ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

กฎสวรรค์ถูกเก็บ!

มหาเคราะห์ฟ้าดินใกล้มาเยือน!

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ใกล้จะมาแล้ว!

‘ก็ไม่รู้ว่าวังสวรรค์จะส่งแม่ทัพและทหารสวรรค์มามากเท่าไร

หลงซั่นต้องมาแน่ เทพยุทธ์จวี้หลิงก็อาจจะมาด้วย’

เพื่อเป็นการไม่ประมาท หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเพื่อเริ่มสาปแช่งหลงซั่นและเทพยุทธ์จวี้หลิง

เขาไม่สนว่าจะชนะด้วยวิธีใด ในเมื่ออีกฝ่ายยังใช้จำนวนคนเข้าสู้ ข่มเหงผู้ด้อยกว่าได้!

วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา

จักรพรรดิสวรรค์นั่งบนบัลลังก์หยก อำนาจบารมีน่าเกรงขาม ด้านหลังส่องแสงรัศมีเป็นประกาย

เหล่าเทพเซียนในท้องพระโรงล้วนองอาจทรงพลัง ท่วงท่าแข็งแกร่ง

หลงซั่นที่สวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพสวรรค์ ใบหน้าไร้ความรู้สึก รอคอยการจัดเตรียมของจักรพรรดิสวรรค์

“เทพปีศาจถูกประหารชีวิตแล้ว วิญญาณเข้าสู่วัฏจักร หลังจากนี้ก็ควรชำระล้างเศษซากของเผ่ามารบนโลกมนุษย์ มีโลกมนุษย์ทั้งหมดกี่แห่งที่เผ่ามารเข้ารุกราน” จักรพรรดิเอ่ยปากขึ้นอย่างเนิบช้า

ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูมีชีวิตชีวาประสานมือเอ่ย “ทูลฝ่าบาท เผ่ามารเข้ารุกรานโลกมนุษย์ทั้งหมดสี่สิบสามแห่ง ซึ่งในนั้นมีโลกมนุษย์สิบเอ็ดแห่งที่ต้องชำระล้างพ่ะย่ะค่ะ”

“มากเพียงนี้เชียว”

จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เหล่าเทพเซียนเองก็อดที่จะซุบซิบกันไม่ได้

ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เทพปีศาจถ่วงเวลาพวกเราไว้นานเกินไป ทำให้พวกเผ่ามารสามารถฉกฉวยโอกาสได้พ่ะย่ะค่ะ”

หายนะที่เทพปีศาจสร้างขึ้นคราวนี้กินเวลาเกือบพันปี เป็นเวลาที่ค่อนข้างนานจริงๆ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ควรชำระล้างก็ชำระล้างเสีย ข้าจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง พวกเจ้าก็จัดการกันเองเถิด แต่มีโลกมนุษย์อยู่แห่งหนึ่งที่ข้าอยากให้พวกเจ้าลองดูด้วยตาตนเอง”

เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง

รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนฉลองพระองค์ ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศในท้องพระโรง ก่อนจะกลายเป็นกระจกใหญ่ยักษ์บานหนึ่ง ในกระจกนั้นปรากฏภาพฉากของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ปลิวไสวไปทั่วท้องนภา เขาเพียรบำเพ็ญเซียนราวกับจะได้รับการปกป้องโดยชั้นแสงที่ไร้ลักษณ์ แยกตัวออกจากพายุหิมะ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างโดดเดี่ยวหนาวเหน็บ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเจ้าก็เคยได้เห็นวาจาสามหาวของมนุษย์ธรรมดาสามัญสองคนนั่นแล้ว ข้าพบว่าดวงชะตาของโลกมนุษย์ใบนี้เหนือกว่าโลกใบอื่นอยู่มากโข นอกจากมีผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่คือมาจากเขาแห่งนี้ การชำระล้างโลกมนุษย์ในครั้งนี้ โลกใบนี้ก็แข็งแกร่งที่สุด ซั่นเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมด้วย”

เหล่าเทพเซียนอดหันไปมองทางหลงซั่นไม่ได้

‘มิน่าเจ้าเด็กนี่ถึงปรากฏตัวในท้องพระโรง’

แม่ทัพสวรรค์ที่องอาจผู้หนึ่งเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้ายินดีที่จะนำเหล่าทัพลงไปชำระล้างโลกใบนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

รูปร่างของเขาสูงสิบจั้ง ไหล่กว้างเอวหนา ดวงหน้ากระจ่าง ดวงตาเฉี่ยวคม คิ้วหนาเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการอย่างถึงที่สุด

เหล่าเทพเซียนพากันฮือฮา

คิดไม่ถึงว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกลับหมายจะชำระล้างโลกมนุษย์ด้วยตนเอง!

เมื่อรวมกับหลงซั่นแล้ว ไพ่ใบนี้ก็เด็ดเกินกว่าพลังที่จะชำระล้างโลกมนุษย์แล้ว

บุตรแห่งสวรรค์ของโลกนี้ก็เก่งกาจเพียงนั้นจริงหรือ

“ศึกครั้งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าเทพเซียนจะต้องเฝ้าจับตามองอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นต่อ

วาจานี้ทำเอาเหล่าเทพเซียนอดมองไปยังทิศทางเดียวกันไม่ได้

ยอดแม่ทัพเทพ!

เงาร่างของยอดแม่ทัพเทพสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาเยียบเย็น ชุดเกราะบนร่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์คู่หนึ่ง แกว่งไกวไม่หยุด เรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามสง่า เผด็จการผิดธรรมดา

ปีนั้นยอดแม่ทัพเทพท้าประลองกับเทพเซียนในโลกมนุษย์ จักรพรรดิสวรรค์ก็ให้เหล่าเทพเซียนอยู่ชม หลังจากเป็นประจักษ์พยานถึงพรสวรรค์และท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยของยอดแม่ทัพเทพแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านไม่ให้ยอดแม่ทัพเทพเข้าสู่วังสวรรค์อีก

จากนั้น ภายใต้การบ่มเพาะในวังสวรรค์ยอดแม่ทัพเทพก็ผงาดง้ำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหอกที่แหลมคมที่สุดในปัจจุบันของวังสวรรค์

ยอดแม่ทัพเทพสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้ส่งเสียงใด

เหล่าเทพเซียนอดที่จะตั้งตารอคอยไม่ได้ว่าการต่อสู้ของโลกมนุษย์ต่อจากนี้จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด

“ไม่มีทางที่ยอดแม่ทัพเทพคนต่อไปจะปรากฏตัวขึ้น”

จู่ๆ หลงซั่นก็เอ่ยปากขึ้น เรียกความสนใจจากเหล่าเทพเซียน

เห็นเพียงเขามองไปทางยอดแม่ทัพเทพด้วยสายตาวาววับ ก่อนกล่าวว่า “โลกมนุษย์มียอดแม่ทัพเทพเพียงแค่หนึ่ง ไม่อาจมีคนที่สอง แต่วังสวรรค์ไม่อาจมียอดแม่ทัพเทพแค่คนเดียว”

วาจาของเขากล่าวตรงจุด ทว่ายอดแม่ทัพเทพไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ตรงข้ามเขากลับก้มหน้าหัวเราะ

เหล่าเทพเซียนต่างพากันระบายยิ้ม

เพียงเพราะหลงซั่นเป็นผู้ที่นับถือยอดแม่ทัพเทพ เคยติดสอยห้อยตามยอดแม่ทัพเทพไปฝึกบำเพ็ญอยู่ระยะหนึ่ง

แปดปีต่อมา

หานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้มีรางวัลใดปรากฏขึ้นมาให้เลือก

ดูท่าหลังจากพ้นหนึ่งพันปีแล้ว จะไม่ปรากฏของรางวัลร้อยปีอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดพายุหิมะในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ส่องประกาย ไอวสันต์แย้มสะพรั่ง

เหล่ามนุษย์ล้วนแซ่ซ้องยินดี ทว่าแดนบำเพ็ญพรตกลับเศร้าสลดทั้งแถบ จวนเซียนสวรรค์ได้แพร่กระจายข่าวที่วังสวรรค์จะชำระล้างโลกมนุษย์ออกไป ทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนตกสู่ท่ามกลางความแตกตื่น

เหล่าผู้บำเพ็ญสายมารเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แม้พวกเขาจะเดินตามเส้นทางของตนเอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้สิ่งมีชีวิตถูกเทพเซียนล้างบาง

เพียงชั่วขณะเดียว สายหลักสายมารต่างเริ่มรวบจับเศษซากเผ่ามารอย่างบ้าคลั่ง ตระกูลจำนวนมากที่เป็นดั่งเช่นตระกูลโม่ถูกล้างสังหาร ส่วนตระกูลโม่หลบหนีไปตั้งแต่ตอนแรก หนีไปไกลลิบโลก จึงไม่ได้รับผลกระทบใด

วันนี้เอง

เสียงระฆังกึกก้องสายหนึ่งดังกระหึ่มทั่วฟ้าดิน สรรพชีวิตใต้หล้าล้วนได้ยินกันถ้วนทั่ว

ที่ตามมาติดๆ คือเสียงที่น่าเกรงขามสายหนึ่งที่ดังขึ้น

“โลกมนุษย์แห่งนี้ถูกเผ่ามารกลืนกิน เกรงว่าจะกลายเป็นหายนะของโลกทั้งหมื่น ตามบัญชาสวรรค์ ต้องทำลาย!”

“เหล่าแม่ทัพและทหารสวรรค์ฟังบัญชา จงชำระล้างโลกมนุษย์!”

ตู้ม!

ทั่วทั้งใต้หล้าเดือดปะทุ!

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนต่างรับมือไม่ทัน

เมฆอัสนีที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดแผ่ครอบท้องนภาของโลกมนุษย์ สรรพสิ่งเงยหน้าขึ้นมอง บนเมฆอัสนีเป็นชั้นๆ ปรากฏเงาร่างน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่า สูงส่งตระหง่านค้ำฟ้า กำยำดุจภูเขา

เขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หานเจวี๋ย อู้เต้าเจี้ยนเดินออกมาจากถ้ำเทวา แหงนหน้ามองเทพเซียนบนท้องนภาเช่นเดียวกัน

เทพเซียนเกลื่อนนภา อานุภาพศักดิ์สิทธิ์สยบโลก!

แม้จำนวนจะไม่นับว่าน่าหวาดหวั่น แต่เงาร่างทุกสายล้วนใหญ่โตมหึมายิ่งนัก ราวเหยียดหยันโลกมนุษย์ นำพาความสิ้นหวังและกลัวเกรงมาสู่โลกมนุษย์

บารมีสวรรค์ลงมาเยือน ปิดล้อมใต้หล้า

“นั่นก็คือเทพเซียนหรือ” ราชามังกรสามหัวกล่าวขึ้นอย่างตกใจ

คนอื่นๆ ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองอย่างตึงเครียด

ซูฉี เซียนซีเสวียน สิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทยอยกันเร่งฝีเท้าเข้ามา เงยหน้ามองดูเช่นเดียวกัน บนใบหน้าแต่ละคนล้วนฉายแววสะท้านสะเทือน

พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไป ต่างเพิ่งเคยประจักษ์ท่วงท่าแห่งเทพเซียนกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก

เมื่อเผชิญหน้ากับเงาเทพบนเมฆอัสนี พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่าตนเองเหมือนมดปลวก เล็กจ้อยหาที่เปรียบไม่ได้

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เองก็วุ่นวายเช่นกัน ศิษย์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มพากันเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่พิทักษ์สำนัก แต่พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเทพเซียนแล้ว วิชาค่ายกลของพวกเขาก็เหมือนมายาลวง

ใต้ต้นฝูซัง ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น อีกาทองสองตัว หยางเทียนตง สวินฉางอัน ซูฉี ถูหลิงเอ๋อร์ ราชามังกรสามหัว ฟางเหลียง มู่หรงฉี่และฉู่ซื่อเหรินต่างมองไปทางหานเจวี๋ยตามๆ กัน

เผชิญหน้าเทพเซียนที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ หานเจวี๋ยยังจะสู้อีกหรือ

จะให้สู้อย่างไร!

แม้ความแข็งแกร่งที่หานเจวี๋ยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าเมื่อเทียบกับเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว อานุภาพก็ยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว

เงาเทพที่สั้นที่สุดบนเมฆอัสนีอย่างน้อยก็สูงถึงหนึ่งพันจั้ง!

ไก่คุกรัตติกาลกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน พวกเราหนีกันเถิด?”

นี่จะให้สู้อย่างไร

ตั้งแต่แรกก็สู้ไม่ได้แล้ว!

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจมัน หากแต่เงยหน้าทอดมองท้องนภา ดวงตาหรี่เล็กลง

เขามองเห็นคนผู้หนึ่ง

ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดก็คือเงาเทพน่าหวาดกลัวอันสูงตระหง่านที่สุดนั้น

เทพยุทธ์จวี้หลิง!

เทพยุทธ์จวี้หลิงยืนอยู่เหนือเก้าสวรรค์ชั้นตา ปรายตาลงมองโลกมนุษย์ด้วยสีหน้าเย็นชา เสมือนกำลังมองมดมองแมลงบนพื้นดิน

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกำลังจ้องมองตนเองอยู่

“มนุษย์ธรรมดาที่คิดอยากพิสูจน์พรสวรรค์ของตนเองต่อวังสวรรค์ เข้ามา!

หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ หากไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์พรสวรรค์ของตนได้ ทัณฑ์สวรรค์จะมาเยือน ชำระล้างโลกมนุษย์!”

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงก้องกำทวนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สั่นสะท้านจิตใจผู้คน ทั้งๆ ที่กล่าวอย่างราบเรียบนิ่ง แต่ราวกับกำลังขู่คำราม แผดตะโกนอย่างไรอย่างนั้น

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

กฎสวรรค์ถูกเก็บ!

มหาเคราะห์ฟ้าดินใกล้มาเยือน!

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ใกล้จะมาแล้ว!

‘ก็ไม่รู้ว่าวังสวรรค์จะส่งแม่ทัพและทหารสวรรค์มามากเท่าไร

หลงซั่นต้องมาแน่ เทพยุทธ์จวี้หลิงก็อาจจะมาด้วย’

เพื่อเป็นการไม่ประมาท หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเพื่อเริ่มสาปแช่งหลงซั่นและเทพยุทธ์จวี้หลิง

เขาไม่สนว่าจะชนะด้วยวิธีใด ในเมื่ออีกฝ่ายยังใช้จำนวนคนเข้าสู้ ข่มเหงผู้ด้อยกว่าได้!

วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา

จักรพรรดิสวรรค์นั่งบนบัลลังก์หยก อำนาจบารมีน่าเกรงขาม ด้านหลังส่องแสงรัศมีเป็นประกาย

เหล่าเทพเซียนในท้องพระโรงล้วนองอาจทรงพลัง ท่วงท่าแข็งแกร่ง

หลงซั่นที่สวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพสวรรค์ ใบหน้าไร้ความรู้สึก รอคอยการจัดเตรียมของจักรพรรดิสวรรค์

“เทพปีศาจถูกประหารชีวิตแล้ว วิญญาณเข้าสู่วัฏจักร หลังจากนี้ก็ควรชำระล้างเศษซากของเผ่ามารบนโลกมนุษย์ มีโลกมนุษย์ทั้งหมดกี่แห่งที่เผ่ามารเข้ารุกราน” จักรพรรดิเอ่ยปากขึ้นอย่างเนิบช้า

ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูมีชีวิตชีวาประสานมือเอ่ย “ทูลฝ่าบาท เผ่ามารเข้ารุกรานโลกมนุษย์ทั้งหมดสี่สิบสามแห่ง ซึ่งในนั้นมีโลกมนุษย์สิบเอ็ดแห่งที่ต้องชำระล้างพ่ะย่ะค่ะ”

“มากเพียงนี้เชียว”

จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เหล่าเทพเซียนเองก็อดที่จะซุบซิบกันไม่ได้

ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เทพปีศาจถ่วงเวลาพวกเราไว้นานเกินไป ทำให้พวกเผ่ามารสามารถฉกฉวยโอกาสได้พ่ะย่ะค่ะ”

หายนะที่เทพปีศาจสร้างขึ้นคราวนี้กินเวลาเกือบพันปี เป็นเวลาที่ค่อนข้างนานจริงๆ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ควรชำระล้างก็ชำระล้างเสีย ข้าจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง พวกเจ้าก็จัดการกันเองเถิด แต่มีโลกมนุษย์อยู่แห่งหนึ่งที่ข้าอยากให้พวกเจ้าลองดูด้วยตาตนเอง”

เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง

รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนฉลองพระองค์ ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศในท้องพระโรง ก่อนจะกลายเป็นกระจกใหญ่ยักษ์บานหนึ่ง ในกระจกนั้นปรากฏภาพฉากของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ปลิวไสวไปทั่วท้องนภา เขาเพียรบำเพ็ญเซียนราวกับจะได้รับการปกป้องโดยชั้นแสงที่ไร้ลักษณ์ แยกตัวออกจากพายุหิมะ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างโดดเดี่ยวหนาวเหน็บ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเจ้าก็เคยได้เห็นวาจาสามหาวของมนุษย์ธรรมดาสามัญสองคนนั่นแล้ว ข้าพบว่าดวงชะตาของโลกมนุษย์ใบนี้เหนือกว่าโลกใบอื่นอยู่มากโข นอกจากมีผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่คือมาจากเขาแห่งนี้ การชำระล้างโลกมนุษย์ในครั้งนี้ โลกใบนี้ก็แข็งแกร่งที่สุด ซั่นเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมด้วย”

เหล่าเทพเซียนอดหันไปมองทางหลงซั่นไม่ได้

‘มิน่าเจ้าเด็กนี่ถึงปรากฏตัวในท้องพระโรง’

แม่ทัพสวรรค์ที่องอาจผู้หนึ่งเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้ายินดีที่จะนำเหล่าทัพลงไปชำระล้างโลกใบนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

รูปร่างของเขาสูงสิบจั้ง ไหล่กว้างเอวหนา ดวงหน้ากระจ่าง ดวงตาเฉี่ยวคม คิ้วหนาเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการอย่างถึงที่สุด

เหล่าเทพเซียนพากันฮือฮา

คิดไม่ถึงว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกลับหมายจะชำระล้างโลกมนุษย์ด้วยตนเอง!

เมื่อรวมกับหลงซั่นแล้ว ไพ่ใบนี้ก็เด็ดเกินกว่าพลังที่จะชำระล้างโลกมนุษย์แล้ว

บุตรแห่งสวรรค์ของโลกนี้ก็เก่งกาจเพียงนั้นจริงหรือ

“ศึกครั้งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าเทพเซียนจะต้องเฝ้าจับตามองอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นต่อ

วาจานี้ทำเอาเหล่าเทพเซียนอดมองไปยังทิศทางเดียวกันไม่ได้

ยอดแม่ทัพเทพ!

เงาร่างของยอดแม่ทัพเทพสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาเยียบเย็น ชุดเกราะบนร่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์คู่หนึ่ง แกว่งไกวไม่หยุด เรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามสง่า เผด็จการผิดธรรมดา

ปีนั้นยอดแม่ทัพเทพท้าประลองกับเทพเซียนในโลกมนุษย์ จักรพรรดิสวรรค์ก็ให้เหล่าเทพเซียนอยู่ชม หลังจากเป็นประจักษ์พยานถึงพรสวรรค์และท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยของยอดแม่ทัพเทพแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านไม่ให้ยอดแม่ทัพเทพเข้าสู่วังสวรรค์อีก

จากนั้น ภายใต้การบ่มเพาะในวังสวรรค์ยอดแม่ทัพเทพก็ผงาดง้ำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหอกที่แหลมคมที่สุดในปัจจุบันของวังสวรรค์

ยอดแม่ทัพเทพสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้ส่งเสียงใด

เหล่าเทพเซียนอดที่จะตั้งตารอคอยไม่ได้ว่าการต่อสู้ของโลกมนุษย์ต่อจากนี้จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด

“ไม่มีทางที่ยอดแม่ทัพเทพคนต่อไปจะปรากฏตัวขึ้น”

จู่ๆ หลงซั่นก็เอ่ยปากขึ้น เรียกความสนใจจากเหล่าเทพเซียน

เห็นเพียงเขามองไปทางยอดแม่ทัพเทพด้วยสายตาวาววับ ก่อนกล่าวว่า “โลกมนุษย์มียอดแม่ทัพเทพเพียงแค่หนึ่ง ไม่อาจมีคนที่สอง แต่วังสวรรค์ไม่อาจมียอดแม่ทัพเทพแค่คนเดียว”

วาจาของเขากล่าวตรงจุด ทว่ายอดแม่ทัพเทพไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ตรงข้ามเขากลับก้มหน้าหัวเราะ

เหล่าเทพเซียนต่างพากันระบายยิ้ม

เพียงเพราะหลงซั่นเป็นผู้ที่นับถือยอดแม่ทัพเทพ เคยติดสอยห้อยตามยอดแม่ทัพเทพไปฝึกบำเพ็ญอยู่ระยะหนึ่ง

แปดปีต่อมา

หานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้มีรางวัลใดปรากฏขึ้นมาให้เลือก

ดูท่าหลังจากพ้นหนึ่งพันปีแล้ว จะไม่ปรากฏของรางวัลร้อยปีอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดพายุหิมะในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ส่องประกาย ไอวสันต์แย้มสะพรั่ง

เหล่ามนุษย์ล้วนแซ่ซ้องยินดี ทว่าแดนบำเพ็ญพรตกลับเศร้าสลดทั้งแถบ จวนเซียนสวรรค์ได้แพร่กระจายข่าวที่วังสวรรค์จะชำระล้างโลกมนุษย์ออกไป ทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนตกสู่ท่ามกลางความแตกตื่น

เหล่าผู้บำเพ็ญสายมารเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แม้พวกเขาจะเดินตามเส้นทางของตนเอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้สิ่งมีชีวิตถูกเทพเซียนล้างบาง

เพียงชั่วขณะเดียว สายหลักสายมารต่างเริ่มรวบจับเศษซากเผ่ามารอย่างบ้าคลั่ง ตระกูลจำนวนมากที่เป็นดั่งเช่นตระกูลโม่ถูกล้างสังหาร ส่วนตระกูลโม่หลบหนีไปตั้งแต่ตอนแรก หนีไปไกลลิบโลก จึงไม่ได้รับผลกระทบใด

วันนี้เอง

เสียงระฆังกึกก้องสายหนึ่งดังกระหึ่มทั่วฟ้าดิน สรรพชีวิตใต้หล้าล้วนได้ยินกันถ้วนทั่ว

ที่ตามมาติดๆ คือเสียงที่น่าเกรงขามสายหนึ่งที่ดังขึ้น

“โลกมนุษย์แห่งนี้ถูกเผ่ามารกลืนกิน เกรงว่าจะกลายเป็นหายนะของโลกทั้งหมื่น ตามบัญชาสวรรค์ ต้องทำลาย!”

“เหล่าแม่ทัพและทหารสวรรค์ฟังบัญชา จงชำระล้างโลกมนุษย์!”

ตู้ม!

ทั่วทั้งใต้หล้าเดือดปะทุ!

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนต่างรับมือไม่ทัน

เมฆอัสนีที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดแผ่ครอบท้องนภาของโลกมนุษย์ สรรพสิ่งเงยหน้าขึ้นมอง บนเมฆอัสนีเป็นชั้นๆ ปรากฏเงาร่างน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่า สูงส่งตระหง่านค้ำฟ้า กำยำดุจภูเขา

เขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หานเจวี๋ย อู้เต้าเจี้ยนเดินออกมาจากถ้ำเทวา แหงนหน้ามองเทพเซียนบนท้องนภาเช่นเดียวกัน

เทพเซียนเกลื่อนนภา อานุภาพศักดิ์สิทธิ์สยบโลก!

แม้จำนวนจะไม่นับว่าน่าหวาดหวั่น แต่เงาร่างทุกสายล้วนใหญ่โตมหึมายิ่งนัก ราวเหยียดหยันโลกมนุษย์ นำพาความสิ้นหวังและกลัวเกรงมาสู่โลกมนุษย์

บารมีสวรรค์ลงมาเยือน ปิดล้อมใต้หล้า

“นั่นก็คือเทพเซียนหรือ” ราชามังกรสามหัวกล่าวขึ้นอย่างตกใจ

คนอื่นๆ ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองอย่างตึงเครียด

ซูฉี เซียนซีเสวียน สิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทยอยกันเร่งฝีเท้าเข้ามา เงยหน้ามองดูเช่นเดียวกัน บนใบหน้าแต่ละคนล้วนฉายแววสะท้านสะเทือน

พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไป ต่างเพิ่งเคยประจักษ์ท่วงท่าแห่งเทพเซียนกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก

เมื่อเผชิญหน้ากับเงาเทพบนเมฆอัสนี พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่าตนเองเหมือนมดปลวก เล็กจ้อยหาที่เปรียบไม่ได้

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เองก็วุ่นวายเช่นกัน ศิษย์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มพากันเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่พิทักษ์สำนัก แต่พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเทพเซียนแล้ว วิชาค่ายกลของพวกเขาก็เหมือนมายาลวง

ใต้ต้นฝูซัง ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น อีกาทองสองตัว หยางเทียนตง สวินฉางอัน ซูฉี ถูหลิงเอ๋อร์ ราชามังกรสามหัว ฟางเหลียง มู่หรงฉี่และฉู่ซื่อเหรินต่างมองไปทางหานเจวี๋ยตามๆ กัน

เผชิญหน้าเทพเซียนที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ หานเจวี๋ยยังจะสู้อีกหรือ

จะให้สู้อย่างไร!

แม้ความแข็งแกร่งที่หานเจวี๋ยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าเมื่อเทียบกับเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว อานุภาพก็ยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว

เงาเทพที่สั้นที่สุดบนเมฆอัสนีอย่างน้อยก็สูงถึงหนึ่งพันจั้ง!

ไก่คุกรัตติกาลกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน พวกเราหนีกันเถิด?”

นี่จะให้สู้อย่างไร

ตั้งแต่แรกก็สู้ไม่ได้แล้ว!

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจมัน หากแต่เงยหน้าทอดมองท้องนภา ดวงตาหรี่เล็กลง

เขามองเห็นคนผู้หนึ่ง

ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดก็คือเงาเทพน่าหวาดกลัวอันสูงตระหง่านที่สุดนั้น

เทพยุทธ์จวี้หลิง!

เทพยุทธ์จวี้หลิงยืนอยู่เหนือเก้าสวรรค์ชั้นตา ปรายตาลงมองโลกมนุษย์ด้วยสีหน้าเย็นชา เสมือนกำลังมองมดมองแมลงบนพื้นดิน

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกำลังจ้องมองตนเองอยู่

“มนุษย์ธรรมดาที่คิดอยากพิสูจน์พรสวรรค์ของตนเองต่อวังสวรรค์ เข้ามา!

หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ หากไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์พรสวรรค์ของตนได้ ทัณฑ์สวรรค์จะมาเยือน ชำระล้างโลกมนุษย์!”

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงก้องกำทวนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สั่นสะท้านจิตใจผู้คน ทั้งๆ ที่กล่าวอย่างราบเรียบนิ่ง แต่ราวกับกำลังขู่คำราม แผดตะโกนอย่างไรอย่างนั้น

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

Now you are reading ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ Chapter บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 182 เทพเซียนทั่วสวรรค์ ชำระล้างโลกมนุษย์

กฎสวรรค์ถูกเก็บ!

มหาเคราะห์ฟ้าดินใกล้มาเยือน!

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ใกล้จะมาแล้ว!

‘ก็ไม่รู้ว่าวังสวรรค์จะส่งแม่ทัพและทหารสวรรค์มามากเท่าไร

หลงซั่นต้องมาแน่ เทพยุทธ์จวี้หลิงก็อาจจะมาด้วย’

เพื่อเป็นการไม่ประมาท หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาเพื่อเริ่มสาปแช่งหลงซั่นและเทพยุทธ์จวี้หลิง

เขาไม่สนว่าจะชนะด้วยวิธีใด ในเมื่ออีกฝ่ายยังใช้จำนวนคนเข้าสู้ ข่มเหงผู้ด้อยกว่าได้!

วังสวรรค์ พระราชวังเทียมเมฆา

จักรพรรดิสวรรค์นั่งบนบัลลังก์หยก อำนาจบารมีน่าเกรงขาม ด้านหลังส่องแสงรัศมีเป็นประกาย

เหล่าเทพเซียนในท้องพระโรงล้วนองอาจทรงพลัง ท่วงท่าแข็งแกร่ง

หลงซั่นที่สวมชุดเกราะสีเงินยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพสวรรค์ ใบหน้าไร้ความรู้สึก รอคอยการจัดเตรียมของจักรพรรดิสวรรค์

“เทพปีศาจถูกประหารชีวิตแล้ว วิญญาณเข้าสู่วัฏจักร หลังจากนี้ก็ควรชำระล้างเศษซากของเผ่ามารบนโลกมนุษย์ มีโลกมนุษย์ทั้งหมดกี่แห่งที่เผ่ามารเข้ารุกราน” จักรพรรดิเอ่ยปากขึ้นอย่างเนิบช้า

ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูมีชีวิตชีวาประสานมือเอ่ย “ทูลฝ่าบาท เผ่ามารเข้ารุกรานโลกมนุษย์ทั้งหมดสี่สิบสามแห่ง ซึ่งในนั้นมีโลกมนุษย์สิบเอ็ดแห่งที่ต้องชำระล้างพ่ะย่ะค่ะ”

“มากเพียงนี้เชียว”

จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เหล่าเทพเซียนเองก็อดที่จะซุบซิบกันไม่ได้

ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เทพปีศาจถ่วงเวลาพวกเราไว้นานเกินไป ทำให้พวกเผ่ามารสามารถฉกฉวยโอกาสได้พ่ะย่ะค่ะ”

หายนะที่เทพปีศาจสร้างขึ้นคราวนี้กินเวลาเกือบพันปี เป็นเวลาที่ค่อนข้างนานจริงๆ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ควรชำระล้างก็ชำระล้างเสีย ข้าจะไม่ซักไซ้ไล่เลียง พวกเจ้าก็จัดการกันเองเถิด แต่มีโลกมนุษย์อยู่แห่งหนึ่งที่ข้าอยากให้พวกเจ้าลองดูด้วยตาตนเอง”

เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง

รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนฉลองพระองค์ ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศในท้องพระโรง ก่อนจะกลายเป็นกระจกใหญ่ยักษ์บานหนึ่ง ในกระจกนั้นปรากฏภาพฉากของเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ปลิวไสวไปทั่วท้องนภา เขาเพียรบำเพ็ญเซียนราวกับจะได้รับการปกป้องโดยชั้นแสงที่ไร้ลักษณ์ แยกตัวออกจากพายุหิมะ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างโดดเดี่ยวหนาวเหน็บ

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยปากกล่าวว่า “เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเจ้าก็เคยได้เห็นวาจาสามหาวของมนุษย์ธรรมดาสามัญสองคนนั่นแล้ว ข้าพบว่าดวงชะตาของโลกมนุษย์ใบนี้เหนือกว่าโลกใบอื่นอยู่มากโข นอกจากมีผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่คือมาจากเขาแห่งนี้ การชำระล้างโลกมนุษย์ในครั้งนี้ โลกใบนี้ก็แข็งแกร่งที่สุด ซั่นเอ๋อร์ต้องเข้าร่วมด้วย”

เหล่าเทพเซียนอดหันไปมองทางหลงซั่นไม่ได้

‘มิน่าเจ้าเด็กนี่ถึงปรากฏตัวในท้องพระโรง’

แม่ทัพสวรรค์ที่องอาจผู้หนึ่งเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้ายินดีที่จะนำเหล่าทัพลงไปชำระล้างโลกใบนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

รูปร่างของเขาสูงสิบจั้ง ไหล่กว้างเอวหนา ดวงหน้ากระจ่าง ดวงตาเฉี่ยวคม คิ้วหนาเข้ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเผด็จการอย่างถึงที่สุด

เหล่าเทพเซียนพากันฮือฮา

คิดไม่ถึงว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกลับหมายจะชำระล้างโลกมนุษย์ด้วยตนเอง!

เมื่อรวมกับหลงซั่นแล้ว ไพ่ใบนี้ก็เด็ดเกินกว่าพลังที่จะชำระล้างโลกมนุษย์แล้ว

บุตรแห่งสวรรค์ของโลกนี้ก็เก่งกาจเพียงนั้นจริงหรือ

“ศึกครั้งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าเทพเซียนจะต้องเฝ้าจับตามองอยู่ที่ท้องพระโรงแห่งนี้” จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นต่อ

วาจานี้ทำเอาเหล่าเทพเซียนอดมองไปยังทิศทางเดียวกันไม่ได้

ยอดแม่ทัพเทพ!

เงาร่างของยอดแม่ทัพเทพสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาเยียบเย็น ชุดเกราะบนร่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิง บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์คู่หนึ่ง แกว่งไกวไม่หยุด เรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามสง่า เผด็จการผิดธรรมดา

ปีนั้นยอดแม่ทัพเทพท้าประลองกับเทพเซียนในโลกมนุษย์ จักรพรรดิสวรรค์ก็ให้เหล่าเทพเซียนอยู่ชม หลังจากเป็นประจักษ์พยานถึงพรสวรรค์และท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยของยอดแม่ทัพเทพแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านไม่ให้ยอดแม่ทัพเทพเข้าสู่วังสวรรค์อีก

จากนั้น ภายใต้การบ่มเพาะในวังสวรรค์ยอดแม่ทัพเทพก็ผงาดง้ำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหอกที่แหลมคมที่สุดในปัจจุบันของวังสวรรค์

ยอดแม่ทัพเทพสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้ส่งเสียงใด

เหล่าเทพเซียนอดที่จะตั้งตารอคอยไม่ได้ว่าการต่อสู้ของโลกมนุษย์ต่อจากนี้จะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด

“ไม่มีทางที่ยอดแม่ทัพเทพคนต่อไปจะปรากฏตัวขึ้น”

จู่ๆ หลงซั่นก็เอ่ยปากขึ้น เรียกความสนใจจากเหล่าเทพเซียน

เห็นเพียงเขามองไปทางยอดแม่ทัพเทพด้วยสายตาวาววับ ก่อนกล่าวว่า “โลกมนุษย์มียอดแม่ทัพเทพเพียงแค่หนึ่ง ไม่อาจมีคนที่สอง แต่วังสวรรค์ไม่อาจมียอดแม่ทัพเทพแค่คนเดียว”

วาจาของเขากล่าวตรงจุด ทว่ายอดแม่ทัพเทพไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ตรงข้ามเขากลับก้มหน้าหัวเราะ

เหล่าเทพเซียนต่างพากันระบายยิ้ม

เพียงเพราะหลงซั่นเป็นผู้ที่นับถือยอดแม่ทัพเทพ เคยติดสอยห้อยตามยอดแม่ทัพเทพไปฝึกบำเพ็ญอยู่ระยะหนึ่ง

แปดปีต่อมา

หานเจวี๋ยอายุครบหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีบริบูรณ์ แต่ไม่ได้มีรางวัลใดปรากฏขึ้นมาให้เลือก

ดูท่าหลังจากพ้นหนึ่งพันปีแล้ว จะไม่ปรากฏของรางวัลร้อยปีอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดพายุหิมะในโลกมนุษย์ก็ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ส่องประกาย ไอวสันต์แย้มสะพรั่ง

เหล่ามนุษย์ล้วนแซ่ซ้องยินดี ทว่าแดนบำเพ็ญพรตกลับเศร้าสลดทั้งแถบ จวนเซียนสวรรค์ได้แพร่กระจายข่าวที่วังสวรรค์จะชำระล้างโลกมนุษย์ออกไป ทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนตกสู่ท่ามกลางความแตกตื่น

เหล่าผู้บำเพ็ญสายมารเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แม้พวกเขาจะเดินตามเส้นทางของตนเอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังให้สิ่งมีชีวิตถูกเทพเซียนล้างบาง

เพียงชั่วขณะเดียว สายหลักสายมารต่างเริ่มรวบจับเศษซากเผ่ามารอย่างบ้าคลั่ง ตระกูลจำนวนมากที่เป็นดั่งเช่นตระกูลโม่ถูกล้างสังหาร ส่วนตระกูลโม่หลบหนีไปตั้งแต่ตอนแรก หนีไปไกลลิบโลก จึงไม่ได้รับผลกระทบใด

วันนี้เอง

เสียงระฆังกึกก้องสายหนึ่งดังกระหึ่มทั่วฟ้าดิน สรรพชีวิตใต้หล้าล้วนได้ยินกันถ้วนทั่ว

ที่ตามมาติดๆ คือเสียงที่น่าเกรงขามสายหนึ่งที่ดังขึ้น

“โลกมนุษย์แห่งนี้ถูกเผ่ามารกลืนกิน เกรงว่าจะกลายเป็นหายนะของโลกทั้งหมื่น ตามบัญชาสวรรค์ ต้องทำลาย!”

“เหล่าแม่ทัพและทหารสวรรค์ฟังบัญชา จงชำระล้างโลกมนุษย์!”

ตู้ม!

ทั่วทั้งใต้หล้าเดือดปะทุ!

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนต่างรับมือไม่ทัน

เมฆอัสนีที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดแผ่ครอบท้องนภาของโลกมนุษย์ สรรพสิ่งเงยหน้าขึ้นมอง บนเมฆอัสนีเป็นชั้นๆ ปรากฏเงาร่างน่าหวาดกลัวสายแล้วสายเล่า สูงส่งตระหง่านค้ำฟ้า กำยำดุจภูเขา

เขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หานเจวี๋ย อู้เต้าเจี้ยนเดินออกมาจากถ้ำเทวา แหงนหน้ามองเทพเซียนบนท้องนภาเช่นเดียวกัน

เทพเซียนเกลื่อนนภา อานุภาพศักดิ์สิทธิ์สยบโลก!

แม้จำนวนจะไม่นับว่าน่าหวาดหวั่น แต่เงาร่างทุกสายล้วนใหญ่โตมหึมายิ่งนัก ราวเหยียดหยันโลกมนุษย์ นำพาความสิ้นหวังและกลัวเกรงมาสู่โลกมนุษย์

บารมีสวรรค์ลงมาเยือน ปิดล้อมใต้หล้า

“นั่นก็คือเทพเซียนหรือ” ราชามังกรสามหัวกล่าวขึ้นอย่างตกใจ

คนอื่นๆ ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองอย่างตึงเครียด

ซูฉี เซียนซีเสวียน สิงหงเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทยอยกันเร่งฝีเท้าเข้ามา เงยหน้ามองดูเช่นเดียวกัน บนใบหน้าแต่ละคนล้วนฉายแววสะท้านสะเทือน

พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์ทั่วไป ต่างเพิ่งเคยประจักษ์ท่วงท่าแห่งเทพเซียนกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก

เมื่อเผชิญหน้ากับเงาเทพบนเมฆอัสนี พวกเขาก็รู้สึกเพียงว่าตนเองเหมือนมดปลวก เล็กจ้อยหาที่เปรียบไม่ได้

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เองก็วุ่นวายเช่นกัน ศิษย์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์ เหล่าผู้อาวุโสเริ่มพากันเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่พิทักษ์สำนัก แต่พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเทพเซียนแล้ว วิชาค่ายกลของพวกเขาก็เหมือนมายาลวง

ใต้ต้นฝูซัง ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น อีกาทองสองตัว หยางเทียนตง สวินฉางอัน ซูฉี ถูหลิงเอ๋อร์ ราชามังกรสามหัว ฟางเหลียง มู่หรงฉี่และฉู่ซื่อเหรินต่างมองไปทางหานเจวี๋ยตามๆ กัน

เผชิญหน้าเทพเซียนที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ หานเจวี๋ยยังจะสู้อีกหรือ

จะให้สู้อย่างไร!

แม้ความแข็งแกร่งที่หานเจวี๋ยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าเมื่อเทียบกับเทพเซียนบนสวรรค์แล้ว อานุภาพก็ยังห่างชั้นราวฟ้ากับเหว

เงาเทพที่สั้นที่สุดบนเมฆอัสนีอย่างน้อยก็สูงถึงหนึ่งพันจั้ง!

ไก่คุกรัตติกาลกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน พวกเราหนีกันเถิด?”

นี่จะให้สู้อย่างไร

ตั้งแต่แรกก็สู้ไม่ได้แล้ว!

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจมัน หากแต่เงยหน้าทอดมองท้องนภา ดวงตาหรี่เล็กลง

เขามองเห็นคนผู้หนึ่ง

ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดก็คือเงาเทพน่าหวาดกลัวอันสูงตระหง่านที่สุดนั้น

เทพยุทธ์จวี้หลิง!

เทพยุทธ์จวี้หลิงยืนอยู่เหนือเก้าสวรรค์ชั้นตา ปรายตาลงมองโลกมนุษย์ด้วยสีหน้าเย็นชา เสมือนกำลังมองมดมองแมลงบนพื้นดิน

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าเทพยุทธ์จวี้หลิงกำลังจ้องมองตนเองอยู่

“มนุษย์ธรรมดาที่คิดอยากพิสูจน์พรสวรรค์ของตนเองต่อวังสวรรค์ เข้ามา!

หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ หากไม่มีผู้ใดสามารถพิสูจน์พรสวรรค์ของตนได้ ทัณฑ์สวรรค์จะมาเยือน ชำระล้างโลกมนุษย์!”

เสียงของเทพยุทธ์จวี้หลิงก้องกำทวนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สั่นสะท้านจิตใจผู้คน ทั้งๆ ที่กล่าวอย่างราบเรียบนิ่ง แต่ราวกับกำลังขู่คำราม แผดตะโกนอย่างไรอย่างนั้น

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+