ราชินีพลิกสวรรค์ 17 กล้าเดิมพันหรือไม่

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 17 กล้าเดิมพันหรือไม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มาถึงรวดเร็วนัก เจียงหลีมองด้วยสายตาเย็นชา  

 

 

ทันใดนั้น นางสังเกตุเห็นสายตาของลู่เจี้ยที่มองมาที่นาง นางเงยใบหน้าเล็กๆ จ้องไปที่ชายหนุ่มผู้สูงส่งราวกับเทพบุตร  

 

 

“ให้พวกเขาเข้ามา” ลู่เจี้ยเผยรอยยิ้มอย่างลึกลับออกมา  

 

 

ครั้งนี้เจียงหลีไม่ได้รู้สึกสับสนกับรอยยิ้มของผู้ชาย นางขมวดคิ้ว สายตาอัดแน่นไปด้วยความคิดว่าชายผู้นี้คิดจะทำอะไรอีก นางรู้ว่านางมีเนตรญาณแล้ว แต่ว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร ตระกูลเย่ว์ก็มาเสียก่อน แถมผู้ชายแบบลู่เจี้ยก็เป็นคนที่ยากจะคาดเดา  

 

 

“ลุกขึ้น มายืนข้างข้า” ลู่เจี้ยกล่าวกับเจียงหลีในทันใด  

 

 

เจียงหลีกะพริบตา ลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินไปยืนอยู่หลังลู่เจี้ย และผู้อารักขาที่มอบหมายให้ดูแลนาง ก็ไปยืนข้างหลังนางดั่งเงา พร้อมกับทำความเคารพ  

 

 

เจียงหลีมองเขาอย่างสงสัย และมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ นางรับรู้ได้ว่าที่ผู้อารักแสดงความเคารพยำเกรงนั้นไม่ใช่เพราะลู่เจี้ยแต่เป็นเพราะนาง   

 

 

ตอนที่ข้าปลุกเนตรญาณ มันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้ท่าทีของสองคนนี้เปลี่ยนไป เจียงหลีสงบความคิดลง มองไปที่ลู่เจี้ย นางอยากรู้ว่าชายคนนี้คิดจะทำเช่นใดอีก  

 

 

ถ้าไม่นับการลอบโจมตีที่เจอกันครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีได้เข้าใกล้ลู่เจี้ยมากเช่นนี้  

 

 

นางยืนอยู่ข้างหลังเขา ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวน แต่ว่านางกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่ลอยมาอย่างชัดเจน  

 

 

หนึ่งในนั้นคือกลิ่นธูปอ่อนๆ และยังปะปนกับกลิ่นหอมที่ยากจะแยกออก ไม่รู้ว่าใช้เครื่องหอมเครื่องเทศอะไร แต่กลิ่นนี้ช่างเป็นกลิ่นที่มีความพิเศษ ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นยากที่จะลืม! เจียงหลีคิดในใจ  

 

 

“เจียงหลีเจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้” เมื่อภายนอกมีเงาคนเกิดขึ้น ลู่เจี้ยกล่าวกับเจียงหลี  

 

 

เจียงหลีชะงัก นางคิดไตร่ตรองชั่วขณะ สิ่งที่นางกำลังคิดไม่ใช่คำตอบของคำถาม แต่เป็นสิ่งที่ชายคนนี้ตั้งใจพูดมากกว่า   

 

 

ดูเหมือนว่าฝ่ายชายก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากนาง หลังจากที่พูดคำนี้เสร็จก็มองไปที่เงาคน  

 

 

“คุณหนู ผู้ที่มาท่านแรกคือเย่ว์ชิงหลิว เป็นนายใหญ่ของตระกูลเย่ว์ บุคคลที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาคือ ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและลำดับที่สองเย่ว์คงกับเย่ว์เซิง พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนจนถึงหลิงเจี้ยงระดับเก้าทั้งคู่ ส่วนเย่ว์ชิงเป็นหลิงเจี้ยงระดับเจ็ด”   

 

 

เจียงหลีหันกลับมา มองไปคิดไปหันไปทางผู้อารักขา ผู้อารักขายิ้มให้พร้อมกับก้มหัวลง  

 

 

คุณหนูอย่างนั้นหรือ  

 

 

นางกลายเป็นคุณหนูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นางไม่ใช่แค่ทาสรับใช้หรอกหรือ  

 

 

น่าแปลก ช่างน่าแปลกเสียจริง  

 

 

เจียงหลีวางคำถามในใจลงก่อน มองไปที่เย่ว์คงและเย่ว์เซิงที่ยืนข้างเย่ว์ชิงหลิว เป็นเพราะนางได้รับความทรงจำของเจ้าของเดิมมา จึงทำให้นางรู้จักเย่ว์ชิงหลิวแต่ทว่า เย่ว์คงกับเย่ว์เซิงกลับไม่รู้ ในฐานะผู้อาวุโส จะออกมาให้ผู้คนพบเห็นง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ว่าคิดไม่ถึงที่วันนี้เย่ว์ชิงหลิวมาที่เรือนตระกูลลู่ มิหนำซ้ำยังได้พาผู้อาวุโสทั้งสองมาด้วย ตระกูลเย่ว์มีผู้อาวุโสทั้งหมดกี่คน เจียงหลีก็ไม่รู้ ทว่านางดูออกว่าเย่ว์ชิงหลิวมาเพราะนาง คิดถึงตรงนี้ เจียงหลีกระพริบตา ภายในใจเย้ยหยัน  

 

 

“เย่ว์ชิงหลิว แห่งตระกูลเย่ว์พาผู้อาวุโสสองท่าน มากราบเยี่ยมนายน้อย” หลังจากที่เย่ว์ชิงหลิวมาถึง ก็ยื่นมือคำนับทำความเคารพต่อลู่เจี้ย  

 

 

ความเคารพที่อยู่ในคำพูด ดูแล้วไม่มีความจริงใจสักเท่าไหร่   

 

 

เจียงหลีฟังออก และเชื่อว่าลู่เจี้ยก็เข้าใจแบบนั้นเช่นกัน  

 

 

“นั่งก่อนเถิด” ลู่เจี้ยทำทีไม่ได้สนใจนัก  

 

 

เย่ว์ชิงหลิวกระพริบตา แอบซ่อนบางอย่างในใจ บารมีของตระกูลลู่ ทำให้บุตรชายคนนี้เป็นที่ภาคภูมิ มิฉะนั้น คนไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ จะสามารถเชิดหน้าชูตาต่อหน้าเขาได้อย่างไร   

 

 

“ขอบพระคุณนายน้อยเป็นอย่างยิ่ง” ท่าทีของเย่ว์ชิงหลิวยิ่งอยู่ยิ่งไม่จริงใจ  

 

 

เจียงหลีมองคิ้วขมวด แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป  

 

 

เย่ว์ชิงหลิวพาเย่ว์คงกับเย่ว์เซิงไปนั่ง แววตาของเขาเยือกเย็น เล็งสายตาไปที่เจียงหลีที่อยู่หลังลู่เจี้ย แสดงความอาฆาตอย่างเปิดเผย  

 

 

“เหตุไฉนวันนี้ตระกูลเย่ว์จึงได้สะดวกแวะมาจวนตระกูลลู่ได้” ลู่เจี้ยถาม  

 

 

สะดวกอย่างนั้นหรือ  

 

 

เย่ว์ชิงหลิวแสดงแววตาไม่พอใจ  

 

 

ตระกลูลู่ได้แสดงออกว่าต่อต้านตระกูลเย่ว์ในเมืองซูหนาน และตระกูลเย่ว์ยังถูกทาสราคาถูกตบหน้า กลายเป็นตัวตลกของเมืองซูหนาน ยังจะกล้าถามอีกว่าเหตุไฉนเขาจึงมาที่นี่  

 

 

วันนี้ เย่ว์หนานซีลูกชายของเขา ยังคงหลับใหลอยู่ในนิทรา!  

 

 

“ข้อขอถามนายน้อยลู่ ตระกูลเย่ว์ของข้ามีเหตุหมางใจกับตระกูลลู่อะไร” เย่ว์ชิงหลิวถาม  

 

 

“ไม่มี” ลู่เจี้ยตอบอย่างไม่คิดอะไร  

 

 

เย่ว์ชิงหลิวหรี่ตา มีสิ่งที่อยากพูดในใจ แต่กลับรู้สึกสั่นไหวในใจขึ้นมา ท่าทีของลู่เจี้ย ทำให้เขาเดาทางไม่ถูก  

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้ผู้ร้ายที่ทำให้ข้าเสียหน้าเช่นนี้ก็มีเพียงคนเดียว ขอให้นายน้อยส่งมอบคนนี้ให้ข้าจัดการด้วย” เขาไม่กล้าพูดถึงอาการบาดเจ็บของลูกชาย เพราะเป็นเย่ว์ซีหนานเองที่เป็นคนลงมือก่อน เขาไม่อยากผิดใจกับตระกลูลู่ เพราะเรื่องวันนี้ แต่ว่ากับเจียงหลี เขาไม่สามารถปล่อยให้ลอยนวลได้อย่างแน่นอน  

 

 

น้ำเสียงของเย่ว์ชิงหลิวแข็งกระด้าง ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้ว ภายในใจเย็นวาบ  

 

 

ลู่เจี้ยกล่าวว่า “รู้หรือไม่เหตุใดตระกูลเย่ว์ถึงสามารถนั่งตรงนี้ เปิดปากพล่ามอยู่ได้ เพราะว่าเขาคือผู้ฝึกเนตรญาณ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้มีเนตรญาณที่ระดับไม่น้อย”  

 

 

คำพูดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องการกล่าวกับเจียงหลี  

 

 

เจียงหลีตะลึงงัน เย่ว์ชิงหลิวก็ตะลึงเช่นกัน อีกคนกำลังครุ่นคิด อีกคนสับสนงงงวย  

 

 

เจียงหลีเข้าใจในบัดดล  

 

 

นางเข้าใจความตั้งใจของชายคนนี้ เขายืมตัวเย่ว์ชิงหลิวเพื่อบอกกับตัวนางเองว่า ในโลกนี้ ตัวเองแข็งแกร่งจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชาติตระกูล ภูมิหลัง ถึงแม้ว่าจะทำให้ศัตรูรู้สึกกลัว แต่ก็ไม่สามารถสยบศัตรูได้อย่างแท้จริง หากวันนี้ เจียงหลีกลายเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูง หรือว่าลู่เจี้ยสามารถฝึกฝนเนตรญาณ และมีพระสวรรค์ที่เทียบไม่ได้ เย่ว์ชิงหลิวจะยังกล้ามาหาอีกหรือไม่  

 

 

“นายน้อยลู่ ท่านกล่าววาจานี้หมายความเช่นไร” เย่ว์ชิงหลิวกล่าวอย่างไม่พอใจ  

 

 

“ผู้อาวุโส อย่าเพิ่งใจร้อน ตระกูลลู่เป็นตระกูลขุนนาง รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่ปกป้องทาสราคาถูก จนกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรอก” เย่ว์คงกล่าวแก่เย่ว์ชิงหลิว  

 

 

คำพูดบางคำของเขา กำลังประชดลู่เจี้ยอย่างชัดเจน  

 

 

เย่ว์เซิงก็กล่าวตรงไปตรงมา “นายน้อยลู่ ตระกูลเย่ว์เคารพตระกลูลู่มาโดยตลอด ทาสราคาถูกนี้ก็เป็นปัญหาภายในของตระกูล นายน้อยลู่จะเข้ามาข้องเกี่ยวทำไมเล่า” พูดไปพูดมาความหมายของทั้งสามก็คือจะให้ลู่เจี้ยสละเจียงหลีเสีย  

 

 

สองคนนี้ คำก็ทาสราคาถูก สองคำก็ทาสต่ำต้อย ตั้งแต่ต้นจบจบ ไม่ได้มองหน้าเจียงหลีด้วยซ้ำ นางหัวเราะในใจ สายตายิ่งอยู่ยิ่งเยือกเย็น  

 

 

“งั้นหรือ ทุกคนมาเพื่อจะมาขอคน จะให้คนอื่นหัวเราะเยาะเย้ย ว่าเรือนตระกูลลู่แค่สาวใช้คนเดียวก็รักษาไว้ไม่ได้งั้นหรือ” ลู่เจี้ยกล่าวแบบขบขัน  

 

 

คนทั้งสามจากตระกูลเย่ว์ขมวดคิ้วพร้อมกัน  

 

 

“เจียงหลี เจ้าพูดซิ ควรต้องทำอย่างไร” ลู่เจี้ยมองไปที่นางอีกครั้ง  

 

 

เจียงหลีใจเต้น ภายใต้ใบหน้าที่หล่อล่มเมืองได้ นางคล้ายมองออก ชายผู้นี้ คิดจะทำเช่นใดอีก  

 

 

“เจียงหลี ข้าเห็นแก่มิตรภาพที่มีต่อบิดามารดาเจ้า จึงเก็บเจ้ามาเลี้ยง ไม่ให้เจ้าใช้ชีวิตเร่ร่อนบนถนน แล้วเจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้รึ” เย่ว์ชิงหลิวถามด้วยความโกรธ  

 

 

เจียงหลีเย้ยหยัน มองไปหาเขาด้วยสายตาแหลมคมราวกับมีด “ท่านก็กล้าดีมากที่มาพูดเช่นนี้” คำพูดนั้นแฝงด้วยความหยิ่งผยองไม่แยแสและเยาะเย้ย ทำให้สีหน้าของเย่ว์ชิงหลิวเกิดความไม่พอใจ  

 

 

“ยโสโอหัง”  

 

 

“ทาสราคาถูกเช่นเจ้า กล้านักที่มาพูดเช่นนี้”  

 

 

เย่ว์คงกับเย่ว์เซิงโมโห ตะโกนขึ้นพร้อมกัน  

 

 

เจียงหลีไม่มองพวกเขา แต่จ้องไปที่เย่ว์ชิงหลิว   

 

 

“เย่ว์ชิงหลิว เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าไหมหล่ะ”  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด