ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 349 กลับไปยังดินแดนดำมืด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 349 กลับไปยังดินแดนดำมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 349

กลับไปยังดินแดนดำมืด

มู่หรงเสวี่ยอยู่ในมิติลับเป็นเวลานาน หวังฉิงสั่งให้คนค้นหาใต้ทะเลสาบอยู่สามวันแต่ที่ฝั่งก็ยังมีเหล่าทหารคอยเฝ้าอยู่ด้วยแต่ก็ยังไม่เจออะไรเลย

ฟางเสี่ยวโหรวฟื้นขึ้นมาและมองไปรอบๆจึงเห็นว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด ร่างที่บอบบางของเธอนอนอยู่บนพื้นสกปรกในห้องไม้

ใครกันที่กล้ามาลักพาตัวเธอแบบนี้?!

องค์ชายอยู่ที่ไหน? ทหารอยู่ที่ไหน? ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเธอ

เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนและพยายามที่จะเปิดประตูไม้เก่าๆของห้องไม้นี้แต่ก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างนอก ดูเหมือนเธอจะสลบไปนานมากและท้องของเธอก็เริ่มที่จะส่งเสียงเพราะความหิว

“เปิดประตูนะ รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร? ไม่กลัวหรือไงว่าองค์ชายจะลงโทษพวกเจ้าน่ะ” อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ตัวตนของเธอ แต่ไม่มีใครในดินแดนแห่งไฟนี้ที่ไม่รู้จักองค์ชายหวังฉิง เธอเชื่อในชื่อเสียงขององค์ชายดี คนพวกนี้ต้องรีบปล่อยเธอไปแน่ๆ

ฟางเสี่ยวโหรวรออยู่นานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร เธอทุบไปที่ประตูด้วยความโกรธ “ได้ยินข้าหรือเปล่า? ปล่อยข้าไปนะ”

ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งทำให้เสี่ยวโหรวร้องตะโกนดังขึ้นไปอีก “ปล่อยข้านะ ได้ยินไหม เปิดประตูสิ”

“องค์หญิง นี่เป็นคำสั่งขององค์ชายขอรับ” ทหารตอบกลับมา

องค์ชายมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมองค์หญิง และทุกวันจะจัดอาหารให้เพียงหนึ่งมื้อเท่านั้นหรือแล้วแต่คำสั่งเพิ่มเติม

เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงทำผิดเรื่องอะไร แต่เธอทำให้องค์ชายโกรธอย่างมาก

“ไม่มีทาง พวกเจ้าโกหก รีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ เปิดประตูสิ…”

ฟางเสี่ยวโหรวเมื่อได้ยินคำตอบของทหารก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา องค์ชายไม่มีทางทำแบบนี้กับเธอหรอก ไม่มีทาง บางทีหวังฉิงอาจจะคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเธอจริงๆก็ได้ ไม่ ไม่นะ เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้

“ปล่อยข้าออกไปนะ รีบปล่อยข้าออกไปเร็วสิ ข้าอยากที่จะเจอองค์ชาย…”

อย่างไรก็ตามไม่ว่าฟางเสี่ยวโหรวจะตะโกนมากแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจเธออีกแล้ว และตอนนี้หวังฉิงก็ยุ่งมากด้วย

นอกจากเรื่องการตามหามู่เทียนแล้วก็ยังมีเรื่องการเร่งมือของดินแดนต่างๆอีกที่ทำให้เขาปวดหัวไม่ต่างกัน

นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเลย ไม่มีใครเจออะไรที่ใต้ก้นทะเลสาบเลย เขาไม่อยากจะคิดเรื่องความเป็นไปได้ที่มู่เทียนจะหายตัวไปจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยปรุงยาที่ช่วยให้หายใจได้ในมิติลับซึ่งจะช่วยให้คนสามารถหายใจใต้น้ำได้ราวกับปลาในระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

ยาตัวนี้ค่อนข้างที่จะโด่งดังที่โลกของซิ่วเจิน ยานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยนักบวชเพื่อที่จะใช้ในการค้นหาวัสดุธรรมชาติและสมบัติล้ำค่าที่อยู่ก้นทะเล

มู่หรงจ้องไปที่แหวนและเริ่มกลายร่างเป็นผู้ชายพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเป็นชุดสีฟ้า

เสี่ยวฉิงที่ได้เห็นร่างที่เป็นผู้ชายของมู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับอ้าปากค้าง มู่หรงลูบไปที่หัวของนางและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ให้จือหลิงอธิบายให้เจ้าฟังแล้วกัน ข้าต้องออกไปข้างนอกหน่อย” มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเข้าออกมิติลับได้อย่างอิสระและการที่เธอออกไปมันก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ดีกว่านั่งรออยู่ในมิติลับ

เมื่อเรือแล่นผ่านมา เธอก็แวบออกมาและใช้มือจับแน่นไปที่ขอบด้านล่างของเรือไว้เพื่อที่ร่างกายของเธอจะได้แนบติดอยู่กับเรือ เธอล่องไปกับเรือเกือบจะครึ่งชั่วโมง

เมื่อมู่หรงมั่นใจแล้วว่าเห็นขบวนของทหารอยู่ไกลๆเธอจึงปล่อยมือจากท้องเรือและว่ายตรงเข้าไปพื้นที่ที่มีต้นกกปกคลุมอยู่ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยจนเกือบจะหายใจไม่ทัน

เมื่อเธอแวบกลับเข้ามา เสี่ยวฉิงก็รีบเอาผ้ามาคลุมให้เธอทันที ตอนนี้เธองงไปหมดแล้วว่าท่านหญิงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่

ท่านเฟิงบอกว่าจริงๆแล้วท่านหญิงเป็นผู้ชาย ถึงแม้เธอเองจะประหลาดใจอย่างมาก แต่เธอก็จะภักดีกับนางไปตลอดชีวิตของเธออยู่ดี

“มาเถอะ มากินน้ำขิงร้อนๆก่อนเถอะ” เฟิงจือหลิงส่งถ้วยน้ำขิงให้มู่เทียน

มู่หรงเสวี่ยอยู่ในน้ำมานานและสีหน้าของเธอก็เริ่มที่จะซีดนิดหน่อยแล้ว

“เสี่ยวไป๋มานี่หน่อย” รีบดื่มน้ำขิงเข้าไปอย่างเร็วและร้องเรียกเสี่ยวไป๋

“มีอะไรเหรอ?”

“ตามแผนเดิม ถึงตาเจ้าต้องเปลี่ยนเป็นเทพอสูรแล้ว” มู่หรงพูด เธอไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้หวังฉิงจะจับพวกเธอได้อีก

เพียงเสี่ยววินาที เสี่ยวไป๋ก็เปลี่ยนร่างเป็นรูปทรงกลม

เสี่ยวฉิงเริ่มที่จะไม่ค่อยเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเจ้านายแบบไหนกันที่เธอกำลังติดตามอยู่ แต่ถึงแม้จะมีอะไรหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจแต่เธอก็ยอมรับได้

หลังจากที่กลืนยาช่วยหายใจไปแล้ว ฟองอากาศสีม่วงก็ล้อมรอบเสี่ยวไป๋ไว้แล้วมันก็แวบออกไปนอกมิติลับทันที

มู่หรงชี้ไปที่ด้านบนแล้วจึงยื่นกำไลมิติลับให้เสี่ยวไป๋และแวบกลับเข้ามาในมิติลับทันที

เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นไปที่ฝั่งทันทีพร้อมทั้งรีบวิ่งออกจากทะเลสาบไป ไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าตัวเล็กนี่เลย

มู่หรงเสวี่ยถามเรื่องนี้มาก่อนแล้วและได้รู้ว่า พวกเธอสามารถเดินตรงไปตามทะเลสาบนี้เพื่อที่จะออกจากเมืองได้และแน่นอนว่าไม่มีทหารคนไหนที่จะมาสนใจเจ้าตัวเล็กๆนี่หรอก

พอถึงตอนกลางคืน มู่หรงก็จะให้เจ้าลูกบอลสีขาวนี้กลับเข้ามาพักในมิติลับและปล่อยเสี่ยวไป๋ออกไปใหม่ในตอนกลางวัน

หลังจากที่ทำแบบนี้ไปสักอาทิตย์ สุดท้ายพวกเธอก็มาถึงเมืองเล็กๆ

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงปลอมตัวกันอยู่สักพัก พวกเขาปลอมตัวเป็นคู่รักวัยกลางคนและปล่อยให้เสี่ยวไป๋กลับเข้าไปในอยู่มิติลับ

เสี่ยวไป๋เดินทางได้ช้าเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องจ้างรถม้าหน่อย มู่หรงและเฟิงจือหลิงเดินทางกันไม่หยุดตลอดทางเพื่อตรงไปยังดินแดนดำมืด

หลินหยางไม่ได้ส่งคนออกมาช่วยมู่หรงเสวี่ยแต่ในดินแดนของหวังฉิง เขาเองก็ทำอะไรมากไม่ค่อยได้

หลังจากที่อยู่บนถนนมากว่าเดือน มู่หรงและเฟิงจือหลิงก็มาถึงป่านอกประตูเมืองแล้ว

“เดี๋ยวก่อนจือหลิง หยุดก่อน” ดวงตาที่แหลมคมของ มู่หรงเห็นทหารกำลังลาดตระเวนกันอยู่ห่างไปไม่ไกลและดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนของดินแดนดำมืดด้วย

“หยุด!” เฟิงจือหลิงสั่งให้ม้าหยุด

“มู่เทียน มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม

“เจ้าเห็นคนที่อยู่ตรงนั้นไหม? คนพวกนั้นมีบางอย่างที่ผิดปกตินะ” มู่หรงพูดเสียงกระซิบ

เฟิงจือหลิงหันหัวไปและมองไปในทิศทางที่มู่หรงบอก

“พวกเขา…”

“ข้าเกรงว่าจะใช่นะ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

“งั้นเข้าไปข้างในแล้วให้เสี่ยวไป๋ออกมาเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเพราะนี่น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

“ได้” แล้วพวกเขาก็แวบเข้าไปในมิติลับทันที

“เสี่ยวไป๋ ข้างนอกมีคนของหวังฉิงอยู่ งั้นเจ้าออกไปและระวังอย่าให้ถูกจับได้เหมือนกับกระต่ายด้วยล่ะ” มู่หรงพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

“บ้าจริง เอากระต่ายมาเทียบกับข้าได้ยังไง?” เสี่ยวไป๋รีบบ่นออกมาทันที

“เก่ง เก่ง เจ้าเก่งที่สุดแล้ว จำไว้ด้วยว่ารีบวิ่งตรงเข้าประตูไปแล้วหามุมเงียบๆที่ไกลคนเพื่อให้พวกเราออกไปด้วย” มู่หรงพูด

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ” เสี่ยวไป๋พูดอย่างรับประกัน

มู่หรงกังวลอยู่นิดหน่อยจริงๆ เธอยังจำครั้งที่แล้วได้อยู่เลย

“ทำไมเจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ? นี่เจ้ายังสงสัยเรื่องความสามารถของข้าในการจัดการเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ? งั้นมีพวกเจ้าคนไหนบ้างที่จะออกไปได้ล่ะ?” เสี่ยวไป๋พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ!

“ไม่มี เจ้าเก่งที่สุดแล้ว”

มู่หรงส่งเสี่ยวไป๋ออกไปข้างนอกแล้วรีบแวบกลับเข้ามา มีเพียงกำไลเท่านั้นที่อยู่กับเสี่ยวไป๋

โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เสี่ยวไป๋ผ่านเข้ามาในประตูเมืองได้สำเร็จและโชคดีที่ครั้งนี้เสี่ยวไป๋ไม่ได้เถลไถล มันรีบเดินเข้าไปในตรอกโดยไม่หยุดพักจึงทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกวางใจขึ้นมาได้หน่อย

เมื่อเสี่ยวไป๋มาถึงซอยตัน เธอและเฟิงจือหลิงก็แวบออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาปลอมเป็นชายแก่สองคน

มู่หรงโค้งหลังเล็กน้อย เพื่อให้เป็นท่าทางของชายแก่ สิ่งที่ผิดพลาดอย่างเดียวคือสีหน้าที่เย็นชาเกินไปของเฟิงจือหลิง แต่โชคดีที่ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยไม่เลวร้ายเท่าไร จึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของคนอื่นมากเท่าไรนัก

เฟิงจือหลิงตัวแข็งทื่อไปหรือเปล่านะ?! เพราะเขาต้องจับมือมู่เทียนเดินด้วยและนี่เป็นการสัมผัสกันครั้งแรกหลังจากที่ห่างหายไปนาน หัวใจเขาจึงแทบจะกระโจนออกมาจากอก

ถึงแม้จะเป็นรูปร่างของคนแก่แต่กลิ่นหอมจากตัวเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

พวกเขาค่อยๆเดินผ่านไปได้อย่างช้าๆ จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ของท่านลอร์ดของเมือง

“พวกเรามาหาหลินหยาง” สุดท้ายมู่หรงก็ยืดตัวตรงและพูดออกมา

เฟิงจือหลิงถูนิ้วตัวเอง สัมผัสเมื่อกี้ยังติดตรึงอยู่ทำให้เขายังเสียดายอยู่เล็กๆ

“กล้าดียังไงมาเรียกชื่อท่านลอร์ด (ผู้ปกครอง)แบบนั้น?” ทหารดึงอาวุธออกมาทันที

มู่หรงเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วจึงดึงหน้ากากออกจากใบหน้าของเธอ “นี่ข้าเอง”

ทหารที่ประตูเบิกตากว้าง “ท่านมู่ ข้าขออภัยด้วย น่าอายจริงๆเลย เชิญเข้ามาได้เลยขอรับ”

ท่านมู่ แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็รู้จักเธอเพราะเธอเคยอยู่ที่คฤหาสน์ท่านลอร์ดมาก่อน

อีกอย่าง ท่านลอร์ดของเมืองก็บอกพวกเขาไว้แล้วด้วยว่าตราบใดที่ท่านมู่มา ให้นางเข้าไปได้เลยโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งเขาก่อน

“ไปกันเถอะ” มู่หรงพูดกับเฟิงจือหลิง แล้วพวกเขาก็เดินตรงเข้าไปข้างใน

มู่หรงคุ้นเคยกับที่นี่ ยังไงซะเธอก็เคยอยู่ที่นี่มาช่วงเวลาหนึ่งจึงเดินตรงเข้าไปในวิลล่าของหลินหยางได้อย่างง่ายดาย

“กล้าดียังไง เจ้าเป็นใครกัน? กล้าดียังไงถึงเดินเข้ามาตามอำเภอใจแบบนี้” สาวใช้พูดออกมา

น้ำเสียงที่ดังออกมาทำให้เท้าที่กำลังเดินอยู่ของ มู่หรงเสวี่ยถึงกับสั่น

อะไรกันเนี่ย เธอไม่เจอเขาเพียงไม่นาน หลินหยางไม่น่าจะแต่งงานมีภรรยาได้นะ

มู่หรงมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นร่างของหลินหยางเลย ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่ที่นี่

ตอนนี้เธอมองไปที่สาวสวยที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมด้วยสาวใช้มากมายที่อยู่ข้างหลัง ดูเหมือนนางจะเป็นลูกสาวจากตระกูลอื่นแต่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจอะไรพวกนาง

ตอนนี้เธอแทบรอที่จะเจอหลินหยางไม่ไหวแล้ว เธออยากที่จะรู้ว่าแผนการของเขาตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้วบ้าง

ตอนนี้เธอกับเฟิงจือหลิงเดินออกมาแล้ว

“กล้าดียังไงถึงได้ทำกิริยาหยาบคายขนาดนี้?” สาวใช้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโหดร้าย ดูเหมือนว่านางเองก็จะเป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุดเหมือนกัน

“เสี่ยวหง ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนสายลมงั้นไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก” สาวสวยพูดออกมาเสียงเรียบ

“เจ้าค่ะองค์หญิง”

มู่หรงเดินตรงไปที่สถาบัน ที่ด้านนอกยังคงมีกองกำลังทหารเฝ้าอยู่เต็มไปหมด

“ท่านลอร์ดอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ท่านมู่ ท่านลอร์ดอยู่ข้างในขอรับ”

“งั้นข้าจะเข้าไปหาเขาเอง” มู่หรงก้าวเท้าเตรียมที่จะเดินเข้าไปข้างในแต่พวกทหารก็เข้ามาขวางทางมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที

มู่หรงจึงถามออกไป “ข้าเข้าไปข้างในไม่ได้งั้นเหรอ?”

“เปล่าขอรับ แต่ทุ่นระเบิดด้านในมีการจัดใหม่ และพวกมันบางอันก็ถูกจัดตำแหน่งใหม่ด้วย”

เมื่อพูดจบมู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจได้ในทันที บ้าจริง ทำไมต้องเปลี่ยนตำแหน่งทั้งๆที่มันไม่มีปัญหาอะไรด้วยนะ?!

“เจ้าเข้าไปแจ้งเขาทีได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ทหารกำลังจะเข้าไปรายงานแต่หลินหยางเดินออกมาพอดี เมื่อเขาเห็นมู่หรง สีหน้าของเขาก็ประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 349 กลับไปยังดินแดนดำมืด

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 349 กลับไปยังดินแดนดำมืด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 349

กลับไปยังดินแดนดำมืด

มู่หรงเสวี่ยอยู่ในมิติลับเป็นเวลานาน หวังฉิงสั่งให้คนค้นหาใต้ทะเลสาบอยู่สามวันแต่ที่ฝั่งก็ยังมีเหล่าทหารคอยเฝ้าอยู่ด้วยแต่ก็ยังไม่เจออะไรเลย

ฟางเสี่ยวโหรวฟื้นขึ้นมาและมองไปรอบๆจึงเห็นว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด ร่างที่บอบบางของเธอนอนอยู่บนพื้นสกปรกในห้องไม้

ใครกันที่กล้ามาลักพาตัวเธอแบบนี้?!

องค์ชายอยู่ที่ไหน? ทหารอยู่ที่ไหน? ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเธอ

เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนและพยายามที่จะเปิดประตูไม้เก่าๆของห้องไม้นี้แต่ก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างนอก ดูเหมือนเธอจะสลบไปนานมากและท้องของเธอก็เริ่มที่จะส่งเสียงเพราะความหิว

“เปิดประตูนะ รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร? ไม่กลัวหรือไงว่าองค์ชายจะลงโทษพวกเจ้าน่ะ” อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ตัวตนของเธอ แต่ไม่มีใครในดินแดนแห่งไฟนี้ที่ไม่รู้จักองค์ชายหวังฉิง เธอเชื่อในชื่อเสียงขององค์ชายดี คนพวกนี้ต้องรีบปล่อยเธอไปแน่ๆ

ฟางเสี่ยวโหรวรออยู่นานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร เธอทุบไปที่ประตูด้วยความโกรธ “ได้ยินข้าหรือเปล่า? ปล่อยข้าไปนะ”

ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งทำให้เสี่ยวโหรวร้องตะโกนดังขึ้นไปอีก “ปล่อยข้านะ ได้ยินไหม เปิดประตูสิ”

“องค์หญิง นี่เป็นคำสั่งขององค์ชายขอรับ” ทหารตอบกลับมา

องค์ชายมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมองค์หญิง และทุกวันจะจัดอาหารให้เพียงหนึ่งมื้อเท่านั้นหรือแล้วแต่คำสั่งเพิ่มเติม

เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงทำผิดเรื่องอะไร แต่เธอทำให้องค์ชายโกรธอย่างมาก

“ไม่มีทาง พวกเจ้าโกหก รีบเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ เปิดประตูสิ…”

ฟางเสี่ยวโหรวเมื่อได้ยินคำตอบของทหารก็เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมา องค์ชายไม่มีทางทำแบบนี้กับเธอหรอก ไม่มีทาง บางทีหวังฉิงอาจจะคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเธอจริงๆก็ได้ ไม่ ไม่นะ เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้

“ปล่อยข้าออกไปนะ รีบปล่อยข้าออกไปเร็วสิ ข้าอยากที่จะเจอองค์ชาย…”

อย่างไรก็ตามไม่ว่าฟางเสี่ยวโหรวจะตะโกนมากแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจเธออีกแล้ว และตอนนี้หวังฉิงก็ยุ่งมากด้วย

นอกจากเรื่องการตามหามู่เทียนแล้วก็ยังมีเรื่องการเร่งมือของดินแดนต่างๆอีกที่ทำให้เขาปวดหัวไม่ต่างกัน

นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเลย ไม่มีใครเจออะไรที่ใต้ก้นทะเลสาบเลย เขาไม่อยากจะคิดเรื่องความเป็นไปได้ที่มู่เทียนจะหายตัวไปจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยปรุงยาที่ช่วยให้หายใจได้ในมิติลับซึ่งจะช่วยให้คนสามารถหายใจใต้น้ำได้ราวกับปลาในระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

ยาตัวนี้ค่อนข้างที่จะโด่งดังที่โลกของซิ่วเจิน ยานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยนักบวชเพื่อที่จะใช้ในการค้นหาวัสดุธรรมชาติและสมบัติล้ำค่าที่อยู่ก้นทะเล

มู่หรงจ้องไปที่แหวนและเริ่มกลายร่างเป็นผู้ชายพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเป็นชุดสีฟ้า

เสี่ยวฉิงที่ได้เห็นร่างที่เป็นผู้ชายของมู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับอ้าปากค้าง มู่หรงลูบไปที่หัวของนางและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ให้จือหลิงอธิบายให้เจ้าฟังแล้วกัน ข้าต้องออกไปข้างนอกหน่อย” มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเข้าออกมิติลับได้อย่างอิสระและการที่เธอออกไปมันก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ดีกว่านั่งรออยู่ในมิติลับ

เมื่อเรือแล่นผ่านมา เธอก็แวบออกมาและใช้มือจับแน่นไปที่ขอบด้านล่างของเรือไว้เพื่อที่ร่างกายของเธอจะได้แนบติดอยู่กับเรือ เธอล่องไปกับเรือเกือบจะครึ่งชั่วโมง

เมื่อมู่หรงมั่นใจแล้วว่าเห็นขบวนของทหารอยู่ไกลๆเธอจึงปล่อยมือจากท้องเรือและว่ายตรงเข้าไปพื้นที่ที่มีต้นกกปกคลุมอยู่ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยจนเกือบจะหายใจไม่ทัน

เมื่อเธอแวบกลับเข้ามา เสี่ยวฉิงก็รีบเอาผ้ามาคลุมให้เธอทันที ตอนนี้เธองงไปหมดแล้วว่าท่านหญิงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่

ท่านเฟิงบอกว่าจริงๆแล้วท่านหญิงเป็นผู้ชาย ถึงแม้เธอเองจะประหลาดใจอย่างมาก แต่เธอก็จะภักดีกับนางไปตลอดชีวิตของเธออยู่ดี

“มาเถอะ มากินน้ำขิงร้อนๆก่อนเถอะ” เฟิงจือหลิงส่งถ้วยน้ำขิงให้มู่เทียน

มู่หรงเสวี่ยอยู่ในน้ำมานานและสีหน้าของเธอก็เริ่มที่จะซีดนิดหน่อยแล้ว

“เสี่ยวไป๋มานี่หน่อย” รีบดื่มน้ำขิงเข้าไปอย่างเร็วและร้องเรียกเสี่ยวไป๋

“มีอะไรเหรอ?”

“ตามแผนเดิม ถึงตาเจ้าต้องเปลี่ยนเป็นเทพอสูรแล้ว” มู่หรงพูด เธอไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้หวังฉิงจะจับพวกเธอได้อีก

เพียงเสี่ยววินาที เสี่ยวไป๋ก็เปลี่ยนร่างเป็นรูปทรงกลม

เสี่ยวฉิงเริ่มที่จะไม่ค่อยเข้าใจแล้วว่านี่เป็นเจ้านายแบบไหนกันที่เธอกำลังติดตามอยู่ แต่ถึงแม้จะมีอะไรหลายอย่างที่เธอไม่เข้าใจแต่เธอก็ยอมรับได้

หลังจากที่กลืนยาช่วยหายใจไปแล้ว ฟองอากาศสีม่วงก็ล้อมรอบเสี่ยวไป๋ไว้แล้วมันก็แวบออกไปนอกมิติลับทันที

มู่หรงชี้ไปที่ด้านบนแล้วจึงยื่นกำไลมิติลับให้เสี่ยวไป๋และแวบกลับเข้ามาในมิติลับทันที

เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นไปที่ฝั่งทันทีพร้อมทั้งรีบวิ่งออกจากทะเลสาบไป ไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าตัวเล็กนี่เลย

มู่หรงเสวี่ยถามเรื่องนี้มาก่อนแล้วและได้รู้ว่า พวกเธอสามารถเดินตรงไปตามทะเลสาบนี้เพื่อที่จะออกจากเมืองได้และแน่นอนว่าไม่มีทหารคนไหนที่จะมาสนใจเจ้าตัวเล็กๆนี่หรอก

พอถึงตอนกลางคืน มู่หรงก็จะให้เจ้าลูกบอลสีขาวนี้กลับเข้ามาพักในมิติลับและปล่อยเสี่ยวไป๋ออกไปใหม่ในตอนกลางวัน

หลังจากที่ทำแบบนี้ไปสักอาทิตย์ สุดท้ายพวกเธอก็มาถึงเมืองเล็กๆ

มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงปลอมตัวกันอยู่สักพัก พวกเขาปลอมตัวเป็นคู่รักวัยกลางคนและปล่อยให้เสี่ยวไป๋กลับเข้าไปในอยู่มิติลับ

เสี่ยวไป๋เดินทางได้ช้าเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องจ้างรถม้าหน่อย มู่หรงและเฟิงจือหลิงเดินทางกันไม่หยุดตลอดทางเพื่อตรงไปยังดินแดนดำมืด

หลินหยางไม่ได้ส่งคนออกมาช่วยมู่หรงเสวี่ยแต่ในดินแดนของหวังฉิง เขาเองก็ทำอะไรมากไม่ค่อยได้

หลังจากที่อยู่บนถนนมากว่าเดือน มู่หรงและเฟิงจือหลิงก็มาถึงป่านอกประตูเมืองแล้ว

“เดี๋ยวก่อนจือหลิง หยุดก่อน” ดวงตาที่แหลมคมของ มู่หรงเห็นทหารกำลังลาดตระเวนกันอยู่ห่างไปไม่ไกลและดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนของดินแดนดำมืดด้วย

“หยุด!” เฟิงจือหลิงสั่งให้ม้าหยุด

“มู่เทียน มีอะไรงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม

“เจ้าเห็นคนที่อยู่ตรงนั้นไหม? คนพวกนั้นมีบางอย่างที่ผิดปกตินะ” มู่หรงพูดเสียงกระซิบ

เฟิงจือหลิงหันหัวไปและมองไปในทิศทางที่มู่หรงบอก

“พวกเขา…”

“ข้าเกรงว่าจะใช่นะ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

“งั้นเข้าไปข้างในแล้วให้เสี่ยวไป๋ออกมาเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเพราะนี่น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

“ได้” แล้วพวกเขาก็แวบเข้าไปในมิติลับทันที

“เสี่ยวไป๋ ข้างนอกมีคนของหวังฉิงอยู่ งั้นเจ้าออกไปและระวังอย่าให้ถูกจับได้เหมือนกับกระต่ายด้วยล่ะ” มู่หรงพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

“บ้าจริง เอากระต่ายมาเทียบกับข้าได้ยังไง?” เสี่ยวไป๋รีบบ่นออกมาทันที

“เก่ง เก่ง เจ้าเก่งที่สุดแล้ว จำไว้ด้วยว่ารีบวิ่งตรงเข้าประตูไปแล้วหามุมเงียบๆที่ไกลคนเพื่อให้พวกเราออกไปด้วย” มู่หรงพูด

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ” เสี่ยวไป๋พูดอย่างรับประกัน

มู่หรงกังวลอยู่นิดหน่อยจริงๆ เธอยังจำครั้งที่แล้วได้อยู่เลย

“ทำไมเจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ? นี่เจ้ายังสงสัยเรื่องความสามารถของข้าในการจัดการเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ? งั้นมีพวกเจ้าคนไหนบ้างที่จะออกไปได้ล่ะ?” เสี่ยวไป๋พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ!

“ไม่มี เจ้าเก่งที่สุดแล้ว”

มู่หรงส่งเสี่ยวไป๋ออกไปข้างนอกแล้วรีบแวบกลับเข้ามา มีเพียงกำไลเท่านั้นที่อยู่กับเสี่ยวไป๋

โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เสี่ยวไป๋ผ่านเข้ามาในประตูเมืองได้สำเร็จและโชคดีที่ครั้งนี้เสี่ยวไป๋ไม่ได้เถลไถล มันรีบเดินเข้าไปในตรอกโดยไม่หยุดพักจึงทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกวางใจขึ้นมาได้หน่อย

เมื่อเสี่ยวไป๋มาถึงซอยตัน เธอและเฟิงจือหลิงก็แวบออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาปลอมเป็นชายแก่สองคน

มู่หรงโค้งหลังเล็กน้อย เพื่อให้เป็นท่าทางของชายแก่ สิ่งที่ผิดพลาดอย่างเดียวคือสีหน้าที่เย็นชาเกินไปของเฟิงจือหลิง แต่โชคดีที่ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยไม่เลวร้ายเท่าไร จึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของคนอื่นมากเท่าไรนัก

เฟิงจือหลิงตัวแข็งทื่อไปหรือเปล่านะ?! เพราะเขาต้องจับมือมู่เทียนเดินด้วยและนี่เป็นการสัมผัสกันครั้งแรกหลังจากที่ห่างหายไปนาน หัวใจเขาจึงแทบจะกระโจนออกมาจากอก

ถึงแม้จะเป็นรูปร่างของคนแก่แต่กลิ่นหอมจากตัวเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

พวกเขาค่อยๆเดินผ่านไปได้อย่างช้าๆ จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ของท่านลอร์ดของเมือง

“พวกเรามาหาหลินหยาง” สุดท้ายมู่หรงก็ยืดตัวตรงและพูดออกมา

เฟิงจือหลิงถูนิ้วตัวเอง สัมผัสเมื่อกี้ยังติดตรึงอยู่ทำให้เขายังเสียดายอยู่เล็กๆ

“กล้าดียังไงมาเรียกชื่อท่านลอร์ด (ผู้ปกครอง)แบบนั้น?” ทหารดึงอาวุธออกมาทันที

มู่หรงเผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วจึงดึงหน้ากากออกจากใบหน้าของเธอ “นี่ข้าเอง”

ทหารที่ประตูเบิกตากว้าง “ท่านมู่ ข้าขออภัยด้วย น่าอายจริงๆเลย เชิญเข้ามาได้เลยขอรับ”

ท่านมู่ แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็รู้จักเธอเพราะเธอเคยอยู่ที่คฤหาสน์ท่านลอร์ดมาก่อน

อีกอย่าง ท่านลอร์ดของเมืองก็บอกพวกเขาไว้แล้วด้วยว่าตราบใดที่ท่านมู่มา ให้นางเข้าไปได้เลยโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งเขาก่อน

“ไปกันเถอะ” มู่หรงพูดกับเฟิงจือหลิง แล้วพวกเขาก็เดินตรงเข้าไปข้างใน

มู่หรงคุ้นเคยกับที่นี่ ยังไงซะเธอก็เคยอยู่ที่นี่มาช่วงเวลาหนึ่งจึงเดินตรงเข้าไปในวิลล่าของหลินหยางได้อย่างง่ายดาย

“กล้าดียังไง เจ้าเป็นใครกัน? กล้าดียังไงถึงเดินเข้ามาตามอำเภอใจแบบนี้” สาวใช้พูดออกมา

น้ำเสียงที่ดังออกมาทำให้เท้าที่กำลังเดินอยู่ของ มู่หรงเสวี่ยถึงกับสั่น

อะไรกันเนี่ย เธอไม่เจอเขาเพียงไม่นาน หลินหยางไม่น่าจะแต่งงานมีภรรยาได้นะ

มู่หรงมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นร่างของหลินหยางเลย ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่ที่นี่

ตอนนี้เธอมองไปที่สาวสวยที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมด้วยสาวใช้มากมายที่อยู่ข้างหลัง ดูเหมือนนางจะเป็นลูกสาวจากตระกูลอื่นแต่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจอะไรพวกนาง

ตอนนี้เธอแทบรอที่จะเจอหลินหยางไม่ไหวแล้ว เธออยากที่จะรู้ว่าแผนการของเขาตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้วบ้าง

ตอนนี้เธอกับเฟิงจือหลิงเดินออกมาแล้ว

“กล้าดียังไงถึงได้ทำกิริยาหยาบคายขนาดนี้?” สาวใช้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโหดร้าย ดูเหมือนว่านางเองก็จะเป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุดเหมือนกัน

“เสี่ยวหง ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนสายลมงั้นไม่ต้องกังวลอะไรมากนักหรอก” สาวสวยพูดออกมาเสียงเรียบ

“เจ้าค่ะองค์หญิง”

มู่หรงเดินตรงไปที่สถาบัน ที่ด้านนอกยังคงมีกองกำลังทหารเฝ้าอยู่เต็มไปหมด

“ท่านลอร์ดอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ท่านมู่ ท่านลอร์ดอยู่ข้างในขอรับ”

“งั้นข้าจะเข้าไปหาเขาเอง” มู่หรงก้าวเท้าเตรียมที่จะเดินเข้าไปข้างในแต่พวกทหารก็เข้ามาขวางทางมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที

มู่หรงจึงถามออกไป “ข้าเข้าไปข้างในไม่ได้งั้นเหรอ?”

“เปล่าขอรับ แต่ทุ่นระเบิดด้านในมีการจัดใหม่ และพวกมันบางอันก็ถูกจัดตำแหน่งใหม่ด้วย”

เมื่อพูดจบมู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจได้ในทันที บ้าจริง ทำไมต้องเปลี่ยนตำแหน่งทั้งๆที่มันไม่มีปัญหาอะไรด้วยนะ?!

“เจ้าเข้าไปแจ้งเขาทีได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ทหารกำลังจะเข้าไปรายงานแต่หลินหยางเดินออกมาพอดี เมื่อเขาเห็นมู่หรง สีหน้าของเขาก็ประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+