ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 88 การพัฒนาของเราสามคน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 88 การพัฒนาของเราสามคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 88
การพัฒนาของเราสามคน
ดวงตาของหยางเฟิงจะค่อยๆสั่นหลังจากที่ผ่านไปนาน เขาลืมตาแต่ยังมีความสับสนในดวงตา
พ่อของหยางเฟิงรีบเข้ามาในทันที “เสี่ยวเฟิง ฟื้นแล้วเหรอ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยและไป๋ซือฮ่าวที่รออยู่อีกด้านก็รีบเดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน พวกเธอไม่ได้ออกห่างไปไหนแต่เฝ้ามองอยู่ตลอด
หยางเฟิงมองทุกคน สายตาของเขาเริ่มชัดเจนและถามออกมาว่า “ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่? ฉันเป็นอะไรงั้นเหรอ?” ช่วงเวลาที่เขาถูกกุมขังดูคลุมเครือมากจนเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างงั้นเหรอ?!

พ่อของหยางเฟิงพูดพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น “ฟื้นแล้ว…ลูกฟื้นแล้ว…”
“นายจำไม่ได้เลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?” ไป๋ซือฮ่าวถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” สีหน้าของหยางเฟิงว่างเปล่า
มู่หรงเสวี่ยแตะไป๋ซือฮ่าวที่ไหล่ “อย่าไปถามเขาเลย ปล่อยให้หยางเฟิงได้พักก่อนเถอะ…”

“หนูมู่หรง ขอบคุณมากเลยนะ เสี่ยวเฟิง เดี๋ยวพ่อจะพากลับไปพักที่บ้านนะ ฉันจะแวะมาขอบคุณหนูวันหลังอีกทีนะ” พ่อของหยางเฟิงพูดอย่างขอบคุณกับมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ด้วยความยินดีค่ะคุณลุงหยาง รอเดี๋ยวนะคะ หนูจะไปเอายามาให้แล้วหนูก็ต้มโจ๊กไว้ให้หยางเฟิงกินด้วย…” แล้วเธอก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องและเข้าไปในมิติลับเพื่อเอาโสม 300 ปีออกมา เหตุผลที่เธอไม่หยิบโสมที่อายุมากกว่านี้ออกมาเพราะกลัวว่าจะดูน่าสงสัยเกินไป ครั้งที่แล้วที่เธอเอาโสมหมื่นปีให้คุณปู่โม่ ซึ่งน่าจะเลือกอันอื่นไปแทน เพราะพอเอาชิ้นที่ดีที่สุดไปก็ทำให้เกิดปัญหาแบบที่ผ่านมา…อย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะเอามาเปิดโชว์แบบนั้น…เธอน่าจะเอาอันที่อายุแค่ไม่กี่พันปีที่ยังหาซื้อได้ตามท้องตลาดไปแทน

“คุณลุงหยาง เอานี่กลับไปตุ๋นแล้วให้หยางเฟิงทานนะคะ” มู่หรงเสวี่ยส่งกล่องที่บรรจุโสมยื่นให้พ่อของหยางเฟิง
พ่อของหยางเฟิงรับมาแต่ไม่ได้เปิดออกดู เขาคิดว่าคงเป็นแค่ยาทั่วๆไป เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วพาคุณนายหยางและหยางเฟิงกลับไปที่บ้านตระกูลหยาง

ไป๋ซือฮ่าวเองก็ลุกขึ้นเพื่อกล่าวลาเช่นกัน สุดท้ายหยางเฟิงก็หายดีซึ่งทำให้เขาหายใจได้อย่างโล่งอกซะที
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังเตรียมที่จะพักสักหน่อยแต่ก็ต้องตกใจเพราะเย่เฟิงที่อยู่ดีๆก็เดินเข้ามาเงียบๆ เธอเอามือทาบอกและพูดว่า “นายจะทำอะไรเนี่ย?”

เย่เฟิงพูดเรียบๆว่า “คุณชายขอให้คุณโทรหาด้วยครับ…”
มู่หรงเสวี่ย หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่เป็น 10 นาที เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทร เพียงเสี่ยววินาทีก็มีคนรับสาย
“…”
“…”
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ?” ชั่วครู่ต่อมามู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาก่อน
“เธอไม่มีอะไรจะบอกฉันเลยเหรอ?” ที่ปลายสาย สีหน้าของกวนโม่กลายเป็นดำเข้ม
ด้วยความงงที่ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาขนาดนี้!!! เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่ไหม?

“อ่า?! กินข้าวหรือยังคะ?”
“วันนี้เธอไปไหนมา?” เสียงเครื่องปรับอากาศดังไปทั่ว
“ฉันไม่ได้ไปไหนเลยนะคะ อยู่แต่ที่บ้าน…” หลังจากที่ช่วยหยางเฟิงแล้ว เธอก็อยู่ที่บ้านตลอดเวลา นี่อย่าบอกนะว่าคุณชายเริ่มจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีกแล้วเนี่ย?
ยังกล้าที่จะปิดบังอีกเหรอ

“วันนี้ไม่ได้ออกไปช่วยใครมาเหรอ? เธอบอกว่าไม่ได้ไปไหนเลย…ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ? ฉันไม่คู่ควรที่เธอจะเชื่อใจงั้นเหรอ?” ชางกวนโม่รู้สึกและเศร้านิดหน่อย

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นจะต้องพูด ก็เลยไม่ได้บอก อีกอย่างเย่เฟิงก็รายงานคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ? คุณจะโกรธเรื่องอะไร?”

“เรื่องเล็กงั้นเหรอ?!!! เธอเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะเป็นห่วงเธอแค่ไหนเมื่อเธอต้องออกไปทำเรื่องอันตรายขนาดนั้นน่ะ?” ชางกวนโม่ถาม

มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้ง เธอไม่ได้คิดเลยจริงๆ “พี่โม่ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอันตราย ฉันมั่นใจกับเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างเย่เฟิงก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ?! และคุณน่าจะเชื่อฉัน ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยค่อยอธิบาย

ชางกวนโม่ฟังเงียบๆอยู่นาน “แต่ฉันอยากที่จะปกป้องเธอให้อยู่ใต้ปีกของฉัน เพื่อที่เธอจะได้ไม่เป็นอะไร…” เขาคิดแบบนั้นจริงๆ วันนี้ตอนที่เขาได้ฟังรายงานของเย่เฟิง ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแต่ขั้นตอนก็ยังอันตราย เขาอยากที่จะวิ่งไปหาเธอทันทีเลย

“พี่โม่ ฉันไม่ใช่กระต่ายในกรงนะคะ ฉันไม่อยากที่จะอยู่ใต้ปีกของคุณตลอดเวลา มันไม่ใช่ฉัน คุณควรจะเชื่อฉัน ใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยมีชีวิตและความต้องการของตัวเอง
เธอจะไม่มีวันอยู่เพื่อผู้ชายอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในตัวชางกวนโม่แต่เธออยากที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง เธอรู้สึกว่าตัวเองทำได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร

ไม่คิดว่าจะได้ฟังน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่หรงเสวี่ย ชางกวนโม่นิ่งอึ้ง เขาจำสีหน้าที่บอบบางแต่มุ่งมั่นของเธอตอนที่กรีดข้อมือตัวเองได้ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่ผุ้หญิงที่ชอบอยู่ใต้ปีกใคร หลังจากที่คิดอยู่นาน เขาก็พูดออกมา

“ฉันจะพยายามเชื่อในสิ่งที่เธอพูดว่าเธอสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนะว่ายังมีฉันคอยสนับสนุนเธออยู่…”
“ได้เลยค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ
“…”
ที่อีกฝั่ง ภายในห้องประชุมที่ชั้นใต้ดินที่ไหนสักแห่งในประเทศ B
“อะไรนะ?!! ข่าวเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ใช่ ข้อความที่ส่งมาจากเมือง A รายงานมาแบบนั้น”
“เป็นไปได้ยังไง?! ไม่เคยมีใครแก้ได้…”
“ฉันเองก็แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้”
“ไปหามาว่าใครเป็นคนแก้?”
“ได้ข่าวว่าเป็นเด็กสาวอายุ 15”
“เป็นไปได้ยังไง?! บ้าเอ๊ย เธอมีสูตรลับโบราณงั้นเหรอ? หนังสือของเรามีแค่ส่วนเดียวแล้วเราก็ไม่มียาถอนพิษด้วยซ้ำ ถ้าเราได้มาครบนะ…”
“ไม่ต้องห่วง เราสั่งคนในเมือง A ไปแล้ว อีกไม่นานหรอก…”
“…”
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตัวเธอแล้ว แผนกเภสัชกรรมของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ออกไปแล้ว สิ่งแรกเลยบริษัทได้เปิดตัวยาทดลองในเมือง A, กระจายยาไปตามร้านแฟนไชด์ต่างๆในเมือง A และลงทุนจำนวนมากไปกับการโฆษณากับสื่อใหญ่ๆ แล้วยังนำเสนอรายงานการตรวจสอบในการบริหารยาอีกด้วย

ในระหว่างการโปรโมทนี้ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้เข้าไปอยู่ในสายตาของใครหลายๆคนเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดการพูดคุยเป็นวงกว้างในเมือง มีทั้งคนที่คอยดู คอยหัวเราะเยาะแต่ก็ยังมีคนกลุ่มแรกที่พร้อมที่จะเชื่อด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มที่จะเข้ามาดำเนินการในอุตสาหกรรมยาอย่างจริงจังและถึงขนาดเชิญหมอผู้เชี่ยวชาญมากมายให้เข้ามาจัดบริการฟรีคลินิกอีกด้วย ในช่วงนี้ ยาทั้งหมดที่เกี่ยวกับโรคที่ไม่ร้ายแรงจะถูกแจกจ่ายให้ฟรีซึ่งกินเวลายาวนานเป็นอาทิตย์ ความเอื้อเฟื้อนี่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างก็แอบเข้ามาประเมินมูลค่าความเป็นไปได้ของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปอย่างลับๆและพยายามที่จะเข้ามาสานสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครยกมือก็จะต้องดูว่ามีคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เพราะมีบริษัทมากมายเริ่มที่จะร่วมมือกันแล้ว

เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ของอุตสาหกรรมยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป ทำให้คนมากมายในร้านเป่าหยูและอุตสาหกรรมหยกเองก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านหยกมากมายในเป่าหยูซึ่งพูดคุยกันอย่างคึกคัก

คนที่ออกหน้ายังเป็นกู่หมิง ในฐานะประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเปิดตัวในฐานะบุคคลที่สามตอนนี้ ไม่งั้นเธอคงจะสร้างเสียงฮือฮาในฐานะลูกสาวของตระกูลมู่หรงได้อีกมากแน่ ซึ่งเดาว่าคงจะกระทบกับชื่อเสียงของบริษัทต่างๆของตระกูลมู่หรงด้วย
อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม จึงไม่อยากที่จะกลายเป็นจุดสนใจมากนัก

โม่อ้ายหลี่เองก็ยุ่งมากเหมือนกันกับเรื่องบริษัทเครื่องสำอางอ้ายเสวี่ย แน่นอนมู่หรงเสวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอยังคิดเรื่องที่ผู้จัดการของห้างลิซซี่ที่ยังไม่โทรมา ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเธอ เธอเพียงแค่อยากที่จะโทรหาหลี่เซียงเจี๋ยอีกครั้ง แต่เธอก็กลับได้รับสายที่ไม่คาดคิดแทน

“ฮัลโหล พี่ชูเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจจริงๆ
“เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอยุ่งมากหรือไง เธอตกลงว่าจะไปกินอาหารกับฉันที่เมืองหลวง แล้วทำไมถึงหนีกลับมาเมือง A โดยไม่บอกอะไรกันสักคำแล้วยังไม่รับสายกันอีก…” เสียงบ่นของชูอี้เสิ่นดังจากปลายสายมาอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็นึกได้ว่านัดกับพี่ชูไว้ที่งานการประชุมหินการพนัน หลังจากเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น เธอก็ลืมไปซะสนิทเลย “เรื่องนั้น พี่ชู ฉัน…คือ…ฉันลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”
ชูอี้เสิ่นถอนหายใจ ลืมกันได้ง่ายขนาดนี้เลยนะ “เธอจะชดเชยให้ฉันยังไงดี?” ต้องทวงซะหน่อย ไม่งั้นเดาว่าครั้งหน้าเด็กสาวนี่ก็คงจะลืมเขาอีกแน่

“ฮ่ะ?!! ทำไมขี้งกจัง? ฉันล้อเล่นนะคะ”
“ฉันพูดจริงๆนะ!”
“งั้น ครั้งหน้าที่ฉันไปเมืองหลวงฉันจะชวนพี่มาทานอาหารค่ำดีไหม?”
“คิดว่าฉันเห็นแก่กินหรือไง?”
“อ่า? แต่พี่พูดถึงเรื่องกิน…”
ถ้าอยากจะเอาเรื่องกินมาปิดปากเขา ฝันไปเถอะ “นั่นมันก่อนหน้านี้ นี่มันตอนนี้แล้ว…”
ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ งั้นหมายถึงชางกวนโม่งั้นเหรอ? “พี่อยากจะเจอชางกวนโม่งั้นเหรอ? มีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันโทรไปนัดให้แล้วให้พี่สองคนไปเจอกันดีไหม?”
ใครอยากจะเจอไอ้หมอนั้นกัน? หล่อมากหรือไง?!! เมื่อนึกถึงหน้าหล่อแต่โหดของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็รู้สึกเบื่อแล้ว แค่เห็นหน้าก็กินข้าวไม่ลงแล้ว แต่!
“ฉันจะอยากเจอเขาไปทำไม? ฉันไม่ได้สนิทกับเขาและก็ไม่ได้ทำธุรกิจกับเขาด้วย”
การที่เอาแฟนหนุ่มมาล่อถูกปฏิเสธ น่าผิดหวังจริงๆ! “งั้นที่งานการประชุมหินการพนันครั้งที่แล้วฉันเปิดได้มรกตน้ำดี เอาเป็นว่าฉันยกให้พี่เป็นไง?”

“เป็นของขวัญเหรอ?” หัวใจเขารู้สึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” นั่นแปลว่าตกลง
“ในเมื่อเธออยากที่จะให้ของขวัญเพื่อปลอบใจฉัน งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องรับไว้แต่เธอต้องชดเชยให้ฉันเมื่อมาเมืองหลวงด้วย” ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มอย่างภูมิใจ

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเหมือนโดนบังคับ ก็ได้ของขวัญไปแล้วนี่? จะต้องชดเชยอะไรอีก?”
“ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เธอบอกเองว่าจะให้ของขวัญ ของขวัญก็คือของขวัญ ของปลอบใจก็คือของปลอบใจ จะยกเลิกของขวัญหรือไง?” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“จะเป็นไปได้ยังไง?! เป็นเกียรติของฉันมากที่ได้มอบของขวัญให้พี่ชู เดี๋ยวพอฉันไปเมืองหลวงจะเชิญพี่ออกมาทานอาหารค่ำนะคะ”
“ต้องอย่างนี้สิ อีกอย่างนะ ที่ฉันโทรมาเพราะมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านี้เธอเสนอที่จะร่วมงานกับลิซซี่ใช่ไหม? โครงการนี้ถูกส่งมาให้ฉัน ฉันตกลงกับข้อเสนอไปแล้วนะ อย่างไรก็ตามยังมีเอกสารอื่นอีกที่ต้องเซ็นต์ นอกจากห้างลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้ว มันจะถูกใช้ในร้านเสริมสวยระดับกลางด้วย เธอคิดว่าไง?”
“ห้างลิซซี่เป็นของพี่เหรอ?!!” เป็นไปได้ยังไง? ห้างลิซซี่เปิดมาเป็นร้อยปีแล้วนะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) 88 การพัฒนาของเราสามคน

Now you are reading ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) Chapter 88 การพัฒนาของเราสามคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 88
การพัฒนาของเราสามคน
ดวงตาของหยางเฟิงจะค่อยๆสั่นหลังจากที่ผ่านไปนาน เขาลืมตาแต่ยังมีความสับสนในดวงตา
พ่อของหยางเฟิงรีบเข้ามาในทันที “เสี่ยวเฟิง ฟื้นแล้วเหรอ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยและไป๋ซือฮ่าวที่รออยู่อีกด้านก็รีบเดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน พวกเธอไม่ได้ออกห่างไปไหนแต่เฝ้ามองอยู่ตลอด
หยางเฟิงมองทุกคน สายตาของเขาเริ่มชัดเจนและถามออกมาว่า “ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่? ฉันเป็นอะไรงั้นเหรอ?” ช่วงเวลาที่เขาถูกกุมขังดูคลุมเครือมากจนเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างงั้นเหรอ?!

พ่อของหยางเฟิงพูดพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น “ฟื้นแล้ว…ลูกฟื้นแล้ว…”
“นายจำไม่ได้เลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?” ไป๋ซือฮ่าวถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” สีหน้าของหยางเฟิงว่างเปล่า
มู่หรงเสวี่ยแตะไป๋ซือฮ่าวที่ไหล่ “อย่าไปถามเขาเลย ปล่อยให้หยางเฟิงได้พักก่อนเถอะ…”

“หนูมู่หรง ขอบคุณมากเลยนะ เสี่ยวเฟิง เดี๋ยวพ่อจะพากลับไปพักที่บ้านนะ ฉันจะแวะมาขอบคุณหนูวันหลังอีกทีนะ” พ่อของหยางเฟิงพูดอย่างขอบคุณกับมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ด้วยความยินดีค่ะคุณลุงหยาง รอเดี๋ยวนะคะ หนูจะไปเอายามาให้แล้วหนูก็ต้มโจ๊กไว้ให้หยางเฟิงกินด้วย…” แล้วเธอก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องและเข้าไปในมิติลับเพื่อเอาโสม 300 ปีออกมา เหตุผลที่เธอไม่หยิบโสมที่อายุมากกว่านี้ออกมาเพราะกลัวว่าจะดูน่าสงสัยเกินไป ครั้งที่แล้วที่เธอเอาโสมหมื่นปีให้คุณปู่โม่ ซึ่งน่าจะเลือกอันอื่นไปแทน เพราะพอเอาชิ้นที่ดีที่สุดไปก็ทำให้เกิดปัญหาแบบที่ผ่านมา…อย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะเอามาเปิดโชว์แบบนั้น…เธอน่าจะเอาอันที่อายุแค่ไม่กี่พันปีที่ยังหาซื้อได้ตามท้องตลาดไปแทน

“คุณลุงหยาง เอานี่กลับไปตุ๋นแล้วให้หยางเฟิงทานนะคะ” มู่หรงเสวี่ยส่งกล่องที่บรรจุโสมยื่นให้พ่อของหยางเฟิง
พ่อของหยางเฟิงรับมาแต่ไม่ได้เปิดออกดู เขาคิดว่าคงเป็นแค่ยาทั่วๆไป เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วพาคุณนายหยางและหยางเฟิงกลับไปที่บ้านตระกูลหยาง

ไป๋ซือฮ่าวเองก็ลุกขึ้นเพื่อกล่าวลาเช่นกัน สุดท้ายหยางเฟิงก็หายดีซึ่งทำให้เขาหายใจได้อย่างโล่งอกซะที
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังเตรียมที่จะพักสักหน่อยแต่ก็ต้องตกใจเพราะเย่เฟิงที่อยู่ดีๆก็เดินเข้ามาเงียบๆ เธอเอามือทาบอกและพูดว่า “นายจะทำอะไรเนี่ย?”

เย่เฟิงพูดเรียบๆว่า “คุณชายขอให้คุณโทรหาด้วยครับ…”
มู่หรงเสวี่ย หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่เป็น 10 นาที เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทร เพียงเสี่ยววินาทีก็มีคนรับสาย
“…”
“…”
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ?” ชั่วครู่ต่อมามู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาก่อน
“เธอไม่มีอะไรจะบอกฉันเลยเหรอ?” ที่ปลายสาย สีหน้าของกวนโม่กลายเป็นดำเข้ม
ด้วยความงงที่ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาขนาดนี้!!! เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่ไหม?

“อ่า?! กินข้าวหรือยังคะ?”
“วันนี้เธอไปไหนมา?” เสียงเครื่องปรับอากาศดังไปทั่ว
“ฉันไม่ได้ไปไหนเลยนะคะ อยู่แต่ที่บ้าน…” หลังจากที่ช่วยหยางเฟิงแล้ว เธอก็อยู่ที่บ้านตลอดเวลา นี่อย่าบอกนะว่าคุณชายเริ่มจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีกแล้วเนี่ย?
ยังกล้าที่จะปิดบังอีกเหรอ

“วันนี้ไม่ได้ออกไปช่วยใครมาเหรอ? เธอบอกว่าไม่ได้ไปไหนเลย…ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ? ฉันไม่คู่ควรที่เธอจะเชื่อใจงั้นเหรอ?” ชางกวนโม่รู้สึกและเศร้านิดหน่อย

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นจะต้องพูด ก็เลยไม่ได้บอก อีกอย่างเย่เฟิงก็รายงานคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ? คุณจะโกรธเรื่องอะไร?”

“เรื่องเล็กงั้นเหรอ?!!! เธอเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะเป็นห่วงเธอแค่ไหนเมื่อเธอต้องออกไปทำเรื่องอันตรายขนาดนั้นน่ะ?” ชางกวนโม่ถาม

มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้ง เธอไม่ได้คิดเลยจริงๆ “พี่โม่ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอันตราย ฉันมั่นใจกับเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างเย่เฟิงก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ?! และคุณน่าจะเชื่อฉัน ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยค่อยอธิบาย

ชางกวนโม่ฟังเงียบๆอยู่นาน “แต่ฉันอยากที่จะปกป้องเธอให้อยู่ใต้ปีกของฉัน เพื่อที่เธอจะได้ไม่เป็นอะไร…” เขาคิดแบบนั้นจริงๆ วันนี้ตอนที่เขาได้ฟังรายงานของเย่เฟิง ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแต่ขั้นตอนก็ยังอันตราย เขาอยากที่จะวิ่งไปหาเธอทันทีเลย

“พี่โม่ ฉันไม่ใช่กระต่ายในกรงนะคะ ฉันไม่อยากที่จะอยู่ใต้ปีกของคุณตลอดเวลา มันไม่ใช่ฉัน คุณควรจะเชื่อฉัน ใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยมีชีวิตและความต้องการของตัวเอง
เธอจะไม่มีวันอยู่เพื่อผู้ชายอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในตัวชางกวนโม่แต่เธออยากที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง เธอรู้สึกว่าตัวเองทำได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร

ไม่คิดว่าจะได้ฟังน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่หรงเสวี่ย ชางกวนโม่นิ่งอึ้ง เขาจำสีหน้าที่บอบบางแต่มุ่งมั่นของเธอตอนที่กรีดข้อมือตัวเองได้ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่ผุ้หญิงที่ชอบอยู่ใต้ปีกใคร หลังจากที่คิดอยู่นาน เขาก็พูดออกมา

“ฉันจะพยายามเชื่อในสิ่งที่เธอพูดว่าเธอสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนะว่ายังมีฉันคอยสนับสนุนเธออยู่…”
“ได้เลยค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ
“…”
ที่อีกฝั่ง ภายในห้องประชุมที่ชั้นใต้ดินที่ไหนสักแห่งในประเทศ B
“อะไรนะ?!! ข่าวเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ใช่ ข้อความที่ส่งมาจากเมือง A รายงานมาแบบนั้น”
“เป็นไปได้ยังไง?! ไม่เคยมีใครแก้ได้…”
“ฉันเองก็แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้”
“ไปหามาว่าใครเป็นคนแก้?”
“ได้ข่าวว่าเป็นเด็กสาวอายุ 15”
“เป็นไปได้ยังไง?! บ้าเอ๊ย เธอมีสูตรลับโบราณงั้นเหรอ? หนังสือของเรามีแค่ส่วนเดียวแล้วเราก็ไม่มียาถอนพิษด้วยซ้ำ ถ้าเราได้มาครบนะ…”
“ไม่ต้องห่วง เราสั่งคนในเมือง A ไปแล้ว อีกไม่นานหรอก…”
“…”
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตัวเธอแล้ว แผนกเภสัชกรรมของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ออกไปแล้ว สิ่งแรกเลยบริษัทได้เปิดตัวยาทดลองในเมือง A, กระจายยาไปตามร้านแฟนไชด์ต่างๆในเมือง A และลงทุนจำนวนมากไปกับการโฆษณากับสื่อใหญ่ๆ แล้วยังนำเสนอรายงานการตรวจสอบในการบริหารยาอีกด้วย

ในระหว่างการโปรโมทนี้ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้เข้าไปอยู่ในสายตาของใครหลายๆคนเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดการพูดคุยเป็นวงกว้างในเมือง มีทั้งคนที่คอยดู คอยหัวเราะเยาะแต่ก็ยังมีคนกลุ่มแรกที่พร้อมที่จะเชื่อด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มที่จะเข้ามาดำเนินการในอุตสาหกรรมยาอย่างจริงจังและถึงขนาดเชิญหมอผู้เชี่ยวชาญมากมายให้เข้ามาจัดบริการฟรีคลินิกอีกด้วย ในช่วงนี้ ยาทั้งหมดที่เกี่ยวกับโรคที่ไม่ร้ายแรงจะถูกแจกจ่ายให้ฟรีซึ่งกินเวลายาวนานเป็นอาทิตย์ ความเอื้อเฟื้อนี่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างก็แอบเข้ามาประเมินมูลค่าความเป็นไปได้ของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปอย่างลับๆและพยายามที่จะเข้ามาสานสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครยกมือก็จะต้องดูว่ามีคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เพราะมีบริษัทมากมายเริ่มที่จะร่วมมือกันแล้ว

เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ของอุตสาหกรรมยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป ทำให้คนมากมายในร้านเป่าหยูและอุตสาหกรรมหยกเองก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านหยกมากมายในเป่าหยูซึ่งพูดคุยกันอย่างคึกคัก

คนที่ออกหน้ายังเป็นกู่หมิง ในฐานะประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเปิดตัวในฐานะบุคคลที่สามตอนนี้ ไม่งั้นเธอคงจะสร้างเสียงฮือฮาในฐานะลูกสาวของตระกูลมู่หรงได้อีกมากแน่ ซึ่งเดาว่าคงจะกระทบกับชื่อเสียงของบริษัทต่างๆของตระกูลมู่หรงด้วย
อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม จึงไม่อยากที่จะกลายเป็นจุดสนใจมากนัก

โม่อ้ายหลี่เองก็ยุ่งมากเหมือนกันกับเรื่องบริษัทเครื่องสำอางอ้ายเสวี่ย แน่นอนมู่หรงเสวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอยังคิดเรื่องที่ผู้จัดการของห้างลิซซี่ที่ยังไม่โทรมา ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเธอ เธอเพียงแค่อยากที่จะโทรหาหลี่เซียงเจี๋ยอีกครั้ง แต่เธอก็กลับได้รับสายที่ไม่คาดคิดแทน

“ฮัลโหล พี่ชูเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจจริงๆ
“เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอยุ่งมากหรือไง เธอตกลงว่าจะไปกินอาหารกับฉันที่เมืองหลวง แล้วทำไมถึงหนีกลับมาเมือง A โดยไม่บอกอะไรกันสักคำแล้วยังไม่รับสายกันอีก…” เสียงบ่นของชูอี้เสิ่นดังจากปลายสายมาอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็นึกได้ว่านัดกับพี่ชูไว้ที่งานการประชุมหินการพนัน หลังจากเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น เธอก็ลืมไปซะสนิทเลย “เรื่องนั้น พี่ชู ฉัน…คือ…ฉันลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”
ชูอี้เสิ่นถอนหายใจ ลืมกันได้ง่ายขนาดนี้เลยนะ “เธอจะชดเชยให้ฉันยังไงดี?” ต้องทวงซะหน่อย ไม่งั้นเดาว่าครั้งหน้าเด็กสาวนี่ก็คงจะลืมเขาอีกแน่

“ฮ่ะ?!! ทำไมขี้งกจัง? ฉันล้อเล่นนะคะ”
“ฉันพูดจริงๆนะ!”
“งั้น ครั้งหน้าที่ฉันไปเมืองหลวงฉันจะชวนพี่มาทานอาหารค่ำดีไหม?”
“คิดว่าฉันเห็นแก่กินหรือไง?”
“อ่า? แต่พี่พูดถึงเรื่องกิน…”
ถ้าอยากจะเอาเรื่องกินมาปิดปากเขา ฝันไปเถอะ “นั่นมันก่อนหน้านี้ นี่มันตอนนี้แล้ว…”
ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ งั้นหมายถึงชางกวนโม่งั้นเหรอ? “พี่อยากจะเจอชางกวนโม่งั้นเหรอ? มีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันโทรไปนัดให้แล้วให้พี่สองคนไปเจอกันดีไหม?”
ใครอยากจะเจอไอ้หมอนั้นกัน? หล่อมากหรือไง?!! เมื่อนึกถึงหน้าหล่อแต่โหดของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็รู้สึกเบื่อแล้ว แค่เห็นหน้าก็กินข้าวไม่ลงแล้ว แต่!
“ฉันจะอยากเจอเขาไปทำไม? ฉันไม่ได้สนิทกับเขาและก็ไม่ได้ทำธุรกิจกับเขาด้วย”
การที่เอาแฟนหนุ่มมาล่อถูกปฏิเสธ น่าผิดหวังจริงๆ! “งั้นที่งานการประชุมหินการพนันครั้งที่แล้วฉันเปิดได้มรกตน้ำดี เอาเป็นว่าฉันยกให้พี่เป็นไง?”

“เป็นของขวัญเหรอ?” หัวใจเขารู้สึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” นั่นแปลว่าตกลง
“ในเมื่อเธออยากที่จะให้ของขวัญเพื่อปลอบใจฉัน งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องรับไว้แต่เธอต้องชดเชยให้ฉันเมื่อมาเมืองหลวงด้วย” ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มอย่างภูมิใจ

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเหมือนโดนบังคับ ก็ได้ของขวัญไปแล้วนี่? จะต้องชดเชยอะไรอีก?”
“ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เธอบอกเองว่าจะให้ของขวัญ ของขวัญก็คือของขวัญ ของปลอบใจก็คือของปลอบใจ จะยกเลิกของขวัญหรือไง?” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“จะเป็นไปได้ยังไง?! เป็นเกียรติของฉันมากที่ได้มอบของขวัญให้พี่ชู เดี๋ยวพอฉันไปเมืองหลวงจะเชิญพี่ออกมาทานอาหารค่ำนะคะ”
“ต้องอย่างนี้สิ อีกอย่างนะ ที่ฉันโทรมาเพราะมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านี้เธอเสนอที่จะร่วมงานกับลิซซี่ใช่ไหม? โครงการนี้ถูกส่งมาให้ฉัน ฉันตกลงกับข้อเสนอไปแล้วนะ อย่างไรก็ตามยังมีเอกสารอื่นอีกที่ต้องเซ็นต์ นอกจากห้างลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้ว มันจะถูกใช้ในร้านเสริมสวยระดับกลางด้วย เธอคิดว่าไง?”
“ห้างลิซซี่เป็นของพี่เหรอ?!!” เป็นไปได้ยังไง? ห้างลิซซี่เปิดมาเป็นร้อยปีแล้วนะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+