ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 210 จับตัว (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 210 จับตัว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางจำเหตุการณ์บนเกาะน้อยนั่นได้ พอเขาลงมือก็ตบคนของค่ายฉงฉีทั้งหมดไว้ในไม้ในหิน และจำได้ว่าในถ้ำหินเขาขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ยอมประมือกับใคร

 

 

กลิ่นอายแห่งพุทธะกับกลิ่นอายแห่งการประหัตประหารถึงกับปรากฏบนตัวเขาช่างสุดที่เหตุผลธรรมดาจะตัดสินได้

 

 

ย้อนแย้งเช่นนี้ ไม่สมเหตุผลเช่นนี้ จะเป็นคนที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมปกติได้อย่างไร

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันนึกถึงตอนพบเขาครั้งแรก ในมือของเขามีป้ายไม้เล็กๆ ที่ประณีตแต่ ‘ไร้ค่า’

 

 

ภาพบนป้ายไม้…นางหรี่ตาลงเหมือนนึกขึ้นได้ จึงเข้าใกล้ใบหน้าเขาอีกครั้ง หรี่ตาถามว่า “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับวัดเจินเหยียนกงภูเขาเหยียนเจี้ย”

 

 

วัดเจินเหยียนกงภูเขาเหลียนเจี้ยมิได้อยู่ในยุทธจักร ชาวยุทธจักรทั่วไปรู้ไม่มากนัก แต่ในพุทธศาสนาหรืออาจกล่าวได้ว่าในแวดวงของชนชั้นสูงแคว้นต่างๆ ที่แห่งนั้นมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ไรมาถูกขนานนามว่าใต้เส้าหลินเหนือเจินเหยียน

 

 

ใต้เส้าหลินเป็นเอกด้านนิกายมหายานของจงหยวน ส่วนเจินเหยียนกงเป็นเอกแห่งนิกายลับของจงหยวน เดิมทีนิกายลับหรือมี่จงกับมหายานและหินยานเรียกรวมกันว่าเสี่ยนเจี้ยวหรือศาสนาเปิด มีที่มาจากเทียนจู๋ นิกายลับเน้นที่การค่อยๆ ตระหนักรู้ การถ่ายทอดระหว่างอาจารย์กับศิษย์ไม่นิยมจารเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คำสอนของเสี่ยนเจี้ยวหรือนิกายเปิดเหมาะกับประเพณีและความต้องการของชาวจงหยวน และใช้ลายลักษณ์อักษรในการถ่ายทอด จึงเป็นฝ่ายเหนือกว่าในจงหยวนมาตลอด วัดวาอารามทุกแห่งหนล้วนเป็นพุทธนิกายเปิด

 

 

แม้ราชวงศ์เทียนจี๋หลังสถาปนาแคว้นแล้ว มหาจักรพรรดิเจินอู่กับจักรพรรดินีหยวนเฉินจะมิได้ตั้งศาสนาประจำชาติ แต่การสักการะขอพรปีละครั้งยังคงไปจัดที่นิกายเปิด นิกายลับเพียงมีสาวกบ้างเป็นประปราย อิทธิพลน้อยมาก

 

 

อาจเพราะฮวงจุ้ยหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ร้อยกว่าปีให้หลัง พระเถระของนิกายลับรูปหนึ่งได้ช่วยชีวิตของจักรพรรดินีเจาเฉิงในจักรพรรดิจงจงที่ประชวรด้วยโรคร้าย จักรพรรดิจงจงจึงเริ่มศรัทธานิกายมี่จงหรือศาสนาลับ เลือกทำฮวงจุ้ยศักดิ์สิทธิ์สร้างวัดให้พระเถระรูปนั้น ซึ่งก็คือวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ย

 

 

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นิกายมี่จงที่ลึกลับจึงเริ่มแพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูง และค่อยๆ แทนที่ศาสนาเปิด แต่นิกายลับของวัดเจินเหยียนกงก็มิใช่เหมือนกับที่อยู่เทียนจู๋เสียทั้งหมด เพื่อให้เผยแผ่ได้ดียิ่งขึ้นในจงหยวนทัดเทียมกับศาสนาเปิด จึงรับเอาวิธีการและคำสอนของศาสนาเปิดไว้ไม่น้อย

 

 

นับแต่นั้นทางภาคเหนือก็มีสานุศิษย์นับมิถ้วน ราชครูแต่ละสมัยล้วนรับหน้าที่โดยการคัดเลือกทารกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดโดยเจ้าอาวาสใหญ่เป็นผู้เลี้ยงดูเอง ทารกศักดิ์สิทธิ์คือพุทธะมีชีวิตของปัจจุบันจะทำพิธีนั่งเตียง[1] สืบทอดจารีตประเพณีของชาติก่อน

 

 

ราชครูแต่ละสมัยล้วนเป็นภิกษุที่สูงด้วยตบะ รู้ซึ้งในคำสอนของพุทธะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทำนายทายทัก ผูกดวงเมือง และเป็นประธานในพิธีปิดบำเพ็ญเซ่นภูเขาไท่ซาน รับบัญชาจากสวรรค์กล่อมเกลามวลมนุษย์

 

 

จึงเห็นได้ว่าวัดเจินเหยียนกงมีฐานะสูงส่ง และเนื่องจากการถ่ายทอดของนิกายลับสูงส่งลึกล้ำ ดังนั้นเจินเหยียนกงจึงลึกลับสุดจะหยั่ง ถูกชนชั้นสูงและศาสนิกชนเห็นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาห้ามเข้า ตลอดปีมีองครักษ์อวี่หลินหรือองครักษ์วังหลวงประจำการ หรือต่อให้ไม่มีองครักษ์อวี่หลินในวัดยังคงมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน การได้ไปกราบสักการะใต้ภูเขาเหลียนเจี้ยสักครั้งถือเป็นเรื่องสุดยอดแล้ว

 

 

หากมิใช่ชิวเยี่ยไป๋กำเนิดแต่ตระกูลใหญ่ และสำนักหอซ่อนกระบี่มีฐานะไม่ธรรมดาในยุทธจักร อีกทั้งเซียนเฒ่าเคยไปมาหาสู่กับเจินเหยียนกงอยู่บ้าง นางจะไม่มีทางมองปราดเดียวก็จำได้ว่าบนป้ายไม้เล็กๆ ที่หยวนเจ๋อเผยให้เห็นในวันนั้นสลักรูปดอกบัวไฟอสูร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ย!

 

 

หยวนเจ๋อแลดูนาง ออกจะลังเลอยู่บ้าง แม้จะถูกกระชากคอเสื้อไว้ ยังคงประนมมือกล่าวว่า

 

 

“อามิตาภพุทธ ท่านอาจารย์เคยสั่งไว้ว่าห้ามมิให้เอ่ยกับคนนอก บรรพชิตย่อมไม่มุสา!”

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบและรู้อยู่แก่ใจ เห็นท่าทางของหยวนเจ๋อและความคิดพิกลของเขา อีกทั้งพลังฝีมือที่ประหลาด จึงเดาว่าเก้าในสิบส่วนต้องมาจากวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ยแน่

 

 

นิกายลึกลับลับสมชื่อ วิธีการต่างๆ ก็ต่างจากมหายานซึ่งเป็นศาสนาเปิด คำสอนของพวกเขาถึงกับมีการให้ฆ่าระงับฆ่า พฤติกรรมบางอย่างพิลึกพิลั่นและเต็มไปด้วยคาวเลือด แม้นางจะรู้ไม่มากนักแต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง

 

 

นางแลดูหยวนเจ๋อจิตใจสับสน

 

 

หากนางมิใช่บุตรีคนที่สี่ของตระกูลชิว อาจคิดเหมือนพวกบุตรหลานชนชั้นสูงส่วนมากที่เห็นว่าเป็นเพียงนิกายศาสนาที่ลึกลับและพิสดาร แต่ในใจของนางแล้วแม้วัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ยจะเก่งกล้าสามารถ ก็มิใช่เพียงเพื่อชักนำให้คนในโลกข้ามฟากถึงฝั่งเท่านั้น นางยังรู้สึกว่าพฤติกรรมของพวกเขาเหมือนพวกลัทธิชั่วร้ายไม่มีผิด

 

 

เพียงเพราะ…

 

 

บุตรีคนที่สี่ตระกูลชิวคือดาวมารต๋าจี่อวตารมาจุติ ต้องเคารพต่อ ‘คำทำนาย’ เป็นคณิกาหลวง และนี่คือคำสั่งเสียที่ตกทอดมาตั้งแต่เจ้าอาวาสวัดเจินเหยียนกงสมัยที่หนึ่ง!

 

 

นางมิใช่คนในยุคนี้ ไม่เคยเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งจะกำเนิดมาพร้อมกับบาปดั้งเดิมและคำสาปแช่ง เช่นนั้นคงเป็นเพราะมีเป้าหมายบางอย่างจึงได้มีคำสาปแช่งสืบทอดกันมาเช่นนี้ ใช้อำนาจของจักรพรรดิบังคับเด็กหญิงไร้ความผิดคนหนึ่งและควบคุมไว้ตลอดชีวิต ให้นางต้องตายไปในลิขิตอันน่าอนาถ

 

 

ศาสนาที่ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้มิใช่ศาสนาที่ดีโดยเด็ดขาด!

 

 

และนางก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าคนของวัดเจินเหยียนกงจะปรากฏเบื้องหน้าตน และคนของวัดเจินเหยียนกงผู้นี้อาจล่วงรู้ความลับของตนก็เป็นได้ แม้หยวนเจ๋อดูแล้วจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องทั่วไปทางโลกและนางก็เชื่อถือเขา แต่อย่างไรก็ตาม เพียงคิดว่า ‘คนของเจินเหยียนกงอาจล่วงรู้ความลับของตน’ ยังคงรู้สึกเหมือนหนามตำใจ

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววดุร้ายเปี่ยมด้วยจิตสังหาร กำกระบี่ในมือแน่นขึ้น

 

 

หยวนเจ๋อมองดูนางพลันกล่าวเบาๆ ว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ท่านคิดจะฆ่าอาตมาหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขา อดงงงันมิได้ นางนึกไม่ถึงว่าหยวนเจ๋อจะพูดประโยคนี้กับนาง นางจึงจ้องเขาอยู่พักใหญ่

 

 

หยวนเจ๋อไม่หลบสายตา ดวงตาสุกใสสีเทาเงินปราศจากแววกระสับกระส่ายหรือหวั่นเกรงเลย เขาจ้องมองนางเงียบๆ เช่นกันและถามว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ทำไมจึงคิดจะฆ่าอาตมา”

 

 

สีหน้าสงบของเขา ทำเอานางรู้สึกว่าหากลงมือทันที เขาจะไม่หลบและไม่มีการปัดป้องใดๆ คล้ายกับพุทธะที่มองดูราชันนกยูงผู้กำลังจะกลืนกินตน ยอมถวายตัวเป็นอาหารสัตว์เพื่อส่งสัตว์ข้ามฝั่งแห่งความทุกข์กระนั้น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลง เนิ่นนานจึงร้องเหอะอย่างเสียดสี “ง่ายมาก เพราะเจ้าโง่เกินไป โง่จะตายแล้ว”

 

 

พูดจบนางก็คลายด้ามกระบี่ เก็บห่อสัมภาระและเดินต่อ

 

 

แววตาของเขาทำให้นางตัดสินใจเลือกที่จะละเว้นไว้ชั่วคราว อาจเพราะฐานะคนวัดเจินเหยียนกงของเขา อาจเพราะนางอยากรู้ว่าเขาไม่ประสาต่อทางโลกเลยจริงหรือไม่ หรืออาจเพราะการที่มีคนของ

 

 

เจินเหยียนกงคนหนึ่งปรากฏข้างกายบุตรีคนที่สี่ตระกูลชิวเช่นนางเป็นเพียงเล่ห์ร้ายอย่างหนึ่ง และนางอยากรู้คำตอบสุดท้ายของเล่ห์ร้ายนี้

 

 

ถึงอย่างไรในช่วงเวลาที่เบื้องหน้ามีคนคอยสกัดด้านหลังยังมีคนไล่ล่านี้ ล้วนมิใช่จังหวะที่ดีในการแตกคอกัน

 

 

หยวนเจ๋อมองตามเงาหลังที่จากไปของนาง รู้สึกมึนงง…โง่เกินไป?

 

 

ตนโง่จนมีคนอยากฆ่าตนหรือ แต่คนในวัดต่างบอกว่าตนคือผู้รู้ที่เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิด หรือว่าคนในวัดมุสาแล้ว

 

 

 

 

โจวอวี่เอนกายพิงต้นไม้พักอยู่ พลันได้ยินเสียงดังขึ้นข้างกาย จึงเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิวเยี่ยไป๋ที่หิ้วสัมภาระไม่รู้มาอยู่ข้างกายตนตั้งแต่เมื่อใด พลันรู้สึกกริ่งเกรงอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ใต้เท้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนบาดเจ็บ คงเพราะรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออย่างสุดแสน แม้ตนเองจะเจตนาดี แต่อาจทำให้ใต้เท้าหาทางลงมิได้

 

 

แต่ดูแล้วท่าทางชิวเยี่ยไป๋มิได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงก้มดูเขาแวบหนึ่งแล้วเอื้อมมือพยุงเขา “เดินเถอะ หมู่บ้านซิ่งฮวายังอยู่อีกไกล ยามนี้เหมยซูคงรู้แล้วว่าพวกเราไม่อยู่บนรถม้า และย่อมจะส่งคนออกตามค้นหาบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นพิธีใหญ่ของศาสนาพุทธนิกายทิเบต ทารกศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีกรรมสวดต่างๆ แล้วขึ้นนั่งบนเตียง เตียงนี้นั่งได้เพียงอย่างเดียวห้ามนอน เพื่อยืนยันว่าเป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดจริง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 210 จับตัว (1)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 210 จับตัว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นางจำเหตุการณ์บนเกาะน้อยนั่นได้ พอเขาลงมือก็ตบคนของค่ายฉงฉีทั้งหมดไว้ในไม้ในหิน และจำได้ว่าในถ้ำหินเขาขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ยอมประมือกับใคร

 

 

กลิ่นอายแห่งพุทธะกับกลิ่นอายแห่งการประหัตประหารถึงกับปรากฏบนตัวเขาช่างสุดที่เหตุผลธรรมดาจะตัดสินได้

 

 

ย้อนแย้งเช่นนี้ ไม่สมเหตุผลเช่นนี้ จะเป็นคนที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมปกติได้อย่างไร

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พลันนึกถึงตอนพบเขาครั้งแรก ในมือของเขามีป้ายไม้เล็กๆ ที่ประณีตแต่ ‘ไร้ค่า’

 

 

ภาพบนป้ายไม้…นางหรี่ตาลงเหมือนนึกขึ้นได้ จึงเข้าใกล้ใบหน้าเขาอีกครั้ง หรี่ตาถามว่า “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับวัดเจินเหยียนกงภูเขาเหยียนเจี้ย”

 

 

วัดเจินเหยียนกงภูเขาเหลียนเจี้ยมิได้อยู่ในยุทธจักร ชาวยุทธจักรทั่วไปรู้ไม่มากนัก แต่ในพุทธศาสนาหรืออาจกล่าวได้ว่าในแวดวงของชนชั้นสูงแคว้นต่างๆ ที่แห่งนั้นมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ไรมาถูกขนานนามว่าใต้เส้าหลินเหนือเจินเหยียน

 

 

ใต้เส้าหลินเป็นเอกด้านนิกายมหายานของจงหยวน ส่วนเจินเหยียนกงเป็นเอกแห่งนิกายลับของจงหยวน เดิมทีนิกายลับหรือมี่จงกับมหายานและหินยานเรียกรวมกันว่าเสี่ยนเจี้ยวหรือศาสนาเปิด มีที่มาจากเทียนจู๋ นิกายลับเน้นที่การค่อยๆ ตระหนักรู้ การถ่ายทอดระหว่างอาจารย์กับศิษย์ไม่นิยมจารเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คำสอนของเสี่ยนเจี้ยวหรือนิกายเปิดเหมาะกับประเพณีและความต้องการของชาวจงหยวน และใช้ลายลักษณ์อักษรในการถ่ายทอด จึงเป็นฝ่ายเหนือกว่าในจงหยวนมาตลอด วัดวาอารามทุกแห่งหนล้วนเป็นพุทธนิกายเปิด

 

 

แม้ราชวงศ์เทียนจี๋หลังสถาปนาแคว้นแล้ว มหาจักรพรรดิเจินอู่กับจักรพรรดินีหยวนเฉินจะมิได้ตั้งศาสนาประจำชาติ แต่การสักการะขอพรปีละครั้งยังคงไปจัดที่นิกายเปิด นิกายลับเพียงมีสาวกบ้างเป็นประปราย อิทธิพลน้อยมาก

 

 

อาจเพราะฮวงจุ้ยหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ร้อยกว่าปีให้หลัง พระเถระของนิกายลับรูปหนึ่งได้ช่วยชีวิตของจักรพรรดินีเจาเฉิงในจักรพรรดิจงจงที่ประชวรด้วยโรคร้าย จักรพรรดิจงจงจึงเริ่มศรัทธานิกายมี่จงหรือศาสนาลับ เลือกทำฮวงจุ้ยศักดิ์สิทธิ์สร้างวัดให้พระเถระรูปนั้น ซึ่งก็คือวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ย

 

 

นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นิกายมี่จงที่ลึกลับจึงเริ่มแพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูง และค่อยๆ แทนที่ศาสนาเปิด แต่นิกายลับของวัดเจินเหยียนกงก็มิใช่เหมือนกับที่อยู่เทียนจู๋เสียทั้งหมด เพื่อให้เผยแผ่ได้ดียิ่งขึ้นในจงหยวนทัดเทียมกับศาสนาเปิด จึงรับเอาวิธีการและคำสอนของศาสนาเปิดไว้ไม่น้อย

 

 

นับแต่นั้นทางภาคเหนือก็มีสานุศิษย์นับมิถ้วน ราชครูแต่ละสมัยล้วนรับหน้าที่โดยการคัดเลือกทารกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดโดยเจ้าอาวาสใหญ่เป็นผู้เลี้ยงดูเอง ทารกศักดิ์สิทธิ์คือพุทธะมีชีวิตของปัจจุบันจะทำพิธีนั่งเตียง[1] สืบทอดจารีตประเพณีของชาติก่อน

 

 

ราชครูแต่ละสมัยล้วนเป็นภิกษุที่สูงด้วยตบะ รู้ซึ้งในคำสอนของพุทธะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทำนายทายทัก ผูกดวงเมือง และเป็นประธานในพิธีปิดบำเพ็ญเซ่นภูเขาไท่ซาน รับบัญชาจากสวรรค์กล่อมเกลามวลมนุษย์

 

 

จึงเห็นได้ว่าวัดเจินเหยียนกงมีฐานะสูงส่ง และเนื่องจากการถ่ายทอดของนิกายลับสูงส่งลึกล้ำ ดังนั้นเจินเหยียนกงจึงลึกลับสุดจะหยั่ง ถูกชนชั้นสูงและศาสนิกชนเห็นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คนธรรมดาห้ามเข้า ตลอดปีมีองครักษ์อวี่หลินหรือองครักษ์วังหลวงประจำการ หรือต่อให้ไม่มีองครักษ์อวี่หลินในวัดยังคงมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน การได้ไปกราบสักการะใต้ภูเขาเหลียนเจี้ยสักครั้งถือเป็นเรื่องสุดยอดแล้ว

 

 

หากมิใช่ชิวเยี่ยไป๋กำเนิดแต่ตระกูลใหญ่ และสำนักหอซ่อนกระบี่มีฐานะไม่ธรรมดาในยุทธจักร อีกทั้งเซียนเฒ่าเคยไปมาหาสู่กับเจินเหยียนกงอยู่บ้าง นางจะไม่มีทางมองปราดเดียวก็จำได้ว่าบนป้ายไม้เล็กๆ ที่หยวนเจ๋อเผยให้เห็นในวันนั้นสลักรูปดอกบัวไฟอสูร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ย!

 

 

หยวนเจ๋อแลดูนาง ออกจะลังเลอยู่บ้าง แม้จะถูกกระชากคอเสื้อไว้ ยังคงประนมมือกล่าวว่า

 

 

“อามิตาภพุทธ ท่านอาจารย์เคยสั่งไว้ว่าห้ามมิให้เอ่ยกับคนนอก บรรพชิตย่อมไม่มุสา!”

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบและรู้อยู่แก่ใจ เห็นท่าทางของหยวนเจ๋อและความคิดพิกลของเขา อีกทั้งพลังฝีมือที่ประหลาด จึงเดาว่าเก้าในสิบส่วนต้องมาจากวัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ยแน่

 

 

นิกายลึกลับลับสมชื่อ วิธีการต่างๆ ก็ต่างจากมหายานซึ่งเป็นศาสนาเปิด คำสอนของพวกเขาถึงกับมีการให้ฆ่าระงับฆ่า พฤติกรรมบางอย่างพิลึกพิลั่นและเต็มไปด้วยคาวเลือด แม้นางจะรู้ไม่มากนักแต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง

 

 

นางแลดูหยวนเจ๋อจิตใจสับสน

 

 

หากนางมิใช่บุตรีคนที่สี่ของตระกูลชิว อาจคิดเหมือนพวกบุตรหลานชนชั้นสูงส่วนมากที่เห็นว่าเป็นเพียงนิกายศาสนาที่ลึกลับและพิสดาร แต่ในใจของนางแล้วแม้วัดเจินเหยียนกงแห่งภูเขาเหลียนเจี้ยจะเก่งกล้าสามารถ ก็มิใช่เพียงเพื่อชักนำให้คนในโลกข้ามฟากถึงฝั่งเท่านั้น นางยังรู้สึกว่าพฤติกรรมของพวกเขาเหมือนพวกลัทธิชั่วร้ายไม่มีผิด

 

 

เพียงเพราะ…

 

 

บุตรีคนที่สี่ตระกูลชิวคือดาวมารต๋าจี่อวตารมาจุติ ต้องเคารพต่อ ‘คำทำนาย’ เป็นคณิกาหลวง และนี่คือคำสั่งเสียที่ตกทอดมาตั้งแต่เจ้าอาวาสวัดเจินเหยียนกงสมัยที่หนึ่ง!

 

 

นางมิใช่คนในยุคนี้ ไม่เคยเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งจะกำเนิดมาพร้อมกับบาปดั้งเดิมและคำสาปแช่ง เช่นนั้นคงเป็นเพราะมีเป้าหมายบางอย่างจึงได้มีคำสาปแช่งสืบทอดกันมาเช่นนี้ ใช้อำนาจของจักรพรรดิบังคับเด็กหญิงไร้ความผิดคนหนึ่งและควบคุมไว้ตลอดชีวิต ให้นางต้องตายไปในลิขิตอันน่าอนาถ

 

 

ศาสนาที่ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้มิใช่ศาสนาที่ดีโดยเด็ดขาด!

 

 

และนางก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าคนของวัดเจินเหยียนกงจะปรากฏเบื้องหน้าตน และคนของวัดเจินเหยียนกงผู้นี้อาจล่วงรู้ความลับของตนก็เป็นได้ แม้หยวนเจ๋อดูแล้วจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องทั่วไปทางโลกและนางก็เชื่อถือเขา แต่อย่างไรก็ตาม เพียงคิดว่า ‘คนของเจินเหยียนกงอาจล่วงรู้ความลับของตน’ ยังคงรู้สึกเหมือนหนามตำใจ

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววดุร้ายเปี่ยมด้วยจิตสังหาร กำกระบี่ในมือแน่นขึ้น

 

 

หยวนเจ๋อมองดูนางพลันกล่าวเบาๆ ว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ท่านคิดจะฆ่าอาตมาหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขา อดงงงันมิได้ นางนึกไม่ถึงว่าหยวนเจ๋อจะพูดประโยคนี้กับนาง นางจึงจ้องเขาอยู่พักใหญ่

 

 

หยวนเจ๋อไม่หลบสายตา ดวงตาสุกใสสีเทาเงินปราศจากแววกระสับกระส่ายหรือหวั่นเกรงเลย เขาจ้องมองนางเงียบๆ เช่นกันและถามว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ ทำไมจึงคิดจะฆ่าอาตมา”

 

 

สีหน้าสงบของเขา ทำเอานางรู้สึกว่าหากลงมือทันที เขาจะไม่หลบและไม่มีการปัดป้องใดๆ คล้ายกับพุทธะที่มองดูราชันนกยูงผู้กำลังจะกลืนกินตน ยอมถวายตัวเป็นอาหารสัตว์เพื่อส่งสัตว์ข้ามฝั่งแห่งความทุกข์กระนั้น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลง เนิ่นนานจึงร้องเหอะอย่างเสียดสี “ง่ายมาก เพราะเจ้าโง่เกินไป โง่จะตายแล้ว”

 

 

พูดจบนางก็คลายด้ามกระบี่ เก็บห่อสัมภาระและเดินต่อ

 

 

แววตาของเขาทำให้นางตัดสินใจเลือกที่จะละเว้นไว้ชั่วคราว อาจเพราะฐานะคนวัดเจินเหยียนกงของเขา อาจเพราะนางอยากรู้ว่าเขาไม่ประสาต่อทางโลกเลยจริงหรือไม่ หรืออาจเพราะการที่มีคนของ

 

 

เจินเหยียนกงคนหนึ่งปรากฏข้างกายบุตรีคนที่สี่ตระกูลชิวเช่นนางเป็นเพียงเล่ห์ร้ายอย่างหนึ่ง และนางอยากรู้คำตอบสุดท้ายของเล่ห์ร้ายนี้

 

 

ถึงอย่างไรในช่วงเวลาที่เบื้องหน้ามีคนคอยสกัดด้านหลังยังมีคนไล่ล่านี้ ล้วนมิใช่จังหวะที่ดีในการแตกคอกัน

 

 

หยวนเจ๋อมองตามเงาหลังที่จากไปของนาง รู้สึกมึนงง…โง่เกินไป?

 

 

ตนโง่จนมีคนอยากฆ่าตนหรือ แต่คนในวัดต่างบอกว่าตนคือผู้รู้ที่เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิด หรือว่าคนในวัดมุสาแล้ว

 

 

 

 

โจวอวี่เอนกายพิงต้นไม้พักอยู่ พลันได้ยินเสียงดังขึ้นข้างกาย จึงเงยหน้าขึ้นก็เห็นชิวเยี่ยไป๋ที่หิ้วสัมภาระไม่รู้มาอยู่ข้างกายตนตั้งแต่เมื่อใด พลันรู้สึกกริ่งเกรงอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ใต้เท้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนบาดเจ็บ คงเพราะรู้สึกอิหลักอิเหลื่ออย่างสุดแสน แม้ตนเองจะเจตนาดี แต่อาจทำให้ใต้เท้าหาทางลงมิได้

 

 

แต่ดูแล้วท่าทางชิวเยี่ยไป๋มิได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพียงก้มดูเขาแวบหนึ่งแล้วเอื้อมมือพยุงเขา “เดินเถอะ หมู่บ้านซิ่งฮวายังอยู่อีกไกล ยามนี้เหมยซูคงรู้แล้วว่าพวกเราไม่อยู่บนรถม้า และย่อมจะส่งคนออกตามค้นหาบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นพิธีใหญ่ของศาสนาพุทธนิกายทิเบต ทารกศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีกรรมสวดต่างๆ แล้วขึ้นนั่งบนเตียง เตียงนี้นั่งได้เพียงอย่างเดียวห้ามนอน เพื่อยืนยันว่าเป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดจริง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+