ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 396 ฟื้นขึ้นมา

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 396 ฟื้นขึ้นมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 396

ฟื้นขึ้นมา

หลังจากที่ผ่านไปกว่าเดือน รถม้าก็มาถึงชายแดนของเฟิ่งเฉิง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ที่ด้านนอกมีคนตั้งเต็นท์และจุดกองไฟเพื่อทำอาหารอยู่เต็มไปหมด

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนเรื่องที่จ้าวไห่พูดจะเป็นความจริง เฟิ่งเฉิงไม่ใช่ดินแดนที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

จะเห็นได้ว่าที่ประตูเมืองมีคนมากมายพร้อมด้วยป้ายเลื่อนระดับตั้งแถวอยู่เรียงราย ที่นี่มีคนมาตั้งเต็นท์พักอยู่มากมายแต่ก็ยังดูเป็นระเบียบ

“นายท่าน โปรดตามข้ามาทางนี้” จ้าวไห่โค้งตัวและเชิญเฟิงจือหลิงให้เข้าไปในเมือง

โม่เสี่ยวหลิงเองก็ตามไปด้วย เดินเงียบๆไปข้าง เฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงพยักหน้า เขาตามใจโม่เสี่ยวหลิงตอนนี้ก็เพื่อความสะดวก แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก

จ้าวไห่เห็นเฟิงจือหลิงไม่ปฏิเสธ จึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที

รู้หรือเปล่าว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน มาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะผ่านได้ตามใจต้องการ ตราบใดที่เขาแสดงระดับการฝึกตนและยืนที่หน้าประตู ลอร์ดของเมืองจะต้องออกมาพบเขา

อย่างไรก็ตามในเมื่อมาสเตอร์ในระดับสีม่วงมอบโอกาสนี้ให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน

ทั้งสามคนเดินเข้าไปในประตูเมือง ผู้คนที่ยืนต่อคิวอยู่อีกด้านต่างก็ชี้มาที่พวกเขาแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพราะโดยปกติแล้วคนที่เดินเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องต่อคิวจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูง

จ้าวไห่หยิบการ์ดหยกออกมาและยื่นให้กองทหารรักษาการณ์ เขารีบเปิดประตูทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจเหมือนปกติทั่วไป

หลังจากที่เฟิงจือหลิงเข้ามาในเมือง เขาก็ไม่สนใจสองคนที่อยู่อีกด้านและเดินตรงเข้าไปในถนนที่พลุกพล่าน

โม่เสี่ยวหลิงรีบตามไปทันที “นายท่าน นายท่านรอข้าด้วย”

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและรีบเร่งฝีเท้า อย่างไรก็ตามเพื่อคนที่พลุกพล่านจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ช้าเธอก็ตามมาทัน

จ้าวไห่เองก็ตามพวกเขามาด้วย

เฟิงจือหลิงสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเราจบกันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนข้าอีก”

จ้าวไห่เองก็กังวลเรื่องนี้อย่างมากเหมือนกันเพราะยังไงซะโดยปกติแล้วมาสเตอร์ในระดับสีม่วงจะไม่ค่อยชอบให้คนมารอบกวนเท่าไร

“นายท่าน ยังไงซะเราก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ด้วยกันคอยดูแลกันน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดแนะนำออกมาพร้อมรอยยิ้ม

นี่ทำให้จ้าวไห่รู้สึกผิดขึ้นมา เขาจะต้องการการปกป้องอะไร? อีกอย่างการอยู่กับพวกเขาก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไรกับเขาด้วย ถ้าเขาเป็นมาสเตอร์ในระดับสีม่วงเขาเองก็คงจะไม่ชอบเหมือนกัน

“ไปให้พ้น” หลังจากที่เฟิงจือหลิงพูดจบ เขาก็เดินต่อไป

โม่เสี่ยวหลิงชินกับคำพูดเย็นชาของเฟิงจือหลิงแล้ว เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยดังนั้นเธอจึงยังตามไป

“นายท่าน ท่านอาจจะยังไม่รู้สถานะของอันดับชิงหยุน ถ้าเป็นแบบนั้นท่านก็จะหาโรงแรมไม่ได้ ข้ามีบ้านพักในเฟิ่งเฉิง ท่านมาพักกับพวกเราน่าจะดีกว่านะ” โม่เสี่ยวหลิงพูดเพื่อโน้มน้าวเฟิงจือหลิง

จ้าวไห่ดวงตาเป็นประกาย ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง เขาเองก็เห็นด้วยกับเธอ “นายท่าน เราไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากจะตอบแทนที่ในระหว่างทางท่านช่วยพวกเราไว้มากก็เท่านั้น”

“ใช่เลย ที่เฟิ่งเฉิงของเราเป็นบ้านขนาดใหญ่ ถ้าท่านมีเพื่อนอีกก็ให้มาพักกับเราได้” โม่เสี่ยวหลิงแค่พูดตามมารยาท เธอไม่คิดว่าคนอย่างเฟิงจือหลิงจะมีเพื่อนจริงๆหรอก

เฟิงจือหลิงหยุดเดิน โม่เสี่ยวหลิงยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าเขาจะตอบตกลง ใครจะรู้ว่าเฟิงจือหลิงจะเดินเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักพักเฟิงจือหลิงก็เดินออกมาอีกครั้งและน่าจะเป็นอย่างที่จ้าวไห่พูดเพราะไม่มีห้องเหลือเลย ถ้าเป็นเขาคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกแต่ถ้าพวกเสี่ยวเสวี่ยออกมา พวกเธอจะไม่มีที่พักไม่ได้

เมื่อเขาคิดถึงเสี่ยวเสวี่ย สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร

เขาเดินต่อไปอีกและตรงเข้าไปในโรงแรมที่อยู่ถัดไป หลายโรงแรมเต็มไปด้วยคนมากมายแม้แต่ที่ล็อบบี้ก็ยังคนเยอะด้วยเหมือนกัน บางคนที่หาที่พักไม่ได้ก็นั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม่ยอมไปไหนและคอยสั่งอาหารง่ายๆมากิน บางคนก็นอนหลับอยู่ที่โต๊ะอย่างง่ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้พวกเขาไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์แล้ว

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่มีที่พักจริงๆ เขามองไปที่คนทั้งสองที่เดินตามเขามาตลอดทาง

“ข้าจะจ่ายให้” เฟิงจือหลิงพูดออกมาเสียงอ่อน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย” จ้าวไห่และโม่เสี่ยวหลิงรีบตอบกลับมาทันที

โม่เสี่ยวหลิงดีใจอย่างมากและถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นถนนนะเธอก็คงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว

“ข้ามีเพื่อนด้วย จะมาในอีกสองสามวันและข้าจะจ่ายค่าที่พักให้”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พักได้ตามสบายเลย”

พวกเธอไม่คิดเงินคนที่ช่วยชีวิตไว้หรอก แค่ได้เขามาพักในบ้านของเธอก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

เฟิงจือหลิงยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดออกมา “นำทางไปสิ!”

ที่อีกด้าน พลังอสูรที่ครอบคลุมบ้านไม้ไผ่ไว้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหยางและเฉินเฟิงไม่ได้ฝึกตน บาร์เรียดูเหมือนจะเริ่มที่จะแตกออกและที่ผิวด้านนอกบาร์เรียก็เริ่มที่จะเกิดเสียงขึ้นมา ไม่นานเวทมนตร์ขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมา สีหน้าของเสี่ยวไป่และคนอื่นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสี่ยวฉิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เสี่ยวไป๋จับเธอไว้ไม่ทันและพลังอสูรก็เริ่มที่จะพุ่งกระจาย

ขนตาของมู่หรงเริ่มที่จะสั่นและค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ประกายแสดงในตาเป็นสีม่วงสดใส เธอกระโดดลุกขึ้น พลังมหาศาลกระจายตัวออกไปไกลแล้วบ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ท่านหญิง!” เสี่ยวฉิงหอบหายใจเนื่องจากร่างกายที่ปรับตัวไม่ทันกับการวิ่งเร็วๆ

ดวงตาสีม่วงของมู่หรงจ้องไปที่เธอ สายตารู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ

“แค็กๆ” เสี่ยวฉิงสำลัก

สุดท้ายมู่หรงก็กลับมาได้สติและฟื้นพลังเวทมนตร์ในชั่วพริบตาแล้วทุกอย่างก็กลับมาสว่างสดใส

มู่หรงรีบเดินไปหาเสี่ยวฉิง “เสี่ยวฉิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เสี่ยวฉิงส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร ท่านหญิง ท่านไม่เป็นอะไร”

มู่หรงเคาะไปที่หัวของนาง “เจ้านี่โง่จริงๆ เข้ามาข้างในได้ยังไง?”

เสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เดินเข้ามาด้วย

เมื่อกี้บ้านไม้ไผ่พังลงและกั้นเสี่ยวไป่และคนอื่นๆไว้ที่ด้านนอก

เสี่ยวฉิงเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็เป็นลมไปซะก่อน มู่หรงตกใจและรีบอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้นมาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงจับไปที่ชีพจรของเสี่ยวฉิง โชคดีที่แค่เพราะพลังเวทมนตร์จึงทำให้อ่อนแรงไปชั่วขณะ มุ่หรงเสวี่ยรีบหยิบยาออกมาและป้อนเข้าไปในปากเสี่ยวฉิง หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉิงก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ โง่จริงๆเลย” ลืมตามาก็เจอ มู่หรงเสวี่ยบ่นเลย

เสี่ยวฉิงตัวสั่น “ข้าเป็นห่วงท่านนี่!”

“แต่นี่มันอันตรายนะ เจ้าตัวเล็กแค่นี้จะไปรับมือได้ยังไงกัน” มุ่หรงมองค้อน

เสี่ยวฉิงเบ้ปาก “ท่านหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าแล้วนะ” ระดับสีฟ้าซึ่งทรงพลังอย่างมาก แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเธออ่อนแอได้ยังไง

“ระดับสีฟ้า แค่ปลายนิ้วข้าก็จัดการเจ้าได้แล้ว” มุ่หรงพูดดูถูก

เสี่ยวฉิงสำลัก ใครจะไปเทียบกับท่านหญิงได้ ท่านมันไม่ธรรมดา

“ถ้ายังไม่หายดีก็ไม่ต้องพูด” มู่หรงเสวี่ยเคาะไปที่หน้าผากของเธอ

เสี่ยวฉิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“พอแล้ว พักผ่อนก่อน”

เสี่ยวฉิงนอนลงอีกครั้ง “ท่านหญิง ดวงตาของท่านสวยมากเลย” สีม่วงเปล่งประกาย สวยราวกับคริสตัลเลย

“โง่จริง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจตอนนี้ไหมเนี่ย” เสี่ยวฉิงเงียบไปอีกครั้ง

มู่หรงลุกขึ้นและหันกลับไปมองหลินหยางและอีกสองคน สองคนนี้ก็ก้าวหน้าไปเร็วมากเหมือนกัน

หลินหยางขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วและเฉินเฟิงก็เปลี่ยนมาฝึกพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะก่อนหน้านี้เขาฝึกเวทมนตร์มาก่อน การฝึกตนของเขาจึงช้ากว่าหลินหยางหน่อยแต่ก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสีเขียวแล้วเหมือนกัน

เสี่ยวไป๋ยังเหมือนเดิม ในเรื่องการฝึกตนสัตว์เหนือธรรมชาติจะแตกต่างจากมนุษย์ เขาต้องใช้เวลาเพื่อที่จะพัฒนา

“เจ้าควรที่จะไปฝึกตนให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ที่นี่มียาบางตัวที่สามารถช่วยเจ้าเร่งการฝึกตนได้”

หลังจากที่เงียบไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “ข้าจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก หลังจากที่ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าไม่รู้ว่าการแข่งขันจะเริ่มไปแล้วหรือยัง?”

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและเดินออกไป เธอยกมือขึ้นและมองไปดูสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้

สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของเธอคือใบหน้าที่งดงามของเฟิงจือหลิงและเธอเห็นความกังวลในสายตาของเขาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งมือที่คลำมาที่กำไลอยู่เรื่อยๆ หัวใจที่หนักอึ้งของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย มันเจ็บเหลือเกิน!

หลังจากที่เห็นแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน มู่หรงก็ออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าเฟิงจือหลิงทันที “จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกอย่างอ่อนโยน

เฟิงจือหลิงเบิกตากว้างทันทีและยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่มู่หงชรงจะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็เข้ามากอดเธอไว้แน่น

มู่หรงอึ้งไปสักพักแต่แล้วก็กอดเขากลับ ทั้งสองต่างก็กำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่ผ่านไปนาน เฟิงจือหลิงก็ปล่อยเสี่ยวเสวี่ยแล้วมองตรวจตราเพื่อดูว่ามีเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เสี่ยวเสวี่ยอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าทนไม่ได้จริงๆ” เฟิงจือหลิงกล่าว

มู่หรงพยักหน้า “คงไม่มีครั้งหน้าแล้วล่ะ”

หลินหยางมองไปที่ผมสีดำของเธอ

ในตอนนี้ที่ประตูมีเสียงเคาะดังขึ้นมาที่ด้านนอก

“นายท่าน นายท่านอยู่หรือเปล่า?” โม่เสี่ยวหลิงเคาะถามที่ประตู

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วกับการที่มีคนมารบกวนช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเห็นผมสีม่วงของตัวเองและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เฟิงจือหลิงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

เขาเดินไปเปิดประตูและถามอออกไปเสียงเย็นชา “มีอะไร?”

โม่เสี่ยวหลิงมองมาที่เฟิงจือหลิงอย่างอายๆแล้วจึงพูดออกมา “นายท่าน อาหารค่ำพร้อมแล้ว ไปกินด้วยกันเถอะ”

“ไม่ เจ้ากินเองเถอะ” เฟิงจือหลิงพูดและอยากที่จะปิดประตู เขากังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยและอยากที่จะให้นางกลับมาตอนนี้เลย

“แต่นายท่าน มีกรรมการจากการแข่งขันมาร่วมด้วย เราน่าจะไปด้วยกันนะเจ้าคะจะได้สร้างความประทับใจ มันจะเป็นผลดีกับการเข้าร่วมการแข่งขันของเรานะเจ้าคะ” โม่เสี่ยวหลิงแนะนำ

เฟิงจือหลิงขมวดคิ้วและไม่อยากที่จะทำอะไรทั้งนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+