ราชินีพลิกสวรรค์ 219 หนึ่งปีเพียงชั่วพริบตา กับ การสอบวัดผล

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 219 หนึ่งปีเพียงชั่วพริบตา กับ การสอบวัดผล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เดือนที่สามของการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่มิได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ นี่มิเพียงแต่สร้างความสงบสุขให้แก่ราษฎร แต่ยังยึดครองรัฐฉู่ให้อยู่ในอาณัติได้อีกด้วย

 

 

ครึ่งปีหลังจากการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน ลู่เจี้ยต้องทำศึกสงครามกับราชวงศ์ต้าฉินและรบชนะตลอดทางภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น ก็สามารถโจมตีจากเป่ยฝางเข้าสู่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าฉินได้แล้ว

 

 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ณ ดินแดนแห่งหนานฮวง ไม่มีรัฐฉู่และอาณาจักรต้าฉินอีกต่อไป และอาณาเขตของจยาเซียนได้แผ่ไพศาลไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เพียงชั่วพริบตา ก็มาถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และหลังจากนั้นเพียงเดือนกว่าก็จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว

 

 

ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าหรืออาจมีแผนการอื่นรออยู่ การปล้นสะดมของราชวงศ์จยาเซียนจึงหยุดชะงักลง และมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าราชวงศ์จยาเซียนจะหยุดโจมตีเพราะ…ลู่เจี้ยล้มป่วย

 

 

ณ พระราชวังซั่งตูแห่งราชวงศ์จยาเซียน

 

 

ปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นและทุกอย่างแลดูหดหู่

 

 

ภายในตำหนักที่ไกลโพ้นและเงียบสงบนั้น มีเสียงไอดังขึ้นเป็นระยะๆ

 

 

ลู่วั่งชวนยืนอยู่นอกประตูของห้องโถงด้านใน และถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง ความเศร้าโศกของเขาทำให้ดูแก่และซีดเซียวขึ้นเล็กน้อย

 

 

“เจี้ยเอ๋อร์ หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าจะไปเชิญหลิงหวังกลับมา” ลู่วั่งชวนจำไม่ได้แล้วว่าเขาพูดเช่นเดียวกันนี้ไปกี่รอบแล้ว

 

 

แต่ทว่า ภายในห้องโถงด้านใน คำตอบของลู่เจี้ยนั้นก็หนักแน่นดังเดิม “ท่านปู่ได้โปรดยกโทษให้หลานชายที่อกตัญญูด้วย”

 

 

ลู่วั่งชวนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ แล้วเดินจากไปอย่างจนปัญญา

 

 

ขณะนี้ ภายในห้องโถงด้านในนั้นร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เตาให้ความร้อนในเรือนลุกไหม้ที่มุมทั้งสี่ของห้องโถง

 

 

แม้จะยังไม่ถึงช่วงฤดูหนาว แต่ลู่เจี้ยได้จัดเตรียมของใช้สำหรับป้องกันความหนาวเย็นไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งแม้แต่ตาข่ายกั้นลมก็ถูกแทนที่ด้วยผ้าสำลีแบบหนา

 

 

การปิดกั้นลมในฤดูใบไม้ร่วงนี้ กลับทำให้แสงสว่างในห้องโถงมืดสนิทลงไปมาก

 

 

ห้องโถงด้านในไม่มีคนนอก มีเพียงลู่เจี้ยที่สวมเสื้อคลุม เผยผิวซีดขาวและราศีอันอ่อนแอ นอกจากนั้นก็ยังมีคนถือถ้วยยา ซึ่งใบหน้าธรรมดาๆ นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเงารวมอยู่ด้วย

 

 

“นายน้อย สู้ไปรับองค์หญิงเสวียนเทียนกลับมาจะดีกว่าหรือไม่” เงาทนไม่ได้ที่เห็นลู่เจี้ยฝืนกลั้นความคิดของตัวเองไว้

 

 

ลู่เจี้ยส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “อย่าไปรบกวนนาง”

 

 

“นั่น…จดหมายจากองค์หญิงเสวียนเทียน…” เงาเตือนสติอีกครั้ง

 

 

ลู่เจี้ยนิ่งเงียบ

 

 

ครึ่งเดือนก่อน เจียงหลีส่งจดหมายมาหนึ่งฉบับ

 

 

จดหมายระบุไว้ว่าไม่เกินสามเดือนจากนี้จะเป็นช่วงการสอบประจำปีของสถาบันไป๋หยวนซีเฉียน และการสอบครั้งนี้อนุญาตให้ญาติและเพื่อนฝูงมาสังเกตการณ์ได้ รวมถึงสามารถจัดกลุ่มและทำภารกิจของการสอบครั้งนี้ร่วมกันได้อีกด้วย

 

 

เจียงหลีหมายความว่าต้องการให้เขามาและเป็นคู่หูของนาง

 

 

ลู่เจี้ยปกปิดสภาพร่างกายของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด และมิอยากให้เจียงหลีรับรู้ แต่หากเขาเดินทางไปที่นั่น อาการป่วยของเขาคงเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่เป็นแน่แท้ และหากไม่ไป ก็จะทำให้นางต้องผิดหวังเช่นกัน

 

 

“ไปเตรียมตัวเร็ว พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปซีเฉียนกัน” ลู่เจี้ยกล่าวอย่างช้าๆ หลังจากนิ่งเงียบไป

 

 

เงาอ้าปากค้างและอยากจะบอกว่าร่างกายของลู่เจี้ย มิสามารถต้านทานต่อความเร่งรีบเช่นนี้ได้

 

 

แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเจ้านายของเขาตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

 

ทันใดนั้น เงาก็รู้สึกว่าเขาถามคำถามที่โง่มากออกไป การเคลื่อนไหวของราชวงศ์จยาเซียนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่จดหมายถูกส่งมาถึงแล้ว

 

 

ข้ากลัวว่านายน้อยได้ตัดสินใจไปตั้งแต่เวลานั้นแล้ว

 

 

เขาทนไม่ได้ที่จะทำให้นางผิดหวัง!

 

 

และไม่มีใครรู้ว่าการโจมตีของราชวงศ์จยาเซียนนั้นเกิดจากคนๆ เดียว ซึ่งมิใช่ลู่เจี้ย แต่เป็นเจียงหลี

 

 

ราชินี องค์หญิงเสวียนเทียนแห่งราชวงศ์จยาเซียนของพวกเขา!

 

 

“นายน้อย ท่านชายจิ่งมาขอรับ” บ่าวรับใช้รายงานจากด้านนอกห้องโถง ขัดจังหวะการถอนหายใจของเงา

 

 

ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็น “ให้เขาไปรอในห้องอุ่น”

 

 

“ขอรับ” บ่าวรับใช้ก้าวถอยหลังออกไป

 

 

ลู่เจี้ยลุกขึ้นยืนและบอกกับเงาว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าที”

 

 

 

 

ห้องอุ่นของลู่เจี้ยสร้างขึ้นในสวนป่า สามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของสวนที่แตกต่างกันจากบริเวณโดยรอบ ภายในห้องอบอุ่นยิ่งนัก

 

 

หรงจิ่งยืนอยู่ในห้องอุ่นและเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ภายนอกอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าเขาจะเข้าออกที่นี่มานานกว่าหกเดือนและคุ้นชินกับต้นไม้และใบหญ้าทั้งหมดของที่นี่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย

 

 

พอลู่เจี้ยเดินเข้ามา สิ่งที่เขามองเห็นคือเงาด้านหลังของหรงจิ่ง

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง หรงจิ่งก็หันมาสบตาและมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าในช่วงฤดูหิมะ ทิวทัศน์ที่นี่คงงดงามยิ่งนัก”

 

 

การดื่มสุรา การเพลิดเพลินกับหิมะ และการพูดคุยอย่างสนุกสนานภายในห้องอุ่นนี้ ช่างวิเศษเสียจริงๆ

 

 

ลู่เจี้ยลดสายตาลงและเดินไปยังที่รองนั่งอันนุ่มสบายของห้องอุ่นแล้วนั่งลง “น่าอิจฉาท่านชายจิ่งเสียจริงที่อยู่เหนือโลกโลกีย์ แต่ทว่า เพราะความนิ่งสงบเช่นนี้ ก็ได้พลาดความสุขในชีวิตจริงมากมาย”

 

 

“อาทิ” หรงจิ่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แววตาประกายสีเขียวคราม ราวกับว่าสำรวจหัวใจของมนุษย์ได้ “ข้างกายคุณชายจิ่ง มีคนที่คุ้มค่ากับการทำทุกอย่างเพื่อเขาผู้นั้นหรือไม่”

 

 

รอยยิ้มมุมปากของหรงจิ่งจางลง

 

 

คำถามของลู่เจี้ยดูเหมือนจะนุ่มนวล แต่ก็แฝงไปด้วยความหมาย

 

 

“แล้วนายน้อยลู่มีหรือไม่” หรงจิ่งย้อนถาม

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มทันทีและตอบโดยไม่ลังเล “มี”

 

 

คำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้หรงจิ่งถึงกับหรี่ตาทั้งสองข้าง แววตาเผยให้เห็นถึงการครุ่นคิด

 

 

“ท่านชายจิ่งเคยเห็นหน้าแล้วหนิ” ลู่เจี้ยมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

 

ประโยคนี้ ทำให้หรงจุนจินตนาการถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง ความจริงแล้วรูปลักษณ์อันสง่างามของหญิงสาวผู้นั้นมิได้สะกดจิตผู้คนได้ถึงเพียงนั้น แต่ความหยิ่งผยองและความมุ่งมั่นในดวงตาของนางต่างหากที่ทำให้ผู้คนจดจำนางได้

 

 

นางเคยกล่าวว่า ทุกคนที่เหยียดหยามลู่เจี้ย คือศัตรูของนาง สมควรถูกทารุณและสังหาร!

 

 

ส่วนเขา…ไม่ลังเลเลยที่จะเปิดเผยความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้เป็นเวลานานหลายปีเพื่อนาง และสังหารทหารนับพันเพียงคนเดียว ภาพนั้น หากนึกย้อนกลับไป ก็เหมือนตกอยู่ในนรกและน่าสะพรึงกลัวเฉกเช่นคงเดิม

 

 

แต่ฉากที่ทั้งสองกอดกัน กลับเป็นฉากที่อบอุ่นใจจนทำให้ปวดใจนัก

 

 

“ข้ามี แต่เจ้าไม่มี แค่ประการนี้ เจ้าก็แพ้ข้าอีกแล้ว” คำพูดของลู่เจี้ยดูไม่ตั้งใจ แต่ทุกคำเหมือนค้อนหนักทุบมาที่หัวใจของหรงจิ่งทีละคำ

 

 

เมื่อหรงจิ่งได้สติกลับมาจากคำพูดของลู่เจี้ย ลู่เจี้ยก็ได้เดินจากไปแล้ว

 

 

เพลานี้ เขามองไปที่ทิวทัศน์อันสวยงามของสวนแห่งนี้ แต่เขารู้สึกหมดความสนใจและเหมือนขาดอะไรบางอย่างในก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้เขารู้สึกหดหู่ ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะและส่ายหัวแล้วพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เจ้าสามารถฆ่าคนให้ตายได้โดยไม่หลั่งเลือดจริงๆ”

 

 

 

 

ในชั่วพริบตา ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว

 

 

ปลายปีใกล้เข้ามาถึงแล้วเช่นกัน สถาบันไป๋หยวนนับวันสู่การสอบวัดผล

 

 

กล่าวกันว่าการวัดผลในครั้งนี้จะถูกส่งไปในพื้นที่แปลกประหลาด เป็นระยะเวลาเจ็ดวัน มีเพียงลูกศิษย์ที่ได้คะแนนตามกำหนดเท่านั้น ถึงจะถือว่าสอบผ่านการสอบวัดผลครั้งนี้

 

 

“อาหลี เจ้าให้ข้าร่วมทีมกับลู่เสวียน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” เจียงเฮ่ามองไปที่น้องสาวอย่างไม่พอใจ

 

 

เขาถูกอาหลีทอดทิ้งแล้วจริงๆ!

 

 

“พวกพี่ทั้งสองร่วมมือกัน ข้าก็จะได้วางใจ ส่วนข้ามีคนรออยู่แล้ว” เจียงหลีพูดตามใจคิด

 

 

“ใครกัน” ถึงทำให้นางไว้วางใจได้มากกว่าเขาเสียอีก เจียงเฮ่าไม่พอใจมากขึ้น

 

 

เจียงหลีโค้งมุมปากขึ้น แต่มิได้ตอบกลับ

 

 

นางมิได้เล่าเรื่องจดหมายที่เขียนถึงลู่เจี้ยให้เจียงเฮ่าและลู่เสวียนฟัง ทางลู่เจี้ยก็มิได้ตอบจดหมาย นางจึงกังกลใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่

 

 

อันที่จริง การสอบวัดผลเป็นเพียงเรื่องรอง นางแค่ไม่อยากให้เขาได้ใจ แท้จริงแล้วเพราะนางคิดถึงเขาต่างหาก

 

 

“การสอบวัดผลเริ่มต้นขึ้นแล้ว! ผู้เข้าสอบและคู่ของตนเข้าสู่การสอบวัดผล” เสียงของผู้อำนวยการสอบวัดผลครั้งนี้ดังขึ้น

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วและหันไปมอง

 

 

ลู่เจี้ยยังมาไม่ถึง…

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 219 หนึ่งปีเพียงชั่วพริบตา กับ การสอบวัดผล

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 219 หนึ่งปีเพียงชั่วพริบตา กับ การสอบวัดผล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เดือนที่สามของการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่มิได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ นี่มิเพียงแต่สร้างความสงบสุขให้แก่ราษฎร แต่ยังยึดครองรัฐฉู่ให้อยู่ในอาณัติได้อีกด้วย

 

 

ครึ่งปีหลังจากการสถาปนาราชวงศ์จยาเซียน ลู่เจี้ยต้องทำศึกสงครามกับราชวงศ์ต้าฉินและรบชนะตลอดทางภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น ก็สามารถโจมตีจากเป่ยฝางเข้าสู่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าฉินได้แล้ว

 

 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ณ ดินแดนแห่งหนานฮวง ไม่มีรัฐฉู่และอาณาจักรต้าฉินอีกต่อไป และอาณาเขตของจยาเซียนได้แผ่ไพศาลไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เพียงชั่วพริบตา ก็มาถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และหลังจากนั้นเพียงเดือนกว่าก็จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาว

 

 

ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าหรืออาจมีแผนการอื่นรออยู่ การปล้นสะดมของราชวงศ์จยาเซียนจึงหยุดชะงักลง และมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าราชวงศ์จยาเซียนจะหยุดโจมตีเพราะ…ลู่เจี้ยล้มป่วย

 

 

ณ พระราชวังซั่งตูแห่งราชวงศ์จยาเซียน

 

 

ปลายฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นและทุกอย่างแลดูหดหู่

 

 

ภายในตำหนักที่ไกลโพ้นและเงียบสงบนั้น มีเสียงไอดังขึ้นเป็นระยะๆ

 

 

ลู่วั่งชวนยืนอยู่นอกประตูของห้องโถงด้านใน และถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง ความเศร้าโศกของเขาทำให้ดูแก่และซีดเซียวขึ้นเล็กน้อย

 

 

“เจี้ยเอ๋อร์ หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าจะไปเชิญหลิงหวังกลับมา” ลู่วั่งชวนจำไม่ได้แล้วว่าเขาพูดเช่นเดียวกันนี้ไปกี่รอบแล้ว

 

 

แต่ทว่า ภายในห้องโถงด้านใน คำตอบของลู่เจี้ยนั้นก็หนักแน่นดังเดิม “ท่านปู่ได้โปรดยกโทษให้หลานชายที่อกตัญญูด้วย”

 

 

ลู่วั่งชวนเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ แล้วเดินจากไปอย่างจนปัญญา

 

 

ขณะนี้ ภายในห้องโถงด้านในนั้นร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เตาให้ความร้อนในเรือนลุกไหม้ที่มุมทั้งสี่ของห้องโถง

 

 

แม้จะยังไม่ถึงช่วงฤดูหนาว แต่ลู่เจี้ยได้จัดเตรียมของใช้สำหรับป้องกันความหนาวเย็นไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งแม้แต่ตาข่ายกั้นลมก็ถูกแทนที่ด้วยผ้าสำลีแบบหนา

 

 

การปิดกั้นลมในฤดูใบไม้ร่วงนี้ กลับทำให้แสงสว่างในห้องโถงมืดสนิทลงไปมาก

 

 

ห้องโถงด้านในไม่มีคนนอก มีเพียงลู่เจี้ยที่สวมเสื้อคลุม เผยผิวซีดขาวและราศีอันอ่อนแอ นอกจากนั้นก็ยังมีคนถือถ้วยยา ซึ่งใบหน้าธรรมดาๆ นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเงารวมอยู่ด้วย

 

 

“นายน้อย สู้ไปรับองค์หญิงเสวียนเทียนกลับมาจะดีกว่าหรือไม่” เงาทนไม่ได้ที่เห็นลู่เจี้ยฝืนกลั้นความคิดของตัวเองไว้

 

 

ลู่เจี้ยส่ายศีรษะอย่างช้าๆ “อย่าไปรบกวนนาง”

 

 

“นั่น…จดหมายจากองค์หญิงเสวียนเทียน…” เงาเตือนสติอีกครั้ง

 

 

ลู่เจี้ยนิ่งเงียบ

 

 

ครึ่งเดือนก่อน เจียงหลีส่งจดหมายมาหนึ่งฉบับ

 

 

จดหมายระบุไว้ว่าไม่เกินสามเดือนจากนี้จะเป็นช่วงการสอบประจำปีของสถาบันไป๋หยวนซีเฉียน และการสอบครั้งนี้อนุญาตให้ญาติและเพื่อนฝูงมาสังเกตการณ์ได้ รวมถึงสามารถจัดกลุ่มและทำภารกิจของการสอบครั้งนี้ร่วมกันได้อีกด้วย

 

 

เจียงหลีหมายความว่าต้องการให้เขามาและเป็นคู่หูของนาง

 

 

ลู่เจี้ยปกปิดสภาพร่างกายของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด และมิอยากให้เจียงหลีรับรู้ แต่หากเขาเดินทางไปที่นั่น อาการป่วยของเขาคงเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่เป็นแน่แท้ และหากไม่ไป ก็จะทำให้นางต้องผิดหวังเช่นกัน

 

 

“ไปเตรียมตัวเร็ว พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปซีเฉียนกัน” ลู่เจี้ยกล่าวอย่างช้าๆ หลังจากนิ่งเงียบไป

 

 

เงาอ้าปากค้างและอยากจะบอกว่าร่างกายของลู่เจี้ย มิสามารถต้านทานต่อความเร่งรีบเช่นนี้ได้

 

 

แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเจ้านายของเขาตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

 

ทันใดนั้น เงาก็รู้สึกว่าเขาถามคำถามที่โง่มากออกไป การเคลื่อนไหวของราชวงศ์จยาเซียนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่จดหมายถูกส่งมาถึงแล้ว

 

 

ข้ากลัวว่านายน้อยได้ตัดสินใจไปตั้งแต่เวลานั้นแล้ว

 

 

เขาทนไม่ได้ที่จะทำให้นางผิดหวัง!

 

 

และไม่มีใครรู้ว่าการโจมตีของราชวงศ์จยาเซียนนั้นเกิดจากคนๆ เดียว ซึ่งมิใช่ลู่เจี้ย แต่เป็นเจียงหลี

 

 

ราชินี องค์หญิงเสวียนเทียนแห่งราชวงศ์จยาเซียนของพวกเขา!

 

 

“นายน้อย ท่านชายจิ่งมาขอรับ” บ่าวรับใช้รายงานจากด้านนอกห้องโถง ขัดจังหวะการถอนหายใจของเงา

 

 

ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และพูดอย่างใจเย็น “ให้เขาไปรอในห้องอุ่น”

 

 

“ขอรับ” บ่าวรับใช้ก้าวถอยหลังออกไป

 

 

ลู่เจี้ยลุกขึ้นยืนและบอกกับเงาว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าที”

 

 

 

 

ห้องอุ่นของลู่เจี้ยสร้างขึ้นในสวนป่า สามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของสวนที่แตกต่างกันจากบริเวณโดยรอบ ภายในห้องอบอุ่นยิ่งนัก

 

 

หรงจิ่งยืนอยู่ในห้องอุ่นและเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ภายนอกอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าเขาจะเข้าออกที่นี่มานานกว่าหกเดือนและคุ้นชินกับต้นไม้และใบหญ้าทั้งหมดของที่นี่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย

 

 

พอลู่เจี้ยเดินเข้ามา สิ่งที่เขามองเห็นคือเงาด้านหลังของหรงจิ่ง

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง หรงจิ่งก็หันมาสบตาและมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าในช่วงฤดูหิมะ ทิวทัศน์ที่นี่คงงดงามยิ่งนัก”

 

 

การดื่มสุรา การเพลิดเพลินกับหิมะ และการพูดคุยอย่างสนุกสนานภายในห้องอุ่นนี้ ช่างวิเศษเสียจริงๆ

 

 

ลู่เจี้ยลดสายตาลงและเดินไปยังที่รองนั่งอันนุ่มสบายของห้องอุ่นแล้วนั่งลง “น่าอิจฉาท่านชายจิ่งเสียจริงที่อยู่เหนือโลกโลกีย์ แต่ทว่า เพราะความนิ่งสงบเช่นนี้ ก็ได้พลาดความสุขในชีวิตจริงมากมาย”

 

 

“อาทิ” หรงจิ่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

ลู่เจี้ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ แววตาประกายสีเขียวคราม ราวกับว่าสำรวจหัวใจของมนุษย์ได้ “ข้างกายคุณชายจิ่ง มีคนที่คุ้มค่ากับการทำทุกอย่างเพื่อเขาผู้นั้นหรือไม่”

 

 

รอยยิ้มมุมปากของหรงจิ่งจางลง

 

 

คำถามของลู่เจี้ยดูเหมือนจะนุ่มนวล แต่ก็แฝงไปด้วยความหมาย

 

 

“แล้วนายน้อยลู่มีหรือไม่” หรงจิ่งย้อนถาม

 

 

ลู่เจี้ยยิ้มทันทีและตอบโดยไม่ลังเล “มี”

 

 

คำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้หรงจิ่งถึงกับหรี่ตาทั้งสองข้าง แววตาเผยให้เห็นถึงการครุ่นคิด

 

 

“ท่านชายจิ่งเคยเห็นหน้าแล้วหนิ” ลู่เจี้ยมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

 

ประโยคนี้ ทำให้หรงจุนจินตนาการถึงใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง ความจริงแล้วรูปลักษณ์อันสง่างามของหญิงสาวผู้นั้นมิได้สะกดจิตผู้คนได้ถึงเพียงนั้น แต่ความหยิ่งผยองและความมุ่งมั่นในดวงตาของนางต่างหากที่ทำให้ผู้คนจดจำนางได้

 

 

นางเคยกล่าวว่า ทุกคนที่เหยียดหยามลู่เจี้ย คือศัตรูของนาง สมควรถูกทารุณและสังหาร!

 

 

ส่วนเขา…ไม่ลังเลเลยที่จะเปิดเผยความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้เป็นเวลานานหลายปีเพื่อนาง และสังหารทหารนับพันเพียงคนเดียว ภาพนั้น หากนึกย้อนกลับไป ก็เหมือนตกอยู่ในนรกและน่าสะพรึงกลัวเฉกเช่นคงเดิม

 

 

แต่ฉากที่ทั้งสองกอดกัน กลับเป็นฉากที่อบอุ่นใจจนทำให้ปวดใจนัก

 

 

“ข้ามี แต่เจ้าไม่มี แค่ประการนี้ เจ้าก็แพ้ข้าอีกแล้ว” คำพูดของลู่เจี้ยดูไม่ตั้งใจ แต่ทุกคำเหมือนค้อนหนักทุบมาที่หัวใจของหรงจิ่งทีละคำ

 

 

เมื่อหรงจิ่งได้สติกลับมาจากคำพูดของลู่เจี้ย ลู่เจี้ยก็ได้เดินจากไปแล้ว

 

 

เพลานี้ เขามองไปที่ทิวทัศน์อันสวยงามของสวนแห่งนี้ แต่เขารู้สึกหมดความสนใจและเหมือนขาดอะไรบางอย่างในก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้เขารู้สึกหดหู่ ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะและส่ายหัวแล้วพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เจ้าสามารถฆ่าคนให้ตายได้โดยไม่หลั่งเลือดจริงๆ”

 

 

 

 

ในชั่วพริบตา ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว

 

 

ปลายปีใกล้เข้ามาถึงแล้วเช่นกัน สถาบันไป๋หยวนนับวันสู่การสอบวัดผล

 

 

กล่าวกันว่าการวัดผลในครั้งนี้จะถูกส่งไปในพื้นที่แปลกประหลาด เป็นระยะเวลาเจ็ดวัน มีเพียงลูกศิษย์ที่ได้คะแนนตามกำหนดเท่านั้น ถึงจะถือว่าสอบผ่านการสอบวัดผลครั้งนี้

 

 

“อาหลี เจ้าให้ข้าร่วมทีมกับลู่เสวียน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” เจียงเฮ่ามองไปที่น้องสาวอย่างไม่พอใจ

 

 

เขาถูกอาหลีทอดทิ้งแล้วจริงๆ!

 

 

“พวกพี่ทั้งสองร่วมมือกัน ข้าก็จะได้วางใจ ส่วนข้ามีคนรออยู่แล้ว” เจียงหลีพูดตามใจคิด

 

 

“ใครกัน” ถึงทำให้นางไว้วางใจได้มากกว่าเขาเสียอีก เจียงเฮ่าไม่พอใจมากขึ้น

 

 

เจียงหลีโค้งมุมปากขึ้น แต่มิได้ตอบกลับ

 

 

นางมิได้เล่าเรื่องจดหมายที่เขียนถึงลู่เจี้ยให้เจียงเฮ่าและลู่เสวียนฟัง ทางลู่เจี้ยก็มิได้ตอบจดหมาย นางจึงกังกลใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่

 

 

อันที่จริง การสอบวัดผลเป็นเพียงเรื่องรอง นางแค่ไม่อยากให้เขาได้ใจ แท้จริงแล้วเพราะนางคิดถึงเขาต่างหาก

 

 

“การสอบวัดผลเริ่มต้นขึ้นแล้ว! ผู้เข้าสอบและคู่ของตนเข้าสู่การสอบวัดผล” เสียงของผู้อำนวยการสอบวัดผลครั้งนี้ดังขึ้น

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วและหันไปมอง

 

 

ลู่เจี้ยยังมาไม่ถึง…

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+