ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 379 เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 379 เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 379

เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ

หลินหยางถึงกับพูดไม่ออก เขาเป็นสาวใช้ของเธอหรือถึงได้มาพูดจาแบบนี้กับเขาเนี่ย

โชคดีที่เขาเตรียมอุปกรณ์การปีนเขามาแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ขึ้นไปบนภูเขาในเวลาแบบนี้หรอก

เขาเดินไปที่เกวียนที่บนอุปกรณ์ปีนเขามาด้วยแล้วจึงหยิบชุดเสื้อผ้าปีนเขาของผู้หญิงออกมา “มานี่”

มู่หรงขนลุกด้วยความหนาวพร้อมทั้งมองไปที่เขาและเดินไปหาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “ทำไม?” นี่มันหนาวนะ มีอะไรกันอีกล่ะเนี่ย? หนาวจะตายอยู่แล้ว

หลินหยางมองไปที่เธอ “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ดูสาระรูปตัวเองซะก่อนคิดว่าแบบนี้ตัวเองจะปีนเขาขึ้นไปได้หรือไงกัน?” เดาว่าไม่กี่ก้าวก็ต้องล่วงลงมาแล้ว

“ฮึ!” มู่หรงรับชุดปีนเขามาพร้อมจ้องไปที่เขาแล้วจึงขึ้นไปบนรถม้า แล้วเธอก็ยกม่านขึ้นเปิดและพูดออกมาว่า “ข้าจะเปลี่ยนชุดแล้ว อย่าแอบดูล่ะ”

“ไปเลย ใครจะไปอยากดูเจ้ากัน รีบไปเปลี่ยนเลย” หลินหยางไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำกับเธอ

“บลา บลา บลา หัวใจผู้ชายคาดเดาไม่ได้ เจ้าไม่ชอบรูปร่างที่สวยงามและใบหน้าที่งดงามของข้า ฮู่เล่” น้ำเสียงแปลกๆดังมาจากมู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในรถม้า

ฟู! หลินหยางแทบจะสำลักออกมา

เขาเองก็รีบไปเอาชุดปีนเขาของผู้ชายมาให้เหล่าองครักษ์ชุดดำทั้งห้าด้วยและเขาก็เปลี่ยนชุดของตัวเองด้วยเหมือนกัน

นอกจากเสื้อผ้าแล้วทุกคนก็จะมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ซึ่งบรรจุไปด้วยอุปกรณ์ปีนเขา, อาหารและของที่จำเป็นอีกมากมาย

มู่หรงที่เปลี่ยนเป็นชุดปีนเขาเรียบร้อย พอออกมาก็เห็นว่าทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมกันหมดแล้ว ที่พื้นมีกองข้าวของอยู่อีกมากมาย “พวกนี้เอาไว้ทำอะไรเหรอ?”

“พวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับการปีนเขา” หลังจากที่หลินหยางพูดจบ เขาก็รีบหยิบกระเป๋าเป้ใบหนึ่งขึ้นมาแบกไว้ที่หลังทันที

เขาไม่ได้คิดที่จะให้มู่หรงแบกด้วย ความแข็งแรงของร่างกายผู้หญิงมักจะน้อยกว่าผู้ชายอยู่แล้ว

มู่หรงมองไปที่เขา ยื่นมือออกไปแล้วพูดออกมา “ส่งมาให้ข้า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวร่างบอบบางของเขาก็หักกันพอดี” หลินหยางไม่ได้ส่งกระเป๋าให้เธอแต่กลับแบกเอาไว้เอง

มู่หรงขี้เกียจจะอธิบายให้เขาฟังจึงเดินตรงเข้าไปที่กองข้าวของมากมายที่วางอยู่กับพื้นพร้อมทั้งโบกมือ

หลินหยางดวงตาเบิกกว้าง ถึงแม้เหล่าองครักษ์ชุดดำจะพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง แต่ก็ยังสามารถจับสายตาที่แสดงถึงความประหลาดใจของพวกเขาได้อยู่ดี

“ใช่ ข้าเกือบลืมไปเลย มาเถอะ เอาข้าวของใส่ลงไปที่กระเป๋านี่” หลินหยางโยนกระเป๋าทั้งสองใบลงไปที่มือเธออย่างไม่สุภาพเท่าไร และปล่อยให้มู่หรงลากกระเป๋าเกือบ 10 ใบเพื่อใส่ลงไปเก็บ มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก ผู้ชายอะไรไม่สุภาพเลยสักนิด

อย่างไรก็ตามมิติลับของเธอก็ใหญ่พอๆกับเมืองได้เลย และกับของแค่นี้สบายมากๆ

“โอเค เดินทางกันเถอะ” มู่หรงพูด

หลินหยางเดินเข้ามาใกล้และอยากที่จะเห็นว่าเธอเก็บของพวกนี้ไว้ที่ไหนกัน มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

“เจ้ามองอะไร? ข้าไม่ชอบเจ้าหรอกนะ” มู่หรงเลิกคิ้วพร้อมทั้งพูดออกมา

“รีบออกเดินทางกันได้แล้ว อย่าออกห่างข้าล่ะ เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีวิชาตัวเบา บนภูเขาหิมะอาจจะมีหิมะถล่มอีกก็ได้” หลินหยางพูด

มู่หรงเสวี่ยสำลัก เธออยากที่กลับไปที่โลกเปิดผนึกจริงๆ พวกเขาจะได้เห็นว่าโลกนั้นมันเป็นยังไง อยู่ที่นี่เธอคือคนที่อ่อนแอที่สุด

หลินหยางกระโดดลงไปทันทีพร้อมโอบไปที่เอวของมู่หรงเสวี่ย องครักษ์ชุดดำคนอื่นๆต่างก็ตามไปด้วย

ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเท่านั้น ริมฝีปากของมู่หรงม่วงไปหมดแล้ว ในตอนนี้หลินหยางไม่จำเป็นต้องจับเธอเลยเพราะเธอเองก็เกาะเสื้อของเขาแน่นและถ้าเธอไม่ระวังก็มักจะล้มอยู่บ่อยๆ

เพราะบนภูเขามีหิมะอยู่หนาแน่น บางพื้นที่ลื่นอย่างมากและถ้าใครไม่ระวังก็อาจจะล่วงลงไปได้

ดังนั้นหลินหยางจึงเลือกที่จะตั้งที่พักตรงที่มีพื้นเป็นหินที่เห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็สวมแว่นกันลมมาด้วย ไม่อย่างงั้นหิมะสีขาวแบบนี้ก็คงจะสะท้อนเข้าตาจนบอดได้

ในตอนบ่าย ท้องฟ้าค่อยๆเริ่มที่จะหรี่ลงเล็กน้อยแล้วและพวกเขาก็ต้องใช้ก้อนหินเป็นเกราะป้องกันจากสายลม

“พักก่อนเถอะ นี่ชักจะเหนื่อยเกินไปแล้ว” หลินหยางหายใจหอบ

นี่ก็มืดแล้วด้วย” มู่หรงพูด

“เอาอาหารออกมา อีกอย่างได้เวลาตั้งเต็นท์แล้วด้วย เดาว่าคงต้องใช้เวลาประมาณสองวันกว่าที่จะขึ้นไปถึงยอดของภูเขาหิมะ” หลินหยางนั่งลงและพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยตบมือและกระโดดไปมา “จะกินกันที่นี่เหรอ? นี่มันหนาวมากเลยนะ”

“นี่เป็นจุดที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็กันลมได้ อย่าเลือกมากไปหน่อยเลย” หลินหยางพูด พวกผู้หญิงนี่ปัญหาเยอะจริงๆ

“ข้าเปล่านะ มาเถอะ มากับข้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“ไปไหนเหรอ? หยุดก่อน เดินออกไปตอนกลางคืนมันอันตรายนะ” หลินหยางดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่แล้วพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

“ส่งมือเจ้ามา พวกเจ้าทุกคนจับมือกันไว้” มู่หรงพูด

หลินหยางมองมาที่เธออย่างสงสัย

มู่หรงจับมือเขาไว้อย่างหลวมๆ “พวกเจ้าเองก็จับมือกันด้วย รีบจับมือหลินหยางเร็วเข้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ของข้า ที่นี่หนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว”

ในดวงตาของหลินหยางแวบประกายแสง

ก่อนหน้านี้เขาสงสัยเรื่องทักษะการหายตัวของมู่หรงเสวี่ยมาตลอด ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสถานที่และพวกเขาก็เข้ามาได้ด้วยแต่ต้องให้มู่หรงเสวี่ยเป็นคนอนุญาต

“เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เจ้าก็ควรที่จะพาข้าไปดูหน่อยไม่ใช่เหรอ?” หลินหยางพูด

“จะมาหรือไม่มา งั้นข้าจะเข้าไปคนเดียวและปล่อยให้พวกเจ้าหนาวกันอยู่ที่นี่” มู่หรงพูด

“เข้าสิ ไปกันเถอะ”

ทุกคนต่างก็จับมือกันและหายแวบไปในทันที

หลังจากที่เข้ามาข้างใน มู่หรงเสวี่ยก็ปล่อยมือหลินหยางแล้วจึงพูดออกมา “เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่ที่นี่มีต้นผลไม้และต้นสมุนไพรที่จะเอาออกไปไหนไม่ได้” หลังจากนั้นเธอก็ไปหาเฟิงจือหลิงและเสี่ยวฉิง

หลินหยางและคนอื่นๆต่างก็ยังตกตะลึงกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นเหมือนโลกทั้งใบเลย การจะใช้ชีวิตที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงไม่กังวลอะไรเลย ในเมื่อมีสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัวแบบนี้แล้วใครจะมาเป็นคู่แข่งกับเธอได้

ต่อให้ต้องเจอกับศัตรู การจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร

หลังจากอาหารค่ำมู่หรงก็ออกมาอีกครั้ง

“เจ้ากินอาหารค่ำหรือยังไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“กินแล้ว ข้าไม่คิดเลยนะ” หลินหยางถอนหายใจ

“อะไรเหรอที่เจ้าไม่ได้คิด? อย่าโกรธนะ แต่ที่นี่ข้าคือพระเจ้าและทุกอย่างที่นี่ก็เป็นของข้า อยู่ในนี้เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” มู่หรงพูดออกมาเสียงเรียบหรือเธอไม่ควรที่จะให้คนพวกนี้เข้ามาในนี้นะ แต่นี่ก็เป็นพวกคนที่เธอไว้ใจ

“บ้าเหรอ เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง?” หลินหยางหัวเราะ

“เฮ้ ข้าก็แค่พูดเฉยๆนะ” มู่หรงแลบลิ้นออกมาพร้อมทั้งพูดเสียงเรียบ

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนไร้หัวใจมานานแล้วล่ะ ข้าโง่เองที่วิ่งเข้าไปช่วยเจ้าในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนั้น” หลินหยางพูดออกมาเสียงเย็นชา

“โอ้ ข้าแค่ล้อเล่นน่า ไม่ต้องห่วงไปหรอก!” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

หลินหยางไม่ได้มองไปที่เธอและไม่ได้พูดอะไร

มู่หรงหยิบผลไม้มา “เอ้านี่ กินแอปเปิลนี่หน่อยนะ อย่าโกรธเลยนะ”

“จะเอาผลไม้มาฆ่าข้าหรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธออย่างเย้ยหยัน

“กินผลไม้แล้วดีนะ ข้าบอกเลยนะว่านี่ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา จะกินหรือเปล่า? ไม่งั้นข้าจะกินเองแล้วนะ” มู่หรงเสวี่ยกัดเองไปหนึ่งคำ

“บ้าจริง เจ้าเอามาให้ข้ากินไม่ใช่หรือไง? เอามาเลย” หลินหยางใช้กำลังแย่งผลไม้มาและกัดเข้าไปทันที

“นั่นข้า…กัดไปแล้ว” มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะเตือนเขา แต่ในเมื่อเขาไม่รังเกียจ งั้นก็ช่างเถอะ

“แล้วพวกองครักษ์ชุดดำของเจ้าล่ะ? นอนกันอยู่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม แล้วก็เห็นว่าพวกองครักษ์กำลังนอนอยู่ในถุงนอนไม่ห่างออกไปมากนัก

“พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะเตรียมตัวให้พร้อม” หลินหยางพูดออกมาในระหว่างที่เดิน

“อ่า ข้าลืมบอกเจ้าไป ที่นี่สิบปีเท่ากับหนึ่งวันนะ” มู่หรงพูดออกมาเสียงเรียบ

หลินหยางหันมาหาเธอ “เจ้าว่าไงนะ?”

“หนึ่งวันเท่ากับสิบปี หนึ่งวันข้างนอกเท่ากับสิบปีข้างในนี้ งั้นก็เราต้องอยู่ที่นี่กันสักสองสามปีก่อนที่จะออกไปข้างนอก” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย?! ตั้งใจจะล้อเล่นอะไรหรือไง” หลินหยางถึงกับพูดไม่ออก เขานี่แก่แล้วจริงๆ

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากที่จะใช้ชีวิตสบายๆ? ข้าก็จะให้เจ้าได้ลองดูไง” มู่หรงเดินไปหยิบผลไม้และกินอย่างสบายใจ

“บ้าเหรอ เจ้าอยากให้ข้าแก่อยู่ในนี้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอ แล้วเขาก็แย่งผลไม้มาจากมู่หรงเสวี่ยมากัด

“อะไรเนี่ย ผลไม้มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาแย่งจากข้าด้วยล่ะ เจ้าไปเก็บเองสิ” มุ่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาด้วยสายตาดุดัน

“ข้าขี้เกียจไปเก็บเองนี่ ใครใช้ให้เจ้าเก็บมานิดเดียวล่ะ?” หลินหยางพูด

“เวลาในนี้หยุดนิ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะแก่ขึ้นหรอก สนุกกับชีวิตซะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“มันก็ยังไม่ดีอยู่ดี คนจะกลายเป็นไร้จุดมุ่งหมาย” หลินหยางพูด

ถึงแม้ที่นี่จะเป็นดินแดนเทพนิยาย แต่คนที่อยู่ที่นี่ก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและถึงขนาดขาดจุดมุ่งหมาย

มู่หรงเข้าใจความรู้สึกของเขา เพื่อกันไม่ให้กลายเป็นคนแบบนั้นเธอจึงมักที่จะออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ

“งั้นข้าจะพาเจ้าออกไปดูหิมะข้างนอก” มู่หรงพูด

“เจ้านี่เป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมจริงๆ ข้าต้องหาสักที่แล้วจับเจ้าส่งไปให้ได้เลย” หลินหยางพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“ได้ งั้นเจ้าก็อยู่ไปเลย ข้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว” มู่หรงพูด

หลินหยางไม่ได้หัวเราะ เขามักจะรู้สึกสับสนเสมอ

“ทำไม เจ้ายอมแพ้ข้าหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

ท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเธอ หลิงหยางไม่มีความรู้สึกอื่นกับเธอ บางทีเขาอาจจะเริ่มลังเลที่จะเป็นเพื่อนกับเธอก็ได้ เขาอาจจะไม่มีวันได้เจอกับเธออีก

“คือ ไม่มีใครที่ข้าสามารถจะคุยด้วยได้อย่างเข้าใจ” หลินหยางถอนหายใจ

“เจ้า หาผู้หญิงที่จะใช้ชีวิตด้วยสักคนสิ อันที่จริงในฮาเร็มก็มีผู้หญิงดีๆตั้งมากมาย” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

หลินหยางมองไปที่เธอ “คนไหนที่เจ้าบอกว่าดี แต่ละคนล้วนแต่เจ้าเล่ห์ น่ารำคาญจะตาย”

“เจ้าเองก็เรื่องมากเกินไป เจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเหมือนกันแล้วยังจะมาร้องขอผู้หญิงดีๆอีกงั้นเหรอ” มูหรงพูด

“ไปเลย อย่าคิดว่าข้าจะขึ้นไปที่ยอดเขาด้วยเลย เจ้าไปเองคนเดียวเลย” หลินหยางพูดอย่างไม่พอใจ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 379 เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 379 เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 379

เข้าไปในมิติลับเพื่อหลบหิมะ

หลินหยางถึงกับพูดไม่ออก เขาเป็นสาวใช้ของเธอหรือถึงได้มาพูดจาแบบนี้กับเขาเนี่ย

โชคดีที่เขาเตรียมอุปกรณ์การปีนเขามาแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ขึ้นไปบนภูเขาในเวลาแบบนี้หรอก

เขาเดินไปที่เกวียนที่บนอุปกรณ์ปีนเขามาด้วยแล้วจึงหยิบชุดเสื้อผ้าปีนเขาของผู้หญิงออกมา “มานี่”

มู่หรงขนลุกด้วยความหนาวพร้อมทั้งมองไปที่เขาและเดินไปหาอย่างไม่เต็มใจเท่าไร “ทำไม?” นี่มันหนาวนะ มีอะไรกันอีกล่ะเนี่ย? หนาวจะตายอยู่แล้ว

หลินหยางมองไปที่เธอ “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ดูสาระรูปตัวเองซะก่อนคิดว่าแบบนี้ตัวเองจะปีนเขาขึ้นไปได้หรือไงกัน?” เดาว่าไม่กี่ก้าวก็ต้องล่วงลงมาแล้ว

“ฮึ!” มู่หรงรับชุดปีนเขามาพร้อมจ้องไปที่เขาแล้วจึงขึ้นไปบนรถม้า แล้วเธอก็ยกม่านขึ้นเปิดและพูดออกมาว่า “ข้าจะเปลี่ยนชุดแล้ว อย่าแอบดูล่ะ”

“ไปเลย ใครจะไปอยากดูเจ้ากัน รีบไปเปลี่ยนเลย” หลินหยางไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำกับเธอ

“บลา บลา บลา หัวใจผู้ชายคาดเดาไม่ได้ เจ้าไม่ชอบรูปร่างที่สวยงามและใบหน้าที่งดงามของข้า ฮู่เล่” น้ำเสียงแปลกๆดังมาจากมู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในรถม้า

ฟู! หลินหยางแทบจะสำลักออกมา

เขาเองก็รีบไปเอาชุดปีนเขาของผู้ชายมาให้เหล่าองครักษ์ชุดดำทั้งห้าด้วยและเขาก็เปลี่ยนชุดของตัวเองด้วยเหมือนกัน

นอกจากเสื้อผ้าแล้วทุกคนก็จะมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ซึ่งบรรจุไปด้วยอุปกรณ์ปีนเขา, อาหารและของที่จำเป็นอีกมากมาย

มู่หรงที่เปลี่ยนเป็นชุดปีนเขาเรียบร้อย พอออกมาก็เห็นว่าทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมกันหมดแล้ว ที่พื้นมีกองข้าวของอยู่อีกมากมาย “พวกนี้เอาไว้ทำอะไรเหรอ?”

“พวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับการปีนเขา” หลังจากที่หลินหยางพูดจบ เขาก็รีบหยิบกระเป๋าเป้ใบหนึ่งขึ้นมาแบกไว้ที่หลังทันที

เขาไม่ได้คิดที่จะให้มู่หรงแบกด้วย ความแข็งแรงของร่างกายผู้หญิงมักจะน้อยกว่าผู้ชายอยู่แล้ว

มู่หรงมองไปที่เขา ยื่นมือออกไปแล้วพูดออกมา “ส่งมาให้ข้า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวร่างบอบบางของเขาก็หักกันพอดี” หลินหยางไม่ได้ส่งกระเป๋าให้เธอแต่กลับแบกเอาไว้เอง

มู่หรงขี้เกียจจะอธิบายให้เขาฟังจึงเดินตรงเข้าไปที่กองข้าวของมากมายที่วางอยู่กับพื้นพร้อมทั้งโบกมือ

หลินหยางดวงตาเบิกกว้าง ถึงแม้เหล่าองครักษ์ชุดดำจะพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง แต่ก็ยังสามารถจับสายตาที่แสดงถึงความประหลาดใจของพวกเขาได้อยู่ดี

“ใช่ ข้าเกือบลืมไปเลย มาเถอะ เอาข้าวของใส่ลงไปที่กระเป๋านี่” หลินหยางโยนกระเป๋าทั้งสองใบลงไปที่มือเธออย่างไม่สุภาพเท่าไร และปล่อยให้มู่หรงลากกระเป๋าเกือบ 10 ใบเพื่อใส่ลงไปเก็บ มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก ผู้ชายอะไรไม่สุภาพเลยสักนิด

อย่างไรก็ตามมิติลับของเธอก็ใหญ่พอๆกับเมืองได้เลย และกับของแค่นี้สบายมากๆ

“โอเค เดินทางกันเถอะ” มู่หรงพูด

หลินหยางเดินเข้ามาใกล้และอยากที่จะเห็นว่าเธอเก็บของพวกนี้ไว้ที่ไหนกัน มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

“เจ้ามองอะไร? ข้าไม่ชอบเจ้าหรอกนะ” มู่หรงเลิกคิ้วพร้อมทั้งพูดออกมา

“รีบออกเดินทางกันได้แล้ว อย่าออกห่างข้าล่ะ เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีวิชาตัวเบา บนภูเขาหิมะอาจจะมีหิมะถล่มอีกก็ได้” หลินหยางพูด

มู่หรงเสวี่ยสำลัก เธออยากที่กลับไปที่โลกเปิดผนึกจริงๆ พวกเขาจะได้เห็นว่าโลกนั้นมันเป็นยังไง อยู่ที่นี่เธอคือคนที่อ่อนแอที่สุด

หลินหยางกระโดดลงไปทันทีพร้อมโอบไปที่เอวของมู่หรงเสวี่ย องครักษ์ชุดดำคนอื่นๆต่างก็ตามไปด้วย

ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเท่านั้น ริมฝีปากของมู่หรงม่วงไปหมดแล้ว ในตอนนี้หลินหยางไม่จำเป็นต้องจับเธอเลยเพราะเธอเองก็เกาะเสื้อของเขาแน่นและถ้าเธอไม่ระวังก็มักจะล้มอยู่บ่อยๆ

เพราะบนภูเขามีหิมะอยู่หนาแน่น บางพื้นที่ลื่นอย่างมากและถ้าใครไม่ระวังก็อาจจะล่วงลงไปได้

ดังนั้นหลินหยางจึงเลือกที่จะตั้งที่พักตรงที่มีพื้นเป็นหินที่เห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็สวมแว่นกันลมมาด้วย ไม่อย่างงั้นหิมะสีขาวแบบนี้ก็คงจะสะท้อนเข้าตาจนบอดได้

ในตอนบ่าย ท้องฟ้าค่อยๆเริ่มที่จะหรี่ลงเล็กน้อยแล้วและพวกเขาก็ต้องใช้ก้อนหินเป็นเกราะป้องกันจากสายลม

“พักก่อนเถอะ นี่ชักจะเหนื่อยเกินไปแล้ว” หลินหยางหายใจหอบ

นี่ก็มืดแล้วด้วย” มู่หรงพูด

“เอาอาหารออกมา อีกอย่างได้เวลาตั้งเต็นท์แล้วด้วย เดาว่าคงต้องใช้เวลาประมาณสองวันกว่าที่จะขึ้นไปถึงยอดของภูเขาหิมะ” หลินหยางนั่งลงและพูดเสียงเรียบ

มู่หรงเสวี่ยตบมือและกระโดดไปมา “จะกินกันที่นี่เหรอ? นี่มันหนาวมากเลยนะ”

“นี่เป็นจุดที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็กันลมได้ อย่าเลือกมากไปหน่อยเลย” หลินหยางพูด พวกผู้หญิงนี่ปัญหาเยอะจริงๆ

“ข้าเปล่านะ มาเถอะ มากับข้า” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“ไปไหนเหรอ? หยุดก่อน เดินออกไปตอนกลางคืนมันอันตรายนะ” หลินหยางดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่แล้วพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

“ส่งมือเจ้ามา พวกเจ้าทุกคนจับมือกันไว้” มู่หรงพูด

หลินหยางมองมาที่เธออย่างสงสัย

มู่หรงจับมือเขาไว้อย่างหลวมๆ “พวกเจ้าเองก็จับมือกันด้วย รีบจับมือหลินหยางเร็วเข้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ของข้า ที่นี่หนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว”

ในดวงตาของหลินหยางแวบประกายแสง

ก่อนหน้านี้เขาสงสัยเรื่องทักษะการหายตัวของมู่หรงเสวี่ยมาตลอด ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสถานที่และพวกเขาก็เข้ามาได้ด้วยแต่ต้องให้มู่หรงเสวี่ยเป็นคนอนุญาต

“เจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เจ้าก็ควรที่จะพาข้าไปดูหน่อยไม่ใช่เหรอ?” หลินหยางพูด

“จะมาหรือไม่มา งั้นข้าจะเข้าไปคนเดียวและปล่อยให้พวกเจ้าหนาวกันอยู่ที่นี่” มู่หรงพูด

“เข้าสิ ไปกันเถอะ”

ทุกคนต่างก็จับมือกันและหายแวบไปในทันที

หลังจากที่เข้ามาข้างใน มู่หรงเสวี่ยก็ปล่อยมือหลินหยางแล้วจึงพูดออกมา “เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่ที่นี่มีต้นผลไม้และต้นสมุนไพรที่จะเอาออกไปไหนไม่ได้” หลังจากนั้นเธอก็ไปหาเฟิงจือหลิงและเสี่ยวฉิง

หลินหยางและคนอื่นๆต่างก็ยังตกตะลึงกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นเหมือนโลกทั้งใบเลย การจะใช้ชีวิตที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ดวงตาของหลินหยางแวบประกาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงไม่กังวลอะไรเลย ในเมื่อมีสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัวแบบนี้แล้วใครจะมาเป็นคู่แข่งกับเธอได้

ต่อให้ต้องเจอกับศัตรู การจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร

หลังจากอาหารค่ำมู่หรงก็ออกมาอีกครั้ง

“เจ้ากินอาหารค่ำหรือยังไง?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“กินแล้ว ข้าไม่คิดเลยนะ” หลินหยางถอนหายใจ

“อะไรเหรอที่เจ้าไม่ได้คิด? อย่าโกรธนะ แต่ที่นี่ข้าคือพระเจ้าและทุกอย่างที่นี่ก็เป็นของข้า อยู่ในนี้เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” มู่หรงพูดออกมาเสียงเรียบหรือเธอไม่ควรที่จะให้คนพวกนี้เข้ามาในนี้นะ แต่นี่ก็เป็นพวกคนที่เธอไว้ใจ

“บ้าเหรอ เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง?” หลินหยางหัวเราะ

“เฮ้ ข้าก็แค่พูดเฉยๆนะ” มู่หรงแลบลิ้นออกมาพร้อมทั้งพูดเสียงเรียบ

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนไร้หัวใจมานานแล้วล่ะ ข้าโง่เองที่วิ่งเข้าไปช่วยเจ้าในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนั้น” หลินหยางพูดออกมาเสียงเย็นชา

“โอ้ ข้าแค่ล้อเล่นน่า ไม่ต้องห่วงไปหรอก!” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

หลินหยางไม่ได้มองไปที่เธอและไม่ได้พูดอะไร

มู่หรงหยิบผลไม้มา “เอ้านี่ กินแอปเปิลนี่หน่อยนะ อย่าโกรธเลยนะ”

“จะเอาผลไม้มาฆ่าข้าหรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธออย่างเย้ยหยัน

“กินผลไม้แล้วดีนะ ข้าบอกเลยนะว่านี่ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา จะกินหรือเปล่า? ไม่งั้นข้าจะกินเองแล้วนะ” มู่หรงเสวี่ยกัดเองไปหนึ่งคำ

“บ้าจริง เจ้าเอามาให้ข้ากินไม่ใช่หรือไง? เอามาเลย” หลินหยางใช้กำลังแย่งผลไม้มาและกัดเข้าไปทันที

“นั่นข้า…กัดไปแล้ว” มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะเตือนเขา แต่ในเมื่อเขาไม่รังเกียจ งั้นก็ช่างเถอะ

“แล้วพวกองครักษ์ชุดดำของเจ้าล่ะ? นอนกันอยู่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม แล้วก็เห็นว่าพวกองครักษ์กำลังนอนอยู่ในถุงนอนไม่ห่างออกไปมากนัก

“พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้จะเตรียมตัวให้พร้อม” หลินหยางพูดออกมาในระหว่างที่เดิน

“อ่า ข้าลืมบอกเจ้าไป ที่นี่สิบปีเท่ากับหนึ่งวันนะ” มู่หรงพูดออกมาเสียงเรียบ

หลินหยางหันมาหาเธอ “เจ้าว่าไงนะ?”

“หนึ่งวันเท่ากับสิบปี หนึ่งวันข้างนอกเท่ากับสิบปีข้างในนี้ งั้นก็เราต้องอยู่ที่นี่กันสักสองสามปีก่อนที่จะออกไปข้างนอก” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“นี่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย?! ตั้งใจจะล้อเล่นอะไรหรือไง” หลินหยางถึงกับพูดไม่ออก เขานี่แก่แล้วจริงๆ

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากที่จะใช้ชีวิตสบายๆ? ข้าก็จะให้เจ้าได้ลองดูไง” มู่หรงเดินไปหยิบผลไม้และกินอย่างสบายใจ

“บ้าเหรอ เจ้าอยากให้ข้าแก่อยู่ในนี้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอ แล้วเขาก็แย่งผลไม้มาจากมู่หรงเสวี่ยมากัด

“อะไรเนี่ย ผลไม้มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาแย่งจากข้าด้วยล่ะ เจ้าไปเก็บเองสิ” มุ่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาด้วยสายตาดุดัน

“ข้าขี้เกียจไปเก็บเองนี่ ใครใช้ให้เจ้าเก็บมานิดเดียวล่ะ?” หลินหยางพูด

“เวลาในนี้หยุดนิ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะแก่ขึ้นหรอก สนุกกับชีวิตซะ” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

“มันก็ยังไม่ดีอยู่ดี คนจะกลายเป็นไร้จุดมุ่งหมาย” หลินหยางพูด

ถึงแม้ที่นี่จะเป็นดินแดนเทพนิยาย แต่คนที่อยู่ที่นี่ก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและถึงขนาดขาดจุดมุ่งหมาย

มู่หรงเข้าใจความรู้สึกของเขา เพื่อกันไม่ให้กลายเป็นคนแบบนั้นเธอจึงมักที่จะออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ

“งั้นข้าจะพาเจ้าออกไปดูหิมะข้างนอก” มู่หรงพูด

“เจ้านี่เป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมจริงๆ ข้าต้องหาสักที่แล้วจับเจ้าส่งไปให้ได้เลย” หลินหยางพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“ได้ งั้นเจ้าก็อยู่ไปเลย ข้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว” มู่หรงพูด

หลินหยางไม่ได้หัวเราะ เขามักจะรู้สึกสับสนเสมอ

“ทำไม เจ้ายอมแพ้ข้าหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

ท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเธอ หลิงหยางไม่มีความรู้สึกอื่นกับเธอ บางทีเขาอาจจะเริ่มลังเลที่จะเป็นเพื่อนกับเธอก็ได้ เขาอาจจะไม่มีวันได้เจอกับเธออีก

“คือ ไม่มีใครที่ข้าสามารถจะคุยด้วยได้อย่างเข้าใจ” หลินหยางถอนหายใจ

“เจ้า หาผู้หญิงที่จะใช้ชีวิตด้วยสักคนสิ อันที่จริงในฮาเร็มก็มีผู้หญิงดีๆตั้งมากมาย” มู่หรงพูดเสียงเรียบ

หลินหยางมองไปที่เธอ “คนไหนที่เจ้าบอกว่าดี แต่ละคนล้วนแต่เจ้าเล่ห์ น่ารำคาญจะตาย”

“เจ้าเองก็เรื่องมากเกินไป เจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเหมือนกันแล้วยังจะมาร้องขอผู้หญิงดีๆอีกงั้นเหรอ” มูหรงพูด

“ไปเลย อย่าคิดว่าข้าจะขึ้นไปที่ยอดเขาด้วยเลย เจ้าไปเองคนเดียวเลย” หลินหยางพูดอย่างไม่พอใจ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+