ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 76 โสมหมื่นปี

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 76 โสมหมื่นปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 76
โสมหมื่นปี
มู่หรงเสวี่ยเองก็ยุ่งมากเช่นกัน ถึงแม้ที่บริษัทจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่คอยช่วยเธอจัดการทุกอย่าง แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ยังต้องจัดการ แล้วในมิติลับก็ยังมีไก่, ต้นผลไม้, ผักและสมุนไพรที่ขึ้นจนเต็มไปหมดและยังต้องหาวิธีที่จะดึงออกมาใช้ไม่งั้นก็จะเสียเปล่าไปเฉยๆ ตั้งแต่ที่มู่หรงเสวี่ยได้อ่านหนังสือต่างๆในมิติลับ เธอก็เพียงแค่นำมันมาพัฒนาตัวเอง รวมทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและอื่นๆอีก เธอทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและยาสมุนไพรจีนที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติและปราศจากมลภาวะตามสูตรลับของชาววัง ซึ่งสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและบำรุงผิว, ให้ผิวอ่อนเยาว์และช่วยเพิ่มการเผาผลาญ เพราะการเติมน้ำพุวิญญาณจึงมีผลในการขจัดสารพิษในร่างกายและแม้กระทั่งการหยุดไหลของเลือดและขจัดภาวะเลือดหยุดนิ่งหากใช้เป็นเวลานาน
มู่หรงเสวี่ยมอบผลิตภัณฑ์ชุดหนึ่งให้กับคุณย่า, แม่ของเธอและโม่อ้ายหลี่ด้วย ตอนนี้เมื่อทั้งสามได้ลองผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของมู่หรงเสวี่ย พวกเขาก็ไม่อยากที่จะไปใช้ผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีกเลย และเพราะการบอกต่อของคนที่ได้ใช้ทำให้มู่หรงเสวี่ยมีแผนที่จะขยายอุตสาหกรรมความงามและการดูแลผิวพรรณออกไปอีก
ติดแค่ในเรื่องของคนงานที่ยังเป็นปัญหาปวดหัวของเธออยู่ กู่หมิง, ลั่วเฉิงเฟยและโม่จื่อเหวินก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะแล้วด้วย

เธอกล้าที่จะรับรองได้ว่าสินค้าที่เธอผลิตออกมาไม่มีวันเป็นของไม่ดีแน่ๆและยอดการขายก็เป็นเครื่องรับประกันได้ เธอไม่อยากจะรวมผลิตภัณฑ์ด้านความงามเข้ากับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เธออยากที่จะเปิดอีกบริษัท ยังไงซะ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก็ได้รับความสนใจมากเกินไปแล้วและมันไม่ดีเท่าไร ช่วงหลังๆมานี้ดูเหมือนว่าธุรกิจอื่นๆจะเข้ามาสนใจบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปกันมาก มีทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงมีแผนที่จะเปิดบริษัทสำหรับโปรเจคใหม่นี้

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอื่นๆของผู้หญิงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก และก็มีการแข่งขันที่สูงตามไปด้วย จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะต้องจัดการเรื่องนี้คนเดียว จะไปหาใครมาช่วยดีล่ะ?! เธอไม่อยากที่จะทำงานร่วมกับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่งั้นมันคงกลายเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าจะได้คนช่วย
มู่หรงเสวี่ยคิดถึงโม่อ้ายหลี่ที่อยู่ในตระกูลทหารและนักการเมือง ถ้าเธออยากที่จะขยายธุรกิจ ตระกูลโม่ก็เป็นกองหนุนที่ดี อีกอย่างเธอก็เป็นเพื่อนที่ดีด้วย เธอเชื่อมั่นในนิสัยของโม่อ้ายหลี่มากแต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ของตระกูลโม่จะเห็นด้วยไหม จากความทรงจำในชีวิตที่แล้วของเธอ โม่อ้ายหลี่ดูเหมือนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องธุรกิจมากนัก

แล้วก็จำได้ว่าตั้งแต่การฝังเข็มครั้งสุดท้ายของคุณปู่โม่เธอก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านอีกเลย โม่หลิวเฟิงเองก็โทรมาหาเธอหลายครั้งแล้วด้วย อย่างไรก็ตามนั้นตอนนั้นเธออยู่ที่งานการประชุมหินการพนันนานาชาติซึ่งก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เธอจึงรับปากไปว่าจะแวะไปที่บ้านตระกูลโม่เมื่อเธอกลับมา นี่ก็เดือนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าคุณปู่โม่จะยังอยู่ในเมือง A หรือเปล่าหรือว่ากลับไปที่เมืองหลวงแล้ว?!

มู่หรงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรหาโม่อ้ายหลี่ “ฮัลโหล อ้ายหลี่!”
“นี่มันโอกาสพิเศษอะไรถึงทำให้เธอโทรหาฉันก่อนได้เนี่ย! ฮ่าฮ่าฮ่า ว่ามา มีอะไรให้ฉันรับใช้ดีจ๊ะ?” เสียงสดใสของโม่อ้ายหลี่ดังออกมา
มู่หรงเสวี่ยตอบกลับไป “ก็ฉันไม่ได้โทรหาเธอเลย ฉันก็เลยรู้สึกเป็นห่วงเธออย่างมากเลย โอเคไหมจ๊ะ?”
“ฮืม! ยังไงซะถึงแม้เดือนที่ผ่านมาที่เธอไปเมืองหลวงมาตั้งเดือนแต่ก็ไม่ยอมโทรหาฉันเลยแต่ฉันยกโทษให้เพราะของขวัญที่เธอซื้อมาฝากหรอกนะ แต่มีอะไรเหรอ? ถึงได้โทรหาฉันแต่เช้าแบบนี้”

“คือ คุณปู่โม่ยังอยู่ที่เมือง A หรือเปล่า ฉันอยากแวะไปเยี่ยมแล้วก็มีเรื่องจะคุยกับเธอด้วย?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“คุณปู่ยังอยู่นะ แวะมาเลย แต่มีเรื่องอะไรเหรอ? บอกมาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยพูดออกไป “อ้ายหลี่ เธอสนใจที่จะทำธุรกิจบ้างไหม? ฉันอยากที่จะตั้งบริษัทด้านความงามและให้เธอเป็นหุ้นส่วน เธอคิดว่าไง?”
สร้างบริษัทงั้นเหรอ?! โม่อ้ายหลี่ไม่แปลกใจเท่าไร เธอเองก็มีบริษัทหลายแห่งที่อยู่ภายใต้ชื่อเธอด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มากแต่เธอก็ได้รับมอบหมายจากตระกูลโม่ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปบริหารด้วยซ้ำ จะมีพวกผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารคอยจัดการอยู่ เธอมีหน้าที่แค่รับผลกำไรเท่านั้น พูดกันตรงๆก็คือเธอไม่ได้สร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ถึงแม้ฉันจะอยากสร้างธุรกิจของตัวเองนะเสี่ยวเสวี่ย ฉันก็ไม่มีเงินทุนหรอก มันไม่ง่ายเลยนะที่จะเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ความงามและการวิจัยผลิตภัณฑ์ก็เป็นปัญหาใหญ่ด้วยนะ”

“เรื่องการวิจัยผลิตภัณฑ์ เธอมั่นใจได้เลยว่าฉันมีข้อมูลส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไว้เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ฉันให้เธอครั้งที่แล้ว นั่นคือผลิตภัณฑ์ที่เราอยากจะผลิตและเปิดตัว เธอคิดว่ายังไง?” มู่หรงเสวี่ยไม่กังวลเรื่องผลิตภัณฑ์เลยสักนิด ของที่ผลิตมาจากมิติลับจะไม่ดีได้ยังไงล่ะ?!

“อะไรนะ?! ผลิตภัณฑ์พวกนั้นที่เธอให้ฉันมาครั้งที่แล้วน่ะเหรอ?! ฉันคิดว่าเพื่อนเธอเป็นคนพัฒนาซะอีก?! ผลิตภัณฑ์พวกนั้นมันดีมากเลย เธอบอกว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้มาครั้งที่แล้วน่ะ ฉันคิดว่าคงทำกำไรได้เยอะมากเลยล่ะ แม้แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับฉัน แค่ความมหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ก็เพียงพอที่จะเปิดตลอดแล้วนะ ทำเองทั้งหมดเลย โอเคไหม!?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม “ฉันจะเอากำไรอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะ? ตระกูลโม่มีท่าเรือที่ดีมากเลยนะ!”
โม่อ้ายหลี่เข้าใจในทันที “เธอจะมาเมื่อไรล่ะ? แวะมาก่อนแล้วเราจะได้คุยกัน!”

“ฉันต้องไปเตรียมบางอย่างก่อน อีกสักสองชั่วโมงแล้วกันนะ!” มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเธอคงต้องเตรียมเอกสารเรื่องแผนงานเผื่อคุณปู่โม่จะเห็นด้วย ถ้าไม่มีการเตรียมอะไรเลย ก็คงจะทำให้คุณปู่โม่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร

“โอเค แล้วเจอกันนะ” โม่อ้ายหลี่วางสายแล้วกดโทรหาพี่ชาย
มู่หรงเสวี่ยโทรหาลั่วเฉิงเฟย พูดสั้นๆว่าจะสร้างผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นมา ขอให้เขาช่วยเขียนแผนงานด้วยแล้วเธอจะเข้าไปเจอเขาที่บริษัทในอีกสองชั่วโมง

ลั่วเฉิงเฟยประหลาดใจมาก เจ้านายตัวน้อยของเขานี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่ต้องดูแลหลายธุรกิจมากมายและสไตล์ก็ยังโดดเด่นอีกด้วย แม้แต่แกนนำของบริษัทบางคนก็ยังไม่ใช่คนธรรมดา

เขาทำเงินได้แต่ก็ยังสงสัยว่ามู่หรงเสวี่ยเจอเขาได้ยังไงแล้วยังมอบอำนาจให้เขาดูแลแผนงานมากมายของบริษัทอีกด้วย มีคนค้ดค้านเรื่องเขามากมายแต่เขาก็ไม่คิดว่าเจ้านายจะเห็นด้วยกับแผนงานของเขาซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกสำหรับทุกคนด้วย

โชคดีที่เขาทำสำเร็จอย่างสวยงามแต่ถึงแม้เขาจะมั่นใจมากแต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในมิติลับเพื่อหาโสมหมื่นปีและเก็บมันใส่เข้ากล่อง เธอพร้อมที่จะมอบโสมเพื่อเป็นของขวัญให้กับคุณปู่โม่แล้ว มันน่าจะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายของเขาได้ นอกจากนี้เธอก็ยังเลือกผลไม้สดๆในมิติลับอีก ถึงแม้หน้าตามันจะไม่ค่อยสวยเท่าไรแต่มันก็ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดาและเธอเชื่อว่าคุณปู่โม่จะต้องมีความสุขอย่างมาก

สองชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็เดินไปที่ห้องทำงานของประธานและกู่หมิงและคนอื่นๆต่างก็กล่าวทักทายเธอ เธอออกมาพร้อมกับเอกสารแผนงาน วันนี้เธอจะไปที่บ้านคุณปู่โม่และเธอไม่มีเวลาที่จะคุยกับกู่หมิงมากนัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ถูกนำไปที่ห้องนั่งเล่นของตระกูลโม่พร้อมด้วยผลไม้และกล่องเต็มสองถุง

เมื่อเดินเข้าไปมู่หรงเสวี่ยก็พบว่าตระกูลโม่มีแขกซึ่งน่าอายมากที่เธอเดินเข้ามาแบบนี้

ในห้องนั่งเล่นมีคนสองคนนั่งอยู่ข้างๆคุณปู่โม่, โม่หลิวเฟิงและโม่อ้ายหลี่ คนแรกคือผู้หญิงอายุประมาณ 40 และเด็กสาวหน้าตาสดใสนั่งข้างๆเธอซึ่งน่าจะอายุประมาณ 18

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป มอบของขวัญให้คุณปู่โม่เป็นอย่างแรกแล้วจึงพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “คุณปู่โม่ หนูต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนโดยไม่ได้บอกก่อน อีกอย่างนี่เป็นผลไม้ที่หนูปลูกเอง ไม่มียาฆ่าแมลงเลยเอามาให้คุณปู่ได้ลองทาน ส่วนนี่เป็นของสำหรับคุณปู่โม่นะคะ” มู่หรงเสวี่ยวางผลไม้ที่อยู่ในมือลงที่โต๊ะแล้วจึงหยิบกล่องโสมหมื่นปีแล้วส่งให้คุณปู่โม่

โม่ฉางเฟิงมองมู่หรงแล้วเปลี่ยนท่าทางในทันที เขายิ้มกว้างอย่างสดใส เขาถามเธอออกไปอย่างใจดี “เสี่ยวเสวี่ย จะรบกวนได้ยังไงกันล่ะ? ปู่รอให้หนูแวะมาเยี่ยมตั้งนานแล้ว ฮ่าฮ่า มาเถอะๆ เอาอะไรมาเยอะแยะ ทำตัวตามสบายเลยนะ ที่นี่ต้อนรับหนูเสมอนะ! มาเถอะๆมานั่งตรงนี้” เขาเอื้อมมือไปรับกล่องแต่ไม่ได้เปิดออกแต่เอาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆเขา แล้วจึงโบกมือบอกให้มู่หรงเสวี่ยมานั่งข้างๆเขา

“มู่หรงเสวี่ย ในที่สุดก็มาจนได้นะ ฉันรอเธออยู่ตั้งนาน” โม่อ้ายหลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม โม่หลิงเฟิงไม่ได้พูดอะไรแต่ดวงตาเขาก็แวบรอยยิ้มด้วยเหมือนกันแต่ต้องเก็บไว้ในใจเพราะมีสายตาของคู่แม่ลูกที่กำลังมองอยู่

สองแม่ลูกเป็นญาติห่างๆที่ไม่ได้สนิทกับครอบครัวนี้เท่าไรแต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาคือตระกูลหวู่แห่งเมืองหลวง ผู้ใหญ่คือ หลิวจ้าว คนเด็กคือลูกสาวของเธอชื่อหวู่หลินหลินที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในจังหวัด A และพวกเขาต้องหาข้ออ้างเพื่อมาเยี่ยม

โม่หลิงเฟิงรู้ว่าสองแม่ลูกนี่กำลังตีสองหน้า เพียงแค่สายตากล้าหาญและอยากรู้อยากเห็นของหวู่หลินหลินก็ทำให้คนรังเกียจได้แล้ว
หลิวจ้าวมองเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาอย่างประเมิน แต่งตัวด้วยชุดกีฬาธรรมดาๆ, ไม่มีเครื่องประดับพิเศษอะไร, ก็น่ารักดีแต่น่าจะเป็นลูกคนรวย แล้วยังเอาผลไม้มาสองถุงใหญ่อีก ก็ยังดีที่มีอะไรติดไม้ติดมือมาตระกูลโม่บ้างแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเนื่องในโอกาสอะไร “แม่หนูคนนี้เป็นใครกันเหรอคะ? ทำไมถึงไม่เคยเห็นในตระกูลเลย?” ถึงแม้ในน้ำเสียงจะไม่มีการประชดประชัน แต่ความหมายระหว่างคำก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่ดี

หวู่หลินหลินมองท่าทางของมู่หรงเสวี่ยและรับรู้ได้ว่าเธอสวยกว่าตัวเองมาก เธอไม่ค่อยพอใจอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางของตระกูลโม่ที่มีต่อเธอก็ยิ่งดูน่ารำคาญไปอีก เธอและแม่มาจากเมืองหลวงตั้งแต่เช้าแต่กลับยังไม่ได้ยินปู่โม่พูดกับพวกเธออย่างใจดีแบบนี้เลย

“เธอเป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของหนูเอง มู่หรงเสวี่ย เสี่ยวเสวี่ย นี่คุณน้าหลิวและลูกสาวของคุณน้า หวู่หลินหลิน”
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “สวัสดีค่ะ”
รอยยิ้มนั้นทำให้โม่หลิวเฟิงต้องยิ้มตามจนพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนว่าไม่ได้เจอเธอมานานมาก และภาพโม่หลิวเฟิงในตอนนี้ทำให้หวู่หลินหลินรู้สึกโกรธขึ้นมาเลย เธอเพิ่งจะเข้ามาเจอโม่หลิวเฟิงแต่กลับถูกแม่หนูนี่ขโมยหัวใจเขาไปต่อหน้าต่อตา เธอมองผลไม้ที่มู่หรงเสวี่ยเอามาแล้วก็มองไปที่กล่องที่ปู่โม่เอาไปวางไว้ข้างๆ เธอหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เธอเพิ่งเอาหยกคุณภาพดีมามอบให้คุณปู่โม่ เธออยากจะเห็นจริงๆว่าเด็กสาวที่ชื่อมู่หรงเสวี่ยจะเอาของขวัญตลกๆอะไรมามอบให้คุณปู่โม่กัน

หวู่หลินหลินพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา “คุณปู่โม่คะ คุณหนูมู่หรงเอาอะไรมาให้เหรอคะ?! เราอยากจะเห็นกันจริงๆเลย!”
ผู้เฒ่าโม่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาอยากที่จะทำเป็นไม่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะทำให้เธอต้องเสียหน้า เขาแค่ไม่อยากจะเปิดตอนนี้เพราะกลัวเธอจะขายหน้า เขาชอบมู่หรงเสวี่ยอย่างมากอีกอย่างเธอยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาด้วย

ในสายตาของโม่ฉางเฟิง มู่หรงเสวี่ยเป็นหมอที่เก่งมากๆ เธออายุเพียง 15 อายุพอๆกับหลานสาวของเขาซึ่งไม่น่าจะมีเงินอะไรมากมาย ไม่น่าที่จะสามารถหาของขวัญราคาแพงอะไรมามอบให้เขาได้ เขาไม่อยากละเลยของขวัญของมู่หรงเสวี่ย ไม่ว่าเธอจะเอาอะไรมาให้เขา เขาก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ
แต่สำหรับแขกคนอื่นๆซึ่งมักจะเอาเรื่องของขวัญมาเปรียบเทียบกันเสมอ เขาอยากที่จะรักษาหน้าของมู่หรงเสวี่ยไว้

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “มันไม่ใช่ของขวัญหรอกค่ะ ฉันกลัวว่าทุกคนจะตลกกันหมด” เธอไม่อยากเอาของเรื่องขวัญมาเพื่อแสดงเจตนาที่ไม่ดี

“ของขวัญมันไม่สำคัญหรอก แต่เป็นหัวใจของคนให้มากกว่าที่สำคัญ”

เพียงแค่อยากที่จะเห็นเธอขายหน้า หวู่หลินหลินคิดอยู่ในใจ “คุณมู่หรง อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยค่ะ ในเมื่อคุณปู่โม่พูดเรื่องหัวใจแล้ว เราก็อยากที่จะเห็นหัวใจของคุณมู่หรงบ้างได้ไหมคะ?”

หลิวจ้าวเองก็พยายามพูดช่วยลูกสาว “ใช่ค่ะ เราเพียงแค่อยากจะเห็นเพราะสงสัยเท่านั้นเอง”

ผู้เฒ่าโม่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย และอยากที่จะปฏิเสธ มู่หรงเสวี่ยจึงอ้าปากพูดเป็นคนแรก “ฮ่าฮ่า ในเมื่อทุกคนอยากที่จะเห็น คุณปู่โม่ก็เปิดให้ทุกคนได้เห็นจะดีกว่านะคะ” เธอไม่อยากที่จะให้คนนอกตระกูลโม่รู้แต่ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกนี่จะไม่ชอบเธอจริงๆ ไม่รู้ทำไมพวกเธอถึงอยากเห็นของขวัญของเธอนัก เพื่อที่จะได้หัวเราะเธองั้นเหรอ?! ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็คงจะต้องผิดหวังแล้วล่ะ

ผู้เฒ่าโม่มองมู่หรงเสวี่ยและเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจอะไร เขาจึงหยิบกล่องไม้ขึ้นมาโดยไม่มีท่าทีอะไรและค่อยๆเปิดกล่องออก

วินาทีที่เขาเปิด ทันใดนั้นผู้เฒ่าโม่ก็ต้องเบิกตากว้าง เขาไม่เคยเห็นต้นโสมใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย รูปร่างของมันสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังมองไปที่รูปวงปีที่หนาแน่นบนโสมไข่มุก ซึ่งเขาบอกได้เลยว่าอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแน่ๆ นี่มันประเมินค่าไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้บริษัทประมูลเหิงหยวนประมูลโสมอายุ 300 ปีไปด้วยราคาที่สูงกว่า 10 ล้านหยวนเลยทีเดียว ซึ่งชิ้นนี้เดาว่าน่าจะมีอายุมากกว่าพันปีซึ่งราคาธรรมดาๆคงจะซื้อไม่ได้แน่ อย่างน้อยๆก็ต้องราคามากกว่า 100 ล้านหยวนแน่ๆ

หวู่หลินหลินมองสีหน้าตกใจของผู้เฒ่าโม่และเธอก็ต้องรู้สึกกังวล มันดีมากจนต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?! ทำไมถึงทำให้คุณปู่โม่ตกใจได้ขนาดนั้น?! “คุณปู่โม่ค่ะ มันคืออะไรเหรอคะ? ทำไมคุณปู่ถึงตาโตขนาดนั้นเชียว!”

ผู้เฒ่าโม่เก็บอาการประหลาดใจของตัวเองไว้และวางกล่องไปที่กลางโต๊ะ ซึ่งบอกได้เลยว่ามันหนักมากๆเลยทีเดียว

“ได้เวลาเปิดหูเปิดตากันแล้ว นี่เป็นสมบัติล้มค่าและหาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน…” หลังจากนั้น เขาก็หันไปมองมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาแบบมีความหมายลึกซึ้ง กล่องนี้หนักมากๆ ในตอนนี้ทุกคนต่างก็ต้องประหลาดใจ พวกเขาต่างก็ได้เห็นของล้ำค่าอย่างมาก ซึ่งโดยปกติเพียงแค่ได้เห็นโสมอายุแค่ปีเดียวก็น่าตกใจมากแล้ว

หลิวจ้าวตกใจจนพูดเสียงสูงกว่าปกตินิดหน่อย “เป็นไปได้ยังไง?! แม่หนูนี่หาโสมอายุมากขนาดนี้มาได้ยังไงกัน?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 76 โสมหมื่นปี

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 76 โสมหมื่นปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 76
โสมหมื่นปี
มู่หรงเสวี่ยเองก็ยุ่งมากเช่นกัน ถึงแม้ที่บริษัทจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่คอยช่วยเธอจัดการทุกอย่าง แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ยังต้องจัดการ แล้วในมิติลับก็ยังมีไก่, ต้นผลไม้, ผักและสมุนไพรที่ขึ้นจนเต็มไปหมดและยังต้องหาวิธีที่จะดึงออกมาใช้ไม่งั้นก็จะเสียเปล่าไปเฉยๆ ตั้งแต่ที่มู่หรงเสวี่ยได้อ่านหนังสือต่างๆในมิติลับ เธอก็เพียงแค่นำมันมาพัฒนาตัวเอง รวมทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและอื่นๆอีก เธอทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและยาสมุนไพรจีนที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติและปราศจากมลภาวะตามสูตรลับของชาววัง ซึ่งสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและบำรุงผิว, ให้ผิวอ่อนเยาว์และช่วยเพิ่มการเผาผลาญ เพราะการเติมน้ำพุวิญญาณจึงมีผลในการขจัดสารพิษในร่างกายและแม้กระทั่งการหยุดไหลของเลือดและขจัดภาวะเลือดหยุดนิ่งหากใช้เป็นเวลานาน
มู่หรงเสวี่ยมอบผลิตภัณฑ์ชุดหนึ่งให้กับคุณย่า, แม่ของเธอและโม่อ้ายหลี่ด้วย ตอนนี้เมื่อทั้งสามได้ลองผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของมู่หรงเสวี่ย พวกเขาก็ไม่อยากที่จะไปใช้ผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีกเลย และเพราะการบอกต่อของคนที่ได้ใช้ทำให้มู่หรงเสวี่ยมีแผนที่จะขยายอุตสาหกรรมความงามและการดูแลผิวพรรณออกไปอีก
ติดแค่ในเรื่องของคนงานที่ยังเป็นปัญหาปวดหัวของเธออยู่ กู่หมิง, ลั่วเฉิงเฟยและโม่จื่อเหวินก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะแล้วด้วย

เธอกล้าที่จะรับรองได้ว่าสินค้าที่เธอผลิตออกมาไม่มีวันเป็นของไม่ดีแน่ๆและยอดการขายก็เป็นเครื่องรับประกันได้ เธอไม่อยากจะรวมผลิตภัณฑ์ด้านความงามเข้ากับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป เธออยากที่จะเปิดอีกบริษัท ยังไงซะ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก็ได้รับความสนใจมากเกินไปแล้วและมันไม่ดีเท่าไร ช่วงหลังๆมานี้ดูเหมือนว่าธุรกิจอื่นๆจะเข้ามาสนใจบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปกันมาก มีทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงมีแผนที่จะเปิดบริษัทสำหรับโปรเจคใหม่นี้

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอื่นๆของผู้หญิงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก และก็มีการแข่งขันที่สูงตามไปด้วย จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะต้องจัดการเรื่องนี้คนเดียว จะไปหาใครมาช่วยดีล่ะ?! เธอไม่อยากที่จะทำงานร่วมกับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่งั้นมันคงกลายเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าจะได้คนช่วย
มู่หรงเสวี่ยคิดถึงโม่อ้ายหลี่ที่อยู่ในตระกูลทหารและนักการเมือง ถ้าเธออยากที่จะขยายธุรกิจ ตระกูลโม่ก็เป็นกองหนุนที่ดี อีกอย่างเธอก็เป็นเพื่อนที่ดีด้วย เธอเชื่อมั่นในนิสัยของโม่อ้ายหลี่มากแต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ของตระกูลโม่จะเห็นด้วยไหม จากความทรงจำในชีวิตที่แล้วของเธอ โม่อ้ายหลี่ดูเหมือนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องธุรกิจมากนัก

แล้วก็จำได้ว่าตั้งแต่การฝังเข็มครั้งสุดท้ายของคุณปู่โม่เธอก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านอีกเลย โม่หลิวเฟิงเองก็โทรมาหาเธอหลายครั้งแล้วด้วย อย่างไรก็ตามนั้นตอนนั้นเธออยู่ที่งานการประชุมหินการพนันนานาชาติซึ่งก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เธอจึงรับปากไปว่าจะแวะไปที่บ้านตระกูลโม่เมื่อเธอกลับมา นี่ก็เดือนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าคุณปู่โม่จะยังอยู่ในเมือง A หรือเปล่าหรือว่ากลับไปที่เมืองหลวงแล้ว?!

มู่หรงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาและกดโทรหาโม่อ้ายหลี่ “ฮัลโหล อ้ายหลี่!”
“นี่มันโอกาสพิเศษอะไรถึงทำให้เธอโทรหาฉันก่อนได้เนี่ย! ฮ่าฮ่าฮ่า ว่ามา มีอะไรให้ฉันรับใช้ดีจ๊ะ?” เสียงสดใสของโม่อ้ายหลี่ดังออกมา
มู่หรงเสวี่ยตอบกลับไป “ก็ฉันไม่ได้โทรหาเธอเลย ฉันก็เลยรู้สึกเป็นห่วงเธออย่างมากเลย โอเคไหมจ๊ะ?”
“ฮืม! ยังไงซะถึงแม้เดือนที่ผ่านมาที่เธอไปเมืองหลวงมาตั้งเดือนแต่ก็ไม่ยอมโทรหาฉันเลยแต่ฉันยกโทษให้เพราะของขวัญที่เธอซื้อมาฝากหรอกนะ แต่มีอะไรเหรอ? ถึงได้โทรหาฉันแต่เช้าแบบนี้”

“คือ คุณปู่โม่ยังอยู่ที่เมือง A หรือเปล่า ฉันอยากแวะไปเยี่ยมแล้วก็มีเรื่องจะคุยกับเธอด้วย?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“คุณปู่ยังอยู่นะ แวะมาเลย แต่มีเรื่องอะไรเหรอ? บอกมาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่คิดเรื่องนี้แล้วมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยพูดออกไป “อ้ายหลี่ เธอสนใจที่จะทำธุรกิจบ้างไหม? ฉันอยากที่จะตั้งบริษัทด้านความงามและให้เธอเป็นหุ้นส่วน เธอคิดว่าไง?”
สร้างบริษัทงั้นเหรอ?! โม่อ้ายหลี่ไม่แปลกใจเท่าไร เธอเองก็มีบริษัทหลายแห่งที่อยู่ภายใต้ชื่อเธอด้วยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มากแต่เธอก็ได้รับมอบหมายจากตระกูลโม่ เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปบริหารด้วยซ้ำ จะมีพวกผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารคอยจัดการอยู่ เธอมีหน้าที่แค่รับผลกำไรเท่านั้น พูดกันตรงๆก็คือเธอไม่ได้สร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ถึงแม้ฉันจะอยากสร้างธุรกิจของตัวเองนะเสี่ยวเสวี่ย ฉันก็ไม่มีเงินทุนหรอก มันไม่ง่ายเลยนะที่จะเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ความงามและการวิจัยผลิตภัณฑ์ก็เป็นปัญหาใหญ่ด้วยนะ”

“เรื่องการวิจัยผลิตภัณฑ์ เธอมั่นใจได้เลยว่าฉันมีข้อมูลส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไว้เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ฉันให้เธอครั้งที่แล้ว นั่นคือผลิตภัณฑ์ที่เราอยากจะผลิตและเปิดตัว เธอคิดว่ายังไง?” มู่หรงเสวี่ยไม่กังวลเรื่องผลิตภัณฑ์เลยสักนิด ของที่ผลิตมาจากมิติลับจะไม่ดีได้ยังไงล่ะ?!

“อะไรนะ?! ผลิตภัณฑ์พวกนั้นที่เธอให้ฉันมาครั้งที่แล้วน่ะเหรอ?! ฉันคิดว่าเพื่อนเธอเป็นคนพัฒนาซะอีก?! ผลิตภัณฑ์พวกนั้นมันดีมากเลย เธอบอกว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้มาครั้งที่แล้วน่ะ ฉันคิดว่าคงทำกำไรได้เยอะมากเลยล่ะ แม้แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับฉัน แค่ความมหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ก็เพียงพอที่จะเปิดตลอดแล้วนะ ทำเองทั้งหมดเลย โอเคไหม!?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม “ฉันจะเอากำไรอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะ? ตระกูลโม่มีท่าเรือที่ดีมากเลยนะ!”
โม่อ้ายหลี่เข้าใจในทันที “เธอจะมาเมื่อไรล่ะ? แวะมาก่อนแล้วเราจะได้คุยกัน!”

“ฉันต้องไปเตรียมบางอย่างก่อน อีกสักสองชั่วโมงแล้วกันนะ!” มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเธอคงต้องเตรียมเอกสารเรื่องแผนงานเผื่อคุณปู่โม่จะเห็นด้วย ถ้าไม่มีการเตรียมอะไรเลย ก็คงจะทำให้คุณปู่โม่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร

“โอเค แล้วเจอกันนะ” โม่อ้ายหลี่วางสายแล้วกดโทรหาพี่ชาย
มู่หรงเสวี่ยโทรหาลั่วเฉิงเฟย พูดสั้นๆว่าจะสร้างผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นมา ขอให้เขาช่วยเขียนแผนงานด้วยแล้วเธอจะเข้าไปเจอเขาที่บริษัทในอีกสองชั่วโมง

ลั่วเฉิงเฟยประหลาดใจมาก เจ้านายตัวน้อยของเขานี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วยวัยเพียงเท่านี้แต่ต้องดูแลหลายธุรกิจมากมายและสไตล์ก็ยังโดดเด่นอีกด้วย แม้แต่แกนนำของบริษัทบางคนก็ยังไม่ใช่คนธรรมดา

เขาทำเงินได้แต่ก็ยังสงสัยว่ามู่หรงเสวี่ยเจอเขาได้ยังไงแล้วยังมอบอำนาจให้เขาดูแลแผนงานมากมายของบริษัทอีกด้วย มีคนค้ดค้านเรื่องเขามากมายแต่เขาก็ไม่คิดว่าเจ้านายจะเห็นด้วยกับแผนงานของเขาซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลกสำหรับทุกคนด้วย

โชคดีที่เขาทำสำเร็จอย่างสวยงามแต่ถึงแม้เขาจะมั่นใจมากแต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในมิติลับเพื่อหาโสมหมื่นปีและเก็บมันใส่เข้ากล่อง เธอพร้อมที่จะมอบโสมเพื่อเป็นของขวัญให้กับคุณปู่โม่แล้ว มันน่าจะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายของเขาได้ นอกจากนี้เธอก็ยังเลือกผลไม้สดๆในมิติลับอีก ถึงแม้หน้าตามันจะไม่ค่อยสวยเท่าไรแต่มันก็ไม่ใช่ผลไม้ธรรมดาและเธอเชื่อว่าคุณปู่โม่จะต้องมีความสุขอย่างมาก

สองชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็เดินไปที่ห้องทำงานของประธานและกู่หมิงและคนอื่นๆต่างก็กล่าวทักทายเธอ เธอออกมาพร้อมกับเอกสารแผนงาน วันนี้เธอจะไปที่บ้านคุณปู่โม่และเธอไม่มีเวลาที่จะคุยกับกู่หมิงมากนัก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ถูกนำไปที่ห้องนั่งเล่นของตระกูลโม่พร้อมด้วยผลไม้และกล่องเต็มสองถุง

เมื่อเดินเข้าไปมู่หรงเสวี่ยก็พบว่าตระกูลโม่มีแขกซึ่งน่าอายมากที่เธอเดินเข้ามาแบบนี้

ในห้องนั่งเล่นมีคนสองคนนั่งอยู่ข้างๆคุณปู่โม่, โม่หลิวเฟิงและโม่อ้ายหลี่ คนแรกคือผู้หญิงอายุประมาณ 40 และเด็กสาวหน้าตาสดใสนั่งข้างๆเธอซึ่งน่าจะอายุประมาณ 18

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป มอบของขวัญให้คุณปู่โม่เป็นอย่างแรกแล้วจึงพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “คุณปู่โม่ หนูต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนโดยไม่ได้บอกก่อน อีกอย่างนี่เป็นผลไม้ที่หนูปลูกเอง ไม่มียาฆ่าแมลงเลยเอามาให้คุณปู่ได้ลองทาน ส่วนนี่เป็นของสำหรับคุณปู่โม่นะคะ” มู่หรงเสวี่ยวางผลไม้ที่อยู่ในมือลงที่โต๊ะแล้วจึงหยิบกล่องโสมหมื่นปีแล้วส่งให้คุณปู่โม่

โม่ฉางเฟิงมองมู่หรงแล้วเปลี่ยนท่าทางในทันที เขายิ้มกว้างอย่างสดใส เขาถามเธอออกไปอย่างใจดี “เสี่ยวเสวี่ย จะรบกวนได้ยังไงกันล่ะ? ปู่รอให้หนูแวะมาเยี่ยมตั้งนานแล้ว ฮ่าฮ่า มาเถอะๆ เอาอะไรมาเยอะแยะ ทำตัวตามสบายเลยนะ ที่นี่ต้อนรับหนูเสมอนะ! มาเถอะๆมานั่งตรงนี้” เขาเอื้อมมือไปรับกล่องแต่ไม่ได้เปิดออกแต่เอาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆเขา แล้วจึงโบกมือบอกให้มู่หรงเสวี่ยมานั่งข้างๆเขา

“มู่หรงเสวี่ย ในที่สุดก็มาจนได้นะ ฉันรอเธออยู่ตั้งนาน” โม่อ้ายหลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม โม่หลิงเฟิงไม่ได้พูดอะไรแต่ดวงตาเขาก็แวบรอยยิ้มด้วยเหมือนกันแต่ต้องเก็บไว้ในใจเพราะมีสายตาของคู่แม่ลูกที่กำลังมองอยู่

สองแม่ลูกเป็นญาติห่างๆที่ไม่ได้สนิทกับครอบครัวนี้เท่าไรแต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาคือตระกูลหวู่แห่งเมืองหลวง ผู้ใหญ่คือ หลิวจ้าว คนเด็กคือลูกสาวของเธอชื่อหวู่หลินหลินที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในจังหวัด A และพวกเขาต้องหาข้ออ้างเพื่อมาเยี่ยม

โม่หลิงเฟิงรู้ว่าสองแม่ลูกนี่กำลังตีสองหน้า เพียงแค่สายตากล้าหาญและอยากรู้อยากเห็นของหวู่หลินหลินก็ทำให้คนรังเกียจได้แล้ว
หลิวจ้าวมองเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาอย่างประเมิน แต่งตัวด้วยชุดกีฬาธรรมดาๆ, ไม่มีเครื่องประดับพิเศษอะไร, ก็น่ารักดีแต่น่าจะเป็นลูกคนรวย แล้วยังเอาผลไม้มาสองถุงใหญ่อีก ก็ยังดีที่มีอะไรติดไม้ติดมือมาตระกูลโม่บ้างแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเนื่องในโอกาสอะไร “แม่หนูคนนี้เป็นใครกันเหรอคะ? ทำไมถึงไม่เคยเห็นในตระกูลเลย?” ถึงแม้ในน้ำเสียงจะไม่มีการประชดประชัน แต่ความหมายระหว่างคำก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่ดี

หวู่หลินหลินมองท่าทางของมู่หรงเสวี่ยและรับรู้ได้ว่าเธอสวยกว่าตัวเองมาก เธอไม่ค่อยพอใจอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทางของตระกูลโม่ที่มีต่อเธอก็ยิ่งดูน่ารำคาญไปอีก เธอและแม่มาจากเมืองหลวงตั้งแต่เช้าแต่กลับยังไม่ได้ยินปู่โม่พูดกับพวกเธออย่างใจดีแบบนี้เลย

“เธอเป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของหนูเอง มู่หรงเสวี่ย เสี่ยวเสวี่ย นี่คุณน้าหลิวและลูกสาวของคุณน้า หวู่หลินหลิน”
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “สวัสดีค่ะ”
รอยยิ้มนั้นทำให้โม่หลิวเฟิงต้องยิ้มตามจนพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนว่าไม่ได้เจอเธอมานานมาก และภาพโม่หลิวเฟิงในตอนนี้ทำให้หวู่หลินหลินรู้สึกโกรธขึ้นมาเลย เธอเพิ่งจะเข้ามาเจอโม่หลิวเฟิงแต่กลับถูกแม่หนูนี่ขโมยหัวใจเขาไปต่อหน้าต่อตา เธอมองผลไม้ที่มู่หรงเสวี่ยเอามาแล้วก็มองไปที่กล่องที่ปู่โม่เอาไปวางไว้ข้างๆ เธอหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เธอเพิ่งเอาหยกคุณภาพดีมามอบให้คุณปู่โม่ เธออยากจะเห็นจริงๆว่าเด็กสาวที่ชื่อมู่หรงเสวี่ยจะเอาของขวัญตลกๆอะไรมามอบให้คุณปู่โม่กัน

หวู่หลินหลินพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา “คุณปู่โม่คะ คุณหนูมู่หรงเอาอะไรมาให้เหรอคะ?! เราอยากจะเห็นกันจริงๆเลย!”
ผู้เฒ่าโม่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาอยากที่จะทำเป็นไม่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะทำให้เธอต้องเสียหน้า เขาแค่ไม่อยากจะเปิดตอนนี้เพราะกลัวเธอจะขายหน้า เขาชอบมู่หรงเสวี่ยอย่างมากอีกอย่างเธอยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาด้วย

ในสายตาของโม่ฉางเฟิง มู่หรงเสวี่ยเป็นหมอที่เก่งมากๆ เธออายุเพียง 15 อายุพอๆกับหลานสาวของเขาซึ่งไม่น่าจะมีเงินอะไรมากมาย ไม่น่าที่จะสามารถหาของขวัญราคาแพงอะไรมามอบให้เขาได้ เขาไม่อยากละเลยของขวัญของมู่หรงเสวี่ย ไม่ว่าเธอจะเอาอะไรมาให้เขา เขาก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ
แต่สำหรับแขกคนอื่นๆซึ่งมักจะเอาเรื่องของขวัญมาเปรียบเทียบกันเสมอ เขาอยากที่จะรักษาหน้าของมู่หรงเสวี่ยไว้

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “มันไม่ใช่ของขวัญหรอกค่ะ ฉันกลัวว่าทุกคนจะตลกกันหมด” เธอไม่อยากเอาของเรื่องขวัญมาเพื่อแสดงเจตนาที่ไม่ดี

“ของขวัญมันไม่สำคัญหรอก แต่เป็นหัวใจของคนให้มากกว่าที่สำคัญ”

เพียงแค่อยากที่จะเห็นเธอขายหน้า หวู่หลินหลินคิดอยู่ในใจ “คุณมู่หรง อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยค่ะ ในเมื่อคุณปู่โม่พูดเรื่องหัวใจแล้ว เราก็อยากที่จะเห็นหัวใจของคุณมู่หรงบ้างได้ไหมคะ?”

หลิวจ้าวเองก็พยายามพูดช่วยลูกสาว “ใช่ค่ะ เราเพียงแค่อยากจะเห็นเพราะสงสัยเท่านั้นเอง”

ผู้เฒ่าโม่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย และอยากที่จะปฏิเสธ มู่หรงเสวี่ยจึงอ้าปากพูดเป็นคนแรก “ฮ่าฮ่า ในเมื่อทุกคนอยากที่จะเห็น คุณปู่โม่ก็เปิดให้ทุกคนได้เห็นจะดีกว่านะคะ” เธอไม่อยากที่จะให้คนนอกตระกูลโม่รู้แต่ดูเหมือนว่าสองแม่ลูกนี่จะไม่ชอบเธอจริงๆ ไม่รู้ทำไมพวกเธอถึงอยากเห็นของขวัญของเธอนัก เพื่อที่จะได้หัวเราะเธองั้นเหรอ?! ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็คงจะต้องผิดหวังแล้วล่ะ

ผู้เฒ่าโม่มองมู่หรงเสวี่ยและเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจอะไร เขาจึงหยิบกล่องไม้ขึ้นมาโดยไม่มีท่าทีอะไรและค่อยๆเปิดกล่องออก

วินาทีที่เขาเปิด ทันใดนั้นผู้เฒ่าโม่ก็ต้องเบิกตากว้าง เขาไม่เคยเห็นต้นโสมใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย รูปร่างของมันสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังมองไปที่รูปวงปีที่หนาแน่นบนโสมไข่มุก ซึ่งเขาบอกได้เลยว่าอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าหลายพันปีแน่ๆ นี่มันประเมินค่าไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้บริษัทประมูลเหิงหยวนประมูลโสมอายุ 300 ปีไปด้วยราคาที่สูงกว่า 10 ล้านหยวนเลยทีเดียว ซึ่งชิ้นนี้เดาว่าน่าจะมีอายุมากกว่าพันปีซึ่งราคาธรรมดาๆคงจะซื้อไม่ได้แน่ อย่างน้อยๆก็ต้องราคามากกว่า 100 ล้านหยวนแน่ๆ

หวู่หลินหลินมองสีหน้าตกใจของผู้เฒ่าโม่และเธอก็ต้องรู้สึกกังวล มันดีมากจนต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?! ทำไมถึงทำให้คุณปู่โม่ตกใจได้ขนาดนั้น?! “คุณปู่โม่ค่ะ มันคืออะไรเหรอคะ? ทำไมคุณปู่ถึงตาโตขนาดนั้นเชียว!”

ผู้เฒ่าโม่เก็บอาการประหลาดใจของตัวเองไว้และวางกล่องไปที่กลางโต๊ะ ซึ่งบอกได้เลยว่ามันหนักมากๆเลยทีเดียว

“ได้เวลาเปิดหูเปิดตากันแล้ว นี่เป็นสมบัติล้มค่าและหาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน…” หลังจากนั้น เขาก็หันไปมองมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาแบบมีความหมายลึกซึ้ง กล่องนี้หนักมากๆ ในตอนนี้ทุกคนต่างก็ต้องประหลาดใจ พวกเขาต่างก็ได้เห็นของล้ำค่าอย่างมาก ซึ่งโดยปกติเพียงแค่ได้เห็นโสมอายุแค่ปีเดียวก็น่าตกใจมากแล้ว

หลิวจ้าวตกใจจนพูดเสียงสูงกว่าปกตินิดหน่อย “เป็นไปได้ยังไง?! แม่หนูนี่หาโสมอายุมากขนาดนี้มาได้ยังไงกัน?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+