ราชาโลกเบื้องหลัง 10: อาวุธโบราณมาซาโกะ(4)

Now you are reading ราชาโลกเบื้องหลัง Chapter 10: อาวุธโบราณมาซาโกะ(4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ ช้ามาก! คิดจะให้ฉันอดนอนทั้งคืนเลยเหรอยะ! คราวหน้าถ้านายอยากยืมของก็เข้ามาเอาไปเองเลยสิ มันน่ารำคาญนะเวลาโดนปลุกขึ้นมากลางดึก ”

“ อา…ขอโทษด้วยละกัน แต่เธออยากให้ฉันเข้ามาข้างในบ้านโดยไม่บอกเธอเลยรึไง? ฉันไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโรคจิตหรอกนะ ”

 

จู่ๆแก้วก็เงียบลงและส่งสายตามาเหมือนเห็นคนโง่

 

“ นายจะสนเรื่องนั้นไปทำไม ยังไงนายก็เป็นคนโรคจิตอยู่แล้วนี่ สบายใจได้น่า~ ”

“ จะไปสบายใจได้ไงฟะ!? ”

 

เฮ้อ~ยัยบ้านี่ทำฉันปวดหัวได้ทุกครั้งที่เจอกันเลยแฮะ

 

“ งั้นช่างมันก่อนก็ได้ แต่นายยังไม่ได้ขอบคุณฉันเลยนะที่ยอมแหกขี้ตาตื่นมานั่งรอทั้งๆที่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุกเข่าก้มกราบเท้าฉันพร้อมกับตะโกนขอบคุณออกมาดังๆ20ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ฉันจะให้อภัย…ปฏิบัติซะไอ้หมูโสโครก! ”

“ ใครมันจะไปทำกัน!? แล้วไปจำไอ้คำแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย?! ” 

 

อา…ถ้ารู้อย่างงี้ไม่น่าแวะมาคืนมาซาโกะก่อนกลับบ้านเลย วุ่นวายมากกว่าเดิมซะอีก…

ก่อนที่ฉันจะไปบ้านคุณลุง ฉันได้แวะเข้ามาหาแก้วก่อน…ไม่สิ ต้องบอกว่าแวะเข้ามาหาซาโกะต่างหาก 

ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น และอีกหลายๆห้อง ฉันลองค้นหาทั่วบ้านแก้วหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เจอมาซาโกะเลยสักที และเหลืออยู่ห้องเดียวที่ฉันยังไม่ได้เข้าไปค้นดูมันก็คือห้องนอนนั่นเอง

ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆซึ่งแก้วก็น่าจะนอนอยู่ในห้องนั้น

ฉันเองก็สามารถหามาซาโกะเจอได้ง่ายๆโดยการปลุกแก้วขึ้นมาถาม แต่เหตุผลที่ฉันไม่ทำในตอนแรกก็เพราะเธอเป็นพวกเกลียดการถูกรบกวนตอนนอนเอามากๆ แต่มันก็จะแปลกๆล่ะนะถ้าหากฉันเข้าไปค้นภายในห้องนอนของเด็กผู้หญิงขณะเธอนอนหลับ

เพราะงั้นฉันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปลุกเธอให้ตื่น และก็เป็นอย่างที่คิด…ฉันถูกเธอซัดหน้าไปหนึ่งหมัดจังๆ ดูเหมือนเธอจะออมแรงให้นิดหน่อยด้วยเลยไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไรหรือไม่ฉันก็โดนซัดบ่อยจนอึดขึ้นแล้ว

แต่ที่แปลกหนึ่งอย่างคือในตอนแรกที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบหน้าฉันอยู่ๆเธอก็เผยรอยยิ้มที่เย้ายวนออกมาซะงั้น…บางทีเธออาจจะกำลังฝันถึงอะไรบางอย่างอยู่…และพอฉันอธิบายเหตุผลที่มาหาเธอให้ฟัง ฉันก็โดนซัดทันที 

 

“ ขอบคุณก็ได้… ”

“ หืม~นี่หรือว่านายอยากถูกซัดอีกหมัดกัน? ”

“ เอ๊ะ เอ่อ ขอบคุณมากครับคุณหนูแก้ว! ”

“ แล้วคุกเข่าล่ะ? ”

“ ไม่ทำเฟ้ย! ”

 

หลังจากที่ทะเลาะกันต่ออีกนิดหน่อยฉันก็รีบเดินหนีออกมาจากห้องนอนของเธอ

ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันกับแก้วเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่ตอน8ขวบ มักใช้เวลาร่วมกันกับเธอซะส่วนใหญ่ไม่ว่าจะกินจะนอนหรืออาบน้ำด้วยกันก็ตาม 

เมื่อก่อนฉันไม่ได้อยู่ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนในปัจจุบันแต่ฉันถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวของแก้วหรือที่ถูกเรียกว่าตระกูลไคม์ มันก็เป็นช่วงที่ดีและแย่ในเวลาเดียวกัน…

 

“ ฉันก็นึกว่านายจะมานอนด้วยกันซะอีกเมฆ…///เอ๊ะ?! นี่ฉันพูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!? …แต่เธอนี่จริงๆเลยนะมาซาโกะ ยอมให้คนอื่นจับเนื้อต้องตัวได้ยังไง หรือเพราะเป็นผู้ชายเลยยอมงั้นเหรอยะ?! ”

[ …┐( ̄ヘ ̄)┌… ]

“ ห๋า? เธอหมายความว่ายังไงกันยะมาซาโกะ! ”

 

ฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของแก้วดังมาจนถึงหน้าบ้านเลย ใจจริงฉันก็อยากหันกลับไปตะโกนเหมือนกันว่า ‘มันรบกวนคนอื่นโว้ยยย!’ เเต่มันก็เป็นเพียงเเค่ความคิด

[มาซาโกะ] ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเธอคืออาวุธโบราณระดับสูงที่ถูกค้นพบในซากโบราณสถานของญี่ปุ่น ได้ยินมาว่าบนกำแพงของซากโบราณสถานมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่บรรยายถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งสลักไว้ เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงรูปงามผู้เป็นตัวแทนของความถูกต้อง

เจ้าหญิงมาซาโกะ เธอนั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารีราวกับเทพธิดาของประชาชน ไม่มีใครคนไหนที่หวังร้ายกับเธอเลย กลับกัน ทุกคนล้วนแต่หวังให้เธอมีความสุข ยามว่างเธอมักจะออกจากปราสาทเป็นคนเดินตรวจตราคอยช่วยเหลือผู้อื่นด้วยตัวของเธอเองทั้งๆที่ตัวเองเป็นเจ้าหญิง

 

「พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ตราบใดที่พวกเธอคือคนของอาณาจักรนี้ ฉันในนามเจ้าหญิงมาซาโกะ โรเจลเบ็ต ขอให้คำสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน」

 

เธอไม่คิดว่านี่คือหน้าที่ของเจ้าหญิง แต่มันคือหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เธอไม่ได้คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องมาชดใช้บุญคุณภายหลัง เพียงแค่ไม่ต้องการให้มีใครสักคนต้องถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว และถ้ามีจริงเธอจะเป็นคนที่ถอยหลังไปอยู่กับคนๆนั้นเอง นี่คือสิ่งที่เธอเชื่อมั่น

สงครามคือเรื่องปกติของโลกทุกใบ ไม่เว้นกระทั่งอาณาจักรนี้ก็ตามก็สามารถถูกจัดเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตีได้ และเนื่องจากอาณาจักรสงบสุขก็จริงแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เพราะเน้นพัฒนาไปทางเศรษฐกิจมากกว่าทางทหารจึงลืมนึกถึงสงครามไป

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ลืมนึกถึงสงครามไปก็เพราะโลกนี้นั้นปราศจากสงครามมาแล้วหลายพันปี

 

「ฉันขอสั่งให้ขุนนางทุกคนรีบอพยพประชาชนหนีไปทางประตูตะวันออกมุ่งหน้าไปอาณาจักรคาริสซะและฉันจะนำทหารที่ยังเหลืออยู่ไปสะกัดถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้ให้นานที่สุดเอง」

 

ผู้ที่บุกโจมตีมานั้นไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง เป็นเพียงแค่คนที่อ้างตัวราชาหนึ่งคนกับทหารหนึ่งแสนนายที่ถืออาวุธครบมือ

เรื่องที่น่าเหลือเชื่อคืออีกฝ่ายใช้เวลาเพียงแค่3ชั่วโมงในบุกโจมตีอาณาจักรแห่งนี้…และเมื่อสงครามสิ้นสุด ชัยชนะก็ตกเป็นของราชาไร้นามอย่างเหนือชั้น แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะสั่งการอะไรเพิ่มเติม

เหล่าขุนนางที่ได้ชื่อว่า ผู้ภักดีต่อราชวงศ์ ได้จับตัวเจ้าหญิงมาเป็นตัวต่อรองร้องขอชีวิตน้อยๆของประชาชนต่อหน้าราชาไร้นาม แน่นอนว่าผู้ที่เจ็บปวดที่สุดคือเจ้าหญิงผู้นี้ นอกจากจะไม่สามารถอพยพประชาชนได้ทันแถมยังถูกเหล่าขุนนางที่เชื้อใจหักหลังอีก

ไม่มีประชาชนคนไหนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหล่าขุนนาง พวกมันทุกตัวล้วนแต่อยากมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น ต่อให้หลังจากนี้ต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตก็ตาม

ถึงเธอจะโศกเศร้าเพียงใดแต่ แต่ด้วยความแน่วแน่สุดท้ายของเจ้าหญิงผู้นี้ เธอตัดสินใจใช้มีดประจำราชวงศ์ที่ซ่อนไว้ปลิดชีพตัวเองต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครคาดการณ์สิ่งนี้ไว้ พวกมันคิดแค่ว่าราชาของอีกฝ่ายต้องการเจ้าหญิงรูปงามของพวกตนถึงได้บุกโจมตีมา แต่ในเมื่อเจ้าหญิงสิ้นชีวิตแล้วพวกมันจะเหลืออะไรให้ต่อรองล่ะ

 

「บริวารผู้ใดทรยศได้กระทั่งเจ้านายผู้เมตตา มันผู้นั้นจักต้องตายด้วยความทรมานที่เจ็บปวดซะยิ่งกว่านรก」

 

คำสั่งของราชาไร้นามได้ดังก้องกังวานภายในหูของพวกมันทุกคน เหล่าทหารทั้งแสนนายเริ่มออกไล่ฆ่าทุกคนอย่างทรมานตามคำสั่งของราชาไร้นาม คนรวยคนจนล้วนถูกสังหารสิ้น และหลังจากที่ไม่มีคนของอาณาจักนี้เหลืออยู่ ราชาไร้นามกับกองทัพหนึ่งแสนนายก็จากไปทางประตูตะวันออก…

เรื่องที่สลักเอาไว้บนกำแพงซากโบราณสถานนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในเรื่องราวนี้ยังมีหลายจุดที่น่าสงสัยมากมายเกินกว่าที่นักโบราณคดีจะยืนยันได้ และไม่มีบันทึกอันไหนเลยที่ระบุว่าเคยมีเจ้าหญิงชื่อมาซาโกะเคยปกครองญี่ปุ่น มันจึงฟังดูคล้ายเรื่องแต่งซะมากกว่า

 

( อ่า ถ้าจำไม่ผิดอาณาจักรนี้ชื่อว่า โร…โร…โรอะไรสักอย่างนี่แหละ )

 

ถึงอย่างนั้นมาซาโกะก็ถูกนับว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ดันมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้กลับขโมยของสำคัญระดับนี้มาประมูลขายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซะอย่างงั้น แน่นอนว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แต่เพราะพวกเขารู้สึกตัวช้ากันเกินไป พอรู้อีกทีการประมูลก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีความสามารถมากพอที่จะทวงของคืนจากผู้ชนะการประมูลไปได้ ซึ่งผู้ชนะไปก็คือทราย ไคม์ แห่งตะกูลไคม์ยังไงล่ะ พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวทราย ไคม์ แต่ที่พวกเขาหวาดกลัวกันจริงๆคือ‘อีกาพันปีก’ต่างหาก

ถึงเรื่องราวมันจะน่าเศร้า แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดเดียว เพียงแต่ว่าฉันถูกผู้ชนะการประมูลมาซาโกะ มานั่งเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเผลอจำมันได้ขึ้นใจก็เท่านั้นเอง

 

( ช่วงนี้ไม่ได้คุยกับพี่ทรายเลยแฮะ…ก็นะ ดันโชคร้ายจำเบอร์ไม่ได้เองนี่หว่า )

 

เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านฉันก็ปล่อยกายปล่อยใจทิ้งตัวนอนบนเตียงทันที ความเหนื่อยล้าในตอนนี้มันมากเกินกว่าจะให้ฉันลุกไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้แล้ว

 

“ อยากโดดเรียนจัง…แต่คงทำไม่ได้สินะ ”

 

หลังจากเปลือกตาของฉันปิดลงไม่นาน 

อยู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงของฟ้าที่กำลังปลุกฉันด้วยความกระตือรือร้น สวนทางกับฉันที่ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมาพูด ฉันมั่นใจเลยว่าตัวเองพึ่งจะหลับไปไม่กี่ชั่วโมงเอง หรือนี่จะเป็นเวรกรรมที่ฉันไปปลุกแก้วกันนะ?

อา…พอมีเรื่องคุณลุงให้คิดในสมองก็ดันลืมไปเลยซะสนิท ในทุกๆปีของการเปิดเรียนฟ้ามักจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนี่หน่า… 

 

“ พี่ค่ะๆ รีบตื่นเร็วเข้า วันนี้เปิดเรียนแล้วนะคะ! ”

“ ตอนนี้กี่โมง… ”

“ ตี5ค่ะ เป็นเวลาดีเลยใช่ไหมละคะ ”

 

อา นั่นไง ฉันว่าแล้วว่ายังนอนไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง…

 

“ พี่คิดว่าไงค่ะ เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ถึงจะไม่ได้ใส่กล่องของขวัญมาก็เถอะ ”

“ นี่ยังกล้าถามอีกเหรอ! เเน่นอนว่าน้องก็ต้องน่ารักมากที่สุดอยู่แล้วสิ! ”

 

บางครั้งฉันก็สงสัยตัวเองนะว่าบ้ารึเปล่า…แต่ก็คงคิดไปเองนั่นแหละ ใครๆก็รักน้องสาวของตัวเองใช่ไหมล่ะ?

 

“ พี่ลุกขึ้นมาแต่งตัวรอก็ได้นิคะ ไม่เห็นเป็นไรเลย วันเปิดเทอมเลยนะคะ วันเปิดเทอม ”

“ จ้าๆ ”

 

ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟห้องก่อนจะพึ่งสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง เสื้อกันหนาวสีน้ำเงินกลมกลืนกับกระโปงสีดำ เส้นผมที่ดำอมน้ำเงินถูกปล่อยให้พัดปลิวสะบัดตามแรงลม ภายใต้เสื้อกันหนาวนั่นก็น่าจะเป็นเสื้อนักเรียนตัวใหม่แน่

ฉันไม่ปล่อยให้พลาดโอกาส รีบหยิบกล้องที่เคยวางไว้ใต้เตียงออกมา ก่อนที่จะปล่อยหน้าที่ให้นิ้วชี้กดชัตเตอร์รัวๆพร้อมกับเดินวนรอบตัวฟ้าเพื่อให้ได้ภาพทุกมุม

 

“ โธ่! พี่คะ พอเถอะค่ะ ”

“ ขอโทษนะฟ้า แต่พี่จะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้แน่นอน ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นอาจจะส่วนที่ดีที่สุดของวันก็ได้ ”

 

ฟ้าได้เเสดงท่าทีเขินอายก่อนจะบิดตัวไปทางซ้ายบิดไปทางขวาเเละยกมือขึ้นมาปิดหน้ารีบวิ่งหนีออกไป

 

( หืม? นี่ฟ้ายังใส่สร้อยเส้นนั้นอยู่อีกเหรอ… )

 

ฉันตัดสินใจนอนต่ออีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นมา และถึงจะได้นอนเพิ่มไปแล้วมันก็ยังไม่ช่วยให้ฉันหายง่วงไปซะทีเดียว เปลือกตายังคงรู้สึกหนักอยู่ แขนขาเองก็รู้สึกปวดเล็กน้อย

เมื่อฉันเดินลงมาชั้นล่างก็พบฟ้าที่กำลังนั่งกินเค้กสตอเบอรี่เป็นข้าวเช้า เธอหันมาทักทายฉันอย่างอบอุ่นก่อนจะก้มหน้ากินเค้กเหมือนเดิม

 

“ ถ้ากินแต่เค้กระวังอ้วนนะฟ้า ตอนกินน่ะง่ายแต่พอถึงตอนลดนี่ลำบากสุดๆเลยนะ ”

“ อึก?! น—หนูยังไม่ได้กินเลยนะ ”

 

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่มือที่ขยับอยู่ มันกำลังตักเค้กเข้าปากไม่หยุดเหมือนมีจิตสำนึกเอง

 

“ พี่เองก็รีบกินข้าวเช้าเถอะค่ะ จะได้ไปปลุกพี่แก้วกัน ”

“ จ้าๆ ”

 

ฉันก็ไม่ได้อยากไปปลุกเธอหรอก แต่เพราะฟ้าอยากไปฉันจึงต้องตอบสนองความต้องการของน้องสาวผู้น่ารักคนนี้

 

“ ม—มีอะไรติดหน้าพี่งั้นเหรอ…? ”

“ ไม่มีค่ะ ”

“ ……. ”

 

ฉันรู้สึกกดดันมากเลยตอนนี้ เพราะฟ้าที่กินเค้กหมดแล้วไม่มีอะไรทำเลยเอาแต่มานั่งจ้องหน้าฉัน ความกดดันนี้มันบีบบังคับให้ฉันต้องยัดอาหารทั้งหมดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

เมื่อกินกันเสร็จ ฟ้าก็ลากฉันที่ท้องป่องอยู่เดินไปยังหน้าบ้านแก้วทันที จากการที่รู้จักยัยผู้หญิงคนนี้มานานก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเธอเป็นคนนอนตื่นสายมากๆและเพราะเหตุนี้ฟ้ากับฉันถึงต้องมาปลุกไปโรงเรียนทุกวัน

ในกระเป๋ากางของฉันตอนนี้ก็มีกุญแจบ้านสำรอง ทำให้ฉันสามารถเปิดประตูเข้าไปในบ้านได้ทุกเมื่อ กุญแจนี้ฉันได้รับมาพร้อมกับคำฝากฝังของพี่ชายแก้ว ‘ฝากดูแลน้น้องสาวของฉันด้วยล่ะ’ เขาพูดพร้อมกับยื่นกุญแจมาให้

ฉันเองก็สับสนตอนที่ได้มาว่าจะให้มาทำไม แต่พอลองมองไปที่สายตามีเลศนัยนั่นแล้วก็เข้าใจทันที ไอ้สายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ฉันไม่ว่านะถ้าหากนายอยากเป็นน้องเขยฉัน’ หลังจากเขายื่นกุญแจให้เสร็จก็รีบวิ่งหนีหายไปเลย

นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ในตอนนั้นกันนะ ตอนนั้นฉันยังแค่13ปีอยู่เลยแท้ๆ…

 

“ พี่เเก้วคะ! วันนี้เปิดเรียนวันเเรกนะคะ ห้ามไปสายเด็ดขาดสำหรับคนที่เป็นนักเรียนตัวอย่างนะคะ พี่แก้วคะ? ”

 

ฟ้าได้กดออดหลายต่อหลายครั้งเเล้วเเต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาจากหลังบานประตูสักที ฟ้าจึงหันมามองที่ฉันเหมือนกำลังจะสื่อว่าทำไงต่อดี

ฉันผู้ซึ่งทนดูมานานจนรู้สึกขี้เกียจได้หยิบเอากุญแจบ้านสำรองออกมาใช้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆจนฉันต้องพกกุญแจบ้านสำรองติดตัวไว้ตลอด ถึงพอคิดดูแล้วมันจะดูแปลกๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เอามาใช้ในทางที่ผิดสักหน่อยนี่นะ…

 

( เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? )

 

หัวใจของฉันพลันเต้นรัว หลังจากเปิดประตูไปฉันเห็นข้าวของที่แตกกระจายเละเทะไปหมดเต็มอยู่ทั่วทางเดิน ฉันตัดสินใจรีบปิดประตูทันทีก่อนที่ฟ้าจะได้เห็นด้านใน

 

“ ฟ้ารีบกลับบ้านไปก่อนนะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าวันนี้พี่ขอหยุดเรียน… ”

“ ทำไมเหรอพี่คะ? ”

“ ไม่มีอะไรหรอก เเค่พอดีพี่มีเรื่องต้องทำสักหน่อย… ”

 

ฟ้าไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อก่อนที่จะเดินกลับบ้านไปพร้อมกับอาการงุนงง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงจังจากน้ำเสียงของฉัน

ฉันไม่มีทางปล่อยให้ฟ้าได้เห็นสิ่งนั้นเด็ดขาด จากกลิ่นที่เหม็นคาวจนตีเข้าจมูกของฉันตอนเปิดประตู ฉันพอจะเดาได้นิดหน่อยว่าด้านในต้องมีสิ่งนั้นแน่….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชาโลกเบื้องหลัง 10: อาวุธโบราณมาซาโกะ(4)

Now you are reading ราชาโลกเบื้องหลัง Chapter 10: อาวุธโบราณมาซาโกะ(4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ ช้ามาก! คิดจะให้ฉันอดนอนทั้งคืนเลยเหรอยะ! คราวหน้าถ้านายอยากยืมของก็เข้ามาเอาไปเองเลยสิ มันน่ารำคาญนะเวลาโดนปลุกขึ้นมากลางดึก ”

“ อา…ขอโทษด้วยละกัน แต่เธออยากให้ฉันเข้ามาข้างในบ้านโดยไม่บอกเธอเลยรึไง? ฉันไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโรคจิตหรอกนะ ”

 

จู่ๆแก้วก็เงียบลงและส่งสายตามาเหมือนเห็นคนโง่

 

“ นายจะสนเรื่องนั้นไปทำไม ยังไงนายก็เป็นคนโรคจิตอยู่แล้วนี่ สบายใจได้น่า~ ”

“ จะไปสบายใจได้ไงฟะ!? ”

 

เฮ้อ~ยัยบ้านี่ทำฉันปวดหัวได้ทุกครั้งที่เจอกันเลยแฮะ

 

“ งั้นช่างมันก่อนก็ได้ แต่นายยังไม่ได้ขอบคุณฉันเลยนะที่ยอมแหกขี้ตาตื่นมานั่งรอทั้งๆที่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุกเข่าก้มกราบเท้าฉันพร้อมกับตะโกนขอบคุณออกมาดังๆ20ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ฉันจะให้อภัย…ปฏิบัติซะไอ้หมูโสโครก! ”

“ ใครมันจะไปทำกัน!? แล้วไปจำไอ้คำแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย?! ” 

 

อา…ถ้ารู้อย่างงี้ไม่น่าแวะมาคืนมาซาโกะก่อนกลับบ้านเลย วุ่นวายมากกว่าเดิมซะอีก…

ก่อนที่ฉันจะไปบ้านคุณลุง ฉันได้แวะเข้ามาหาแก้วก่อน…ไม่สิ ต้องบอกว่าแวะเข้ามาหาซาโกะต่างหาก 

ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น และอีกหลายๆห้อง ฉันลองค้นหาทั่วบ้านแก้วหมดแล้วแต่ก็ยังไม่เจอมาซาโกะเลยสักที และเหลืออยู่ห้องเดียวที่ฉันยังไม่ได้เข้าไปค้นดูมันก็คือห้องนอนนั่นเอง

ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆซึ่งแก้วก็น่าจะนอนอยู่ในห้องนั้น

ฉันเองก็สามารถหามาซาโกะเจอได้ง่ายๆโดยการปลุกแก้วขึ้นมาถาม แต่เหตุผลที่ฉันไม่ทำในตอนแรกก็เพราะเธอเป็นพวกเกลียดการถูกรบกวนตอนนอนเอามากๆ แต่มันก็จะแปลกๆล่ะนะถ้าหากฉันเข้าไปค้นภายในห้องนอนของเด็กผู้หญิงขณะเธอนอนหลับ

เพราะงั้นฉันก็เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปลุกเธอให้ตื่น และก็เป็นอย่างที่คิด…ฉันถูกเธอซัดหน้าไปหนึ่งหมัดจังๆ ดูเหมือนเธอจะออมแรงให้นิดหน่อยด้วยเลยไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไรหรือไม่ฉันก็โดนซัดบ่อยจนอึดขึ้นแล้ว

แต่ที่แปลกหนึ่งอย่างคือในตอนแรกที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบหน้าฉันอยู่ๆเธอก็เผยรอยยิ้มที่เย้ายวนออกมาซะงั้น…บางทีเธออาจจะกำลังฝันถึงอะไรบางอย่างอยู่…และพอฉันอธิบายเหตุผลที่มาหาเธอให้ฟัง ฉันก็โดนซัดทันที 

 

“ ขอบคุณก็ได้… ”

“ หืม~นี่หรือว่านายอยากถูกซัดอีกหมัดกัน? ”

“ เอ๊ะ เอ่อ ขอบคุณมากครับคุณหนูแก้ว! ”

“ แล้วคุกเข่าล่ะ? ”

“ ไม่ทำเฟ้ย! ”

 

หลังจากที่ทะเลาะกันต่ออีกนิดหน่อยฉันก็รีบเดินหนีออกมาจากห้องนอนของเธอ

ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันกับแก้วเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่ตอน8ขวบ มักใช้เวลาร่วมกันกับเธอซะส่วนใหญ่ไม่ว่าจะกินจะนอนหรืออาบน้ำด้วยกันก็ตาม 

เมื่อก่อนฉันไม่ได้อยู่ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนในปัจจุบันแต่ฉันถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวของแก้วหรือที่ถูกเรียกว่าตระกูลไคม์ มันก็เป็นช่วงที่ดีและแย่ในเวลาเดียวกัน…

 

“ ฉันก็นึกว่านายจะมานอนด้วยกันซะอีกเมฆ…///เอ๊ะ?! นี่ฉันพูดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!? …แต่เธอนี่จริงๆเลยนะมาซาโกะ ยอมให้คนอื่นจับเนื้อต้องตัวได้ยังไง หรือเพราะเป็นผู้ชายเลยยอมงั้นเหรอยะ?! ”

[ …┐( ̄ヘ ̄)┌… ]

“ ห๋า? เธอหมายความว่ายังไงกันยะมาซาโกะ! ”

 

ฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของแก้วดังมาจนถึงหน้าบ้านเลย ใจจริงฉันก็อยากหันกลับไปตะโกนเหมือนกันว่า ‘มันรบกวนคนอื่นโว้ยยย!’ เเต่มันก็เป็นเพียงเเค่ความคิด

[มาซาโกะ] ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเธอคืออาวุธโบราณระดับสูงที่ถูกค้นพบในซากโบราณสถานของญี่ปุ่น ได้ยินมาว่าบนกำแพงของซากโบราณสถานมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่บรรยายถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งสลักไว้ เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงรูปงามผู้เป็นตัวแทนของความถูกต้อง

เจ้าหญิงมาซาโกะ เธอนั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารีราวกับเทพธิดาของประชาชน ไม่มีใครคนไหนที่หวังร้ายกับเธอเลย กลับกัน ทุกคนล้วนแต่หวังให้เธอมีความสุข ยามว่างเธอมักจะออกจากปราสาทเป็นคนเดินตรวจตราคอยช่วยเหลือผู้อื่นด้วยตัวของเธอเองทั้งๆที่ตัวเองเป็นเจ้าหญิง

 

「พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ตราบใดที่พวกเธอคือคนของอาณาจักรนี้ ฉันในนามเจ้าหญิงมาซาโกะ โรเจลเบ็ต ขอให้คำสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน」

 

เธอไม่คิดว่านี่คือหน้าที่ของเจ้าหญิง แต่มันคือหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เธอไม่ได้คาดหวังว่าคนอื่นจะต้องมาชดใช้บุญคุณภายหลัง เพียงแค่ไม่ต้องการให้มีใครสักคนต้องถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียว และถ้ามีจริงเธอจะเป็นคนที่ถอยหลังไปอยู่กับคนๆนั้นเอง นี่คือสิ่งที่เธอเชื่อมั่น

สงครามคือเรื่องปกติของโลกทุกใบ ไม่เว้นกระทั่งอาณาจักรนี้ก็ตามก็สามารถถูกจัดเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตีได้ และเนื่องจากอาณาจักรสงบสุขก็จริงแต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เพราะเน้นพัฒนาไปทางเศรษฐกิจมากกว่าทางทหารจึงลืมนึกถึงสงครามไป

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ลืมนึกถึงสงครามไปก็เพราะโลกนี้นั้นปราศจากสงครามมาแล้วหลายพันปี

 

「ฉันขอสั่งให้ขุนนางทุกคนรีบอพยพประชาชนหนีไปทางประตูตะวันออกมุ่งหน้าไปอาณาจักรคาริสซะและฉันจะนำทหารที่ยังเหลืออยู่ไปสะกัดถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้ให้นานที่สุดเอง」

 

ผู้ที่บุกโจมตีมานั้นไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง เป็นเพียงแค่คนที่อ้างตัวราชาหนึ่งคนกับทหารหนึ่งแสนนายที่ถืออาวุธครบมือ

เรื่องที่น่าเหลือเชื่อคืออีกฝ่ายใช้เวลาเพียงแค่3ชั่วโมงในบุกโจมตีอาณาจักรแห่งนี้…และเมื่อสงครามสิ้นสุด ชัยชนะก็ตกเป็นของราชาไร้นามอย่างเหนือชั้น แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะสั่งการอะไรเพิ่มเติม

เหล่าขุนนางที่ได้ชื่อว่า ผู้ภักดีต่อราชวงศ์ ได้จับตัวเจ้าหญิงมาเป็นตัวต่อรองร้องขอชีวิตน้อยๆของประชาชนต่อหน้าราชาไร้นาม แน่นอนว่าผู้ที่เจ็บปวดที่สุดคือเจ้าหญิงผู้นี้ นอกจากจะไม่สามารถอพยพประชาชนได้ทันแถมยังถูกเหล่าขุนนางที่เชื้อใจหักหลังอีก

ไม่มีประชาชนคนไหนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหล่าขุนนาง พวกมันทุกตัวล้วนแต่อยากมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น ต่อให้หลังจากนี้ต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตก็ตาม

ถึงเธอจะโศกเศร้าเพียงใดแต่ แต่ด้วยความแน่วแน่สุดท้ายของเจ้าหญิงผู้นี้ เธอตัดสินใจใช้มีดประจำราชวงศ์ที่ซ่อนไว้ปลิดชีพตัวเองต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครคาดการณ์สิ่งนี้ไว้ พวกมันคิดแค่ว่าราชาของอีกฝ่ายต้องการเจ้าหญิงรูปงามของพวกตนถึงได้บุกโจมตีมา แต่ในเมื่อเจ้าหญิงสิ้นชีวิตแล้วพวกมันจะเหลืออะไรให้ต่อรองล่ะ

 

「บริวารผู้ใดทรยศได้กระทั่งเจ้านายผู้เมตตา มันผู้นั้นจักต้องตายด้วยความทรมานที่เจ็บปวดซะยิ่งกว่านรก」

 

คำสั่งของราชาไร้นามได้ดังก้องกังวานภายในหูของพวกมันทุกคน เหล่าทหารทั้งแสนนายเริ่มออกไล่ฆ่าทุกคนอย่างทรมานตามคำสั่งของราชาไร้นาม คนรวยคนจนล้วนถูกสังหารสิ้น และหลังจากที่ไม่มีคนของอาณาจักนี้เหลืออยู่ ราชาไร้นามกับกองทัพหนึ่งแสนนายก็จากไปทางประตูตะวันออก…

เรื่องที่สลักเอาไว้บนกำแพงซากโบราณสถานนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในเรื่องราวนี้ยังมีหลายจุดที่น่าสงสัยมากมายเกินกว่าที่นักโบราณคดีจะยืนยันได้ และไม่มีบันทึกอันไหนเลยที่ระบุว่าเคยมีเจ้าหญิงชื่อมาซาโกะเคยปกครองญี่ปุ่น มันจึงฟังดูคล้ายเรื่องแต่งซะมากกว่า

 

( อ่า ถ้าจำไม่ผิดอาณาจักรนี้ชื่อว่า โร…โร…โรอะไรสักอย่างนี่แหละ )

 

ถึงอย่างนั้นมาซาโกะก็ถูกนับว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ดันมีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้กลับขโมยของสำคัญระดับนี้มาประมูลขายหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซะอย่างงั้น แน่นอนว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นย่อมไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แต่เพราะพวกเขารู้สึกตัวช้ากันเกินไป พอรู้อีกทีการประมูลก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีความสามารถมากพอที่จะทวงของคืนจากผู้ชนะการประมูลไปได้ ซึ่งผู้ชนะไปก็คือทราย ไคม์ แห่งตะกูลไคม์ยังไงล่ะ พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวทราย ไคม์ แต่ที่พวกเขาหวาดกลัวกันจริงๆคือ‘อีกาพันปีก’ต่างหาก

ถึงเรื่องราวมันจะน่าเศร้า แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดเดียว เพียงแต่ว่าฉันถูกผู้ชนะการประมูลมาซาโกะ มานั่งเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเผลอจำมันได้ขึ้นใจก็เท่านั้นเอง

 

( ช่วงนี้ไม่ได้คุยกับพี่ทรายเลยแฮะ…ก็นะ ดันโชคร้ายจำเบอร์ไม่ได้เองนี่หว่า )

 

เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านฉันก็ปล่อยกายปล่อยใจทิ้งตัวนอนบนเตียงทันที ความเหนื่อยล้าในตอนนี้มันมากเกินกว่าจะให้ฉันลุกไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้แล้ว

 

“ อยากโดดเรียนจัง…แต่คงทำไม่ได้สินะ ”

 

หลังจากเปลือกตาของฉันปิดลงไม่นาน 

อยู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงของฟ้าที่กำลังปลุกฉันด้วยความกระตือรือร้น สวนทางกับฉันที่ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมาพูด ฉันมั่นใจเลยว่าตัวเองพึ่งจะหลับไปไม่กี่ชั่วโมงเอง หรือนี่จะเป็นเวรกรรมที่ฉันไปปลุกแก้วกันนะ?

อา…พอมีเรื่องคุณลุงให้คิดในสมองก็ดันลืมไปเลยซะสนิท ในทุกๆปีของการเปิดเรียนฟ้ามักจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนี่หน่า… 

 

“ พี่ค่ะๆ รีบตื่นเร็วเข้า วันนี้เปิดเรียนแล้วนะคะ! ”

“ ตอนนี้กี่โมง… ”

“ ตี5ค่ะ เป็นเวลาดีเลยใช่ไหมละคะ ”

 

อา นั่นไง ฉันว่าแล้วว่ายังนอนไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง…

 

“ พี่คิดว่าไงค่ะ เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ถึงจะไม่ได้ใส่กล่องของขวัญมาก็เถอะ ”

“ นี่ยังกล้าถามอีกเหรอ! เเน่นอนว่าน้องก็ต้องน่ารักมากที่สุดอยู่แล้วสิ! ”

 

บางครั้งฉันก็สงสัยตัวเองนะว่าบ้ารึเปล่า…แต่ก็คงคิดไปเองนั่นแหละ ใครๆก็รักน้องสาวของตัวเองใช่ไหมล่ะ?

 

“ พี่ลุกขึ้นมาแต่งตัวรอก็ได้นิคะ ไม่เห็นเป็นไรเลย วันเปิดเทอมเลยนะคะ วันเปิดเทอม ”

“ จ้าๆ ”

 

ฉันลุกขึ้นมาเปิดไฟห้องก่อนจะพึ่งสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง เสื้อกันหนาวสีน้ำเงินกลมกลืนกับกระโปงสีดำ เส้นผมที่ดำอมน้ำเงินถูกปล่อยให้พัดปลิวสะบัดตามแรงลม ภายใต้เสื้อกันหนาวนั่นก็น่าจะเป็นเสื้อนักเรียนตัวใหม่แน่

ฉันไม่ปล่อยให้พลาดโอกาส รีบหยิบกล้องที่เคยวางไว้ใต้เตียงออกมา ก่อนที่จะปล่อยหน้าที่ให้นิ้วชี้กดชัตเตอร์รัวๆพร้อมกับเดินวนรอบตัวฟ้าเพื่อให้ได้ภาพทุกมุม

 

“ โธ่! พี่คะ พอเถอะค่ะ ”

“ ขอโทษนะฟ้า แต่พี่จะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้แน่นอน ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นอาจจะส่วนที่ดีที่สุดของวันก็ได้ ”

 

ฟ้าได้เเสดงท่าทีเขินอายก่อนจะบิดตัวไปทางซ้ายบิดไปทางขวาเเละยกมือขึ้นมาปิดหน้ารีบวิ่งหนีออกไป

 

( หืม? นี่ฟ้ายังใส่สร้อยเส้นนั้นอยู่อีกเหรอ… )

 

ฉันตัดสินใจนอนต่ออีกสักพักก่อนจะลุกขึ้นมา และถึงจะได้นอนเพิ่มไปแล้วมันก็ยังไม่ช่วยให้ฉันหายง่วงไปซะทีเดียว เปลือกตายังคงรู้สึกหนักอยู่ แขนขาเองก็รู้สึกปวดเล็กน้อย

เมื่อฉันเดินลงมาชั้นล่างก็พบฟ้าที่กำลังนั่งกินเค้กสตอเบอรี่เป็นข้าวเช้า เธอหันมาทักทายฉันอย่างอบอุ่นก่อนจะก้มหน้ากินเค้กเหมือนเดิม

 

“ ถ้ากินแต่เค้กระวังอ้วนนะฟ้า ตอนกินน่ะง่ายแต่พอถึงตอนลดนี่ลำบากสุดๆเลยนะ ”

“ อึก?! น—หนูยังไม่ได้กินเลยนะ ”

 

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่มือที่ขยับอยู่ มันกำลังตักเค้กเข้าปากไม่หยุดเหมือนมีจิตสำนึกเอง

 

“ พี่เองก็รีบกินข้าวเช้าเถอะค่ะ จะได้ไปปลุกพี่แก้วกัน ”

“ จ้าๆ ”

 

ฉันก็ไม่ได้อยากไปปลุกเธอหรอก แต่เพราะฟ้าอยากไปฉันจึงต้องตอบสนองความต้องการของน้องสาวผู้น่ารักคนนี้

 

“ ม—มีอะไรติดหน้าพี่งั้นเหรอ…? ”

“ ไม่มีค่ะ ”

“ ……. ”

 

ฉันรู้สึกกดดันมากเลยตอนนี้ เพราะฟ้าที่กินเค้กหมดแล้วไม่มีอะไรทำเลยเอาแต่มานั่งจ้องหน้าฉัน ความกดดันนี้มันบีบบังคับให้ฉันต้องยัดอาหารทั้งหมดเข้าปากอย่างรวดเร็ว

เมื่อกินกันเสร็จ ฟ้าก็ลากฉันที่ท้องป่องอยู่เดินไปยังหน้าบ้านแก้วทันที จากการที่รู้จักยัยผู้หญิงคนนี้มานานก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเธอเป็นคนนอนตื่นสายมากๆและเพราะเหตุนี้ฟ้ากับฉันถึงต้องมาปลุกไปโรงเรียนทุกวัน

ในกระเป๋ากางของฉันตอนนี้ก็มีกุญแจบ้านสำรอง ทำให้ฉันสามารถเปิดประตูเข้าไปในบ้านได้ทุกเมื่อ กุญแจนี้ฉันได้รับมาพร้อมกับคำฝากฝังของพี่ชายแก้ว ‘ฝากดูแลน้น้องสาวของฉันด้วยล่ะ’ เขาพูดพร้อมกับยื่นกุญแจมาให้

ฉันเองก็สับสนตอนที่ได้มาว่าจะให้มาทำไม แต่พอลองมองไปที่สายตามีเลศนัยนั่นแล้วก็เข้าใจทันที ไอ้สายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ฉันไม่ว่านะถ้าหากนายอยากเป็นน้องเขยฉัน’ หลังจากเขายื่นกุญแจให้เสร็จก็รีบวิ่งหนีหายไปเลย

นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่ในตอนนั้นกันนะ ตอนนั้นฉันยังแค่13ปีอยู่เลยแท้ๆ…

 

“ พี่เเก้วคะ! วันนี้เปิดเรียนวันเเรกนะคะ ห้ามไปสายเด็ดขาดสำหรับคนที่เป็นนักเรียนตัวอย่างนะคะ พี่แก้วคะ? ”

 

ฟ้าได้กดออดหลายต่อหลายครั้งเเล้วเเต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาจากหลังบานประตูสักที ฟ้าจึงหันมามองที่ฉันเหมือนกำลังจะสื่อว่าทำไงต่อดี

ฉันผู้ซึ่งทนดูมานานจนรู้สึกขี้เกียจได้หยิบเอากุญแจบ้านสำรองออกมาใช้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆจนฉันต้องพกกุญแจบ้านสำรองติดตัวไว้ตลอด ถึงพอคิดดูแล้วมันจะดูแปลกๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เอามาใช้ในทางที่ผิดสักหน่อยนี่นะ…

 

( เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? )

 

หัวใจของฉันพลันเต้นรัว หลังจากเปิดประตูไปฉันเห็นข้าวของที่แตกกระจายเละเทะไปหมดเต็มอยู่ทั่วทางเดิน ฉันตัดสินใจรีบปิดประตูทันทีก่อนที่ฟ้าจะได้เห็นด้านใน

 

“ ฟ้ารีบกลับบ้านไปก่อนนะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าวันนี้พี่ขอหยุดเรียน… ”

“ ทำไมเหรอพี่คะ? ”

“ ไม่มีอะไรหรอก เเค่พอดีพี่มีเรื่องต้องทำสักหน่อย… ”

 

ฟ้าไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อก่อนที่จะเดินกลับบ้านไปพร้อมกับอาการงุนงง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความจริงจังจากน้ำเสียงของฉัน

ฉันไม่มีทางปล่อยให้ฟ้าได้เห็นสิ่งนั้นเด็ดขาด จากกลิ่นที่เหม็นคาวจนตีเข้าจมูกของฉันตอนเปิดประตู ฉันพอจะเดาได้นิดหน่อยว่าด้านในต้องมีสิ่งนั้นแน่….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+