ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 223 เขาพูดจริง (3)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 223 เขาพูดจริง (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไป๋หลี่ชูลูบคลำแขนของนางเล่น ร้องหึเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ตายเมื่อควรตาย ย่อมเป็นเรื่องที่ปรารถนาอยู่แล้ว ไยจึงมิได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แววตาที่ดูเฉยเมยจนไร้อารมณ์ของมนุษย์แม้แต่น้อยของไป๋หลี่ชู กลับทำให้นางรู้สึกอาดูรอย่างประหลาด

 

 

นางมองดูใบหน้าแสนงามที่อยู่ใกล้กันนิดเดียวอย่างงงงัน แล้ว…ไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะพบสิ่งที่น่าสนใจ จึงกล่าวอย่างยินดีว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ากำลังกังวลแทนข้าหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้าเงียบๆ “เปล่า ข้าวิตกว่าฝ่าบาทจะยิ่งกวนน้ำให้ขุ่น”

 

 

ท่าทางเกรงแต่ว่าแผ่นดินจะไม่วุ่นวายเช่นนี้บวกกับคำพูดเมื่อครู่ สัญชาตญาณบอกนางว่าเขายังคงชมดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ จะดีกว่า

 

 

“เสี่ยวไป๋ เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียจริง และนั่นทำให้ข้าดีใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร” ใบหน้าของไป๋หลี่ชูเข้าใกล้นางอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งแนบข้างหูนาง อีกมือยังคงกุมแขนนางไว้ ยิ้มร่าจนนางจำใจต้องกระเถิบตัวพิงกับพนักเก้าอี้

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ตื่นตัว หลุบตาลงหลบดวงตาที่สยบคนได้คู่นั้น กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้ว”

 

 

ข้าไม่เคยคิดจะเข้าใจเจ้าเลยแม้แต่น้อยนะ!

 

 

ไป๋หลี่ชูก้มศีรษะลง ริมฝีปากแนบบนหน้าผากนาง นางตัวแข็ง เขากลับหรี่ตาลง ส้องเสพไออุ่นจากผิวกายที่เกลี้ยงเกลาของนาง รับฟังวาจาอ่อนหวาน

 

 

“การถ่อมตัวเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่ง แต่กับคนรักที่แสนสนิทสนมเช่นข้ากับเจ้า ทำตัวเหินห่างเช่นนี้ก็เสแสร้งแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยายามระงับอารมณ์อยากจะผลักเขาให้พ้น ตะโกนลั่นในใจ  ใครรับปากเป็นคนรักของเจ้า ผีนะสิเป็นคนรักของเจ้า ทำตัวเหินห่างกับฝ่าบาทเจ้านี่มันหน้าด้านนะ!

 

 

แต่จนใจที่กลิ่นหอมจากตัวของไป๋หลี่ชูดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมนั้นทำให้ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกสติเริ่มเลอะเลือน ดูเหมือนเลือดลมเริ่มพลุ่งพล่าน ซ้ำยังรู้สึกว่ามือของเขาที่ลูบกับเอวนางช่างสบายจริงๆ

 

 

รู้สึกว่าปีศาจที่ทับตนไว้ดูเหมือนจะเริ่มมีอารมณ์แล้ว นางมิรู้ว่าควรถีบทิ้งแล้วรีบหนีไปหรือควรชกต่อยกับเขาอีกรอบ

 

 

แต่ทางเลือกเหล่านี้รังแต่จะเป็นเพียงความสะใจชั่วขณะ ล้วนมิอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี

 

 

แต่นางทนกับสภาพพิลึกพิลั่นนี้ไม่ไหวจริงๆ จึงใช้มืออีกข้างที่มิได้ถูกกุมไว้ยันอกเขา เบือนหน้าหลบอย่างแข็งขืนทุลักทุเล “ฝ่าบาท ท่านไม่เคยคิดจะขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นเองบ้างหรือ”

 

 

ในความเป็นจริง นางเคยนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นคือบุรุษผู้นี้ใจจดใจจ่ออยู่กับการชมดูการรบราฆ่าฟันของพี่น้องและผู้อาวุโส ก็แค่รอให้ถึงวันหนึ่งที่เขาสามารถอยู่ในฐานะราชโอรส และเป็นตาอยู่ที่เหมือนชาวประมงผู้ได้ผลประโยชน์จากการขับเคี่ยวระหว่างนกกระสากับหอยกาบ

 

 

แต่คำพูดนี้ตรงเกินไป ไม่มีใครอยากฟังคำพูดแทงใจดำ โดยเฉพาะบรรดาราชนิกุล พูดแล้วอาจกระตุ้นโทสะของเขาก็ได้ ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่เวลาที่นางกับเขาจะผิดใจกัน

 

 

การเคลื่อนไหวของไป๋หลี่ชูหยุดลง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่หันหน้าซุกอกเขาลอบถอนใจเฮือก แต่รับรู้ได้ถึงความเย็นของร่างกายเขา รู้สึกไม่สบายใจ

 

 

พักใหญ่ที่ไป๋หลี่ชูไม่พูดเลยสักคำ แต่หัวร่อเบาๆ ไม่รับไม่ปฏิเสธน้ำเสียงนุ่มนวลเจือแหบพร่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูอย่างสงสัยว่าเขาเหมือนฟังเรื่องอะไรที่น่าขันมาก เสียงหัวร่อดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับหัวร่อจนทนไม่ไหวและฟุบกับไหล่นาง หัวร่อจนสะท้านไปทั้งตัวเหมือนกิ่งไม้ต้องลม

 

 

นางยิ่งรู้สึกแปลกใจ แต่รู้สึกว่าเสียงหัวร่อของเขานอกจากปล่อยปละแล้วยังเต็มไปด้วยความหยามหยัน เย็นชา ยังมีอีกหลายอารมณ์ที่บอกไม่ถูก แม้กระทั่งมี…ความรันทดอาดูร

 

 

นางงงงันอยู่พักใหญ่ แล้วเอื้อมมือช้าๆ ตบไหล่ของเขาเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่พูดอะไร

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อจนพอพลันเงยหน้าขึ้น มองนางจากที่สูงกว่าชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็ประคองใบหน้านาง ยิ้มอย่างอ่อนโยนและอดทน “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นของเล่นน่าสนใจที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “ของเล่น…ฝ่าบาท ข้ามิรู้สึกว่าเป็นคำชมเลยนะ”

 

 

ไม่มีใครอยากเป็นของเล่นของใครคนหนึ่ง

 

 

ไป๋หลี่ชูหลุบตา ก้มมองดูริมฝีปากนุ่มนิ่มปานบุปผาของนางอย่างไม่ยอมให้ขัดขืน พลางกล่าวอย่างมิใส่ใจว่า “อืม แต่ข้าชอบ”

 

 

คราวนี้เขาเรียกแทนตนเองว่า ‘ข้า[1]’ แล้ว

 

 

……

 

 

ลมราตรีกระโชกเข้าหน้าต่าง ชิวเยี่ยไป๋เสยไรผมที่ถูกลมพัดจนระกับแก้ม ก้มดูสมุดบัญชีในมือแวบหนึ่งแล้วยัดใส่ห่อสัมภาระของตน

 

 

การขบเหลี่ยมทางจิตใจบ่ายวานนี้และการยอมถูกลวนลาม แลกมาซึ่งการได้สมุดบัญชีคืนมา ขณะเดียวกันไป๋หลี่ชูก็เห็นด้วยว่านางไม่ต้องรีบกลับราชธานี ควรไปสมทบกับพวกเป๋าเป่าก่อน เขารับปากจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้เอง

 

 

พักผ่อนมาหลายวัน พรุ่งนี้นางจะไปสมทบกับพวกเป๋าเป่าแล้ว ก็มิรู้ว่าพวกเป๋าเป่าไม่ได้ข่าวคราวของนางนานขนาดนี้ จะร้อนใจจนแทบตายหรือไม่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูจันทรานอกหน้าต่าง พลันเห็นเงาร่างสีแดงที่มองจันทร์เหมือนกันใต้หอ สีหน้าออกจะสับสนอยู่บ้าง

 

 

บ่ายวานนี้ช่วงเวลานั้นไป๋หลี่ชูไม่พูดอะไรเลย แต่กลับทำให้นางเหมือนจะแอบเห็นอะไรบางอย่างในใจของเขาที่นางไม่ควรเห็น

 

 

นางเริ่มเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ล้วนมีความหนักอึ้งที่ยากจะบรรยายเป็นของตนเอง

 

 

เพียงแต่…

 

 

นางไม่อยากไปสัมผัสกับอารมณ์ที่เขาไม่ปรารถนาจะแสดงออกและนางไม่ควรรับรู้ นั่นออกจะสนิทสนมจนเกินไป ขณะเดียวกันอารมณ์เหล่านั้นจะพลอยกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจของนางด้วย

 

 

และไป๋หลี่ชูมิใช่คนที่ต้องการให้ใครเห็นใจ

 

 

นอกหน้าต่างราตรีดึกแล้ว ชิวเยี่ยไป๋เห็นลานบ้านใต้หน้าต่าง คนงามในชุดแดงดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดื่มสุราชมจันทร์กับอีไป๋และซวงไป๋ ไม่มีเจตนาจะกลับมาพักผ่อน นางจัดสัมภาระเงียบๆ แล้วเป่าตะเกียงจนดับและขึ้นเตียงนอนอย่างสงบ

 

 

แต่มิรู้เพราะเหตุใด ในหัวคล้ายยังมีเสียงหัวร่อที่แทบจะโศกเศร้าอาดูรวนเวียนอยู่ข้างหูตลอดเวลา

 

 

 

 

 

 

ฝนตกแต่เช้าตรู่ เสียงฟ้าร้องครั้งแรกชิวเยี่ยไป๋ก็ตื่นแล้ว

 

 

นางขยับตัวเล็กน้อยก็รับรู้ว่าหลังกายยังมีอีกคนที่กำลังหลับสนิท

 

 

นางไม่เหลียวมองก็รู้ว่าไป๋หลี่ชูอยู่ข้างหลัง ฝ่าบาทคนนี้เมื่อคืนกลับมาตอนไหน นางถึงกับไม่รู้สึกตัวเลย

 

 

เป็นการยืนยันอีกครั้งถึงความห่างชั้นของพลังฝีมือ ทำให้ชิวเยี่ยไป๋เกิดความรู้สึกพิสดารในใจ

 

 

นางถอนหายใจลุกขึ้นช้าๆ มองดูคนงามชุดแดงที่นอนอยู่ข้างกาย

 

 

ตอนไป๋หลี่ชูนอนหลับ เค้าหน้าที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์พิกลสร่างซาไปไม่น้อย งดงามและสงบราวกับดอกมะเดื่ออุทุมพรกึ่งตูมกึ่งบานใต้แสงจันทร์

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าดอกมะเดื่ออุทุมพรมีพิษร้าย แต่ชิวเยี่ยไป๋ยังคงต้องยอมรับว่าคนหน้าตางดงามแม้จะชั่วร้ายมีพิษ แต่ก็ดูดีทีเดียว

 

 

 

 

——

 

 

[1] ก่อนหน้านี้ ไป๋หลี่ชู แทนตัวเองว่า ‘เปิ่นกง (本宫)’ มาโดยตลอด ซึ่งคำว่า เปิ่นกง หมายถึง ข้าผู้เป็นเจ้าของวังผู้นี้ เป็นคำใช้เรียกแทนตัวของผู้ที่มีตำหนักหรือวังเป็นของตัวเอง เพื่อความสะดวกและลื่นไหล ทางหอหมื่นอักษรจึงตัดย่อเหลือเพียงคำว่า ‘ข้า’ มาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ ไป๋หลี่ชูแทนตัวเองว่า ‘หว่อ (我)’ ซึ่งหมาย ฉัน/ข้า เป็นคำเรียกแทนตัวของคนทั่วไป ซึ่งสามารถสื่อความหมายได้ว่าไป๋หลี่ชูเลือกใช้คำที่ค่อนข้างสนิทสนมและเป็นกันเองมากขึ้นกับชิวเยี่ยไป๋แล้ว  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 223 เขาพูดจริง (3)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 223 เขาพูดจริง (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไป๋หลี่ชูลูบคลำแขนของนางเล่น ร้องหึเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ตายเมื่อควรตาย ย่อมเป็นเรื่องที่ปรารถนาอยู่แล้ว ไยจึงมิได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แววตาที่ดูเฉยเมยจนไร้อารมณ์ของมนุษย์แม้แต่น้อยของไป๋หลี่ชู กลับทำให้นางรู้สึกอาดูรอย่างประหลาด

 

 

นางมองดูใบหน้าแสนงามที่อยู่ใกล้กันนิดเดียวอย่างงงงัน แล้ว…ไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะพบสิ่งที่น่าสนใจ จึงกล่าวอย่างยินดีว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้ากำลังกังวลแทนข้าหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้าเงียบๆ “เปล่า ข้าวิตกว่าฝ่าบาทจะยิ่งกวนน้ำให้ขุ่น”

 

 

ท่าทางเกรงแต่ว่าแผ่นดินจะไม่วุ่นวายเช่นนี้บวกกับคำพูดเมื่อครู่ สัญชาตญาณบอกนางว่าเขายังคงชมดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ จะดีกว่า

 

 

“เสี่ยวไป๋ เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียจริง และนั่นทำให้ข้าดีใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร” ใบหน้าของไป๋หลี่ชูเข้าใกล้นางอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งแนบข้างหูนาง อีกมือยังคงกุมแขนนางไว้ ยิ้มร่าจนนางจำใจต้องกระเถิบตัวพิงกับพนักเก้าอี้

 

 

พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ตื่นตัว หลุบตาลงหลบดวงตาที่สยบคนได้คู่นั้น กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ ฝ่าบาทเข้าใจผิดแล้ว”

 

 

ข้าไม่เคยคิดจะเข้าใจเจ้าเลยแม้แต่น้อยนะ!

 

 

ไป๋หลี่ชูก้มศีรษะลง ริมฝีปากแนบบนหน้าผากนาง นางตัวแข็ง เขากลับหรี่ตาลง ส้องเสพไออุ่นจากผิวกายที่เกลี้ยงเกลาของนาง รับฟังวาจาอ่อนหวาน

 

 

“การถ่อมตัวเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่ง แต่กับคนรักที่แสนสนิทสนมเช่นข้ากับเจ้า ทำตัวเหินห่างเช่นนี้ก็เสแสร้งแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยายามระงับอารมณ์อยากจะผลักเขาให้พ้น ตะโกนลั่นในใจ  ใครรับปากเป็นคนรักของเจ้า ผีนะสิเป็นคนรักของเจ้า ทำตัวเหินห่างกับฝ่าบาทเจ้านี่มันหน้าด้านนะ!

 

 

แต่จนใจที่กลิ่นหอมจากตัวของไป๋หลี่ชูดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมนั้นทำให้ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกสติเริ่มเลอะเลือน ดูเหมือนเลือดลมเริ่มพลุ่งพล่าน ซ้ำยังรู้สึกว่ามือของเขาที่ลูบกับเอวนางช่างสบายจริงๆ

 

 

รู้สึกว่าปีศาจที่ทับตนไว้ดูเหมือนจะเริ่มมีอารมณ์แล้ว นางมิรู้ว่าควรถีบทิ้งแล้วรีบหนีไปหรือควรชกต่อยกับเขาอีกรอบ

 

 

แต่ทางเลือกเหล่านี้รังแต่จะเป็นเพียงความสะใจชั่วขณะ ล้วนมิอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี

 

 

แต่นางทนกับสภาพพิลึกพิลั่นนี้ไม่ไหวจริงๆ จึงใช้มืออีกข้างที่มิได้ถูกกุมไว้ยันอกเขา เบือนหน้าหลบอย่างแข็งขืนทุลักทุเล “ฝ่าบาท ท่านไม่เคยคิดจะขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นเองบ้างหรือ”

 

 

ในความเป็นจริง นางเคยนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นคือบุรุษผู้นี้ใจจดใจจ่ออยู่กับการชมดูการรบราฆ่าฟันของพี่น้องและผู้อาวุโส ก็แค่รอให้ถึงวันหนึ่งที่เขาสามารถอยู่ในฐานะราชโอรส และเป็นตาอยู่ที่เหมือนชาวประมงผู้ได้ผลประโยชน์จากการขับเคี่ยวระหว่างนกกระสากับหอยกาบ

 

 

แต่คำพูดนี้ตรงเกินไป ไม่มีใครอยากฟังคำพูดแทงใจดำ โดยเฉพาะบรรดาราชนิกุล พูดแล้วอาจกระตุ้นโทสะของเขาก็ได้ ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่เวลาที่นางกับเขาจะผิดใจกัน

 

 

การเคลื่อนไหวของไป๋หลี่ชูหยุดลง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่หันหน้าซุกอกเขาลอบถอนใจเฮือก แต่รับรู้ได้ถึงความเย็นของร่างกายเขา รู้สึกไม่สบายใจ

 

 

พักใหญ่ที่ไป๋หลี่ชูไม่พูดเลยสักคำ แต่หัวร่อเบาๆ ไม่รับไม่ปฏิเสธน้ำเสียงนุ่มนวลเจือแหบพร่า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูอย่างสงสัยว่าเขาเหมือนฟังเรื่องอะไรที่น่าขันมาก เสียงหัวร่อดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับหัวร่อจนทนไม่ไหวและฟุบกับไหล่นาง หัวร่อจนสะท้านไปทั้งตัวเหมือนกิ่งไม้ต้องลม

 

 

นางยิ่งรู้สึกแปลกใจ แต่รู้สึกว่าเสียงหัวร่อของเขานอกจากปล่อยปละแล้วยังเต็มไปด้วยความหยามหยัน เย็นชา ยังมีอีกหลายอารมณ์ที่บอกไม่ถูก แม้กระทั่งมี…ความรันทดอาดูร

 

 

นางงงงันอยู่พักใหญ่ แล้วเอื้อมมือช้าๆ ตบไหล่ของเขาเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว แต่ไม่พูดอะไร

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อจนพอพลันเงยหน้าขึ้น มองนางจากที่สูงกว่าชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็ประคองใบหน้านาง ยิ้มอย่างอ่อนโยนและอดทน “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นของเล่นน่าสนใจที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “ของเล่น…ฝ่าบาท ข้ามิรู้สึกว่าเป็นคำชมเลยนะ”

 

 

ไม่มีใครอยากเป็นของเล่นของใครคนหนึ่ง

 

 

ไป๋หลี่ชูหลุบตา ก้มมองดูริมฝีปากนุ่มนิ่มปานบุปผาของนางอย่างไม่ยอมให้ขัดขืน พลางกล่าวอย่างมิใส่ใจว่า “อืม แต่ข้าชอบ”

 

 

คราวนี้เขาเรียกแทนตนเองว่า ‘ข้า[1]’ แล้ว

 

 

……

 

 

ลมราตรีกระโชกเข้าหน้าต่าง ชิวเยี่ยไป๋เสยไรผมที่ถูกลมพัดจนระกับแก้ม ก้มดูสมุดบัญชีในมือแวบหนึ่งแล้วยัดใส่ห่อสัมภาระของตน

 

 

การขบเหลี่ยมทางจิตใจบ่ายวานนี้และการยอมถูกลวนลาม แลกมาซึ่งการได้สมุดบัญชีคืนมา ขณะเดียวกันไป๋หลี่ชูก็เห็นด้วยว่านางไม่ต้องรีบกลับราชธานี ควรไปสมทบกับพวกเป๋าเป่าก่อน เขารับปากจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้เอง

 

 

พักผ่อนมาหลายวัน พรุ่งนี้นางจะไปสมทบกับพวกเป๋าเป่าแล้ว ก็มิรู้ว่าพวกเป๋าเป่าไม่ได้ข่าวคราวของนางนานขนาดนี้ จะร้อนใจจนแทบตายหรือไม่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูจันทรานอกหน้าต่าง พลันเห็นเงาร่างสีแดงที่มองจันทร์เหมือนกันใต้หอ สีหน้าออกจะสับสนอยู่บ้าง

 

 

บ่ายวานนี้ช่วงเวลานั้นไป๋หลี่ชูไม่พูดอะไรเลย แต่กลับทำให้นางเหมือนจะแอบเห็นอะไรบางอย่างในใจของเขาที่นางไม่ควรเห็น

 

 

นางเริ่มเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ล้วนมีความหนักอึ้งที่ยากจะบรรยายเป็นของตนเอง

 

 

เพียงแต่…

 

 

นางไม่อยากไปสัมผัสกับอารมณ์ที่เขาไม่ปรารถนาจะแสดงออกและนางไม่ควรรับรู้ นั่นออกจะสนิทสนมจนเกินไป ขณะเดียวกันอารมณ์เหล่านั้นจะพลอยกระทบต่ออารมณ์และการตัดสินใจของนางด้วย

 

 

และไป๋หลี่ชูมิใช่คนที่ต้องการให้ใครเห็นใจ

 

 

นอกหน้าต่างราตรีดึกแล้ว ชิวเยี่ยไป๋เห็นลานบ้านใต้หน้าต่าง คนงามในชุดแดงดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดื่มสุราชมจันทร์กับอีไป๋และซวงไป๋ ไม่มีเจตนาจะกลับมาพักผ่อน นางจัดสัมภาระเงียบๆ แล้วเป่าตะเกียงจนดับและขึ้นเตียงนอนอย่างสงบ

 

 

แต่มิรู้เพราะเหตุใด ในหัวคล้ายยังมีเสียงหัวร่อที่แทบจะโศกเศร้าอาดูรวนเวียนอยู่ข้างหูตลอดเวลา

 

 

 

 

 

 

ฝนตกแต่เช้าตรู่ เสียงฟ้าร้องครั้งแรกชิวเยี่ยไป๋ก็ตื่นแล้ว

 

 

นางขยับตัวเล็กน้อยก็รับรู้ว่าหลังกายยังมีอีกคนที่กำลังหลับสนิท

 

 

นางไม่เหลียวมองก็รู้ว่าไป๋หลี่ชูอยู่ข้างหลัง ฝ่าบาทคนนี้เมื่อคืนกลับมาตอนไหน นางถึงกับไม่รู้สึกตัวเลย

 

 

เป็นการยืนยันอีกครั้งถึงความห่างชั้นของพลังฝีมือ ทำให้ชิวเยี่ยไป๋เกิดความรู้สึกพิสดารในใจ

 

 

นางถอนหายใจลุกขึ้นช้าๆ มองดูคนงามชุดแดงที่นอนอยู่ข้างกาย

 

 

ตอนไป๋หลี่ชูนอนหลับ เค้าหน้าที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์พิกลสร่างซาไปไม่น้อย งดงามและสงบราวกับดอกมะเดื่ออุทุมพรกึ่งตูมกึ่งบานใต้แสงจันทร์

 

 

รู้ทั้งรู้ว่าดอกมะเดื่ออุทุมพรมีพิษร้าย แต่ชิวเยี่ยไป๋ยังคงต้องยอมรับว่าคนหน้าตางดงามแม้จะชั่วร้ายมีพิษ แต่ก็ดูดีทีเดียว

 

 

 

 

——

 

 

[1] ก่อนหน้านี้ ไป๋หลี่ชู แทนตัวเองว่า ‘เปิ่นกง (本宫)’ มาโดยตลอด ซึ่งคำว่า เปิ่นกง หมายถึง ข้าผู้เป็นเจ้าของวังผู้นี้ เป็นคำใช้เรียกแทนตัวของผู้ที่มีตำหนักหรือวังเป็นของตัวเอง เพื่อความสะดวกและลื่นไหล ทางหอหมื่นอักษรจึงตัดย่อเหลือเพียงคำว่า ‘ข้า’ มาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ ไป๋หลี่ชูแทนตัวเองว่า ‘หว่อ (我)’ ซึ่งหมาย ฉัน/ข้า เป็นคำเรียกแทนตัวของคนทั่วไป ซึ่งสามารถสื่อความหมายได้ว่าไป๋หลี่ชูเลือกใช้คำที่ค่อนข้างสนิทสนมและเป็นกันเองมากขึ้นกับชิวเยี่ยไป๋แล้ว  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+