ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 334 ทวงความยุติธรรมให้เธอ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 334 ทวงความยุติธรรมให้เธอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 334
ทวงความยุติธรรมให้เธอ

“ข้าได้ข่าวมาแล้ว” แม่นมมองไปรอบๆอยู่ชั่วขณะแล้วเอาหูไปแนบกับประตูและที่เตียง หลังจากที่เงียบไปนาน เมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ เธอก็เดินกลับมาที่เสี่ยวโหรว

“เร็วเข้าสิ เกิดอะไรขึ้น?” องค์หญิงโหรวร้องถามอย่างเป็นกังวล มือถือผ้าเช็ดหน้าแน่น

“สำเร็จ ข้าเพิ่งเห็นองครักษ์ขององค์ราชาอยู่ที่ตำหนักหิมะพร้อมกับดาบในมือด้วย องค์ชายเองก็รีบเร่งไปที่นั่นด้วย บางทีเรื่องนี้อาจจะสำเร็จก็ได้” แม่นมพูดพร้อมรอยยิ้มไร้ความปรานี

“เชื่อถือได้หรือเปล่า?” ฟางเสี่ยวโหรวยังกังวลอยู่นิดหน่อยจึงถามออกมาอีก

“เชื่อถือได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นพวกเรา”

“ดีแล้ว ดีแล้ว!” ฟางเสี่ยวโหรวดูเหมือนจะโล่งใจแล้วมือที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นก็ค่อยๆคลายลง

จะโทษเธอไม่ได้นะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษมู่เทียนที่ทำตัวอวดดี ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวังเลยด้วยซ้ำ กล้าดียังไงมาอวดดีกับเธอขนาดนี้

อีกอย่างตั้งแต่ที่มู่เทียนเข้ามา นางก็ไม่เคยไว้หน้าพวกเธอเลย แล้วแบบนี้เธอจะญาติดีด้วยได้ยังไง เธอเฝ้ามองที่จะได้ครองตำแหน่งพระมเหสีของจักรพรรดิมาตลอด เธอไม่กล้าที่จะชะล่าใจเลยสักครั้งแต่ก็ไม่คิดว่าอยู่ดีๆจะมีเด็กสาวที่ไหนไม่รู้มาแย่งตำแหน่งไปจากเธอ เธอจะยอมได้ยังไง

“แม่นม ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากที่จะอยู่คนเดียว” ฟางเสี่ยวโหรวนวดไปที่ขมับ ขมวดคิ้วและพูดออกมา

แม่นมมองไปที่เสี่ยวโหรวแล้วจึงโค้งคำนับอย่างเคารพ
ในห้องเหลือเพียงฟางเสี่ยวโหรว ตอนที่เธอยังเด็ก เธอได้เห็นท่านแม่ทำเรื่องที่เลวร้ายมามากเพื่อที่ท่านแม่จะได้อยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคง

เธอไม่ผิด เธอเพียงแค่เฝ้ารอสิ่งที่เป็นของเธอเอง เธอไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด โลกนี้ก็เหมือนกับป่า มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรอดไปได้

ที่ตำหนักหิมะ

สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งก่อนหน้านี้ถูกนำตัวเข้ามา รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในครัวด้วย พวกเขาทุกคนต่างถูกพาตัวมาที่สนามของตำหนักหิมะ รอคำสั่งจากหวังฉิง

ครั้งนี้หวังฉิงกอดมู่เทียนไว้แน่นและคำอ้อนวอนขอความเมตตาของเหล่าสาวใช้ที่ด้านนอกไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรได้เลย

ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ฟื้น ทุกคนจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับนาง หมอหลวงทั้งสองก็คุกเข่าอยู่ด้วยและต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงเสี่ยวฉิงเท่านั้นที่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ

เธอไม่คิดว่าถ้วยซุปเม็ดบัวจะมีอะไรที่ผิดปกติ เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะลองชิมก่อน

เสี่ยวฉิงคิดเพียงแค่ว่าตราบใดที่เข็มเงินตรวจไม่พบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไม่คิดเลยว่าจะยังมียาพิษที่สามารถรอดพ้นการตรวจสอบของเข็มเงินไปได้ นายหญิงมู่เป็นคนที่ดีมาก ทำไมถึงมีคนที่โหดเหี้ยมจนอยากที่จะฆ่านายหญิงมู่ได้ สมองของเสี่ยวฉิงยังแวบนึกถึงสีหน้าของเสี่ยวโหรวแต่แล้วก็สละความคิดนี้ทิ้งไปทันที

เธอไม่กล้าที่จะสงสัยคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน เธอหวังให้นายหญิงมู่ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เธออยากที่จะเชื่อคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือของหมอหลวงมากกว่าจะมองไปที่หมาที่นอนกองอยู่กับพื้น

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

ทุกคนหายใจอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขององค์ชาย ราวกับกลัวว่าลมหายใจจะไปปลุกปีศาจที่หลับใหลขึ้นมา

“อื่ม” มู่หรงเสวี่ยกระซิบ

มือของหวังฉิงสั่นเทิ้มขึ้นมาทันทีแล้วจึงมองไปที่มู่เทียนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หมอหวู่และหมอหลินแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พวกเขาไม่ต้องตายแล้ว หยาดน้ำตาของเสี่ยวฉิงยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม เธอประกบมือพร้อมด้วยสายตาที่รู้สึกของคุณสวรรค์อย่างมาก

“มู่เทียน” หวังฉิงร้องเรียกออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงดังออกมา แต่ก็ตื่นเต้นกับการฟื้นตัวอย่างมาก

ดวงตาที่ดูสับสนของมู่หรงค่อยๆลืมขึ้นและว่างเปล่าไปชั่วขณะ เธอมองไปที่กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ในห้องพร้อมทั้งกะพริบตา น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมา “มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
หวังฉิงพูดอะไรไม่ออก เขากอดมู่เทียนแน่น “ดีจริงๆ เจ้าฟื้นแล้ว ข้ากลัวแทบตาย” ในน้ำเสียงเขามีความสั่นผสมอยู่

ทุกคนต่างก็ได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงและเป็นกังวลของเขา

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา มู่หรงก็ตอบโต้กลับมา “ปล่อย ข้าหายใจไม่ออก”

หวังฉิงออกแรงมากไปหน่อย ถึงแม้เธอจะรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเพราะความกลัวของเขาก็ตาม

เมื่อหวังฉิงได้ยินคำพูดของมู่หรง เขาก็รีบปล่อยเธอทันที “ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยตะลึง นี่เป็นตัวปลอมหรือเปล่า?

เพียงชั่วขณะ ความคิดมากมายก็แวบเข้ามาในสมองของเธอ แล้วเธอก็ดูจะซีดเผือดมากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าดูอ่อนล้า “ข้าอยากจะพัก เจ้าปล่อยข้าก่อน”
“ได้ ได้ ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะนะ” ไม่ว่าอะไรเขาก็อยากที่จะมอบให้เธอทั้งหมด

เขาค่อยๆวางเธอลงแล้วก็ห่มผ้าให้เธออย่างระวัง

“ออกไป” หวังฉิงหันกลับไปมองเย็นชาพร้อมทั้งพูดกับหมอหลวงและสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น

“เดี๋ยวก่อน ให้เสี่ยวฉิงอยู่” มู่หรงพูดเสียงเรียบ เธอไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้อยู่ที่พื้นมานานแค่ไหนแล้วและเมื่อเห็นดวงตาที่แดงบวมของนาง เธอคิดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้นางกลัว

หวังฉิงบอกให้คนพวกนี้คุกเข่า ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกลงโทษหรือเปล่า เธอไม่สนใจคนอื่นแต่เสี่ยวฉิงต้องได้รับการดูแลอย่างดี ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้เจอใครที่ดีกับเราและมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะขอบคุณเรื่องนี้

หวังฉิงมองไปที่เสี่ยวฉิงที่นั่งอยู่ที่พื้นแล้วประกายเย็นชาก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา

“ดูแลนายหญิงมู่ให้ดี เข้าใจไหม?! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เทียน เจ้าจะเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ” หวังฉิงส่งคำเตือนไปที่เสี่ยวฉิง

“ข้าทราบเจ้าค่ะ” ตราบใดที่ท่านหญิงฟื้น เธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว

นายหญิงมู่เป็นคนที่มอบชีวิตให้กับครอบครัวของเธอ เสี่ยวฉิงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนอื่น วันก่อนครอบครัวของเธอส่งข่าวมาว่าแม่ของเธอกำลังป่วยหนักและเกรงว่านางจะตายในไม่ช้านี้ เธอต้องหาเงิน 30 ตำลึงเพื่อมารักษาแม่ของเธอ

อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยซึ่งไม่ได้มีเงินมากอะไร เธอกำลังยืนกำจดหมายพร้อมน้ำตาอาบแก้มตอนที่นายหญิงมู่เข้ามาเห็น นายหญิงมู่รีบถามเธอทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอสะอื้นไห้ เดิมทีไม่อยากที่จะพูดอะไรเพราะยังไงซะก็ไม่มีนายคนไหนที่จะมาสนใจสาวใช้จนๆอย่างเธออยู่แล้ว
ไม่คิดเลยว่านายหญิงมู่ไม่เพียงมอบเงินให้เธอร้อยตำลึงแต่ยังให้เธอหยุดเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่บ้านด้วย ตั้งแต่วันนั้นมา เธอก็ตัดสินใจเลยว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อนายหญิงมู่

มู่หรงไม่รู้เลยว่าการกระทำที่ไม่ได้คิดอะไรในวันนั้นของเธอจะทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกมากมายได้ขนาดนี้

หลังจากที่หวังฉิงออกไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมาเสียงเบา “ลุกขึ้นเถอะ เจ้านั่งคุกเข่ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” ในตอนนี้ เสี่ยวฉิงเองก็หน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน

“นายหญิงมู่ ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย” เสี่ยวฉิงลุกขึ้นและอดไม่ได้ที่จะเดินไปหามู่หรงเสวี่ยพร้อมกับร้องห่มร้องไห้

ในวินาทีนั้นมู่หรงเสวี่ยตกตะลึง เธอไม่รู้เลย เสี่ยวฉิงเป็นเด็กสาวที่บอบบางแต่เธอก็ไม่คิดว่านางจะร้องไห้

หลังจากเวลาผ่านไปนานมู่หรงก็มองไปที่สาวใช้ร่างเล็กและพูดออกมา “ไม่ต้องร้องแล้ว นี่เจ้าจะทำน้ำท่วมตำหนักหิมะหมดแล้วนะ”
สาวใช้ร่างเล็กค่อยๆหยุดร้องไห้แต่ก็ยังสะอื้นอยู่ ท่าทางดูน่าสงสารอยู่นิดหน่อย

“นายหญิงก็ อย่ามาล้อเล่นกับสาวใช้สิเจ้าคะ”

“ก็ได้ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” มู่หรงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เสี่ยวฉิงยังไม่ค่อยสบายใจ “หรือให้หมอหลวงเข้ามาตรวจท่านอีกรอบดีไหมเจ้าคะ? เมื่อกี้ใครๆก็เห็นว่าหมาตายไปจริงๆ”

หมาตายงั้นเหรอ?! นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?

สาวใช้ร่างเล็กไม่ได้พูดอะไรมากแต่เธอก็เข้าใจได้ตั้งแต่ประโยคแรก “ไม่เป็นไร ข้าเองก็เป็นหมอเหมือนกัน”

ทันใดนั้นจู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณมู่กินอะไรเข้าไปก่อนที่จะสลบหรือเปล่า?!

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านถอนพิษตัวเองงั้นเหรอเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถามด้วยความประหลาดใจ

มู่หรงลุกขึ้นนั่ง “ใช่ ไม่งั้น ข้าก็คงจะตายไปแล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เลย โชคดีที่เธอหยิบยาถอนพิษออกมาได้ทัน ไม่งั้นเฟิงจือหลิงกับคนอื่นๆก็คงจะต้องติดอยู่ในมิติลับและก็คงไม่มีใครช่วยเธอได้จริงๆ

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านยังมียานั่นอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ? ท่านแบ่งให้สาวใช้บ้างได้ไหมเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถาม

มู่หรงเงียบอยู่สักพักแต่ก็ยังล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อแต่อันที่จริงคือมิติลับเพื่อจะหยิบขวดยาถอนพิษออกมา “เอ้านี่ ยานี่สามารถถอนพิษได้นับร้อยชนิด ข้ายกให้เจ้า”

เสี่ยวฉิงรับขวดยามาและดวงตาของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

เธอตื้นตันมากที่นางไว้ใจเธอมากขนาดนี้จนมอบยาให้เธอโดยไม่ถามอะไรสักคำ แถมยาวิเศษนี่ก็สามารถที่จะถอนพิษได้นับร้อยชนิดด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะล้ำค่ามากขนาดไหน นายหญิงมู่มอบให้เธอโดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด

เธอถือขวดยาไว้แน่น เหตุผลที่เธออยากได้ยานี่ก็เพื่อใช้ป้องกันนายหญิงมู่เผื่อนางกินยาไม่ทันเวลา อย่างน้อยเธอก็ยังมียาอยู่ที่ตัว

“นายหญิงเจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลยานี้อย่างดี” เสี่ยวฉิงพูดอย่างจริงจัง

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเสี่ยวฉิงขอยาไปก็เพื่อตัวเธอเอง เธออดที่จะรู้สึกตื้นตันไม่ได้แต่ก็ยังพูดออกไปว่า “ข้ามียาแบบนี้เยอะแยะ ถ้าเจ้าอยากจะเอาไปใช้ ก็ใช้ได้เลยไม่ต้องขอข้าหรอกนะ”

ที่ด้านนอกของตำหนักหิมะ

เหล่าสาวใช้และคนงานในครัวต่างก็ถูกเรียกตัว มีเสียงคร่ำครวญดังอย่างต่อเนื่อง

คนที่น่าสงสัยที่สุดก็ยังเป็นสาวใช้จากห้องยา แต่ยังไงซะในห้องเครื่องก็ยังมีคนอีกมากมายและอาหารแต่ละจานก็มีคนดูแลมากกว่าสองคน มีเพียงสาวใช้ที่เอาซุปมาส่งเท่านั้นที่อยู่คนเดียว

ในตอนนี้ สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งวันนี้ต้องถูกโทษประหารชีวิต มือทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าของนางก็ยุ่งเหยิง สีหน้าก็ซีดเผือด

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ร้องอ้อนวอนขอความเมตตา

“ไว้ชีวิตข้าเถอะฝ่าบาท ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”

ในตอนนี้ฟางเสี่ยวโหรวเองก็พยายามเก็บอารมณ์และรีบไปรวมกับเหล่านางสนมทันที ในฐานะนางสนมของวัง เธอจะทำเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้
ช่วงเวลาแบบนี้ยิ่งต้องทำตัวให้เป็นปกติ หวังฉิงเป็นคนที่ฉลาด ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เธอตกนรกได้แล้ว

“ฝ่าบาท” ฟางเสวี่ยโหรวเดินนำทุกคนมาเข้าเฝ้า

“ลุกขึ้นแล้วหลบไปอยู่ข้างๆ” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา

นี่ก็ยุติธรรมดี ทั้งหมดเป็นความผิดของมู่เทียนคนเดียว สีหน้าของฟางเสวี่ยโหรวแวบประกายขึ้นมาแล้วก็รีบเก็บซ่อนไว้อย่างเร็ว

ตอนนี้เธอราวกับหญิงผู้บอบบาง ทุกการเคลื่อนไหวดูอ่อนโยนและสวยงาม แล้วเธอก็ไปยืนในตำแหน่งด้านหลัง องค์ราชาอย่างเงียบๆ

ส่วนนางสนมคนอื่นๆก็ไปยืนด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร พวกเธอจะกล้าทำเรื่องผิดพลาดได้ยังไงกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 334 ทวงความยุติธรรมให้เธอ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 334 ทวงความยุติธรรมให้เธอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 334
ทวงความยุติธรรมให้เธอ

“ข้าได้ข่าวมาแล้ว” แม่นมมองไปรอบๆอยู่ชั่วขณะแล้วเอาหูไปแนบกับประตูและที่เตียง หลังจากที่เงียบไปนาน เมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ เธอก็เดินกลับมาที่เสี่ยวโหรว

“เร็วเข้าสิ เกิดอะไรขึ้น?” องค์หญิงโหรวร้องถามอย่างเป็นกังวล มือถือผ้าเช็ดหน้าแน่น

“สำเร็จ ข้าเพิ่งเห็นองครักษ์ขององค์ราชาอยู่ที่ตำหนักหิมะพร้อมกับดาบในมือด้วย องค์ชายเองก็รีบเร่งไปที่นั่นด้วย บางทีเรื่องนี้อาจจะสำเร็จก็ได้” แม่นมพูดพร้อมรอยยิ้มไร้ความปรานี

“เชื่อถือได้หรือเปล่า?” ฟางเสี่ยวโหรวยังกังวลอยู่นิดหน่อยจึงถามออกมาอีก

“เชื่อถือได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นพวกเรา”

“ดีแล้ว ดีแล้ว!” ฟางเสี่ยวโหรวดูเหมือนจะโล่งใจแล้วมือที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นก็ค่อยๆคลายลง

จะโทษเธอไม่ได้นะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษมู่เทียนที่ทำตัวอวดดี ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในวังเลยด้วยซ้ำ กล้าดียังไงมาอวดดีกับเธอขนาดนี้

อีกอย่างตั้งแต่ที่มู่เทียนเข้ามา นางก็ไม่เคยไว้หน้าพวกเธอเลย แล้วแบบนี้เธอจะญาติดีด้วยได้ยังไง เธอเฝ้ามองที่จะได้ครองตำแหน่งพระมเหสีของจักรพรรดิมาตลอด เธอไม่กล้าที่จะชะล่าใจเลยสักครั้งแต่ก็ไม่คิดว่าอยู่ดีๆจะมีเด็กสาวที่ไหนไม่รู้มาแย่งตำแหน่งไปจากเธอ เธอจะยอมได้ยังไง

“แม่นม ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากที่จะอยู่คนเดียว” ฟางเสี่ยวโหรวนวดไปที่ขมับ ขมวดคิ้วและพูดออกมา

แม่นมมองไปที่เสี่ยวโหรวแล้วจึงโค้งคำนับอย่างเคารพ
ในห้องเหลือเพียงฟางเสี่ยวโหรว ตอนที่เธอยังเด็ก เธอได้เห็นท่านแม่ทำเรื่องที่เลวร้ายมามากเพื่อที่ท่านแม่จะได้อยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคง

เธอไม่ผิด เธอเพียงแค่เฝ้ารอสิ่งที่เป็นของเธอเอง เธอไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด โลกนี้ก็เหมือนกับป่า มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรอดไปได้

ที่ตำหนักหิมะ

สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งก่อนหน้านี้ถูกนำตัวเข้ามา รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในครัวด้วย พวกเขาทุกคนต่างถูกพาตัวมาที่สนามของตำหนักหิมะ รอคำสั่งจากหวังฉิง

ครั้งนี้หวังฉิงกอดมู่เทียนไว้แน่นและคำอ้อนวอนขอความเมตตาของเหล่าสาวใช้ที่ด้านนอกไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรได้เลย

ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ฟื้น ทุกคนจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับนาง หมอหลวงทั้งสองก็คุกเข่าอยู่ด้วยและต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงเสี่ยวฉิงเท่านั้นที่นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ

เธอไม่คิดว่าถ้วยซุปเม็ดบัวจะมีอะไรที่ผิดปกติ เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะลองชิมก่อน

เสี่ยวฉิงคิดเพียงแค่ว่าตราบใดที่เข็มเงินตรวจไม่พบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไม่คิดเลยว่าจะยังมียาพิษที่สามารถรอดพ้นการตรวจสอบของเข็มเงินไปได้ นายหญิงมู่เป็นคนที่ดีมาก ทำไมถึงมีคนที่โหดเหี้ยมจนอยากที่จะฆ่านายหญิงมู่ได้ สมองของเสี่ยวฉิงยังแวบนึกถึงสีหน้าของเสี่ยวโหรวแต่แล้วก็สละความคิดนี้ทิ้งไปทันที

เธอไม่กล้าที่จะสงสัยคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน เธอหวังให้นายหญิงมู่ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เธออยากที่จะเชื่อคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือของหมอหลวงมากกว่าจะมองไปที่หมาที่นอนกองอยู่กับพื้น

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

ทุกคนหายใจอย่างเงียบเชียบเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมขององค์ชาย ราวกับกลัวว่าลมหายใจจะไปปลุกปีศาจที่หลับใหลขึ้นมา

“อื่ม” มู่หรงเสวี่ยกระซิบ

มือของหวังฉิงสั่นเทิ้มขึ้นมาทันทีแล้วจึงมองไปที่มู่เทียนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หมอหวู่และหมอหลินแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ พวกเขาไม่ต้องตายแล้ว หยาดน้ำตาของเสี่ยวฉิงยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม เธอประกบมือพร้อมด้วยสายตาที่รู้สึกของคุณสวรรค์อย่างมาก

“มู่เทียน” หวังฉิงร้องเรียกออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงดังออกมา แต่ก็ตื่นเต้นกับการฟื้นตัวอย่างมาก

ดวงตาที่ดูสับสนของมู่หรงค่อยๆลืมขึ้นและว่างเปล่าไปชั่วขณะ เธอมองไปที่กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ในห้องพร้อมทั้งกะพริบตา น้ำเสียงแหบแห้งเปล่งออกมา “มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
หวังฉิงพูดอะไรไม่ออก เขากอดมู่เทียนแน่น “ดีจริงๆ เจ้าฟื้นแล้ว ข้ากลัวแทบตาย” ในน้ำเสียงเขามีความสั่นผสมอยู่

ทุกคนต่างก็ได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงและเป็นกังวลของเขา

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา มู่หรงก็ตอบโต้กลับมา “ปล่อย ข้าหายใจไม่ออก”

หวังฉิงออกแรงมากไปหน่อย ถึงแม้เธอจะรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเพราะความกลัวของเขาก็ตาม

เมื่อหวังฉิงได้ยินคำพูดของมู่หรง เขาก็รีบปล่อยเธอทันที “ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยตะลึง นี่เป็นตัวปลอมหรือเปล่า?

เพียงชั่วขณะ ความคิดมากมายก็แวบเข้ามาในสมองของเธอ แล้วเธอก็ดูจะซีดเผือดมากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าดูอ่อนล้า “ข้าอยากจะพัก เจ้าปล่อยข้าก่อน”
“ได้ ได้ ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะนะ” ไม่ว่าอะไรเขาก็อยากที่จะมอบให้เธอทั้งหมด

เขาค่อยๆวางเธอลงแล้วก็ห่มผ้าให้เธออย่างระวัง

“ออกไป” หวังฉิงหันกลับไปมองเย็นชาพร้อมทั้งพูดกับหมอหลวงและสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น

“เดี๋ยวก่อน ให้เสี่ยวฉิงอยู่” มู่หรงพูดเสียงเรียบ เธอไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้อยู่ที่พื้นมานานแค่ไหนแล้วและเมื่อเห็นดวงตาที่แดงบวมของนาง เธอคิดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้นางกลัว

หวังฉิงบอกให้คนพวกนี้คุกเข่า ไม่รู้ว่าพวกเขาถูกลงโทษหรือเปล่า เธอไม่สนใจคนอื่นแต่เสี่ยวฉิงต้องได้รับการดูแลอย่างดี ในโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะได้เจอใครที่ดีกับเราและมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะขอบคุณเรื่องนี้

หวังฉิงมองไปที่เสี่ยวฉิงที่นั่งอยู่ที่พื้นแล้วประกายเย็นชาก็แวบเข้ามาในดวงตาของเขา

“ดูแลนายหญิงมู่ให้ดี เข้าใจไหม?! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เทียน เจ้าจะเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ” หวังฉิงส่งคำเตือนไปที่เสี่ยวฉิง

“ข้าทราบเจ้าค่ะ” ตราบใดที่ท่านหญิงฟื้น เธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว

นายหญิงมู่เป็นคนที่มอบชีวิตให้กับครอบครัวของเธอ เสี่ยวฉิงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนอื่น วันก่อนครอบครัวของเธอส่งข่าวมาว่าแม่ของเธอกำลังป่วยหนักและเกรงว่านางจะตายในไม่ช้านี้ เธอต้องหาเงิน 30 ตำลึงเพื่อมารักษาแม่ของเธอ

อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยซึ่งไม่ได้มีเงินมากอะไร เธอกำลังยืนกำจดหมายพร้อมน้ำตาอาบแก้มตอนที่นายหญิงมู่เข้ามาเห็น นายหญิงมู่รีบถามเธอทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอสะอื้นไห้ เดิมทีไม่อยากที่จะพูดอะไรเพราะยังไงซะก็ไม่มีนายคนไหนที่จะมาสนใจสาวใช้จนๆอย่างเธออยู่แล้ว
ไม่คิดเลยว่านายหญิงมู่ไม่เพียงมอบเงินให้เธอร้อยตำลึงแต่ยังให้เธอหยุดเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่บ้านด้วย ตั้งแต่วันนั้นมา เธอก็ตัดสินใจเลยว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อนายหญิงมู่

มู่หรงไม่รู้เลยว่าการกระทำที่ไม่ได้คิดอะไรในวันนั้นของเธอจะทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกมากมายได้ขนาดนี้

หลังจากที่หวังฉิงออกไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมาเสียงเบา “ลุกขึ้นเถอะ เจ้านั่งคุกเข่ามาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?” ในตอนนี้ เสี่ยวฉิงเองก็หน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน

“นายหญิงมู่ ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย” เสี่ยวฉิงลุกขึ้นและอดไม่ได้ที่จะเดินไปหามู่หรงเสวี่ยพร้อมกับร้องห่มร้องไห้

ในวินาทีนั้นมู่หรงเสวี่ยตกตะลึง เธอไม่รู้เลย เสี่ยวฉิงเป็นเด็กสาวที่บอบบางแต่เธอก็ไม่คิดว่านางจะร้องไห้

หลังจากเวลาผ่านไปนานมู่หรงก็มองไปที่สาวใช้ร่างเล็กและพูดออกมา “ไม่ต้องร้องแล้ว นี่เจ้าจะทำน้ำท่วมตำหนักหิมะหมดแล้วนะ”
สาวใช้ร่างเล็กค่อยๆหยุดร้องไห้แต่ก็ยังสะอื้นอยู่ ท่าทางดูน่าสงสารอยู่นิดหน่อย

“นายหญิงก็ อย่ามาล้อเล่นกับสาวใช้สิเจ้าคะ”

“ก็ได้ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” มู่หรงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เสี่ยวฉิงยังไม่ค่อยสบายใจ “หรือให้หมอหลวงเข้ามาตรวจท่านอีกรอบดีไหมเจ้าคะ? เมื่อกี้ใครๆก็เห็นว่าหมาตายไปจริงๆ”

หมาตายงั้นเหรอ?! นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?

สาวใช้ร่างเล็กไม่ได้พูดอะไรมากแต่เธอก็เข้าใจได้ตั้งแต่ประโยคแรก “ไม่เป็นไร ข้าเองก็เป็นหมอเหมือนกัน”

ทันใดนั้นจู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณมู่กินอะไรเข้าไปก่อนที่จะสลบหรือเปล่า?!

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านถอนพิษตัวเองงั้นเหรอเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถามด้วยความประหลาดใจ

มู่หรงลุกขึ้นนั่ง “ใช่ ไม่งั้น ข้าก็คงจะตายไปแล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เลย โชคดีที่เธอหยิบยาถอนพิษออกมาได้ทัน ไม่งั้นเฟิงจือหลิงกับคนอื่นๆก็คงจะต้องติดอยู่ในมิติลับและก็คงไม่มีใครช่วยเธอได้จริงๆ

“นายหญิงเจ้าคะ ท่านยังมียานั่นอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ? ท่านแบ่งให้สาวใช้บ้างได้ไหมเจ้าคะ?” เสี่ยวฉิงถาม

มู่หรงเงียบอยู่สักพักแต่ก็ยังล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อแต่อันที่จริงคือมิติลับเพื่อจะหยิบขวดยาถอนพิษออกมา “เอ้านี่ ยานี่สามารถถอนพิษได้นับร้อยชนิด ข้ายกให้เจ้า”

เสี่ยวฉิงรับขวดยามาและดวงตาของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

เธอตื้นตันมากที่นางไว้ใจเธอมากขนาดนี้จนมอบยาให้เธอโดยไม่ถามอะไรสักคำ แถมยาวิเศษนี่ก็สามารถที่จะถอนพิษได้นับร้อยชนิดด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะล้ำค่ามากขนาดไหน นายหญิงมู่มอบให้เธอโดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด

เธอถือขวดยาไว้แน่น เหตุผลที่เธออยากได้ยานี่ก็เพื่อใช้ป้องกันนายหญิงมู่เผื่อนางกินยาไม่ทันเวลา อย่างน้อยเธอก็ยังมียาอยู่ที่ตัว

“นายหญิงเจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลยานี้อย่างดี” เสี่ยวฉิงพูดอย่างจริงจัง

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเสี่ยวฉิงขอยาไปก็เพื่อตัวเธอเอง เธออดที่จะรู้สึกตื้นตันไม่ได้แต่ก็ยังพูดออกไปว่า “ข้ามียาแบบนี้เยอะแยะ ถ้าเจ้าอยากจะเอาไปใช้ ก็ใช้ได้เลยไม่ต้องขอข้าหรอกนะ”

ที่ด้านนอกของตำหนักหิมะ

เหล่าสาวใช้และคนงานในครัวต่างก็ถูกเรียกตัว มีเสียงคร่ำครวญดังอย่างต่อเนื่อง

คนที่น่าสงสัยที่สุดก็ยังเป็นสาวใช้จากห้องยา แต่ยังไงซะในห้องเครื่องก็ยังมีคนอีกมากมายและอาหารแต่ละจานก็มีคนดูแลมากกว่าสองคน มีเพียงสาวใช้ที่เอาซุปมาส่งเท่านั้นที่อยู่คนเดียว

ในตอนนี้ สาวใช้ที่นำซุปเม็ดบัวมาส่งวันนี้ต้องถูกโทษประหารชีวิต มือทั้งสองข้างของนางเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าของนางก็ยุ่งเหยิง สีหน้าก็ซีดเผือด

ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ร้องอ้อนวอนขอความเมตตา

“ไว้ชีวิตข้าเถอะฝ่าบาท ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”

ในตอนนี้ฟางเสี่ยวโหรวเองก็พยายามเก็บอารมณ์และรีบไปรวมกับเหล่านางสนมทันที ในฐานะนางสนมของวัง เธอจะทำเหมือนไม่มีอะไรไม่ได้
ช่วงเวลาแบบนี้ยิ่งต้องทำตัวให้เป็นปกติ หวังฉิงเป็นคนที่ฉลาด ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เธอตกนรกได้แล้ว

“ฝ่าบาท” ฟางเสวี่ยโหรวเดินนำทุกคนมาเข้าเฝ้า

“ลุกขึ้นแล้วหลบไปอยู่ข้างๆ” หวังฉิงพูดอย่างเย็นชา

นี่ก็ยุติธรรมดี ทั้งหมดเป็นความผิดของมู่เทียนคนเดียว สีหน้าของฟางเสวี่ยโหรวแวบประกายขึ้นมาแล้วก็รีบเก็บซ่อนไว้อย่างเร็ว

ตอนนี้เธอราวกับหญิงผู้บอบบาง ทุกการเคลื่อนไหวดูอ่อนโยนและสวยงาม แล้วเธอก็ไปยืนในตำแหน่งด้านหลัง องค์ราชาอย่างเงียบๆ

ส่วนนางสนมคนอื่นๆก็ไปยืนด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร พวกเธอจะกล้าทำเรื่องผิดพลาดได้ยังไงกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+