ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 161 อาตมาไม่เคยมุสา (3)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 161 อาตมาไม่เคยมุสา (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ได้ยินคนพูดถึงความหลัง ชิวเยี่ยไป๋แววตาหม่นลง นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “นั่นนะสิ กาลเวลาเปลี่ยนผัน สรรพสิ่งและผู้คนล้วนแปรเปลี่ยน เพียงแต่วันนี้เย่ไป๋ต้องมาเองเพื่อขอสุราจากหัวหน้าใหญ่มู่หรงสักจอกแล้ว”

 

 

หลินชงลั่งเป็นมือเก่าผู้เจนโลก ย่อมดูออกว่าแววตาชิวเยี่ยไป๋หม่นลง ในใจก็รู้สึกเสียดายที่ผู้อาวุโสจากไป และอยากให้นางสดชื่นจึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณชายสี่อยากดื่มสุรา ของเราที่นี่แม้จะสู้ของอินชวนกงมิได้ แต่พี่ใหญ่มู่หรงก็สั่งการเองให้คนส่งสุราฮวาเตียวมาจากเซ่าซิงโดยตรง และยังมีเหล้าองุ่นจากต้าฉิน คุณชายสี่จะได้ลิ้มชิมสบายใจแน่”

 

 

พูดจบเขาก็มองชิวเยี่ยไป๋จากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วหัวร่อกล่าวว่า “คุณชายสี่ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านเซียนเทียนจี หน้าตาคมสัน รูปร่างสง่ามีราศี มิทราบว่าทำเอาดรุณีในยุทธจักรลุ่มหลงแทบเป็นแทบตายไปกี่คนแล้ว นึกดูแล้วข่าวคราวความเจ้าชู้ของท่านคงเป็นจริงตามคำร่ำลือ”

 

 

เห็นหลินชงลั่งพูดเช่นนี้ ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ดีว่าเขาจงใจจะให้นางรู้สึกดีขึ้น จึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “มิบังอาจๆ ก็แค่อายุยังน้อยจึงวู่วามหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ท่านหัวหน้าหลินอย่าได้หัวร่อผู้เยาว์เลยนะ”

 

 

พอได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความ ‘เจ้าาชู้’ ของชิวเยี่ยไป๋ บรรดาคนที่อยู่รอบกายชิวเยี่ยไป๋ต่างก็แสดงท่าทีต่างกัน โจวอวี่นวดคลึงขมับเพื่อคลายอาการเวียนศีรษะ เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้อัศจรรย์เกินตนจะทำความเข้าใจได้ เสี่ยวชีบิดเบ้มุมปากแสดงออกว่าคัดค้านความเห็นนี้ กระทั่ง ‘ไต้ซือเมิ่งอี๋’ ยังชะงักงัน ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นเส้นโค้งงดงามคล้ายถอนใจคล้ายยิ้มหัว

 

 

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าโตกว่าท่านหลายปี ท่านเรียกข้าเป็นท่านอาสักคำก็พอ” หลินชงลั่งกล่าว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มีนิสัยเปิดกว้างเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ จึงไม่ปฏิเสธไมตรีของหลินชงลั่งยิ้มน้อยๆ เรียก “ท่านอา”

 

 

สำนักหอซ่อนกระบี่มีฐานะไม่ธรรมดา แม้เซียนเฒ่าเทียนจีจะมีนิสัยพิกล แต่ก็เป็นคนจิตใจกว้างขวางและเปิดเผย พลังยุทธ์บรรลุถึงขั้นเซียนแล้ว จึงได้รับฉายาเซียนเฒ่า และมีมิตรสหายมากมายทั้งธรรมะและอธรรม

 

 

แต่เขาก็วางตัวเช่นเดียวกับหอซ่อนกระบี่ที่อยู่เหนือธรรมะและอธรรม ไม่เคยสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสองเส้นทางนี้เลย จึงถือว่าเป็นบุคคลระดับตำนานเป็นที่เคารพรักของคนทั้งสองเส้นทางที่เหมือนน้ำกับไฟ

 

 

ดังนั้นการที่หลินชงลั่งให้ศิษย์ของเซียนเฒ่าเทียนจีเรียกตนเป็นท่านอา ถือว่าเอาเปรียบอยู่

 

 

หลินชงลั่งดีใจมาก รู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตามากขึ้น จึงหัวร่อกึกก้องแต่ยังคงเรียกขานชิวเยี่ยไป๋ตามความเคยชินของยุทธจักร “คุณชายสี่เชิญทางนี้ งานเลี้ยงเริ่มแต่เมื่อวานแล้ว ท่านให้คนมาแจ้งล่วงหน้า ผู้เป็นอานึกว่าท่านจะมาวานนี้ นึกไม่ถึงว่าจะช้าไปหนึ่งวัน บรรดาสหายในยุทธจักรกินเลี้ยงเป็นวันที่สองแล้ว แต่ผู้เป็นอาเก็บของดีไว้ให้ คุณชายสี่กับ…”

 

 

เขาเหลือบมองเสี่ยวชีและโจวอวี่ที่อยู่ข้างกายชิวเยี่ยไป๋ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ตัวหลวงจีนที่เปียกโชก จึงงงงันกล่าวว่า “คนนี้เป็นคนของคุณชายสี่กระมัง ทำไมจึงตกน้ำล่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อกล่าวอย่างย่นย่อว่า “คนผู้นี้คือไต้ซือเมิ่งอี๋ เจ้าสำนักซวีอู๋แห่งภูเขาซวีอู๋”

 

 

หลินชงลั่งฟังแล้วตะลึง ขณะได้ยินชื่อสมณะเพศก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “ไต้ซือเมิ่ง…เมิ่งอี๋[1]”

 

 

เขาคลุกคลีในยุทธจักรมานานปี ไยจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้ โดยเฉพาะชื่อในสมณะเพศช่างประหลาดจริง!

 

 

หลวงจีนไร้ปฏิกิริยาต่อคำพูดของหลินชงลั่ง เพียงหลุบตาลง

 

 

นี่นับเป็นกริยาที่ไร้มารยาท บรรดาผีน้ำเห็นแล้วต่างไม่พอใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มใช้มือแตะแขนของเขา หยิกเนื้อเขาเบาๆ “ไต้ซือเมิ่งอี๋ หัวหน้าหลินกำลังพูดกับท่านนะ หยุดสวดมนต์ได้แล้ว ท่านสวดจนจะกลายเป็นมารแล้ว”

 

 

หลวงจีนโดนหยิกจนเจ็บ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหลินชงลั่ง พริบตาที่เขาเงยหน้าขึ้นหลินชงลั่งก็ตะลึง แม้อีกฝ่ายจะผมเผ้าเปียกปอนแปะอยู่กับใบหน้า แต่ดวงตาที่ฉายประกายเทาเงินและเค้าหน้าอันเด่นชัดกลับไม่ถูกบดบังความสง่าแม้แต่น้อย

 

 

และสายตาที่อีกฝ่ายมองมาเพียงแวบเดียวก็ทำเอาหลินชงลั่งสะท้าน รู้สึกเหมือนกับว่าฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเงาร่างสีเงิน กลิ่นกำยานควันธูปและพุทธะกำลังก้มมองสรรพสัตว์อย่างปรานี

 

 

ทำให้เขาละเลยความทุเรศทุรังบนกาย อยากประนมมือก้มกราบ

 

 

หลินชงลั่งประนมมืออย่างจริงใจแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ขอบพระคุณสมณะเจ้าที่อุตส่าห์มาอวยพรวันเกิดพี่ใหญ่ของข้า เพียงแต่ท่านเปียกไปทั้งตัว จะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนหรือไม่ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”

 

 

ร่อนเร่ในยุทธจักรมานานปี เขาย่อมมีสายตาคมกริบที่มองคนออก หลวงจีนรูปนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่สามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นเพียงครั้งเดียวได้คิด ปลงตก ย่อมมิใช่หลวงจีนธรรมดา

 

 

ในยุทธจักรใช่ว่าจะไม่มีคำร่ำลือว่าฝึกพลังยุทธ์ถึงขึ้นสุดยอดแล้วกลับชราสู่ทารก เล่ากันว่ามารเซียนนางเฒ่าทาริกาเมื่อร้อยปีก่อนคือเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าความจริงแล้วเป็นยอดฝีมือที่ฝึกยุทธ์สายพุทธจนถึงขั้นสุดยอดแล้วก็เป็นได้

 

 

ดังนั้นสมณะเพศว่าเมิ่งอี๋…น่าจะมีความหมายลึกซึ้ง โดยมิใช่แปลว่าฝันเปียกอย่างที่ตนคิด

 

 

ถ้าชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่และพวกผีน้ำที่รายรอบรู้ว่า แค่ถูกหลวงจีนมองสบตาครั้งเดียว หลินชงลั่งผู้เจนโลกก็สันนิษฐานได้ถึงระดับนี้ ทุกคนคงเป็นลม

 

 

แต่เวลานี้ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หลินชงลั่งก็นอบน้อมต่อหลวงจีน

 

 

ไต้ซือเมิ่งอี๋จู่ๆ ก็ได้ ‘สาวก’ เพิ่มขึ้น จึงประนมมือ “อมิตตาพุทธ ขอบคุณประสก”

 

 

แต่หลังสรรเสริญพระพุทธคุณแล้วก็เสริมอีกคำ “ประสกโปรดทราบ ชื่อของอาตมามิใช่เมิ่งอี๋”

 

 

และนี่คือสาเหตุที่คนอื่นเรียกไต้ซือเมิ่งอี๋แล้วเขาไม่มีปฏิกิริยา ก็มิใช่เรียกตนนี่นา

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายประกายแวววับ มือที่แตะบนแขนลงแรงอย่างไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางสายตาที่งงงันของทุกคน นางกล่าวต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ไต้ซือท่านสวดมนต์จนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ”

 

 

ดวงตาหลวงจีนฉายแววข้องใจ ไม่ทราบว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงต้องการให้ตนมุสา เขามีสีหน้าเที่ยงธรรม ขณะกล่าวราบเรียบว่า “บรรพชิตย่อมไม่มุสา”

 

 

พูดขาดคำ มุมปากของชิวเยี่ยไป๋ก็กระตุกเล็กน้อย ใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณพูดกับหลวงจีนหลายคำ ซึ่งมีแต่หลวงจีนคนเดียวที่ได้ยิน

 

 

หลวงจีนพลันได้ยินพลังเสียงคำขู่ของชิวเยี่ยไป๋ “ไต้ซือ ถ้าท่านไม่ชื่อเมิ่งอี๋ หลายวันต่อจากนี้ท่านจะได้กินแค่วันละมื้อนะ!”

 

 

และแล้วหลวงจีนที่เพิ่งพูดหยกๆ ว่าไม่มุสา จึงกล่าวประโยคต่อมาอย่างนุ่มนวลว่า “ดังนั้นสมณะฉายาของอาตมาจึงเป็นเมิ่งอี๋”

 

 

ทุกคน “…”

 

 

เมื่อครู่ดูเหมือนไต้ซือเมิ่งอี๋จะบอกว่าตนมิใช่ชื่อเมิ่งอี๋นี่นา

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เมื่งอี๋ (梦遗)  แปลว่า ฝันเปียก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 161 อาตมาไม่เคยมุสา (3)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 161 อาตมาไม่เคยมุสา (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ได้ยินคนพูดถึงความหลัง ชิวเยี่ยไป๋แววตาหม่นลง นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “นั่นนะสิ กาลเวลาเปลี่ยนผัน สรรพสิ่งและผู้คนล้วนแปรเปลี่ยน เพียงแต่วันนี้เย่ไป๋ต้องมาเองเพื่อขอสุราจากหัวหน้าใหญ่มู่หรงสักจอกแล้ว”

 

 

หลินชงลั่งเป็นมือเก่าผู้เจนโลก ย่อมดูออกว่าแววตาชิวเยี่ยไป๋หม่นลง ในใจก็รู้สึกเสียดายที่ผู้อาวุโสจากไป และอยากให้นางสดชื่นจึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณชายสี่อยากดื่มสุรา ของเราที่นี่แม้จะสู้ของอินชวนกงมิได้ แต่พี่ใหญ่มู่หรงก็สั่งการเองให้คนส่งสุราฮวาเตียวมาจากเซ่าซิงโดยตรง และยังมีเหล้าองุ่นจากต้าฉิน คุณชายสี่จะได้ลิ้มชิมสบายใจแน่”

 

 

พูดจบเขาก็มองชิวเยี่ยไป๋จากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วหัวร่อกล่าวว่า “คุณชายสี่ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ปิดสำนักของท่านเซียนเทียนจี หน้าตาคมสัน รูปร่างสง่ามีราศี มิทราบว่าทำเอาดรุณีในยุทธจักรลุ่มหลงแทบเป็นแทบตายไปกี่คนแล้ว นึกดูแล้วข่าวคราวความเจ้าชู้ของท่านคงเป็นจริงตามคำร่ำลือ”

 

 

เห็นหลินชงลั่งพูดเช่นนี้ ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ดีว่าเขาจงใจจะให้นางรู้สึกดีขึ้น จึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “มิบังอาจๆ ก็แค่อายุยังน้อยจึงวู่วามหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ท่านหัวหน้าหลินอย่าได้หัวร่อผู้เยาว์เลยนะ”

 

 

พอได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความ ‘เจ้าาชู้’ ของชิวเยี่ยไป๋ บรรดาคนที่อยู่รอบกายชิวเยี่ยไป๋ต่างก็แสดงท่าทีต่างกัน โจวอวี่นวดคลึงขมับเพื่อคลายอาการเวียนศีรษะ เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้อัศจรรย์เกินตนจะทำความเข้าใจได้ เสี่ยวชีบิดเบ้มุมปากแสดงออกว่าคัดค้านความเห็นนี้ กระทั่ง ‘ไต้ซือเมิ่งอี๋’ ยังชะงักงัน ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นเส้นโค้งงดงามคล้ายถอนใจคล้ายยิ้มหัว

 

 

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าโตกว่าท่านหลายปี ท่านเรียกข้าเป็นท่านอาสักคำก็พอ” หลินชงลั่งกล่าว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มีนิสัยเปิดกว้างเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ จึงไม่ปฏิเสธไมตรีของหลินชงลั่งยิ้มน้อยๆ เรียก “ท่านอา”

 

 

สำนักหอซ่อนกระบี่มีฐานะไม่ธรรมดา แม้เซียนเฒ่าเทียนจีจะมีนิสัยพิกล แต่ก็เป็นคนจิตใจกว้างขวางและเปิดเผย พลังยุทธ์บรรลุถึงขั้นเซียนแล้ว จึงได้รับฉายาเซียนเฒ่า และมีมิตรสหายมากมายทั้งธรรมะและอธรรม

 

 

แต่เขาก็วางตัวเช่นเดียวกับหอซ่อนกระบี่ที่อยู่เหนือธรรมะและอธรรม ไม่เคยสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสองเส้นทางนี้เลย จึงถือว่าเป็นบุคคลระดับตำนานเป็นที่เคารพรักของคนทั้งสองเส้นทางที่เหมือนน้ำกับไฟ

 

 

ดังนั้นการที่หลินชงลั่งให้ศิษย์ของเซียนเฒ่าเทียนจีเรียกตนเป็นท่านอา ถือว่าเอาเปรียบอยู่

 

 

หลินชงลั่งดีใจมาก รู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตามากขึ้น จึงหัวร่อกึกก้องแต่ยังคงเรียกขานชิวเยี่ยไป๋ตามความเคยชินของยุทธจักร “คุณชายสี่เชิญทางนี้ งานเลี้ยงเริ่มแต่เมื่อวานแล้ว ท่านให้คนมาแจ้งล่วงหน้า ผู้เป็นอานึกว่าท่านจะมาวานนี้ นึกไม่ถึงว่าจะช้าไปหนึ่งวัน บรรดาสหายในยุทธจักรกินเลี้ยงเป็นวันที่สองแล้ว แต่ผู้เป็นอาเก็บของดีไว้ให้ คุณชายสี่กับ…”

 

 

เขาเหลือบมองเสี่ยวชีและโจวอวี่ที่อยู่ข้างกายชิวเยี่ยไป๋ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ตัวหลวงจีนที่เปียกโชก จึงงงงันกล่าวว่า “คนนี้เป็นคนของคุณชายสี่กระมัง ทำไมจึงตกน้ำล่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อกล่าวอย่างย่นย่อว่า “คนผู้นี้คือไต้ซือเมิ่งอี๋ เจ้าสำนักซวีอู๋แห่งภูเขาซวีอู๋”

 

 

หลินชงลั่งฟังแล้วตะลึง ขณะได้ยินชื่อสมณะเพศก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “ไต้ซือเมิ่ง…เมิ่งอี๋[1]”

 

 

เขาคลุกคลีในยุทธจักรมานานปี ไยจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้ โดยเฉพาะชื่อในสมณะเพศช่างประหลาดจริง!

 

 

หลวงจีนไร้ปฏิกิริยาต่อคำพูดของหลินชงลั่ง เพียงหลุบตาลง

 

 

นี่นับเป็นกริยาที่ไร้มารยาท บรรดาผีน้ำเห็นแล้วต่างไม่พอใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มใช้มือแตะแขนของเขา หยิกเนื้อเขาเบาๆ “ไต้ซือเมิ่งอี๋ หัวหน้าหลินกำลังพูดกับท่านนะ หยุดสวดมนต์ได้แล้ว ท่านสวดจนจะกลายเป็นมารแล้ว”

 

 

หลวงจีนโดนหยิกจนเจ็บ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหลินชงลั่ง พริบตาที่เขาเงยหน้าขึ้นหลินชงลั่งก็ตะลึง แม้อีกฝ่ายจะผมเผ้าเปียกปอนแปะอยู่กับใบหน้า แต่ดวงตาที่ฉายประกายเทาเงินและเค้าหน้าอันเด่นชัดกลับไม่ถูกบดบังความสง่าแม้แต่น้อย

 

 

และสายตาที่อีกฝ่ายมองมาเพียงแวบเดียวก็ทำเอาหลินชงลั่งสะท้าน รู้สึกเหมือนกับว่าฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงเงาร่างสีเงิน กลิ่นกำยานควันธูปและพุทธะกำลังก้มมองสรรพสัตว์อย่างปรานี

 

 

ทำให้เขาละเลยความทุเรศทุรังบนกาย อยากประนมมือก้มกราบ

 

 

หลินชงลั่งประนมมืออย่างจริงใจแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ขอบพระคุณสมณะเจ้าที่อุตส่าห์มาอวยพรวันเกิดพี่ใหญ่ของข้า เพียงแต่ท่านเปียกไปทั้งตัว จะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนหรือไม่ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ”

 

 

ร่อนเร่ในยุทธจักรมานานปี เขาย่อมมีสายตาคมกริบที่มองคนออก หลวงจีนรูปนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่สามารถทำให้ผู้ที่พบเห็นเพียงครั้งเดียวได้คิด ปลงตก ย่อมมิใช่หลวงจีนธรรมดา

 

 

ในยุทธจักรใช่ว่าจะไม่มีคำร่ำลือว่าฝึกพลังยุทธ์ถึงขึ้นสุดยอดแล้วกลับชราสู่ทารก เล่ากันว่ามารเซียนนางเฒ่าทาริกาเมื่อร้อยปีก่อนคือเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าความจริงแล้วเป็นยอดฝีมือที่ฝึกยุทธ์สายพุทธจนถึงขั้นสุดยอดแล้วก็เป็นได้

 

 

ดังนั้นสมณะเพศว่าเมิ่งอี๋…น่าจะมีความหมายลึกซึ้ง โดยมิใช่แปลว่าฝันเปียกอย่างที่ตนคิด

 

 

ถ้าชิวเยี่ยไป๋กับโจวอวี่และพวกผีน้ำที่รายรอบรู้ว่า แค่ถูกหลวงจีนมองสบตาครั้งเดียว หลินชงลั่งผู้เจนโลกก็สันนิษฐานได้ถึงระดับนี้ ทุกคนคงเป็นลม

 

 

แต่เวลานี้ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หลินชงลั่งก็นอบน้อมต่อหลวงจีน

 

 

ไต้ซือเมิ่งอี๋จู่ๆ ก็ได้ ‘สาวก’ เพิ่มขึ้น จึงประนมมือ “อมิตตาพุทธ ขอบคุณประสก”

 

 

แต่หลังสรรเสริญพระพุทธคุณแล้วก็เสริมอีกคำ “ประสกโปรดทราบ ชื่อของอาตมามิใช่เมิ่งอี๋”

 

 

และนี่คือสาเหตุที่คนอื่นเรียกไต้ซือเมิ่งอี๋แล้วเขาไม่มีปฏิกิริยา ก็มิใช่เรียกตนนี่นา

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายประกายแวววับ มือที่แตะบนแขนลงแรงอย่างไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางสายตาที่งงงันของทุกคน นางกล่าวต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ไต้ซือท่านสวดมนต์จนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ”

 

 

ดวงตาหลวงจีนฉายแววข้องใจ ไม่ทราบว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงต้องการให้ตนมุสา เขามีสีหน้าเที่ยงธรรม ขณะกล่าวราบเรียบว่า “บรรพชิตย่อมไม่มุสา”

 

 

พูดขาดคำ มุมปากของชิวเยี่ยไป๋ก็กระตุกเล็กน้อย ใช้วิชาส่งเสียงทางลมปราณพูดกับหลวงจีนหลายคำ ซึ่งมีแต่หลวงจีนคนเดียวที่ได้ยิน

 

 

หลวงจีนพลันได้ยินพลังเสียงคำขู่ของชิวเยี่ยไป๋ “ไต้ซือ ถ้าท่านไม่ชื่อเมิ่งอี๋ หลายวันต่อจากนี้ท่านจะได้กินแค่วันละมื้อนะ!”

 

 

และแล้วหลวงจีนที่เพิ่งพูดหยกๆ ว่าไม่มุสา จึงกล่าวประโยคต่อมาอย่างนุ่มนวลว่า “ดังนั้นสมณะฉายาของอาตมาจึงเป็นเมิ่งอี๋”

 

 

ทุกคน “…”

 

 

เมื่อครู่ดูเหมือนไต้ซือเมิ่งอี๋จะบอกว่าตนมิใช่ชื่อเมิ่งอี๋นี่นา

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เมื่งอี๋ (梦遗)  แปลว่า ฝันเปียก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+