ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 76 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (7)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 76 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวเยี่ยไป๋มองลงไปจากมุมสูง พลางปัดอกเสื้อเบาๆ ยืนริมฝั่งสะบัดชายเสื้อ เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “พี่รอง ข้าหวังดีกับท่านนะ เป็นคนต้องมีสติ อย่าทำอะไรไม่ประมาณตน เอาล่ะ รีบไปตีอกชกหัวกับพี่ใหญ่เร็วเข้า บอกว่าข้าถีบท่านตกน้ำ หืม?”

 

 

พูดจบนางก็พาหนิงชุนเดินเลาะตามพุ่มไม้ใบหญ้าริมทะเลสาบจากไปอย่างไม่เร่งร้อน โดยไม่หันมามองอีก

 

 

ได้ยินเสียงชิวเฟิ่งฉูแผดเสียงคำรามลั่นไล่หลัง หนิงชุนคิดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หึ ความสามารถในการบีบให้คนเป็นบ้าของนายน้อยกำเริบอีกแล้ว

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจอย่างพึงพอใจ วันเวลาที่กลับมาเมืองหลวงช่างหนักหนาและน่าเบื่อสิ้นดี หากต้องการความเพลิดเพลินใจบ้าง ก็ต้องหาความสนุกเอาเอง

 

 

อืม ชิวเฟิ่งฉูก็นับว่ามีคุณงามความดีที่สร้างความเพลิดเพลินให้นาง

 

 

 

 

จันทราเคลื่อนสูงเหนือยอดหลิ่ว นัดพบหลังตะวันลับแสง[1]

 

 

ภาพที่งดงามเช่นนี้ ยังมีอาหารและสุราเลิศรส คนงามในชุดบางเบา นี่เป็นสิ่งที่ชิวเยี่ยไป๋ชื่นชอบที่สุด

 

 

แต่เงื่อนไขแรกคือ คนงามต้องมีความเขินอาย มิใช่สาวใหญ่ที่แทบจะกลืนคนลงท้องไปทั้งตัว

 

 

“เยี่ยไป๋ ไยจึงไม่กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ เล่า กลัวข้าจะกินเจ้าหรือ”

 

 

ตู้เจินหลานหัวเราะเบาๆ ประคองป้านสุราเข้าใกล้ชิวเยี่ยไป๋

 

 

เรือนของตู้เจินหลานนั้นมีดาดฟ้าด้วย ล้อมด้วยราวระเบียงหยกที่แกะสลักอย่างประณีตงดงาม มองเห็นทัศนียภาพได้ดียิ่ง วันนี้นางตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงเล็กๆ ที่นี่เพื่อต้อนรับที่ชิวเยี่ยไป๋กลับมา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นนางไม่มวยผมหรูหราแบบที่นางชื่นชอบเช่นในยามปกติอย่างมวยหมู่ตาน[2] มวยตกหลังม้า[3] มวยดอกบัวบาน[4] แต่กลับเกล้าเป็นมวยมีดคู่[5]แบบที่เด็กสาวๆ นิยมกัน แล้วประดับเพียงเครื่องประดับศีรษะผลึกแก้วรูปดอกฝูหรง ผมดำขลับส่วนที่เหลือปล่อยสยายยาวปรกหลัง ทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่ายามปกติมาก

 

 

บนร่างสวมชุดกระโปรงสีแดงทับทิมรัดใต้อก ดันสองอกอวบอิ่มขึ้นมาจนเห็นเด่นชัด ที่ไหล่มีเพียงผ้าโปร่งสีชมพูดอกไห่ถังคลุมเอาไว้ คล้ายปกปิดแต่เปิดเผย ดูยั่วยวนยิ่งนัก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจคราหนึ่ง หากบนใบหน้าอีกฝ่ายไม่ทาแป้งเสียหนาเตอะ และไม่ประพรมเครื่องหอมเสียฉุนจนทำให้ตนอยากจะจามออกมาแล้ว ตนก็คงอยากชื่นชมสาวใหญ่ที่ยังทรงเสน่ห์งดงามอยู่หรอก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หยิบจอกสุรา ปล่อยให้ตู้เจินหลานรินสุราให้ และคอยรักษาระยะห่างจากนางอย่างไม่ให้กระโตกกระตาก ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณมารดา”

 

 

คำว่า ‘มารดา’ ทำตู้เจินหลานหางตากระตุกทันที ยกมือขึ้นป้องปาก เอ่ยอย่างกะบึงกะบอน “เจ้ามิได้เกิดด้วยข้า มิต้องถือพิธีรีตอง เรียกข้าว่าเจินหลานก็พอ”

 

 

เสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ทำเอาชิวเยี่ยไป๋ถึงกับมือสั่นเล็กน้อย ยิ้มรับอย่างสบายๆ พลางเอ่ยว่า “ธรรมเนียมปฏิบัติจะละมิได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังคงเรียกองค์หญิงดีกว่า”

 

 

ตู้เจินหลานใช้นิ้วที่เคลือบสีเล็บแดงสดจิ้มหัวไหล่ของชิวเยี่ยไป๋เบาๆ ราวกับจนใจ “เอาเถอะ เจ้าอยากเรียกเช่นไรก็เรียกเถิด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ มองทิวทัศน์ที่ไกลออกไป เอ่ยเสียงนุ่มว่า “องค์หญิง ข้าอยากรู้ว่าท่านจะทำเช่นไรกับชิวซั่นหนิง”

 

 

เดิมตู้เจินหลานคิดว่า กว่าชิวเยี่ยไป๋จะยอมกลับมาช่างยากเย็นนัก ตั้งใจว่าจะเมินเขาสักหลายวัน ให้เขาร้อนใจอยากขอพบตน นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นตนเองที่รุ่มร้อนอยากพบเขา เหมือนเห็นชิ้นเนื้ออยู่ใกล้มือ แต่ไม่อาจคว้าเอามาลิ้มลองได้

 

 

ครั้งนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนเขากลับมา นางจึงอยากคลอเคลียกับเขาสักพัก ทำทีเล่นจริตขัดขืนทว่าโอนอ่อนเช่นสตรีในหอห้องกับเขาสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะเอ่ยเข้าประเด็นเช่นนี้ ทำเอานางหมดอารมณ์สนุกไปทันที

 

 

เพียงแต่นางหารู้ไม่ว่า ชิวเยี่ยไป๋เจตนาที่จะทำให้นางเสียอารมณ์

 

 

ตู้เจินหลานเอนกายพิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน มือเล่นกิ่งหลิ่วที่ทิ้งตัวลงมาอยู่เบื้องหน้า “ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เยี่ยไป๋ เจ้าจะต้องพูดถึงน้องสาวไม่รักดีของเจ้าให้ได้หรือ”

 

 

นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้ แต่นางไม่เคยเห็นเจ้าเป็นพี่ชายด้วยซ้ำ”

 

 

น้ำเสียงที่เป็นการเตือนและฉายแววหยามหยันอย่างไม่ปิดบังของตู้เจินหลานทำให้ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ทอประกายเย็นเยียบ นางทอดสายตามองไปไกล เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ว่านางจะเห็นข้าเป็นพี่ชายหรือไม่ แต่นางก็เป็นน้องสาวที่คลานตามกันมาของข้า นี่เป็นความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลง”

 

 

ตู้เจินหลานมองแผ่นหลังระหงของชิวเยี่ยไป๋ ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร ยามปกติหากมีใครกล้าแข็งข้อกับนาง นางต้องทำให้อีกฝ่ายไม่ได้อยู่เป็นสุขไปนานแล้ว แม้แต่พวกคุณชายเทียนซูของหอไผ่เขียว ไม่เพียงเคารพเชื่อฟังนาง ยังโอนอ่อนเอาอกเอาใจนางด้วย

 

 

แต่คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับทำให้นางรู้สึกว่าเขาเป็นคนยึดมั่นคุณธรรมน้ำมิตรอย่างประหลาด

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจ หาไม่แล้ววันนี้ข้าจะจัดเลี้ยงต้อนรับเจ้ากลับมาหรือ” ตู้เจินหลานลุกขึ้นยืน รินสุราใส่จอกของชิวเยี่ยไป๋ แล้วเบียดกายกับราวระเบียง เอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนว่า “ข้าอยากฟังดูว่าเจ้าคิดอ่านอย่างไร”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นนางเบียดกายกับราวระเบียงจนเนินอกขาวราวหิมะแทบจะเสียดสีกับมือตน จึงยกมือออกแล้วกระแอมเบาๆ หันเดินไปยังทิศทางที่เหมาะจะชมอาทิตย์อัสดง เดินพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง “ไม้อยากเงียบแต่ลมมิสงบ การย้ายต้นไม้ย่อมง่ายกว่าการบังลม ข้าดูลักษณะใบหน้าชิวซั่นหนิงแล้วเห็นว่านางมีบุญวาสนาบนหนทางบำเพ็ญเพียร ให้เผอิญเป่ยเทียนซือไท่ผู้มีชื่อเสียงจากอารามชิงอวิ๋นจาริกมายังเมืองหลวง ตามที่ซือไท่กล่าว นางเดินทางมาเพื่อช่วยสะเดาะเคราะห์ขจัดทุกข์ภัย แสวงหาผู้มีวาสนาไปเป็นศิษย์ จะได้ให้ติดตามออกจากริกแสวงบุญทั่วแผ่นดินด้วยกัน ซือไท่คำนวณวิถีดวงดาวแล้วพบว่าผู้มีวาสนานั้นอยู่ในจวนของเรานี่เอง”

 

 

ตู้เจินหลานฟังชิวเยี่ยไป๋สาธยายเสียยืดยาวก็ถึงกับอึ้งงัน หรือเรื่องนี้เขามีแผนอยู่แล้ว เพียงรอคำตอบจากนางเท่านั้น

 

 

แต่ว่า…

 

 

นี่นับเป็นทางออกที่ไม่เลว

 

 

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเลิกคิ้วถามว่า “เยี่ยไป๋ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการกระทำของซั่นหนิงทำให้ในวังพิโรธแล้ว พระพันปีกับจักรพรรดินีมีพระบัญชามาที่ข้าว่าอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่”

 

 

แม้น้ำเสียงของนางจะพลันเย็นเยียบขึ้น แต่ก็เห็นว่าคิ้วตายังคงฉายแววยั่วยวนอยู่ ชิวเยี่ยไป๋ส่ายศีรษะเอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “พระพันปีกับจักรพรรดินีมิใช่ผู้ที่คนอย่างข้าจะพบได้ ข้าจะรู้พระประสงค์ของทั้งสองพระองค์ได้อย่างไร”

 

 

เห็นคนตรงหน้ายังวางตัวสุขุม ตู้เจินหลานจึงเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ชิวซั่นหนิงมีเจตนาคิดไม่ซื่อ พฤติกรรมน่าอัปยศ ล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีพระบัญชาจากในวัง ให้นางตายด้วย ‘อุบัติเหตุ’ !”

 

 

น้ำเสียงของนางเย็นชา สมกับเป็นคนเบื้องบนที่เห็นความตายของผู้อื่นจนเป็นเรื่องชินชา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลง นึกในใจว่า คาดไว้ไม่ผิดจริงๆ

 

 

ตู้เจินหลานเห็นท่าทีของชิวเยี่ยไป๋ คิดว่าอีกฝ่ายคงเกิดความหวาดกลัว จึงอมยิ้มหยิบจอกสุราขึ้นจิบช้าๆ กล่าวว่า “เยี่ยไป๋ แม้ข้าจะมีศักดิ์เป็นหลานของพระพันปี แต่ข้าก็เป็นนายหญิงสกุลชิว ยังคงต้องคำนึงถึงคนทั้งตระกูล เจ้าว่าเหตุใดข้าต้องแบกรับการล่วงเกินพระพันปีและจักรพรรดินีเพียงเพื่อบุตรสาวอนุคนหนึ่งด้วย หืม?”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า “แล้วต้องทำเช่นไรองค์หญิงจึงจะยอมช่วยชิวซั่นหนิง”

 

 

ตู้เจินหลานอมยิ้มไม่ตอบ หยิบจอกแล้วลุกขึ้นเยื้องกรายเข้ามาใกล้ โน้มกายเข้าหาชิวเยี่ยไป๋

 

 

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋มิได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้ตู้เจินหลานเอนพิงกายตน ใบหน้ายวนเสน่ห์ ยกจอกในมือจรดริมฝีปากตน “ดื่มจอกนี้ก่อน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แววตาหม่นลง โอบเอวนางไว้ แล้วดื่มสุราที่ส่งถึงปากจนหมดจอก

 

 

ตู้เจินหลานพึงพอใจที่ชิวเยี่ยไป๋เข้าใจอะไรง่ายๆ เอนกายเข้าอิงแอบอย่างเกียจคร้าน เอ่ยอย่างมีจริตจะก้านว่า “เยี่ยไป๋ เจ้าชอบข้าหรือไม่”

 

 

 

 

——

 

 

[1]  เป็นท่อนพรรณนาที่โอวหยางซิว (ค.ศ. 1007-1072) กวีเลื่องชื่อแห่งราชวงศ์ซ่ง กล่าวถึงการลักลอบนัดพบกันของคู่รักยามวิกาล ทำให้เห็นภาพคู่รักพลอดรักกันใต้แสงจันทร์เงาหลิ่ว ให้บรรยากาศเลือนราง เงียบสงบ และงดงาม

 

 

[2]  ‘หมู่ตานจี้’ หรือมวยโบตั๋น ลักษณะเป็นมวยเกล้าสูง

 

 

[3]  ‘ตั้วหม่าจี้’ มีลักษณะเป็นมวยเอียง เกล้าหลวมๆ ดูคล้ายจะตกลงมา

 

 

[4]  ‘ฟานเหอจี้’ ลักษณะเป็นมวยขดทรงสูง ที่แยกออกมาสองส่วน เหมือนกลีบบัวสองกลีบที่แย้มบานออกมา

 

 

[5]  ‘ซวงเตาจี้’ คือลักษณะการเกล้ามวยให้มีลักษณะเหมือนกับใบมีดสองใบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด