ราชินีพลิกสวรรค์ 245 ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 245 ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลู่เจี้ย ลู่เจี้ย!

 

 

เจียงหลีเจ็บแปลบในใจ เขาวางแผนจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว

 

 

หรือเขาจะรู้ว่าที่วิทยาเขตซีเฉียนมีวิญญาณยุทธ์ถึงได้ให้ข้ามาที่นี่ เจียงหลีเริ่มคิดฟุ้งซ่าน

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง” เฟิงสิงอวิ๋นหันมามองนางยิ้มๆ

 

 

เจียงหลีเอ่ยอย่างจริงจัง “โปรดขยายความด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นแย้มยิ้มขว้างพัดในมือหมุนคว้างกลางอากาศ เกิดลำแสงจากพัดส่องลงมาปกคลุมไปทั่วร่างทั้งสอง

 

 

เจียงหลีมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นเอ่ยยิ้ม “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ในที่นี่นอกจากสหายของเจ้าคนนั้นแล้ว คนอื่นก็มิสามารถได้ยินในสิ่งที่เจ้าและข้าคุยกันได้”

 

 

คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีนึกขึ้นได้แล้วหันไปมองทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มให้นางเล็กน้อย

 

 

เมื่อถอนสายตากลับมา เจียงหลีจึงหันมามองเฟิงสิงอวิ๋น “ที่ท่านอาจารย์เฟิงกล่าวไปเมื่อครู่ เกี่ยวข้องกับลู่เจี้ยทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ ข้าอยากทราบรายละเอียด”

 

 

“รายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องกับตระกูลลู่ นายน้อยลู่เคยมาพบพี่ใหญ่ของข้าเป็นการส่วนตัว ทั้งสองพูดคุยอยู่นานสองนาน หลังจากที่นายน้อยลู่กลับไปแล้ว พี่ใหญ่ก็จัดการให้เจ้ามาที่ซีเฉียน เรื่องวิญญาณยุทธ์ในวิทยาเขตซีเฉียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ส่งให้ข้ามา สั่งให้ข้าช่วยเจ้าเอามันมาให้ได้ ดูเหมือนนี่คงจะเป็นประสงค์ของนายน้อยลู่ แต่ทว่า ก็ต้องอาศัยความพยายามของเจ้าเองที่สร้างผลงานได้เยี่ยงนี้ มิฉะนั้นวันนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เปิดปากทำภารกิจที่พี่ใหญ่สั่งมาให้สำเร็จลุล่วง เกรงว่าจะต้องเปลืองสมองอีก” เฟิงสิงอวิ๋นค่อยๆ อธิบาย

 

 

ที่แท้ ลู่เจี้ยก็เป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดนี่เอง เจียงหลีนึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางเคยถามลู่เจี้ยว่าตัวเองควรหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามเป็นอะไรดี ลู่เจี้ยเคยบอกว่าต้องหลอมรวมสายช่วยเหลือ หรือว่าอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น เขาจึงได้แอบวางแผนทั้งหมดอย่างเงียบๆ ใช่ไหม

 

 

หากเป็นเช่นนั้น ระหว่างเขากับท่านอาจารย์หนานตกลงอะไรกันเอาไว้ถึงสามารถทำให้หนานอู๋เฮิ่นลงแรงช่วยเหลือถึงเพียงนี้

 

 

ถามลู่เจี้ยคงไม่ได้ความแน่ ทางเดียวก็คือต้องเจอหนานอู๋เฮิ่นอีกครั้ง ไม่แน่อาจจะได้ความจากเขาสักอย่างสองอย่าง

 

 

เจียงหลีนึกเงียบๆ ในใจ

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง วิญญาณยุทธ์ล้ำค่าที่ซ่อนตัวอยู่ในวิทยาเขตซีเฉียน ตกลงแล้วมันคือตัวอะไร” เจียงหลีถามในสิ่งที่ทำให้นางสงสัยออกมา

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นกลับทิ้งเป็นปริศนาต่อไป “รอเวลาเจ้าสามารถหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามได้ก่อน เจ้าก็จะรู้เอง”

 

 

“…” เจียงหลีนิ่ง

 

 

หลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง นางก็หยิบเอาดอกไม้พิศวงที่เด็ดมาจากร่างมังกรไฟแล้วเอ่ยถาม “แล้วท่านอาจารย์เฟิงพอจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร”

 

 

“ดอกปราณมังกร!” ทันทีที่เฟิงสิงอวิ๋นเห็นดอกไม้แปลกประหลาดนั่นก็ตกใจเผลออุทานเรียกชื่อของมัน

 

 

“ดอกปราณมังกร?” เจียงหลีพึมพำ

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นส่ายหน้าทอดถอนใจแล้วเอ่ยยิ้ม “ไม่อาจไม่กล่าวว่าเด็กน้อยอย่างเจ้านั้นโชคดีจริงๆ แม้กระทั่งดอกปราณมังกรเจ้าก็ได้มาครอบครอง”

 

 

“เจ้าดอกนี้ใช้ทำอะไรได้เจ้าคะ” เจียงหลีถามด้วยสายตาเป็นประกาย

 

 

“ดอกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยลมปราณมังกรมาพร้อมกับลมหายใจมังกร ตอนเจ้าฝึกบำเพ็ญค่อยๆ ดูดซับจะสามารถช่วยเจ้าให้เจ้าฝึกได้นานขึ้น ช่วยเจ้าบรรลุระดับขั้น อีกทั้งสามารถนำพลังมังกรเข้าร่วมการประลองได้ด้วย” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นพูดจบก็ถามกลับไปประโยคหนึ่ง “ดอกนี้ เจ้าได้มาจากมังกรประเภทไหน”

 

 

“มังกรไฟ” เจียงหลีตอบอย่างไม่ปิดบัง

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เฟิงสิงอวิ๋นหัวเราร่วน หลังจากหัวเราะเสร็จก็เอ่ยขึ้น “มังกรไฟเป็นมังกรที่มีความดุดันที่สุด พลังมังกรของมันแฝงไปด้วยอำนาจ แต่ก็เหมาะสมกับเจ้าดี”

 

 

เจียงหลียิ้มเจือจางแล้วเก็บดอกปราณมังกรเอาไว้

 

 

“เอาล่ะ เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักเถอะ” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นเห็นว่าเจียงหลีหมดคำถามแล้วก็เก็บพัดกลับคืนมา จากนั้นจึงเหาะจากไป

 

 

ขณะนั้นเองที่นางพบว่าตอนคุยกับเฟิงสิงอวิ๋น ผู้คนก็ออกไปไม่น้อยแล้ว

 

 

แม้กระทั่งเฉียนจวิ้นกับโจวยวนก็ไม่รู้ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

เจียงหลีกระโดดลงมาจากแท่นสูง รีบเดินไปยืนข้างมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ พวกเรากลับราชวงศ์

 

 

จยาเซียนกันเถอะ” นางอยากไปหาลู่เจี้ยเพื่อบอกลู่เจี้ยว่าเขาจะไม่ตายแล้ว!

 

 

“ไม่ต้อง” มู่ชิงเกอรั้งนางเอาไว้

 

 

เจียงหลีไม่เข้าใจจึงมองนางอย่างสงสัย

 

 

ในเมืองอู๋อิ๋น ลานอันเงียบสงบซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำของเมืองที่ดูเรียบง่าย

 

 

เงาแสงสองดวงลงมาจากท้องฟ้าหลีกเลี่ยงลานหน้าตำหนักและลงสู่ลานหลังตำหนักแทน

 

 

“เป็นใครกัน”

 

 

ผู้ที่เป็นองครักษ์ปรากฏตัวอย่างรวดเร็วเพื่อขัดขวางตรงหน้าประตูหลังตำหนัก

 

 

เมื่อแสงและเงาสลายไปและเผยให้เห็นคนสองคน องครักษ์เหล่านี้จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “องค์หญิงเสวียนเทียน!”

 

 

เจียงหลีมองไปที่มู่ชิงเกอ

 

 

มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นชี้นิ้ว “คนที่เจ้าอยากพบ อยู่ในนี้”

 

 

ลู่เจี้ย!

 

 

ลู่เจี้ยมาเมืองอู๋อิ๋นแล้ว!

 

 

เขาไม่ได้ผิดสัญญา!

 

 

เจียงหลีรู้สึกราวกับฟ้าผ่ากลางใจ ไม่ทันได้คิดอะไรมากนางก็รีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก อีกทั้งเหล่าองครักษ์ก็มิได้ขัดขวางนางแต่อย่างใด ในขณะที่นางวิ่งผ่านไปพวกเขาก็หลบหลีกไปด้านข้างและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

 

 

“ลู่เจี้ยยยย!” เมื่อข้ามผ่านธรณีประตู บรรยากาศอบอุ่นก็อบอวลขึ้นมา

 

 

ความอบอุ่นเช่นนี้คนทั่วไปอาจจะรู้สึกร้อน แต่สำหรับลู่เจี้ยถือว่ากำลังดี

 

 

“หลีเอ๋อร์” ในห้อง ลู่เจี้ยกำลังยืนอยู่ที่นี่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาว ราวกับว่าเขารอการมาถึงของนางอยู่

 

 

ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยของเขาทำให้หัวใจของเจียงหลีจมดิ่งลง “เจ้าไม่สบายอีกแล้วหรือ” เจียงหลีเพิ่มความเร็วขยับเข้าไปใกล้เขาจึงรู้สึกถึงไอเย็นที่กระจายออกมาจากร่างของเขา ข้าไม่น่าเขียนจดหมายหาเจ้าเลย ทำให้เจ้าลำบากเดินทางมา นางตำหนิตนในใจ

 

 

แม้นางจะไม่เข้าใจทักษะการแพทย์ แต่ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของลู่เจี้ยทรุดลงมาก

 

 

“หลีเอ๋อร์” ลู่เจี้ยไม่อยากเห็นนางโทษตัวเอง อยากเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของนาง

 

 

แต่เจียงหลีกลับเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ข้ามีสหายหนึ่งคนที่สามารถรักษาเจ้าได้”

 

 

ลู่เจี้ยยอมชักมือกลับไปแล้วยิ้ม “จริงหรือ”

 

 

“เจ้ารอข้าก่อน!” เจียงหลีรีบพูดแล้วหันหลังวิ่งออกไป

 

 

ลู่เจี้ยมองไปที่นางด้วยความงุนงงและอยากจะเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ แต่กลัวว่าเขาจะเอื้อมไม่ถึง

 

 

ไม่นานนักเจียงหลีก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับชายชุดแดงสง่างามที่ยืนข้างกายนาง ภาพนั้นช่างสวยงามบาดตาลู่เจี้ย

 

 

เขาอยากจะเอาเจียงหลีของเขากลับคืนมา!

 

 

“ชิงเกอ เจ้ารีบดูให้ข้าสิ” ยากนักที่มู่ชิงเกอจะเห็นสายตาเว้าวอนของเจียงหลี

 

 

มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วบอกนางว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”

 

 

“…” เจียงหลีชะงักค้างไม่ยินยอม

 

 

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วหรี่ตามองนาง

 

 

เจียงหลีคลี่ยิ้ม “ก็ได้ ข้าจะรอข้างนอก มีอะไรก็เรียกข้าแล้วกัน” หลังจากพูดเสร็จนางก็ก้มหัวและก้าวออกไปช้าๆ

 

 

หลังจากนางออกไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงหันมามองลู่เจี้ย ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกัน

 

 

ความเฉยเมยและความเป็นศัตรูที่ซ่อนอยู่ในดวงตาที่เคลือบเงาอยู่นั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน แต่นางขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย

 

 

นางเดินไปหาลู่เจี้ยช้าๆ และเปลวไฟที่ลุกโชนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาที่ชัดเจน

 

 

ในขณะนั้น ลู่เจี้ยก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเหมือนถูกเผาในเตาไฟ มันร้อนมากและทรมานแสนสาหัส

 

 

แต่ทว่า เขากลับอดทนโดยไม่พูดอะไรสักคำ นอกจากตกใจในพลังแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอแล้วเขายังไม่อยากขายขี้หน้านาง

 

 

“หืม?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุดชะงักขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาเปลวไฟของนางพลันสลายไป จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้แล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 245 ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 245 ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลู่เจี้ย ลู่เจี้ย!

 

 

เจียงหลีเจ็บแปลบในใจ เขาวางแผนจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว

 

 

หรือเขาจะรู้ว่าที่วิทยาเขตซีเฉียนมีวิญญาณยุทธ์ถึงได้ให้ข้ามาที่นี่ เจียงหลีเริ่มคิดฟุ้งซ่าน

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง” เฟิงสิงอวิ๋นหันมามองนางยิ้มๆ

 

 

เจียงหลีเอ่ยอย่างจริงจัง “โปรดขยายความด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นแย้มยิ้มขว้างพัดในมือหมุนคว้างกลางอากาศ เกิดลำแสงจากพัดส่องลงมาปกคลุมไปทั่วร่างทั้งสอง

 

 

เจียงหลีมองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นเอ่ยยิ้ม “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ในที่นี่นอกจากสหายของเจ้าคนนั้นแล้ว คนอื่นก็มิสามารถได้ยินในสิ่งที่เจ้าและข้าคุยกันได้”

 

 

คำพูดของเขาทำให้เจียงหลีนึกขึ้นได้แล้วหันไปมองทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยิ้มให้นางเล็กน้อย

 

 

เมื่อถอนสายตากลับมา เจียงหลีจึงหันมามองเฟิงสิงอวิ๋น “ที่ท่านอาจารย์เฟิงกล่าวไปเมื่อครู่ เกี่ยวข้องกับลู่เจี้ยทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ ข้าอยากทราบรายละเอียด”

 

 

“รายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องกับตระกูลลู่ นายน้อยลู่เคยมาพบพี่ใหญ่ของข้าเป็นการส่วนตัว ทั้งสองพูดคุยอยู่นานสองนาน หลังจากที่นายน้อยลู่กลับไปแล้ว พี่ใหญ่ก็จัดการให้เจ้ามาที่ซีเฉียน เรื่องวิญญาณยุทธ์ในวิทยาเขตซีเฉียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ส่งให้ข้ามา สั่งให้ข้าช่วยเจ้าเอามันมาให้ได้ ดูเหมือนนี่คงจะเป็นประสงค์ของนายน้อยลู่ แต่ทว่า ก็ต้องอาศัยความพยายามของเจ้าเองที่สร้างผลงานได้เยี่ยงนี้ มิฉะนั้นวันนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เปิดปากทำภารกิจที่พี่ใหญ่สั่งมาให้สำเร็จลุล่วง เกรงว่าจะต้องเปลืองสมองอีก” เฟิงสิงอวิ๋นค่อยๆ อธิบาย

 

 

ที่แท้ ลู่เจี้ยก็เป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดนี่เอง เจียงหลีนึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางเคยถามลู่เจี้ยว่าตัวเองควรหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามเป็นอะไรดี ลู่เจี้ยเคยบอกว่าต้องหลอมรวมสายช่วยเหลือ หรือว่าอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น เขาจึงได้แอบวางแผนทั้งหมดอย่างเงียบๆ ใช่ไหม

 

 

หากเป็นเช่นนั้น ระหว่างเขากับท่านอาจารย์หนานตกลงอะไรกันเอาไว้ถึงสามารถทำให้หนานอู๋เฮิ่นลงแรงช่วยเหลือถึงเพียงนี้

 

 

ถามลู่เจี้ยคงไม่ได้ความแน่ ทางเดียวก็คือต้องเจอหนานอู๋เฮิ่นอีกครั้ง ไม่แน่อาจจะได้ความจากเขาสักอย่างสองอย่าง

 

 

เจียงหลีนึกเงียบๆ ในใจ

 

 

“ท่านอาจารย์เฟิง วิญญาณยุทธ์ล้ำค่าที่ซ่อนตัวอยู่ในวิทยาเขตซีเฉียน ตกลงแล้วมันคือตัวอะไร” เจียงหลีถามในสิ่งที่ทำให้นางสงสัยออกมา

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นกลับทิ้งเป็นปริศนาต่อไป “รอเวลาเจ้าสามารถหลอมรวมวิญญาณยุทธ์ตัวที่สามได้ก่อน เจ้าก็จะรู้เอง”

 

 

“…” เจียงหลีนิ่ง

 

 

หลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง นางก็หยิบเอาดอกไม้พิศวงที่เด็ดมาจากร่างมังกรไฟแล้วเอ่ยถาม “แล้วท่านอาจารย์เฟิงพอจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร”

 

 

“ดอกปราณมังกร!” ทันทีที่เฟิงสิงอวิ๋นเห็นดอกไม้แปลกประหลาดนั่นก็ตกใจเผลออุทานเรียกชื่อของมัน

 

 

“ดอกปราณมังกร?” เจียงหลีพึมพำ

 

 

เฟิงสิงอวิ๋นส่ายหน้าทอดถอนใจแล้วเอ่ยยิ้ม “ไม่อาจไม่กล่าวว่าเด็กน้อยอย่างเจ้านั้นโชคดีจริงๆ แม้กระทั่งดอกปราณมังกรเจ้าก็ได้มาครอบครอง”

 

 

“เจ้าดอกนี้ใช้ทำอะไรได้เจ้าคะ” เจียงหลีถามด้วยสายตาเป็นประกาย

 

 

“ดอกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยลมปราณมังกรมาพร้อมกับลมหายใจมังกร ตอนเจ้าฝึกบำเพ็ญค่อยๆ ดูดซับจะสามารถช่วยเจ้าให้เจ้าฝึกได้นานขึ้น ช่วยเจ้าบรรลุระดับขั้น อีกทั้งสามารถนำพลังมังกรเข้าร่วมการประลองได้ด้วย” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นพูดจบก็ถามกลับไปประโยคหนึ่ง “ดอกนี้ เจ้าได้มาจากมังกรประเภทไหน”

 

 

“มังกรไฟ” เจียงหลีตอบอย่างไม่ปิดบัง

 

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เฟิงสิงอวิ๋นหัวเราร่วน หลังจากหัวเราะเสร็จก็เอ่ยขึ้น “มังกรไฟเป็นมังกรที่มีความดุดันที่สุด พลังมังกรของมันแฝงไปด้วยอำนาจ แต่ก็เหมาะสมกับเจ้าดี”

 

 

เจียงหลียิ้มเจือจางแล้วเก็บดอกปราณมังกรเอาไว้

 

 

“เอาล่ะ เจ้าก็เหนื่อยแล้ว รีบไปพักเถอะ” เมื่อเฟิงสิงอวิ๋นเห็นว่าเจียงหลีหมดคำถามแล้วก็เก็บพัดกลับคืนมา จากนั้นจึงเหาะจากไป

 

 

ขณะนั้นเองที่นางพบว่าตอนคุยกับเฟิงสิงอวิ๋น ผู้คนก็ออกไปไม่น้อยแล้ว

 

 

แม้กระทั่งเฉียนจวิ้นกับโจวยวนก็ไม่รู้ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

เจียงหลีกระโดดลงมาจากแท่นสูง รีบเดินไปยืนข้างมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้น “ชิงเกอ พวกเรากลับราชวงศ์

 

 

จยาเซียนกันเถอะ” นางอยากไปหาลู่เจี้ยเพื่อบอกลู่เจี้ยว่าเขาจะไม่ตายแล้ว!

 

 

“ไม่ต้อง” มู่ชิงเกอรั้งนางเอาไว้

 

 

เจียงหลีไม่เข้าใจจึงมองนางอย่างสงสัย

 

 

ในเมืองอู๋อิ๋น ลานอันเงียบสงบซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำของเมืองที่ดูเรียบง่าย

 

 

เงาแสงสองดวงลงมาจากท้องฟ้าหลีกเลี่ยงลานหน้าตำหนักและลงสู่ลานหลังตำหนักแทน

 

 

“เป็นใครกัน”

 

 

ผู้ที่เป็นองครักษ์ปรากฏตัวอย่างรวดเร็วเพื่อขัดขวางตรงหน้าประตูหลังตำหนัก

 

 

เมื่อแสงและเงาสลายไปและเผยให้เห็นคนสองคน องครักษ์เหล่านี้จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “องค์หญิงเสวียนเทียน!”

 

 

เจียงหลีมองไปที่มู่ชิงเกอ

 

 

มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นชี้นิ้ว “คนที่เจ้าอยากพบ อยู่ในนี้”

 

 

ลู่เจี้ย!

 

 

ลู่เจี้ยมาเมืองอู๋อิ๋นแล้ว!

 

 

เขาไม่ได้ผิดสัญญา!

 

 

เจียงหลีรู้สึกราวกับฟ้าผ่ากลางใจ ไม่ทันได้คิดอะไรมากนางก็รีบวิ่งเข้าไปในตำหนัก อีกทั้งเหล่าองครักษ์ก็มิได้ขัดขวางนางแต่อย่างใด ในขณะที่นางวิ่งผ่านไปพวกเขาก็หลบหลีกไปด้านข้างและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

 

 

“ลู่เจี้ยยยย!” เมื่อข้ามผ่านธรณีประตู บรรยากาศอบอุ่นก็อบอวลขึ้นมา

 

 

ความอบอุ่นเช่นนี้คนทั่วไปอาจจะรู้สึกร้อน แต่สำหรับลู่เจี้ยถือว่ากำลังดี

 

 

“หลีเอ๋อร์” ในห้อง ลู่เจี้ยกำลังยืนอยู่ที่นี่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาว ราวกับว่าเขารอการมาถึงของนางอยู่

 

 

ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยของเขาทำให้หัวใจของเจียงหลีจมดิ่งลง “เจ้าไม่สบายอีกแล้วหรือ” เจียงหลีเพิ่มความเร็วขยับเข้าไปใกล้เขาจึงรู้สึกถึงไอเย็นที่กระจายออกมาจากร่างของเขา ข้าไม่น่าเขียนจดหมายหาเจ้าเลย ทำให้เจ้าลำบากเดินทางมา นางตำหนิตนในใจ

 

 

แม้นางจะไม่เข้าใจทักษะการแพทย์ แต่ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของลู่เจี้ยทรุดลงมาก

 

 

“หลีเอ๋อร์” ลู่เจี้ยไม่อยากเห็นนางโทษตัวเอง อยากเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของนาง

 

 

แต่เจียงหลีกลับเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ข้ามีสหายหนึ่งคนที่สามารถรักษาเจ้าได้”

 

 

ลู่เจี้ยยอมชักมือกลับไปแล้วยิ้ม “จริงหรือ”

 

 

“เจ้ารอข้าก่อน!” เจียงหลีรีบพูดแล้วหันหลังวิ่งออกไป

 

 

ลู่เจี้ยมองไปที่นางด้วยความงุนงงและอยากจะเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ แต่กลัวว่าเขาจะเอื้อมไม่ถึง

 

 

ไม่นานนักเจียงหลีก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับชายชุดแดงสง่างามที่ยืนข้างกายนาง ภาพนั้นช่างสวยงามบาดตาลู่เจี้ย

 

 

เขาอยากจะเอาเจียงหลีของเขากลับคืนมา!

 

 

“ชิงเกอ เจ้ารีบดูให้ข้าสิ” ยากนักที่มู่ชิงเกอจะเห็นสายตาเว้าวอนของเจียงหลี

 

 

มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วบอกนางว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”

 

 

“…” เจียงหลีชะงักค้างไม่ยินยอม

 

 

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วหรี่ตามองนาง

 

 

เจียงหลีคลี่ยิ้ม “ก็ได้ ข้าจะรอข้างนอก มีอะไรก็เรียกข้าแล้วกัน” หลังจากพูดเสร็จนางก็ก้มหัวและก้าวออกไปช้าๆ

 

 

หลังจากนางออกไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงหันมามองลู่เจี้ย ทั้งสองต่างจ้องมองกันและกัน

 

 

ความเฉยเมยและความเป็นศัตรูที่ซ่อนอยู่ในดวงตาที่เคลือบเงาอยู่นั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน แต่นางขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย

 

 

นางเดินไปหาลู่เจี้ยช้าๆ และเปลวไฟที่ลุกโชนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาที่ชัดเจน

 

 

ในขณะนั้น ลู่เจี้ยก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเหมือนถูกเผาในเตาไฟ มันร้อนมากและทรมานแสนสาหัส

 

 

แต่ทว่า เขากลับอดทนโดยไม่พูดอะไรสักคำ นอกจากตกใจในพลังแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอแล้วเขายังไม่อยากขายขี้หน้านาง

 

 

“หืม?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุดชะงักขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาเปลวไฟของนางพลันสลายไป จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ชีวิตของเจ้าข้าช่วยไม่ได้แล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+