ มีข้อจำกัดมากมายที่ไม่ต้องพูดถึงเลย ทำได้แค่เพียงเชื่อฟังคำสั่งสามีและคอยอบรมลูกๆเท่านั้น ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อจริงๆ

เวลานี้ในห้องครัว

“โอ้ รอเดี๋ยว เจ้าทำเงินตกนะ” แม่นมของฟางเสี่ยวโหรวพูดกับสาวใช้ที่กำลังถือซุปเม็ดบัว

เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็รีบก้มหัวทันทีและเห็นเหรียญเงินเปล่งประกายอยู่

นางรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีแต่เพราะในมือถือซุปเม็ดบัวอยู่

ในตอนนี้แม่นมเดินตรงเข้ามา “ข้าถือให้เอง”

“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม” สาวใช้ร่างเล็กพูดอย่างมีความสุข

ใครบ้างละที่ไม่ชอบเงิน เงินทั้งหมดที่เธอมียังไม่เท่ากับเหรียญเงินที่อยู่ตรงหน้านี่เลย

อีกอย่างครอบครัวของเธอก็กำลังลำบาก เหรียญเงินนี่จะทำให้น้องๆของเธอได้เรียนหนังสือ
ประกายเย็นชาแวบเข้ามาในดวงตาของแม่นม และผงแป้งก็ถูกโรยลงไปในซุปเม็ดบัวระหว่างที่สาวใช้กำลังก้มตัวลง

ผงแป้งสลายไปพร้อมกับน้ำซุปจึงไม่เห็นความผิดปกติอะไร

“ขอบคุณนะเจ้าคะแม่นม”

“ด้วยความยินดี เจ้าเอาซุปไปส่งเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ร่างเล็กมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เพียงแค่เวลาสั้นๆแต่ไม่รู้เลยว่าซุปในมือของเธอถูกปนเปื้อนไปแล้ว

มู่หรงบังเอิญรู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยและอยากที่จะกินทันทีเลย

“รอเดี๋ยวเจ้าค่ะนายหญิงมู่” เสี่ยวฉิงหยิบเข็มเงินออกมา

มู่หรงเสวี่ยสงสัยอยู่สักพัก “ทำแบบนี้เพื่ออะไรงั้นเหรอ?”

“ให้สาวใช้ทดสอบก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเรียบ

ในฐานะสาวใช้ เธอเคยเห็นเรื่องสกปรกมากมายมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเรื่องการระวังจึงเป็นนิสัยปกติของเธอ

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงฟางเสวี่ยโหรวจึงไม่ได้ขัดการกระทำของเสี่ยวฉิง การไม่เสี่ยงคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

เสี่ยวฉิงจิ้มเข็มเงินลงไปเพื่อตรวจสอบ เข็มเงินยังคงเปล่งประกายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอจึงเริ่มรู้สึกวางใจ “ได้แล้วเจ้าค่ะ”

มู่หรงพยักหน้าเบาๆและจึงเริ่มกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าซุปเม็ดบัวนี่รสชาติออกจะแปลกจากเดิมไปนิดหน่อยแต่ก็รีบลืมเรื่องนี้ไปทันที

ก็จริงที่เธอเคยดูละครมากเกินไปแต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก

หลังจากที่กินเสร็จ มู่หรงก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย สติเริ่มที่จะรางเลือนนิดๆ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกไม่ดีเลย

“เสี่ยวฉิง ไปตามองค์ชายมา” แล้วมู่หรงก็รีบหยิบยาถอนพิษออกมาจากมิติลับและมีเวลาเพียงแค่โยนยาเข้าไปในปากแล้วเธอก็สลบไป

เหล่าสาวใช้ที่เห็นต่างก็ร้องกรี๊ดด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

“นายหญิง”

“รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว”

“แจ้งฝ่าบาทด้วย”

พร้อมกันนี้เสี่ยวฉิงก็ช่วยพยุงมู่หรงเสวี่ยที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้นและพามานอนที่เตียง โชคดีที่เธอมีเวลาได้กินยาถอนพิษทัน ในวินาทีที่เธอกำลังจะสลบ มู่หรงเสวี่ยมีเวลาแวบไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
หวังฉิงรีบมาเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?! พวกทาสทุกคนอย่าคิดว่าจะรอดตัวไปได้นะ” หวังฉิงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

“หมอหลวงอยู่ที่ไหน? ทำไมเขายังมาไม่ถึงอีก?” หวังฉิง กอดมู่เทียนที่นอนอยู่บนเตียง ในหัวใจสั่นรัวไปด้วยความเจ็บปวด

ในตอนนี้สีหน้าของมู่เทียนซีดเผือดและลมหายใจก็อ่อนแรงมาก

ในพระราชวงศ์ฉิงมีหมอหลวงสองคนที่ได้รับแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิและพวกเขาก็มีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา

เสี่ยวฉิงคุกเข่าอยู่ข้างๆเตียง รู้สึกกังวลจนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

“ฝ่าบาท” ยังไม่ทันที่หมอหลวงทั้งสองจะได้ยืนอย่างมั่นคง พวกเขาก็ต้องรีบทำความเคารพซะก่อน

“เข้ามา ไม่ต้องมากพิธี นางเป็นอะไร?” หวังฉิงเก็บซ่อนความกังวลในน้ำเสียงไม่ได้จึงพูดออกไปเสียงเบา

“วางนางลงก่อนนะขอรับ” หมอหลวงพูดอย่างระวัง

ตอนแรก พวกเขาคิดว่าองค์ชายเป็นอะไร จึงมาด้วยความรีบร้อนจนไม่ทันได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ พวกเขารีบตรงมาจากห้องปรุงยาเลย

ที่ห้องปรุงยา พวกเขาจะต้องถอดรองเท้าก่อนที่จะเดินเข้าไป และพวกเขาจะสวมรองเท้าเพียงแค่ตอนที่จะออกไปหาอะไรกินเท่านั้น ดังนั้นหมอหลวงทั้งสองคนจึงมาด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมากนักเพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนี้จะสำคัญกับองค์ชายอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นสีหน้าแบบนี้ของเขา

หวังฉิงค่อยๆวางมู่เทียนลงที่เตียงอย่างระวังแล้วจึงลุกออกจากเตียงเพื่อหลีกทางทันทีเพื่อเปิดที่ให้หมอหลวงได้ทำงาน
หมอหลวงตรวจชีพจรของมู่เทียนอย่างรอบคอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักเขาก็ส่ายหัวพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้หมอหลวงอีกคนเข้ามาตรวจดู

หัวใจของหวังฉิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาที่คอ

“เกิดอะไรขึ้น?” เขารีบถามออกไป

หวู่ไท่ยี่รีบคุกเข่าลงทันที “เรียนองค์ชาย ตอนนี้ชีพจร, ชีพจรของนางอ่อนแรงมาก” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรื่องอะไรแบบนี้ มันเหมือนกับมีสองอาการที่กำลังสู้กันอยู่ หนึ่งคืออาการถูกวางยาพิษและอาการของการฟื้นตัว

ความโกรธของหวังฉิงพุ่งขึ้นมาทันที “พวกเจ้ามันไร้ค่ามากเลย รู้ตัวหรือเปล่า?”

“อย่าเพิ่งโมโหขอรับ” เขาคุกเข่าลงทันที

หวู่ไท่ยี่ตัวสั่นเทอมแล้วจึงพูดต่อ “ฝ่าบาท ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่เข้าใจแต่ดูเหมือนว่านางจะถูกวางยา” มีสัญญาณของการวางยาพิษอยู่

สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไป เขามองไปที่เสี่ยวฉิงที่กำลังคุกเข่าอยู่อีกด้าน “บางข้ามาว่าเรื่องมันเป็นแบบนั้นงั้นเหรอ?”

เสี่ยวฉิงร้องไห้และพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งเรื่องซุปเม็ดบัวที่ใช้เข็มเงินตรวจสอบแล้ว

หวังฉิงมองไปที่ซุปเม็ดบัวที่วางอยู่บนโต๊ะ “หมอหวู่ ตรวจที่ซุปเม็ดบัวนี่ที”

หวู่ไท่ยี่ได้รับคำสั่งให้ตรวจซุปเม็ดบัวอย่างระมัดระวัง เขาส่ายหัวเล็กน้อย “ซุปเม็ดบัวนี่ไม่มีปัญหาอะไรเลยขอรับ”

สีหน้าของหวังฉิงเย็นชา มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นางล้มลงหลังจากที่ดื่มซุปเม็ดบัวนี่ ตอนนี้มันไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่มันจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

“ไปเอาหมามา เจ้าไป เร็วด้วย”

องครักษ์ชุดดำที่อยู่ข้างๆหวังฉิงรีบออกไปจากห้อง หลังจากนั้นสักพักเขาก็พาหมาเข้ามา

“ป้อนซุปให้หมากิน” หวังฉิงพูด

แน่นอนว่าไม่นานหลังจากที่ป้อนซุป หมาที่เมื่อกี้ยังเห่าก็เงียบไปในทันทีแล้วก็ขาดใจตายในที่สุด

สีหน้าของหวู่ไท่ยี่เปลี่ยนไปทันที

“ไอ้คนอวดดี กล้าดียังไงมาบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ?”

เมื่อได้เห็นการตายของหมาที่เกิดขึ้นกะทันหัน ดวงตาที่จ้องของหวังฉิงก็แดงขึ้นมาทันที

“ถ้าพวกเจ้าช่วยนางไม่ได้ พวกเจ้าก็เตรียมตัวถูกฝังได้เลย” ความกลัวที่จะต้องสูญเสียแล่นไปทั่วร่างของหวังฉิง

หวู่ไท่ยี่เดินไปหาหมอหลวงอีกคน หมอหลินและถามออกมาด้วยเสียงเบา “มีอะไรหรือเปล่า?”

สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้กลายเป็นหมอเก่งๆ แล้วตอนนี้เขาจะต้องมาตายงั้นเหรอ

หมอหลินดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่มีเวลามาสนใจความโกรธเกรี้ยวขององค์ชาย ความมหัศจรรย์แห่งการแพทย์ทำให้เขาสนใจมากกว่า

“คือมันเป็นไปไม่ได้!” หลินเทียนลินเองก็ยังประหลาดใจ

นางตายแล้วงั้นเหรอ สีหน้าของหวู่ไท่ยี่กลายเป็นซีดเผือดทันที มือทั้งสองข้างที่จับชีพจรของมู่เทียนอยู่สั่นเทิ้มไปชั่วขณะ เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อแล้วสีหน้าเขาก็ดูประหลาดใจเหมือนกับหมอหลิน

“นี่มันปาฏิหาริย์จริงๆ”

หวังฉิงรู้สึกกังวลและแทบจะหายใจไม่ทั่วท้องแต่หมอหลวงทั้งสองกลับยังโอ้เอ้อยู่ซึ่งทำให้เขายิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มันเกิดอะไรขึ้น?! มีอันตรายอะไรหรือเปล่า?” หวังฉิงตะโกนถามออกมาด้วยความโมโหพร้อมความตื่นตระหนกในหัวใจ

“รายงานองค์ราชา แม่นางคนนี้ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”

“ไร้สาระ! ทหาร เอาตัวพวกมันออกไปตัดหัว” ถึงแม้เขาจะหวังให้มู่เทียนไม่เป็นอะไรแต่หมาก็ตายไปแล้ว แล้วจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง!?

จะต้องไม่มีใครรอดไปได้

“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยองค์ชาย เรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง แม่นางคนนี้จะฟื้นในอีกไม่ช้า” หมอหวู่รีบคุกเข่าร้องขอความเมตตาทันที
หมอหลินไม่ได้พูดอะไร แต่ใครบ้างจะไม่กลัวตาย

สีหน้าของหวังฉิงเครียดขึ้นมาทันที เขาเดินไปที่เตียงของมู่เทียนและนั่งลง มือที่สั่นเทิ้มของเขาอังที่ปลายจมูกของเธอ

โชคดีที่ยังมีร่องรอยลมหายใจร้อนๆอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา ทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

สีหน้าของเธอไม่ค่อยซีดแล้ว เขาค่อยอุ้มมู่เทียนให้มาอยู่ในอ้อมแขนอย่างระวังราวกับว่าสิ่งนี้จะช่วยทำให้ร่างกายของเธออุ่นขึ้นได้ ไม่เหน็บหนาว

ผู้คนที่คุกเข่าอยู่ก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ หวังฉิงไม่ได้บอกให้พวกเขาลุกขึ้น ผู้หญิงที่เขารักยังต้องทรมานงั้นพวกเขาก็ไม่ควรจะรู้สึกสุขสบายไปกว่าเธอ

ที่อีกด้าน ฟางเสี่ยวโหรวกำลังเดินไปมาอยู่ในห้องด้วยความกังวล เวลาผ่านไปนานกว่าที่แม่นมจะเปิดประตูเข้ามา

ฟางเสี่ยวโหรวหันไปพูด “พวกเจ้าทุกคนกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องรออยู่ที่นี่แล้ว”

“เจ้าค่ะท่านหญิงเสี่ยวโหรว”

หลังจากนั้นเหล่าสาวใช้ทุกคนในตำหนักก็กลับออกไป ฟางเสี่ยวโหรวถามออกมาด้วยความเป็นกังวล “แม่นม เป็นยังไงบ้าง? รู้อะไรบ้างหรือยัง?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+