ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 390 เฉินเฟิง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 390 เฉินเฟิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 390

เฉินเฟิง

“ต่อให้เจ้าอยากได้แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” มู่หรงพูดต่อ

ชายชุดดำมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาพร้อมด้วยความมุ่งร้ายที่แวบขึ้นมา

มู่หรงไม่ได้รอให้เขาตอบอะไร แต่หันกลับไปหาเสี่ยวฉิงและพูดออกมา “เสี่ยวฉิง ไปจ่ายเงินที”

ตอนที่เธอออกมา มู่หรงเสวี่ยไปที่ธนาคารเพื่อจะแลกทองให้เป็นการ์ดคริสตัลทั่วไป

การ์ดคริสตัลสามารถที่จะเก็บเงินที่ใช้กันทั่วไปได้ การ์ดคริสตัลของที่นี่ก็เหมือนกับเครดิตการ์ดของสังคมสมัยใหม่แต่เครื่องอ่านการ์ดจะแตกต่างออกไป

มู่หรงทำการ์ดคริสตัลและใส่เงินไว้ให้ทุกคน พนักงานของร้านพาเสี่ยวฉิงเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เขาทำงานเป็นพนักงานของร้านซึ่งจะมีค่าคอมมิชชั่นด้วยและนี่เขาขายได้ราคาสูงกว่าราคาปกติตั้งหลายสิบเท่า เดิมทีเขาอยากที่จะพูดว่าเหรียญเงินแต่กลับได้เป็นเหรียญทองมาแทน

เสี่ยวฉิงยื่นการ์ดให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ในตอนแรกเธอยังรู้สึกสั่นๆอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องตะลึงกับความร่ำรวยของ มู่หรงเสวี่ย และตอนนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าท่านหญิงของเธอไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทองเลย

ริมฝีปากของมู่หรงเสวี่ยยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ รอให้ชายชุดดำพูดอะไรขึ้นมาอีก เธอเลือกกริชกระจกอีกหลายอัน กริชค่อนข้างคมและเบาซึ่งราคาไม่ได้แพงอะไรแต่ใช้งานได้จริง

พนักงานในร้านคนเมื่อกี้เห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังเลือกอะไรอีกหลายอย่างจนเขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา รายได้ของเขาวันนี้เยอะกว่าที่ได้ทั้งเดือนซะอีก

หลังจากที่จ่ายเงินเต็มจำนวนเสร็จ มู่หรงไม่ได้หันกลับไปมองชายชุดดำอีกแต่เดินออกจากร้านไปพร้อมอาวุธเลย

ชายชุดดำเองก็เดินออกมาด้วย พนักงานในร้านเองก็มองไปที่ชายชุดดำพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงถึงความ โล่งอกที่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านไป เพราะถ้าเขาไม่ออกไป เขาเองก็คงจะต้องจับตามองอยู่ตลอดทั้งวันแน่ๆ

“ท่านหญิง ชายคนนั้นตามเรามาค่ะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเบา

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ปล่อยให้เขาตามไป” มันอยู่ในมือของเธอแล้ว งั้นถ้าคิดจะปล้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เธอเพียงแค่สนใจที่อีกฝ่ายเป็นปีศาจจริงหรือเปล่า

เวลาที่ผ่านมานานเธอสนใจเพียงแค่การฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ได้สนใจส่วนของเรื่องเวทมนตร์เลย แต่จากที่เสี่ยวไป๋บอก เวทมนตร์เองก็ต้องการการฝึกฝนด้วยเหมือนกัน มันคงจะไม่ดีเท่าไรเพราะถ้าควบคุมพลังเวทมนตร์ของตัวเองไม่ได้ ก็จะเสียการควบคุมทั้งหมดไปด้วย

แต่เผ่าปีศาจไม่เคยปรากฏกายมาก่อนและแม้แต่เสี่ยวไป๋เองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกปีศาจมากเท่าไร การจะพบปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเธออาจจะได้เรื่องอะไรบ้าง

“ท่านหญิง เขาตามพวกเรามานะคะ แล้วแบบนี้จะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ?” เสี่ยวฉิงขึ้นเสียงสูงด้วยความโกรธ

“เจ้ากังวลอะไรง่ายขนาดนี้เดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดีหรอก” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม

ท่าทางเฉยเมยของท่านหญิงของเธอ ทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกจนปัญญาจริงๆ

“ท่านหญิงแล้วถ้าเขามีเจตนาไม่ดีล่ะคะ” เสี่ยวฉิงถาม

“ทำไม เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเจ้าหรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มในระหว่างที่มองดูข้าวของตาแผงลอยไปด้วย

“ท่านหญิง ยังจะล้อเล่นอยู่ได้อีกเหรอ? นี่ข้าจริงจังนะคะ” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

เสี่ยวฉิงทำปากขยุกขยิกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาว่ามู่หรงนี่เป็นคนที่งี่เง่าจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจนาง เธอกำลังสนุกอยู่กับตัวเอง เธอชอบการเดินดูข้าวของไม่ว่าจะดูมาแล้วกี่รอบก็ตาม

ครั้งหนึ่งมู่หรงเคยฝันที่จะใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกับคนที่เธอรัก เธอได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อครอบครัวเป็นอย่างดี

แต่ความฝันนี้ก็ต้องพังทลายเพราะฟางฉีฮัว เรื่องนี้ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของเธอ

เฉินเฟิงหรือชายในชุดดำที่กำลังเดินตามมู่หรงเสวี่ยมาเอาแต่คิดถึงเรื่องตัวตนของเธอ เธอมีเวทมนตร์ หรือเธอจะเป็นเหมือนกับเขางั้นเหรอ?

เฉินเฟิงมีความรู้สึกแปลกๆอยู่ในหัวใจ “เหมือนกัน”

โลกนี้มันช่างแปลกเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะรักชีวิตตัวเอง เขาก็คงจะตายไปแล้ว แต่กริชนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฟิงก็เดินตรงไปข้างหน้า “กริชนั่น เจ้าต้องการยังไง?”

มู่หรงวางตุ๊กตาตัวเล็กที่อยู่ในมือลงแล้วเลิกคิ้วและหันมามองที่เฉินเฟิง

“ตามมา ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะคุย” มู่หรงเสวี่ยกล่าวพร้อมทั้งออกเดินนำไป

เสี่ยวฉิงเองก็ตามไปด้วยแล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านหญิง ท่านจะทำอะไรเนี่ย ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย?”

“ถ้าเจ้าไม่เข้าใจงั้นก็อยู่เฉยๆแล้วไม่ต้องพูดอะไร” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ถ้าไม่ให้ข้าพูดแล้วจะให้ข้าทำอะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า ข้าล้อเล่นน่า โกรธหรือไง?! อย่าใจร้ายหน่อยเลยน่า” มู่หรงแตะไปที่หัวของนางและพูดออกมา

“ท่านต่างหากที่ใจร้าย ข้าถามอะไรท่านตั้งมากมายแต่ท่านกลับไม่บอกอะไรข้าเลย ท่านไม่ชอบข้าแล้วเหรอท่านหญิง?” นางกล่าว ดวงตาเริ่มจะแดงระเรื่อ

“อย่านะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้ ข้ากลัวแล้วนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้ทุกอย่าง ข้าจะปิดบังอะไรเจ้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างจนปัญญา

เฉินเฟิงเดินตามมาด้านข้างโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

ท่านหญิงงั้นเหรอ?! นางคงจะเป็นท่านหญิงจากตระกูลร่ำรวยแต่ขอบเขตการฝึกตนของนางกลับแข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแบบนี้

ปกติแล้วคนที่อยู่ในระดับสีเขียวก็จะได้เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องได้เข้ารอบด้วย

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เล็ง 10 อันดับแรกของผู้ฝึกตน รางวัลมีทั้งหมด 50 รางวัลและเขาเองก็อยู่ในระดับสีเขียวด้วยเหมือนกัน ถ้าเขาอยู่ในระดับสีเขียว เขาก็สามารถได้เข้าเรียนและฝึกตนที่สำนักชิงหยุน ที่นั่นมีอาจารย์ระดับสูงมากมายและตำราการฝึกตนด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องฝึกตนด้วยตัวเอง ก็ก้าวหน้าบ้างแต่ก็ยังค่อนข้างที่จะช้า

ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากที่จะเข้าเรียนที่สำนักด้วย ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลงหยวนต่างก็ปฏิเสธเขาและเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมด้วย

ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เขาถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกโดยเจตนา ดังนั้นเขาเลยไม่เคยที่จะผ่านรอบแรกของการแข่งขันไปได้เลย

แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้

“ข้าชื่อเฉินเฟิง” เขาพูดเสียงเรียบ

มู่หรงยิ้ม “ข้าชื่อมู่หรง ส่วนนางชื่อเสี่ยวฉิงเป็นคนที่น่ารักมาก”

“ท่านหญิง ทำไมถึงต้องบอกชื่อเขาด้วยล่ะ” เสี่ยวฉิงพูดอย่างไม่พอใจ

“ก็ไว้เรียกชื่อกันไง จะไม่บอกให้รู้ได้ยังไงล่ะ?”

“เขาเป็นคนแปลกหน้านะท่านหญิง!” นางพยายามที่จะเข้าใจกับเรื่องนี้

มู่หรงยิ้ม เธอมีพลังมากพอที่จะจัดการอีกฝ่ายได้จึงไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล เธอไม่เคยทำอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เธอพูดกับเสี่ยวฉิงพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว ข้าสิที่ควรจะเป็นคนปกป้องท่าน ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ เข้าใจไหม?” ก่อนหน้านี้เธอก็อยากที่จะปกป้องท่านหญิงมาตลอดและตอนนี้เธอก็สามารถที่จะปกป้องท่านหญิงได้แล้ว

“โอเค โอเค งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลมากนัก”

ไม่นานหลังจากที่พวกเธอออกมา พวกเธอก็เดินตรงไปที่ร้านอาหารที่เฟิงจือหลิงและหลินหยางเข้าไป พวกเขากำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้

มู่หรงโบกมือและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม

“ยินดีต้อนรับครับ” ในตอนนี้พนักงานเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาและกำลังจะเดินนำพวกเธอไปที่โต๊ะด้วยรอยยิ้ม

ช่วงนี้ตามร้านอาหารผู้คนจะพลุกพล่านมากเพราะงานการแข่งขันจึงทำให้เหล่าร้านค้าต่างก็พลอยขายดีไปตามๆกัน เจ้าของร้านอารมณ์ดีอย่างมาก รวมทั้งเหล่าพนักงานในร้านด้วย

เพราะมีรายได้เข้ามาอย่างมากมายทำให้เหล่าพนักงานบริการด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ต้อง เรานัดเพื่อนไว้แล้ว” เสี่ยวฉิงกล่าว

มู่หรงเดินไปที่ฝั่งของเฟิงจือหลิงพร้อมจับมือเขาอย่างออดอ้อน “คิดถึงข้าหรือเปล่า?”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อ เขาไม่ค่อยชินกับคำหวานแบบนี้

“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ” มู่หรงแสดงสีหน้าพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างมีมารยา

ไม่เพียงแค่หน้าของเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่แดงระเรื่อแต่ความเขินนี้กลับแดงไปจนถึงหูเลย

สายตาของมู่หรงเปล่งประกาย เธอชอบเฟิงจือหลิง เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจเธอรู้สึกมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว

“คิดถึงสิ…” น้ำเสียงของเฟิงจือหลิงที่พูดออกมาเบาอย่างกับเสียงยุง

“ข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม

เฟิงจือหลิงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

เสี่ยวฉิงเอามือปิดหน้าและรู้สึกเสียใจที่ต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้อีก อ่า ท่านหญิงกล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? น่าอายจริงๆเลย

หลินหยางมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูก “ไม่อายบ้างหรือไง?”

มู่หรงจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมต้องอายด้วย? เจ้าก็กินไปเถอะ หรือว่าอิจฉา ฮ่ะ!”

“เจ้าเองก็ควรจะหาคนมาอยู่ด้วยได้แล้วนะ แล้วจะได้เห็นว่าจะหวานซึ้งขนาดไหน อย่ามามัวแต่อิจฉาเลยมันน่าเกลียด”

ฟู่!

“เจ้าว่าใครน่าเกลียด? แต่ก่อนมีสาวๆนับพันที่มาหลงรักข้า จำไม่ได้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

“มันผ่านมานานแล้วไหม ตอนนี้เจ้าแก่จนเป็นลุงได้แล้วนะ” มู่หรงกล่าว

เฟิงจือหลิงไม่ได้อ้าปากพูดอะไร ใบหน้าของเขายังร้อนและแดงระเรื่อ

“เจ้าตาบอดแล้วล่ะ มีตาหามีแววไม่” หลินหยางพูดประชดประชัน

มู่หรงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาแล้วจึงหันหัวกลับมาและซบลงไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิง

“เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการให้ข้าหน่อยสิ”

เฟิงจือหลิงเงียบไปชั่วขณะ ที่ไหล่รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คำพูดที่อ่อนหวานเหล่านี้ทำให้เขามีความสุขจนอยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดกาล

“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า? เฟิงจือหลิง เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการเขาให้ข้าทีสิ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทางของหญิงสาวที่แสดงออกมาจะเป็นยังไง นี่เป็นท่าทางที่เธอแสดงต่อหน้าคนรักเท่านั้น

“ข้าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาพร้อมด้วยสายตาเย็นชาที่มองไปยังหลินหยาง

“พี่เฟิง จะเอาจริงเหรอ?” บ้าเอ่ย นังผู้หญิงคนนี้นี่!

“อย่าเลย ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้บ่อยๆนะ”

“พี่น้องก็ไม่ต่างกัน!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างไร้ความปรานี

“บ้าเอ่ย เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ” หลินหยางถอนหายใจ คนที่ความรักครอบงำนี่น่ากลัวจริงๆ ตามืดบอดจนมองไม่เห็นคนอื่นเลย

มู่หรงเสวี่ยแลบลิ้นออกมา

“นั่นเขาใช่ไหม?” เฟิงจือหลิงสังเกตเห็นเฉินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยและจึงถามออกมาอย่างสงสัย แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่สนามการแข่งขันแต่เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย เฉินเฟิง มานั่งก่อนสิจะได้ทำความคุ้นเคยกัน”

“เขาคือเฉินเฟิง นี่เฟิงจือหลิงและหลินหยาง นั่งกินอะไรด้วยกันก่อนสิ” มู่หรงพูด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 390 เฉินเฟิง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 390 เฉินเฟิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 390

เฉินเฟิง

“ต่อให้เจ้าอยากได้แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” มู่หรงพูดต่อ

ชายชุดดำมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาพร้อมด้วยความมุ่งร้ายที่แวบขึ้นมา

มู่หรงไม่ได้รอให้เขาตอบอะไร แต่หันกลับไปหาเสี่ยวฉิงและพูดออกมา “เสี่ยวฉิง ไปจ่ายเงินที”

ตอนที่เธอออกมา มู่หรงเสวี่ยไปที่ธนาคารเพื่อจะแลกทองให้เป็นการ์ดคริสตัลทั่วไป

การ์ดคริสตัลสามารถที่จะเก็บเงินที่ใช้กันทั่วไปได้ การ์ดคริสตัลของที่นี่ก็เหมือนกับเครดิตการ์ดของสังคมสมัยใหม่แต่เครื่องอ่านการ์ดจะแตกต่างออกไป

มู่หรงทำการ์ดคริสตัลและใส่เงินไว้ให้ทุกคน พนักงานของร้านพาเสี่ยวฉิงเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เขาทำงานเป็นพนักงานของร้านซึ่งจะมีค่าคอมมิชชั่นด้วยและนี่เขาขายได้ราคาสูงกว่าราคาปกติตั้งหลายสิบเท่า เดิมทีเขาอยากที่จะพูดว่าเหรียญเงินแต่กลับได้เป็นเหรียญทองมาแทน

เสี่ยวฉิงยื่นการ์ดให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ในตอนแรกเธอยังรู้สึกสั่นๆอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องตะลึงกับความร่ำรวยของ มู่หรงเสวี่ย และตอนนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าท่านหญิงของเธอไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทองเลย

ริมฝีปากของมู่หรงเสวี่ยยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ รอให้ชายชุดดำพูดอะไรขึ้นมาอีก เธอเลือกกริชกระจกอีกหลายอัน กริชค่อนข้างคมและเบาซึ่งราคาไม่ได้แพงอะไรแต่ใช้งานได้จริง

พนักงานในร้านคนเมื่อกี้เห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังเลือกอะไรอีกหลายอย่างจนเขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา รายได้ของเขาวันนี้เยอะกว่าที่ได้ทั้งเดือนซะอีก

หลังจากที่จ่ายเงินเต็มจำนวนเสร็จ มู่หรงไม่ได้หันกลับไปมองชายชุดดำอีกแต่เดินออกจากร้านไปพร้อมอาวุธเลย

ชายชุดดำเองก็เดินออกมาด้วย พนักงานในร้านเองก็มองไปที่ชายชุดดำพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงถึงความ โล่งอกที่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านไป เพราะถ้าเขาไม่ออกไป เขาเองก็คงจะต้องจับตามองอยู่ตลอดทั้งวันแน่ๆ

“ท่านหญิง ชายคนนั้นตามเรามาค่ะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเบา

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ปล่อยให้เขาตามไป” มันอยู่ในมือของเธอแล้ว งั้นถ้าคิดจะปล้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เธอเพียงแค่สนใจที่อีกฝ่ายเป็นปีศาจจริงหรือเปล่า

เวลาที่ผ่านมานานเธอสนใจเพียงแค่การฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ได้สนใจส่วนของเรื่องเวทมนตร์เลย แต่จากที่เสี่ยวไป๋บอก เวทมนตร์เองก็ต้องการการฝึกฝนด้วยเหมือนกัน มันคงจะไม่ดีเท่าไรเพราะถ้าควบคุมพลังเวทมนตร์ของตัวเองไม่ได้ ก็จะเสียการควบคุมทั้งหมดไปด้วย

แต่เผ่าปีศาจไม่เคยปรากฏกายมาก่อนและแม้แต่เสี่ยวไป๋เองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกปีศาจมากเท่าไร การจะพบปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเธออาจจะได้เรื่องอะไรบ้าง

“ท่านหญิง เขาตามพวกเรามานะคะ แล้วแบบนี้จะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ?” เสี่ยวฉิงขึ้นเสียงสูงด้วยความโกรธ

“เจ้ากังวลอะไรง่ายขนาดนี้เดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดีหรอก” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม

ท่าทางเฉยเมยของท่านหญิงของเธอ ทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกจนปัญญาจริงๆ

“ท่านหญิงแล้วถ้าเขามีเจตนาไม่ดีล่ะคะ” เสี่ยวฉิงถาม

“ทำไม เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเจ้าหรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มในระหว่างที่มองดูข้าวของตาแผงลอยไปด้วย

“ท่านหญิง ยังจะล้อเล่นอยู่ได้อีกเหรอ? นี่ข้าจริงจังนะคะ” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

เสี่ยวฉิงทำปากขยุกขยิกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาว่ามู่หรงนี่เป็นคนที่งี่เง่าจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจนาง เธอกำลังสนุกอยู่กับตัวเอง เธอชอบการเดินดูข้าวของไม่ว่าจะดูมาแล้วกี่รอบก็ตาม

ครั้งหนึ่งมู่หรงเคยฝันที่จะใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกับคนที่เธอรัก เธอได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อครอบครัวเป็นอย่างดี

แต่ความฝันนี้ก็ต้องพังทลายเพราะฟางฉีฮัว เรื่องนี้ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของเธอ

เฉินเฟิงหรือชายในชุดดำที่กำลังเดินตามมู่หรงเสวี่ยมาเอาแต่คิดถึงเรื่องตัวตนของเธอ เธอมีเวทมนตร์ หรือเธอจะเป็นเหมือนกับเขางั้นเหรอ?

เฉินเฟิงมีความรู้สึกแปลกๆอยู่ในหัวใจ “เหมือนกัน”

โลกนี้มันช่างแปลกเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะรักชีวิตตัวเอง เขาก็คงจะตายไปแล้ว แต่กริชนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฟิงก็เดินตรงไปข้างหน้า “กริชนั่น เจ้าต้องการยังไง?”

มู่หรงวางตุ๊กตาตัวเล็กที่อยู่ในมือลงแล้วเลิกคิ้วและหันมามองที่เฉินเฟิง

“ตามมา ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะคุย” มู่หรงเสวี่ยกล่าวพร้อมทั้งออกเดินนำไป

เสี่ยวฉิงเองก็ตามไปด้วยแล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านหญิง ท่านจะทำอะไรเนี่ย ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย?”

“ถ้าเจ้าไม่เข้าใจงั้นก็อยู่เฉยๆแล้วไม่ต้องพูดอะไร” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ถ้าไม่ให้ข้าพูดแล้วจะให้ข้าทำอะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า ข้าล้อเล่นน่า โกรธหรือไง?! อย่าใจร้ายหน่อยเลยน่า” มู่หรงแตะไปที่หัวของนางและพูดออกมา

“ท่านต่างหากที่ใจร้าย ข้าถามอะไรท่านตั้งมากมายแต่ท่านกลับไม่บอกอะไรข้าเลย ท่านไม่ชอบข้าแล้วเหรอท่านหญิง?” นางกล่าว ดวงตาเริ่มจะแดงระเรื่อ

“อย่านะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้ ข้ากลัวแล้วนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้ทุกอย่าง ข้าจะปิดบังอะไรเจ้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างจนปัญญา

เฉินเฟิงเดินตามมาด้านข้างโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

ท่านหญิงงั้นเหรอ?! นางคงจะเป็นท่านหญิงจากตระกูลร่ำรวยแต่ขอบเขตการฝึกตนของนางกลับแข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแบบนี้

ปกติแล้วคนที่อยู่ในระดับสีเขียวก็จะได้เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องได้เข้ารอบด้วย

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เล็ง 10 อันดับแรกของผู้ฝึกตน รางวัลมีทั้งหมด 50 รางวัลและเขาเองก็อยู่ในระดับสีเขียวด้วยเหมือนกัน ถ้าเขาอยู่ในระดับสีเขียว เขาก็สามารถได้เข้าเรียนและฝึกตนที่สำนักชิงหยุน ที่นั่นมีอาจารย์ระดับสูงมากมายและตำราการฝึกตนด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องฝึกตนด้วยตัวเอง ก็ก้าวหน้าบ้างแต่ก็ยังค่อนข้างที่จะช้า

ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากที่จะเข้าเรียนที่สำนักด้วย ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลงหยวนต่างก็ปฏิเสธเขาและเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมด้วย

ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เขาถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกโดยเจตนา ดังนั้นเขาเลยไม่เคยที่จะผ่านรอบแรกของการแข่งขันไปได้เลย

แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้

“ข้าชื่อเฉินเฟิง” เขาพูดเสียงเรียบ

มู่หรงยิ้ม “ข้าชื่อมู่หรง ส่วนนางชื่อเสี่ยวฉิงเป็นคนที่น่ารักมาก”

“ท่านหญิง ทำไมถึงต้องบอกชื่อเขาด้วยล่ะ” เสี่ยวฉิงพูดอย่างไม่พอใจ

“ก็ไว้เรียกชื่อกันไง จะไม่บอกให้รู้ได้ยังไงล่ะ?”

“เขาเป็นคนแปลกหน้านะท่านหญิง!” นางพยายามที่จะเข้าใจกับเรื่องนี้

มู่หรงยิ้ม เธอมีพลังมากพอที่จะจัดการอีกฝ่ายได้จึงไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล เธอไม่เคยทำอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เธอพูดกับเสี่ยวฉิงพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว ข้าสิที่ควรจะเป็นคนปกป้องท่าน ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ เข้าใจไหม?” ก่อนหน้านี้เธอก็อยากที่จะปกป้องท่านหญิงมาตลอดและตอนนี้เธอก็สามารถที่จะปกป้องท่านหญิงได้แล้ว

“โอเค โอเค งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลมากนัก”

ไม่นานหลังจากที่พวกเธอออกมา พวกเธอก็เดินตรงไปที่ร้านอาหารที่เฟิงจือหลิงและหลินหยางเข้าไป พวกเขากำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้

มู่หรงโบกมือและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม

“ยินดีต้อนรับครับ” ในตอนนี้พนักงานเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาและกำลังจะเดินนำพวกเธอไปที่โต๊ะด้วยรอยยิ้ม

ช่วงนี้ตามร้านอาหารผู้คนจะพลุกพล่านมากเพราะงานการแข่งขันจึงทำให้เหล่าร้านค้าต่างก็พลอยขายดีไปตามๆกัน เจ้าของร้านอารมณ์ดีอย่างมาก รวมทั้งเหล่าพนักงานในร้านด้วย

เพราะมีรายได้เข้ามาอย่างมากมายทำให้เหล่าพนักงานบริการด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ต้อง เรานัดเพื่อนไว้แล้ว” เสี่ยวฉิงกล่าว

มู่หรงเดินไปที่ฝั่งของเฟิงจือหลิงพร้อมจับมือเขาอย่างออดอ้อน “คิดถึงข้าหรือเปล่า?”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อ เขาไม่ค่อยชินกับคำหวานแบบนี้

“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ” มู่หรงแสดงสีหน้าพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างมีมารยา

ไม่เพียงแค่หน้าของเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่แดงระเรื่อแต่ความเขินนี้กลับแดงไปจนถึงหูเลย

สายตาของมู่หรงเปล่งประกาย เธอชอบเฟิงจือหลิง เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจเธอรู้สึกมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว

“คิดถึงสิ…” น้ำเสียงของเฟิงจือหลิงที่พูดออกมาเบาอย่างกับเสียงยุง

“ข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม

เฟิงจือหลิงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

เสี่ยวฉิงเอามือปิดหน้าและรู้สึกเสียใจที่ต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้อีก อ่า ท่านหญิงกล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? น่าอายจริงๆเลย

หลินหยางมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูก “ไม่อายบ้างหรือไง?”

มู่หรงจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมต้องอายด้วย? เจ้าก็กินไปเถอะ หรือว่าอิจฉา ฮ่ะ!”

“เจ้าเองก็ควรจะหาคนมาอยู่ด้วยได้แล้วนะ แล้วจะได้เห็นว่าจะหวานซึ้งขนาดไหน อย่ามามัวแต่อิจฉาเลยมันน่าเกลียด”

ฟู่!

“เจ้าว่าใครน่าเกลียด? แต่ก่อนมีสาวๆนับพันที่มาหลงรักข้า จำไม่ได้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

“มันผ่านมานานแล้วไหม ตอนนี้เจ้าแก่จนเป็นลุงได้แล้วนะ” มู่หรงกล่าว

เฟิงจือหลิงไม่ได้อ้าปากพูดอะไร ใบหน้าของเขายังร้อนและแดงระเรื่อ

“เจ้าตาบอดแล้วล่ะ มีตาหามีแววไม่” หลินหยางพูดประชดประชัน

มู่หรงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาแล้วจึงหันหัวกลับมาและซบลงไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิง

“เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการให้ข้าหน่อยสิ”

เฟิงจือหลิงเงียบไปชั่วขณะ ที่ไหล่รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คำพูดที่อ่อนหวานเหล่านี้ทำให้เขามีความสุขจนอยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดกาล

“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า? เฟิงจือหลิง เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการเขาให้ข้าทีสิ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทางของหญิงสาวที่แสดงออกมาจะเป็นยังไง นี่เป็นท่าทางที่เธอแสดงต่อหน้าคนรักเท่านั้น

“ข้าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาพร้อมด้วยสายตาเย็นชาที่มองไปยังหลินหยาง

“พี่เฟิง จะเอาจริงเหรอ?” บ้าเอ่ย นังผู้หญิงคนนี้นี่!

“อย่าเลย ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้บ่อยๆนะ”

“พี่น้องก็ไม่ต่างกัน!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างไร้ความปรานี

“บ้าเอ่ย เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ” หลินหยางถอนหายใจ คนที่ความรักครอบงำนี่น่ากลัวจริงๆ ตามืดบอดจนมองไม่เห็นคนอื่นเลย

มู่หรงเสวี่ยแลบลิ้นออกมา

“นั่นเขาใช่ไหม?” เฟิงจือหลิงสังเกตเห็นเฉินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยและจึงถามออกมาอย่างสงสัย แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่สนามการแข่งขันแต่เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย เฉินเฟิง มานั่งก่อนสิจะได้ทำความคุ้นเคยกัน”

“เขาคือเฉินเฟิง นี่เฟิงจือหลิงและหลินหยาง นั่งกินอะไรด้วยกันก่อนสิ” มู่หรงพูด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 390 เฉินเฟิง

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 390 เฉินเฟิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 390

เฉินเฟิง

“ต่อให้เจ้าอยากได้แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” มู่หรงพูดต่อ

ชายชุดดำมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชาพร้อมด้วยความมุ่งร้ายที่แวบขึ้นมา

มู่หรงไม่ได้รอให้เขาตอบอะไร แต่หันกลับไปหาเสี่ยวฉิงและพูดออกมา “เสี่ยวฉิง ไปจ่ายเงินที”

ตอนที่เธอออกมา มู่หรงเสวี่ยไปที่ธนาคารเพื่อจะแลกทองให้เป็นการ์ดคริสตัลทั่วไป

การ์ดคริสตัลสามารถที่จะเก็บเงินที่ใช้กันทั่วไปได้ การ์ดคริสตัลของที่นี่ก็เหมือนกับเครดิตการ์ดของสังคมสมัยใหม่แต่เครื่องอ่านการ์ดจะแตกต่างออกไป

มู่หรงทำการ์ดคริสตัลและใส่เงินไว้ให้ทุกคน พนักงานของร้านพาเสี่ยวฉิงเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เขาทำงานเป็นพนักงานของร้านซึ่งจะมีค่าคอมมิชชั่นด้วยและนี่เขาขายได้ราคาสูงกว่าราคาปกติตั้งหลายสิบเท่า เดิมทีเขาอยากที่จะพูดว่าเหรียญเงินแต่กลับได้เป็นเหรียญทองมาแทน

เสี่ยวฉิงยื่นการ์ดให้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย ในตอนแรกเธอยังรู้สึกสั่นๆอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องตะลึงกับความร่ำรวยของ มู่หรงเสวี่ย และตอนนี้เธอก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วว่าท่านหญิงของเธอไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงินทองเลย

ริมฝีปากของมู่หรงเสวี่ยยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ รอให้ชายชุดดำพูดอะไรขึ้นมาอีก เธอเลือกกริชกระจกอีกหลายอัน กริชค่อนข้างคมและเบาซึ่งราคาไม่ได้แพงอะไรแต่ใช้งานได้จริง

พนักงานในร้านคนเมื่อกี้เห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังเลือกอะไรอีกหลายอย่างจนเขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา รายได้ของเขาวันนี้เยอะกว่าที่ได้ทั้งเดือนซะอีก

หลังจากที่จ่ายเงินเต็มจำนวนเสร็จ มู่หรงไม่ได้หันกลับไปมองชายชุดดำอีกแต่เดินออกจากร้านไปพร้อมอาวุธเลย

ชายชุดดำเองก็เดินออกมาด้วย พนักงานในร้านเองก็มองไปที่ชายชุดดำพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเพื่อแสดงถึงความ โล่งอกที่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านไป เพราะถ้าเขาไม่ออกไป เขาเองก็คงจะต้องจับตามองอยู่ตลอดทั้งวันแน่ๆ

“ท่านหญิง ชายคนนั้นตามเรามาค่ะ” เสี่ยวฉิงพูดเสียงเบา

“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ปล่อยให้เขาตามไป” มันอยู่ในมือของเธอแล้ว งั้นถ้าคิดจะปล้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เธอเพียงแค่สนใจที่อีกฝ่ายเป็นปีศาจจริงหรือเปล่า

เวลาที่ผ่านมานานเธอสนใจเพียงแค่การฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ได้สนใจส่วนของเรื่องเวทมนตร์เลย แต่จากที่เสี่ยวไป๋บอก เวทมนตร์เองก็ต้องการการฝึกฝนด้วยเหมือนกัน มันคงจะไม่ดีเท่าไรเพราะถ้าควบคุมพลังเวทมนตร์ของตัวเองไม่ได้ ก็จะเสียการควบคุมทั้งหมดไปด้วย

แต่เผ่าปีศาจไม่เคยปรากฏกายมาก่อนและแม้แต่เสี่ยวไป๋เองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกปีศาจมากเท่าไร การจะพบปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเธออาจจะได้เรื่องอะไรบ้าง

“ท่านหญิง เขาตามพวกเรามานะคะ แล้วแบบนี้จะไม่สนใจได้ยังไงล่ะ?” เสี่ยวฉิงขึ้นเสียงสูงด้วยความโกรธ

“เจ้ากังวลอะไรง่ายขนาดนี้เดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดีหรอก” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม

ท่าทางเฉยเมยของท่านหญิงของเธอ ทำให้เสี่ยวฉิงรู้สึกจนปัญญาจริงๆ

“ท่านหญิงแล้วถ้าเขามีเจตนาไม่ดีล่ะคะ” เสี่ยวฉิงถาม

“ทำไม เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเจ้าหรือไง?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มในระหว่างที่มองดูข้าวของตาแผงลอยไปด้วย

“ท่านหญิง ยังจะล้อเล่นอยู่ได้อีกเหรอ? นี่ข้าจริงจังนะคะ” เสี่ยวฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร

“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า

เสี่ยวฉิงทำปากขยุกขยิกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาว่ามู่หรงนี่เป็นคนที่งี่เง่าจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจนาง เธอกำลังสนุกอยู่กับตัวเอง เธอชอบการเดินดูข้าวของไม่ว่าจะดูมาแล้วกี่รอบก็ตาม

ครั้งหนึ่งมู่หรงเคยฝันที่จะใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกับคนที่เธอรัก เธอได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เพื่อครอบครัวเป็นอย่างดี

แต่ความฝันนี้ก็ต้องพังทลายเพราะฟางฉีฮัว เรื่องนี้ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของเธอ

เฉินเฟิงหรือชายในชุดดำที่กำลังเดินตามมู่หรงเสวี่ยมาเอาแต่คิดถึงเรื่องตัวตนของเธอ เธอมีเวทมนตร์ หรือเธอจะเป็นเหมือนกับเขางั้นเหรอ?

เฉินเฟิงมีความรู้สึกแปลกๆอยู่ในหัวใจ “เหมือนกัน”

โลกนี้มันช่างแปลกเหลือเกิน หลายปีที่ผ่านมาเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะรักชีวิตตัวเอง เขาก็คงจะตายไปแล้ว แต่กริชนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฟิงก็เดินตรงไปข้างหน้า “กริชนั่น เจ้าต้องการยังไง?”

มู่หรงวางตุ๊กตาตัวเล็กที่อยู่ในมือลงแล้วเลิกคิ้วและหันมามองที่เฉินเฟิง

“ตามมา ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะคุย” มู่หรงเสวี่ยกล่าวพร้อมทั้งออกเดินนำไป

เสี่ยวฉิงเองก็ตามไปด้วยแล้วถามขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านหญิง ท่านจะทำอะไรเนี่ย ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย?”

“ถ้าเจ้าไม่เข้าใจงั้นก็อยู่เฉยๆแล้วไม่ต้องพูดอะไร” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ถ้าไม่ให้ข้าพูดแล้วจะให้ข้าทำอะไรล่ะ?”

“ฮ่าฮ่า ข้าล้อเล่นน่า โกรธหรือไง?! อย่าใจร้ายหน่อยเลยน่า” มู่หรงแตะไปที่หัวของนางและพูดออกมา

“ท่านต่างหากที่ใจร้าย ข้าถามอะไรท่านตั้งมากมายแต่ท่านกลับไม่บอกอะไรข้าเลย ท่านไม่ชอบข้าแล้วเหรอท่านหญิง?” นางกล่าว ดวงตาเริ่มจะแดงระเรื่อ

“อย่านะ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้ ข้ากลัวแล้วนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้ทุกอย่าง ข้าจะปิดบังอะไรเจ้าได้งั้นเหรอ?” มู่หรงพูดอย่างจนปัญญา

เฉินเฟิงเดินตามมาด้านข้างโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

ท่านหญิงงั้นเหรอ?! นางคงจะเป็นท่านหญิงจากตระกูลร่ำรวยแต่ขอบเขตการฝึกตนของนางกลับแข็งแกร่งมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงมาเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแบบนี้

ปกติแล้วคนที่อยู่ในระดับสีเขียวก็จะได้เข้ารอบไปโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะต้องได้เข้ารอบด้วย

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เล็ง 10 อันดับแรกของผู้ฝึกตน รางวัลมีทั้งหมด 50 รางวัลและเขาเองก็อยู่ในระดับสีเขียวด้วยเหมือนกัน ถ้าเขาอยู่ในระดับสีเขียว เขาก็สามารถได้เข้าเรียนและฝึกตนที่สำนักชิงหยุน ที่นั่นมีอาจารย์ระดับสูงมากมายและตำราการฝึกตนด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องฝึกตนด้วยตัวเอง ก็ก้าวหน้าบ้างแต่ก็ยังค่อนข้างที่จะช้า

ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากที่จะเข้าเรียนที่สำนักด้วย ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลงหยวนต่างก็ปฏิเสธเขาและเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมด้วย

ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เขาถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรกโดยเจตนา ดังนั้นเขาเลยไม่เคยที่จะผ่านรอบแรกของการแข่งขันไปได้เลย

แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้

“ข้าชื่อเฉินเฟิง” เขาพูดเสียงเรียบ

มู่หรงยิ้ม “ข้าชื่อมู่หรง ส่วนนางชื่อเสี่ยวฉิงเป็นคนที่น่ารักมาก”

“ท่านหญิง ทำไมถึงต้องบอกชื่อเขาด้วยล่ะ” เสี่ยวฉิงพูดอย่างไม่พอใจ

“ก็ไว้เรียกชื่อกันไง จะไม่บอกให้รู้ได้ยังไงล่ะ?”

“เขาเป็นคนแปลกหน้านะท่านหญิง!” นางพยายามที่จะเข้าใจกับเรื่องนี้

มู่หรงยิ้ม เธอมีพลังมากพอที่จะจัดการอีกฝ่ายได้จึงไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล เธอไม่เคยทำอะไรที่ตัวเองไม่แน่ใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” เธอพูดกับเสี่ยวฉิงพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว ข้าสิที่ควรจะเป็นคนปกป้องท่าน ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าไม่ใช่เล่นๆแล้วนะ เข้าใจไหม?” ก่อนหน้านี้เธอก็อยากที่จะปกป้องท่านหญิงมาตลอดและตอนนี้เธอก็สามารถที่จะปกป้องท่านหญิงได้แล้ว

“โอเค โอเค งั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลมากนัก”

ไม่นานหลังจากที่พวกเธอออกมา พวกเธอก็เดินตรงไปที่ร้านอาหารที่เฟิงจือหลิงและหลินหยางเข้าไป พวกเขากำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้

มู่หรงโบกมือและเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม

“ยินดีต้อนรับครับ” ในตอนนี้พนักงานเข้ามาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาและกำลังจะเดินนำพวกเธอไปที่โต๊ะด้วยรอยยิ้ม

ช่วงนี้ตามร้านอาหารผู้คนจะพลุกพล่านมากเพราะงานการแข่งขันจึงทำให้เหล่าร้านค้าต่างก็พลอยขายดีไปตามๆกัน เจ้าของร้านอารมณ์ดีอย่างมาก รวมทั้งเหล่าพนักงานในร้านด้วย

เพราะมีรายได้เข้ามาอย่างมากมายทำให้เหล่าพนักงานบริการด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ต้อง เรานัดเพื่อนไว้แล้ว” เสี่ยวฉิงกล่าว

มู่หรงเดินไปที่ฝั่งของเฟิงจือหลิงพร้อมจับมือเขาอย่างออดอ้อน “คิดถึงข้าหรือเปล่า?”

สีหน้าของเฟิงจือหลิงแดงระเรื่อ เขาไม่ค่อยชินกับคำหวานแบบนี้

“ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ” มู่หรงแสดงสีหน้าพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างมีมารยา

ไม่เพียงแค่หน้าของเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่แดงระเรื่อแต่ความเขินนี้กลับแดงไปจนถึงหูเลย

สายตาของมู่หรงเปล่งประกาย เธอชอบเฟิงจือหลิง เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจเธอรู้สึกมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว

“คิดถึงสิ…” น้ำเสียงของเฟิงจือหลิงที่พูดออกมาเบาอย่างกับเสียงยุง

“ข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม

เฟิงจือหลิงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

เสี่ยวฉิงเอามือปิดหน้าและรู้สึกเสียใจที่ต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้อีก อ่า ท่านหญิงกล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? น่าอายจริงๆเลย

หลินหยางมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูก “ไม่อายบ้างหรือไง?”

มู่หรงจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมต้องอายด้วย? เจ้าก็กินไปเถอะ หรือว่าอิจฉา ฮ่ะ!”

“เจ้าเองก็ควรจะหาคนมาอยู่ด้วยได้แล้วนะ แล้วจะได้เห็นว่าจะหวานซึ้งขนาดไหน อย่ามามัวแต่อิจฉาเลยมันน่าเกลียด”

ฟู่!

“เจ้าว่าใครน่าเกลียด? แต่ก่อนมีสาวๆนับพันที่มาหลงรักข้า จำไม่ได้หรือไง?” หลินหยางมองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

“มันผ่านมานานแล้วไหม ตอนนี้เจ้าแก่จนเป็นลุงได้แล้วนะ” มู่หรงกล่าว

เฟิงจือหลิงไม่ได้อ้าปากพูดอะไร ใบหน้าของเขายังร้อนและแดงระเรื่อ

“เจ้าตาบอดแล้วล่ะ มีตาหามีแววไม่” หลินหยางพูดประชดประชัน

มู่หรงพ่นลมออกมาอย่างเย็นชาแล้วจึงหันหัวกลับมาและซบลงไปที่ไหล่ของเฟิงจือหลิง

“เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการให้ข้าหน่อยสิ”

เฟิงจือหลิงเงียบไปชั่วขณะ ที่ไหล่รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ คำพูดที่อ่อนหวานเหล่านี้ทำให้เขามีความสุขจนอยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดกาล

“ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่า? เฟิงจือหลิง เขารังแกข้านะ เจ้าช่วยจัดการเขาให้ข้าทีสิ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทางของหญิงสาวที่แสดงออกมาจะเป็นยังไง นี่เป็นท่าทางที่เธอแสดงต่อหน้าคนรักเท่านั้น

“ข้าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาพร้อมด้วยสายตาเย็นชาที่มองไปยังหลินหยาง

“พี่เฟิง จะเอาจริงเหรอ?” บ้าเอ่ย นังผู้หญิงคนนี้นี่!

“อย่าเลย ผู้หญิงก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้บ่อยๆนะ”

“พี่น้องก็ไม่ต่างกัน!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างไร้ความปรานี

“บ้าเอ่ย เจ้านี่น่ากลัวจริงๆ” หลินหยางถอนหายใจ คนที่ความรักครอบงำนี่น่ากลัวจริงๆ ตามืดบอดจนมองไม่เห็นคนอื่นเลย

มู่หรงเสวี่ยแลบลิ้นออกมา

“นั่นเขาใช่ไหม?” เฟิงจือหลิงสังเกตเห็นเฉินเฟิงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยและจึงถามออกมาอย่างสงสัย แน่นอนว่าเขาจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่สนามการแข่งขันแต่เขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย เฉินเฟิง มานั่งก่อนสิจะได้ทำความคุ้นเคยกัน”

“เขาคือเฉินเฟิง นี่เฟิงจือหลิงและหลินหยาง นั่งกินอะไรด้วยกันก่อนสิ” มู่หรงพูด

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+