ราชาเหนือราชัน 19 : โหมโรงแห่งการประลองยุทธ์!

Now you are reading ราชาเหนือราชัน Chapter 19 : โหมโรงแห่งการประลองยุทธ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้คลังอาวุธจะเป็นสถานที่ดูเอิกเกริกแต่เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงเศร้าใจ เขามีแต้มไม่เพียงพอจะซื้ออาวุธด้วยซ้ำ แม้จะเป็นอาวุธระดับหนึ่งก็ยังมีราคาถึงสองร้อยแต้ม แม้ว่าจะได้ส่วนลดสองในสิบสำหรับผู้ถือครองแผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดก็ตาม เขารู้สึกกดดันอย่างหนักและมันอาจทำให้เขาไม่มีแต้มกินอาหาร

“ไม่เป็นไร อาวุธจำเป็นต้องมี เพราะเราต้องไปท้าทายหอคอยแห่งขีดจำกัดห้องที่สองเซี่ยงเส้าหยุนได้ตัดสินใจแม้ต้องใช้แต้มทั้งหมดก็ตาม เขาจะต้องได้อาวุธในท้ายที่สุด หลังจากค้นหาในส่วนของอาวุธระดับหนึ่ง ดวงตาก็ได้สบเข้ากับกระบี่

กระบี่ตัดหินผาเป็นกระบี่ระดับหนึ่ง มีน้ำหนักถึงหนึ่งร้อยสามสิบเก้ากิโลกรัม เป็นอาวุธที่หนักที่สุดในอาวุธระดับเดียวกัน

“เจ้าหนู กระบี่เล่มนี้ถูกอาบด้วยเหล็กทมิฬเพียงเล็กน้อย น่าเสียดายที่คุณภาพของเหล็กทมิฬนั้นไม่ได้ดีที่สุด หรือแม้มันจะดูเหมือนลอกเลียนแบบมาจากอาวุธระดับสอง แต่อาวุธชิ้นนี้มันหนักมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานปกติคงไม่สามารถใช้กระบี่เล่มนี้ให้คล่องแคล่วได้โดยง่าย”

สำหรับกระบี่ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมนั้น ผู้ที่อยู่ระดับพื้นฐานขั้นสามสามารถยกขึ้นได้ แต่ทว่าเพื่อที่จะใช้ได้อย่างชำนาญจะต้องมีพละกำลังแขนที่เพียงพอและความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะใช้อาวุธที่มีน้ำหนักไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลกรัม

“ท่านผู้ดูแลกล่าวถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้มันได้โดยง่าย แต่มันเหมาะกับข้า เซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้จะใช้มัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับในทันที

“โอ้? เจ้าแน่ใจนะ? ลองดูก่อนเถิด! ข้าจะมอบส่วนลดหนึ่งในสิบแก่เจ้า” ผู้ดูแลกล่าวดวงตาของเขาเป็นประกาย

“ส่วนลดหนึ่งในสิบงั้นรึ? ดีเลย! เมื่อรวมกับส่วนลดอีกสองในสิบสำหรับหอคอยแห่งขีดจำกัด ก็เป็นว่าได้ส่วนลดถึงสามในสิบเลยเชียว! เช่นนั้นค่อยมีแต้มเหลือไปทำอย่างอื่น!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบอย่างมีความสุข

กระบี่ตัดหินผานั้นเป็นอาวุธที่มีราคาถึงสองร้อยหกสิบแต้มซึ่งค่อนข้างแพง หลังจากหักราคาสองในสิบไปเซี่ยงเส้าหยุนก็เหลือแต้มอีกสิบกว่าแต้ม  อย่างไรก็ตามด้วยส่วนลดเพิ่มเติมจากผู้ดูแลนั้นเขามีคะแนนเพียงพอที่จะจ่ายได้ และยังเพียงพอที่จะใช้จ่ายไปได้อีกสองสามวันข้างหน้า

“เจ้าหนู แผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดงั้นรึ! ทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้! ทำข้าขาดทุนแล้ว” ผู้ดูแลร้องออกมาด้วยความตะลึง

“ทำไมท่านถึงขาดทุนเล่า? เมื่อใดที่ข้าไปกินอาหารในเหลาอาหารก็ได้รับส่วนลดถึงสี่ในสิบ แต่กับโถงโอสถและคลังอาวุธกลับลดให้ข้าเพียงสองในสิบเท่านั้นเอง” เซี่ยงเส้าหยุนไม่พอใจเล็กน้อย

“เจ้ารู้อะไรไหม? อาหารนั้นสามารถหาได้จากทุกที่! แต่สำหรับอาวุธและยานั้นไม่ได้หาได้ง่ายดายเช่นนั้น! ส่วนลดสองในสิบนับว่ามากโขแล้วสำหรับศิษย์ส่วนตัว!” ผู้ดูแลตอบกลับ

เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะเบา ๆ และเลือกที่จะไม่พูดต่อก่อนจะออกไปจากคลังอาวุธพร้อมด้วยกระบี่ตัดหินผาในมือ กระบี่ตัดหินผาเป็นอาวุธที่เขาเลือกใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่เติบโตขึ้นก็ยิ่งไม่เหมาะแก่การใช้กระบี่เล่มนี้

เป็นอีกครั้งที่เขาไปยังเหลาอาหาร เซี่ยงเส้าหยุนใช้แต้มทั้งหมดแลกกับอาหารเพื่อเตรียมสำหรับการฝึกวิชากระบี่ นี่ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการประลองกับอู่หมิงเหลียง

ในบรรดาวิทยายุทธ์ระดับหนึ่งทั้งห้าแบบที่ได้รับมาจากโถงวิทยายุทธ์ของสวนชั้นนอก มีวิชาที่เรียกว่าผ่าทลายภูผาอยู่ซึ่งน่าจะเข้ากันได้กับกระบี่ตัดหินผาเล่มนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลแรกและสำคัญที่สุดที่เขาเลือกกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธ

บางทีกระบี่ตัดหินผาอาจจะเข้ากับวิชาผ่าทลายภูผาก็เป็นได้? ความสำคัญของวิชาผ่าทลายภูผาอยู่ที่ “ความหนัก” ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีความหนักเพียงพอที่จะดึงเอาศักยภาพของวิชาทลายภูผาออกมาอย่างเต็มที่

ภาพแสดงวิชาผ่าทลายภูผาถูกฉายขึ้นในหัวของเซี่ยงเส้าหยุน หลังจากที่รวมมันไว้ด้วยกันทั้งสองสามภาพก็ได้เกิดเป็นวิธีสาธิตการใช้ของกระบี่ตรงหน้า หลังจากนึกภาพในหัวซ้ำ ๆ จึงเริ่มฝึกวิชาผ่าทลายภูผาด้วยกระบี่เล่มนี้

ความเข้าใจในวิทยายุทธ์ของเซี่ยงเส้าหยุนอยู่ในระดับที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้ ในขณะที่ฟันกระบี่แล้วตามด้วยการเฉือน ความเข้าใจในวิชากระบี่ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงหมกมุ่นกับการฝึกจนเวลาล่วงเลยไปสี่วันติดต่อกัน

ในที่สุดวันที่เซี่ยงเส้าหยุนและอู่หมิงเหลียงจะได้ประลองกันก็มาถึง รอบด้านสนามประลองชั้นนอกมีเหล่าศิษย์ชั้นนอกมากมายนับร้อยคนนั่งชมอยู่ พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น

หนึ่งในผู้เข้าร่วมเป็นถึงศิษย์ชั้นนอกอันดับสี่ ผู้มีวิทยายุทธ์กล้าแกร่งกว่าศิษย์ระดับพื้นฐานทั่วไป และอีกผู้หนึ่งคืออัจฉริยะที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนฟากฟ้า เป็นเรื่องน่าเสียดายในสายตาผู้อื่นที่เขาเป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นสามเท่านั้น

ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ทุกคนต่างเชื่อว่าฝ่ายหลังจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ดูนั่นสิ ดูนั่น! นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่โม่ปูหุยรึ? ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาเลยตั้งแต่วันทดสอบ!” ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไปยังทิศทางนั้น

มุมหนึ่งนั้นมีชายหนุ่มรูปงามถือดาบ เขาสูงใหญ่กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมาก ส่งผลให้ราวกับเป็นนกกระเรียนซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ นอกจากนี้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเฉยเมยอย่างที่สุด ทำให้ดูราวกับตัวเขานั้นอยู่ห่างไกลสุดลูกหูลูกตา

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นี้คือโม่ปูหุย อันดับสองของผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานชั้นนอกที่เก่งที่สุด ได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง

ผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กสาวผู้มีรูปลักษณ์อันพิเศษในอาภรณ์ลายบุปผา และสีสันบนอาภรณ์นั้นราวกับจะทำให้ทัศนียภาพโดยรอบส่องสว่างขึ้น นางคือเหม่ยเหลียนฮวา อันดับสามของเหล่าศิษย์ชั้นนอก

“ศิษย์พี่เหม่ยก็มาเช่นกันรึ! แม้แต่พวกเขาทั้งสองก็อยากรู้ว่าเซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้มีความพิเศษมากเพียงใด!”

“แน่นอนอยู่แล้ว! อู่หมิงเหลียงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับทั้งสอง พวกเขาไม่ได้มาดูอู่หมิงเหลียงแน่นอน!”

“ศิษย์พี่โม่ นี่มันคุ้มค่าที่เราจะมาดูการประลองครั้งนี้จริงหรือ?” เหม่ยเหลียนฮวาถามด้วยท่าทางที่สง่างาม ขณะที่จัดระเบียบเส้นผมที่ปกหน้า

“ข้าเพียงอยากจะชมความพิเศษของเด็กหนุ่มผู้สร้างปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนสรวงสวรรค์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรแน่ ถึงได้กล้าท้าทายอู่หมิงเหลียงผู้อยู่ขั้นเก้าทั้งที่ตนเองอยู่เพียงขั้นสาม” โม่ปูหุยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

เหม่ยเหลียนฮวาให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ “แม้เขาจะมีร่างกายที่ไม่ธรรมดา คงสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการฝึกยุทธ์ได้มากที่สุดเพียงหนึ่งขั้น เว้นเสียแต่ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจะใช้ยาวิญญาณหลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มระดับการฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง ช่างแส่หาความพ่ายแพ้สู่ตนเองโดยแท้”

“ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงคงไม่โง่เขลาขนาดจะเร่งการเติบโตของอัจฉริยะแน่ เพราะนั่นจะเป็นความโง่เขลาอย่างที่สุด” โม่ปูหุยครุ่นคิดกับตนเองสั้น ๆ “หากเขาสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นเราควรชักชวนเขาให้เข้าร่วมกับแผนการของเรา”

“ไม่มีทาง! คงไม่ได้จะยอมรับเขาโดยง่ายแค่นี้กระมัง?” เหม่ยเหลียนฮวาคัดค้าน

“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการทุกสิ่งที่นั่นเพียงสองคน นอกจากนี้การที่จะดึงเขามาเข้าร่วมกับแผนการของเราจะต้องไม่อ้อมค้อมและมอบโอกาสแก่เขา” โม่ปูหุยกล่าวขณะที่ความคิดต่าง ๆ เข้ามาในหัว

“คุณชายอู่มาถึงแล้ว” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทั่วทั้งลานประลองต่างจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน

อู่หมิงเหลียงเข้ามายังสนามประลองพร้อมลิ่วล้อ อู่หมิงเหลียงได้กระโดดขึ้นไปบนลานประลองด้วยการแสดงออกที่ร่าเริงบนใบหน้า เขาเผยออร่าที่โดดเด่นเหนือล้ำ

“เซี่ยงเส้าหยุน รีบขึ้นมา ข้าจะได้สังหารเจ้าเสีย!” อู่หมิงเหลียงตะโกนเย้ยหยัน เสียงนั้นดังกึกก้องโดยเฉพาะคำพูดเหล่านั้นดังไปทั่วทุกซอกหลืบของสวนชั้นนอก

“เจ้ากระหายอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ? ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง!” เสียงดังชัดเจนตะโกนออกมาจากระยะไกล

เมื่อเห็นเซี่ยงเส้าหยุนกำลังเดินเข้ามา บาดแผลบนใบหน้าได้หายไปแล้ว เขาดูดีมากกว่าครั้งแรกที่มาถึงเสียอีก ด้วยหวีผมเป็นพิเศษแก่สถานการณ์นี้ จึงเป็นส่วนช่วยให้เขาดูอาจหาญมากขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชาเหนือราชัน 19 : โหมโรงแห่งการประลองยุทธ์!

Now you are reading ราชาเหนือราชัน Chapter 19 : โหมโรงแห่งการประลองยุทธ์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้คลังอาวุธจะเป็นสถานที่ดูเอิกเกริกแต่เซี่ยงเส้าหยุนทำได้เพียงเศร้าใจ เขามีแต้มไม่เพียงพอจะซื้ออาวุธด้วยซ้ำ แม้จะเป็นอาวุธระดับหนึ่งก็ยังมีราคาถึงสองร้อยแต้ม แม้ว่าจะได้ส่วนลดสองในสิบสำหรับผู้ถือครองแผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดก็ตาม เขารู้สึกกดดันอย่างหนักและมันอาจทำให้เขาไม่มีแต้มกินอาหาร

“ไม่เป็นไร อาวุธจำเป็นต้องมี เพราะเราต้องไปท้าทายหอคอยแห่งขีดจำกัดห้องที่สองเซี่ยงเส้าหยุนได้ตัดสินใจแม้ต้องใช้แต้มทั้งหมดก็ตาม เขาจะต้องได้อาวุธในท้ายที่สุด หลังจากค้นหาในส่วนของอาวุธระดับหนึ่ง ดวงตาก็ได้สบเข้ากับกระบี่

กระบี่ตัดหินผาเป็นกระบี่ระดับหนึ่ง มีน้ำหนักถึงหนึ่งร้อยสามสิบเก้ากิโลกรัม เป็นอาวุธที่หนักที่สุดในอาวุธระดับเดียวกัน

“เจ้าหนู กระบี่เล่มนี้ถูกอาบด้วยเหล็กทมิฬเพียงเล็กน้อย น่าเสียดายที่คุณภาพของเหล็กทมิฬนั้นไม่ได้ดีที่สุด หรือแม้มันจะดูเหมือนลอกเลียนแบบมาจากอาวุธระดับสอง แต่อาวุธชิ้นนี้มันหนักมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานปกติคงไม่สามารถใช้กระบี่เล่มนี้ให้คล่องแคล่วได้โดยง่าย”

สำหรับกระบี่ที่มีน้ำหนักใกล้เคียงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัมนั้น ผู้ที่อยู่ระดับพื้นฐานขั้นสามสามารถยกขึ้นได้ แต่ทว่าเพื่อที่จะใช้ได้อย่างชำนาญจะต้องมีพละกำลังแขนที่เพียงพอและความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะใช้อาวุธที่มีน้ำหนักไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลกรัม

“ท่านผู้ดูแลกล่าวถูกแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้มันได้โดยง่าย แต่มันเหมาะกับข้า เซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้จะใช้มัน!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลับในทันที

“โอ้? เจ้าแน่ใจนะ? ลองดูก่อนเถิด! ข้าจะมอบส่วนลดหนึ่งในสิบแก่เจ้า” ผู้ดูแลกล่าวดวงตาของเขาเป็นประกาย

“ส่วนลดหนึ่งในสิบงั้นรึ? ดีเลย! เมื่อรวมกับส่วนลดอีกสองในสิบสำหรับหอคอยแห่งขีดจำกัด ก็เป็นว่าได้ส่วนลดถึงสามในสิบเลยเชียว! เช่นนั้นค่อยมีแต้มเหลือไปทำอย่างอื่น!” เซี่ยงเส้าหยุนตอบอย่างมีความสุข

กระบี่ตัดหินผานั้นเป็นอาวุธที่มีราคาถึงสองร้อยหกสิบแต้มซึ่งค่อนข้างแพง หลังจากหักราคาสองในสิบไปเซี่ยงเส้าหยุนก็เหลือแต้มอีกสิบกว่าแต้ม  อย่างไรก็ตามด้วยส่วนลดเพิ่มเติมจากผู้ดูแลนั้นเขามีคะแนนเพียงพอที่จะจ่ายได้ และยังเพียงพอที่จะใช้จ่ายไปได้อีกสองสามวันข้างหน้า

“เจ้าหนู แผ่นหยกจากหอคอยแห่งขีดจำกัดงั้นรึ! ทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้! ทำข้าขาดทุนแล้ว” ผู้ดูแลร้องออกมาด้วยความตะลึง

“ทำไมท่านถึงขาดทุนเล่า? เมื่อใดที่ข้าไปกินอาหารในเหลาอาหารก็ได้รับส่วนลดถึงสี่ในสิบ แต่กับโถงโอสถและคลังอาวุธกลับลดให้ข้าเพียงสองในสิบเท่านั้นเอง” เซี่ยงเส้าหยุนไม่พอใจเล็กน้อย

“เจ้ารู้อะไรไหม? อาหารนั้นสามารถหาได้จากทุกที่! แต่สำหรับอาวุธและยานั้นไม่ได้หาได้ง่ายดายเช่นนั้น! ส่วนลดสองในสิบนับว่ามากโขแล้วสำหรับศิษย์ส่วนตัว!” ผู้ดูแลตอบกลับ

เซี่ยงเส้าหยุนหัวเราะเบา ๆ และเลือกที่จะไม่พูดต่อก่อนจะออกไปจากคลังอาวุธพร้อมด้วยกระบี่ตัดหินผาในมือ กระบี่ตัดหินผาเป็นอาวุธที่เขาเลือกใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ความแข็งแกร่งที่เติบโตขึ้นก็ยิ่งไม่เหมาะแก่การใช้กระบี่เล่มนี้

เป็นอีกครั้งที่เขาไปยังเหลาอาหาร เซี่ยงเส้าหยุนใช้แต้มทั้งหมดแลกกับอาหารเพื่อเตรียมสำหรับการฝึกวิชากระบี่ นี่ถือเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการประลองกับอู่หมิงเหลียง

ในบรรดาวิทยายุทธ์ระดับหนึ่งทั้งห้าแบบที่ได้รับมาจากโถงวิทยายุทธ์ของสวนชั้นนอก มีวิชาที่เรียกว่าผ่าทลายภูผาอยู่ซึ่งน่าจะเข้ากันได้กับกระบี่ตัดหินผาเล่มนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลแรกและสำคัญที่สุดที่เขาเลือกกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธ

บางทีกระบี่ตัดหินผาอาจจะเข้ากับวิชาผ่าทลายภูผาก็เป็นได้? ความสำคัญของวิชาผ่าทลายภูผาอยู่ที่ “ความหนัก” ซึ่งกระบี่เล่มนี้มีความหนักเพียงพอที่จะดึงเอาศักยภาพของวิชาทลายภูผาออกมาอย่างเต็มที่

ภาพแสดงวิชาผ่าทลายภูผาถูกฉายขึ้นในหัวของเซี่ยงเส้าหยุน หลังจากที่รวมมันไว้ด้วยกันทั้งสองสามภาพก็ได้เกิดเป็นวิธีสาธิตการใช้ของกระบี่ตรงหน้า หลังจากนึกภาพในหัวซ้ำ ๆ จึงเริ่มฝึกวิชาผ่าทลายภูผาด้วยกระบี่เล่มนี้

ความเข้าใจในวิทยายุทธ์ของเซี่ยงเส้าหยุนอยู่ในระดับที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจได้ ในขณะที่ฟันกระบี่แล้วตามด้วยการเฉือน ความเข้าใจในวิชากระบี่ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงหมกมุ่นกับการฝึกจนเวลาล่วงเลยไปสี่วันติดต่อกัน

ในที่สุดวันที่เซี่ยงเส้าหยุนและอู่หมิงเหลียงจะได้ประลองกันก็มาถึง รอบด้านสนามประลองชั้นนอกมีเหล่าศิษย์ชั้นนอกมากมายนับร้อยคนนั่งชมอยู่ พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตารอการประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้น

หนึ่งในผู้เข้าร่วมเป็นถึงศิษย์ชั้นนอกอันดับสี่ ผู้มีวิทยายุทธ์กล้าแกร่งกว่าศิษย์ระดับพื้นฐานทั่วไป และอีกผู้หนึ่งคืออัจฉริยะที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนฟากฟ้า เป็นเรื่องน่าเสียดายในสายตาผู้อื่นที่เขาเป็นเพียงระดับพื้นฐานขั้นสามเท่านั้น

ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ทุกคนต่างเชื่อว่าฝ่ายหลังจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“ดูนั่นสิ ดูนั่น! นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่โม่ปูหุยรึ? ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาเลยตั้งแต่วันทดสอบ!” ทุกคนต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไปยังทิศทางนั้น

มุมหนึ่งนั้นมีชายหนุ่มรูปงามถือดาบ เขาสูงใหญ่กว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมาก ส่งผลให้ราวกับเป็นนกกระเรียนซึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ นอกจากนี้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเฉยเมยอย่างที่สุด ทำให้ดูราวกับตัวเขานั้นอยู่ห่างไกลสุดลูกหูลูกตา

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นี้คือโม่ปูหุย อันดับสองของผู้ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐานชั้นนอกที่เก่งที่สุด ได้รับการยืนยันแล้วว่าเขาได้เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง

ผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กสาวผู้มีรูปลักษณ์อันพิเศษในอาภรณ์ลายบุปผา และสีสันบนอาภรณ์นั้นราวกับจะทำให้ทัศนียภาพโดยรอบส่องสว่างขึ้น นางคือเหม่ยเหลียนฮวา อันดับสามของเหล่าศิษย์ชั้นนอก

“ศิษย์พี่เหม่ยก็มาเช่นกันรึ! แม้แต่พวกเขาทั้งสองก็อยากรู้ว่าเซี่ยงเส้าหยุนผู้นี้มีความพิเศษมากเพียงใด!”

“แน่นอนอยู่แล้ว! อู่หมิงเหลียงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับทั้งสอง พวกเขาไม่ได้มาดูอู่หมิงเหลียงแน่นอน!”

“ศิษย์พี่โม่ นี่มันคุ้มค่าที่เราจะมาดูการประลองครั้งนี้จริงหรือ?” เหม่ยเหลียนฮวาถามด้วยท่าทางที่สง่างาม ขณะที่จัดระเบียบเส้นผมที่ปกหน้า

“ข้าเพียงอยากจะชมความพิเศษของเด็กหนุ่มผู้สร้างปรากฏการณ์ห้าดวงดาวส่องสว่างบนสรวงสวรรค์นั้น แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรแน่ ถึงได้กล้าท้าทายอู่หมิงเหลียงผู้อยู่ขั้นเก้าทั้งที่ตนเองอยู่เพียงขั้นสาม” โม่ปูหุยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

เหม่ยเหลียนฮวาให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ “แม้เขาจะมีร่างกายที่ไม่ธรรมดา คงสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการฝึกยุทธ์ได้มากที่สุดเพียงหนึ่งขั้น เว้นเสียแต่ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงจะใช้ยาวิญญาณหลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มระดับการฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง ช่างแส่หาความพ่ายแพ้สู่ตนเองโดยแท้”

“ท่านขุนนางอัสนีสีม่วงคงไม่โง่เขลาขนาดจะเร่งการเติบโตของอัจฉริยะแน่ เพราะนั่นจะเป็นความโง่เขลาอย่างที่สุด” โม่ปูหุยครุ่นคิดกับตนเองสั้น ๆ “หากเขาสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นเราควรชักชวนเขาให้เข้าร่วมกับแผนการของเรา”

“ไม่มีทาง! คงไม่ได้จะยอมรับเขาโดยง่ายแค่นี้กระมัง?” เหม่ยเหลียนฮวาคัดค้าน

“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการทุกสิ่งที่นั่นเพียงสองคน นอกจากนี้การที่จะดึงเขามาเข้าร่วมกับแผนการของเราจะต้องไม่อ้อมค้อมและมอบโอกาสแก่เขา” โม่ปูหุยกล่าวขณะที่ความคิดต่าง ๆ เข้ามาในหัว

“คุณชายอู่มาถึงแล้ว” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ทั่วทั้งลานประลองต่างจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน

อู่หมิงเหลียงเข้ามายังสนามประลองพร้อมลิ่วล้อ อู่หมิงเหลียงได้กระโดดขึ้นไปบนลานประลองด้วยการแสดงออกที่ร่าเริงบนใบหน้า เขาเผยออร่าที่โดดเด่นเหนือล้ำ

“เซี่ยงเส้าหยุน รีบขึ้นมา ข้าจะได้สังหารเจ้าเสีย!” อู่หมิงเหลียงตะโกนเย้ยหยัน เสียงนั้นดังกึกก้องโดยเฉพาะคำพูดเหล่านั้นดังไปทั่วทุกซอกหลืบของสวนชั้นนอก

“เจ้ากระหายอยากไปเกิดใหม่งั้นรึ? ได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง!” เสียงดังชัดเจนตะโกนออกมาจากระยะไกล

เมื่อเห็นเซี่ยงเส้าหยุนกำลังเดินเข้ามา บาดแผลบนใบหน้าได้หายไปแล้ว เขาดูดีมากกว่าครั้งแรกที่มาถึงเสียอีก ด้วยหวีผมเป็นพิเศษแก่สถานการณ์นี้ จึงเป็นส่วนช่วยให้เขาดูอาจหาญมากขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+