ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ 81 โง่แล้ว (2)

Now you are reading ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ Chapter 81 โง่แล้ว (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาถูกตนกระตุ้นจนละอายใจถึงที่สุดแล้วจึงปล่อยเขาไป เพียงมอบภารกิจหนึ่งให้  “ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าต้องหาวิธีอะไรก็ได้ไปขอร้องพี่ชายภรรยาบ้านเจ้า จงอย่าให้เขาแทงพวกเราข้างหลังอีกก็แล้วกัน”  

 

 

โจวอวี่สดชื่นขึ้นทันตาเห็น สาบานว่าต่อให้ต้องขายตัวก็จะขอร้องให้พี่ชายภรรยาของตนอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก  

 

 

แม้ชิวเยี่ยไป๋จะคิดว่าตู้เชียนจ่งคงไม่มีทางสนใจไยดีกับก้นที่ถูกโบยจนเละเทะของน้องเขย แต่ก็คงเห็นใจโจวอวี่ที่น้ำตาคลอเบ้า จึงปล่อยไปอย่างวางใจ  

 

 

โจวอวี่เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ลูกเล่นแพรวพราว เซ้าซี้จนตู้เชียนจ่งปวดหัว ส่วนพวกอี้จ่างที่เหลือก็ไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากอีก และไม่กล้าขัดความประสงค์เจ้านายผู้มีภูมิหลังใหญ่โต  

 

 

ฝ่ายเจ้าทุกข์ไม่ได้ดึงดันจะเอาเรื่องอยู่แล้ว ทางฝ่ายนางเองจึงพอจะจัดการได้  

 

 

นางครุ่นคิดว่าเจ้าพวกอันธพาลตัวน้อยซึ่งเป็นลูกน้องตนเหล่านี้ถูกลงโทษทุบตีเช่นนี้ ในเวลาอันสั้นคงหมดเรี่ยวแรงจะไปหาเรื่องหาราอีก จึงให้เป๋าเป่าปิดประตูกองคั่นเฟิงเสียเลย ห้ามใครเข้าออก ป้องกันมิให้คนภายนอกมารังแกพวกคนบาดเจ็บกลุ่มนี้อีก  

 

 

หลังจัดแจงเสร็จ นางจึงเปลี่ยนชุดเป็นชุดขุนนางระดับเชียนจ่งอย่างเป็นทางการ และตรงไปยังเสินอู่ถังเพื่อพบขันทีใหญ่เจิ้งจวินผู้ดูแลตราประทับซึ่งเป็นเจ้านายสูงสุดของซือหลี่เจียน   

 

 

“ท่านข้าหลวงกำลังถวายธูปสวดภาวนาต่ออาจารย์ปู่ ไม่สะดวกพบแขก ใต้เท้าชิวโปรดกลับไปเถิด” ขันทีผู้ดูแลสำนักขวางประตูเสินอู่ถังไว้อย่างยโส  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาไม่ได้เข้าไปรายงานด้วยซ้ำ ถึงกับขวางไว้อย่างขึงขัง ก็รู้ว่าเจิ้งจวินคงสั่งไว้ไม่ให้นางเข้าพบแต่แรกแล้ว  

 

 

นางอึ้งไปเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อืม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมมิบังควรรบกวนตูกง แต่ในฐานะคนของซือหลี่เจียนคนหนึ่ง ข้าน้อยก็เทิดทูนอาจารย์ปู่เป็นอย่างยิ่ง กับตูกงก็เช่นเดียวกัน เช่นนั้นข้าน้อยขอร่วมสวดภาวนาขอพรอาจารย์ปู่ด้วยคน”  

 

 

ขันทีที่ขวางประตูนึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะมาไม้นี้ จึงอึ้งไปในพริบตา จากนั้นก็มองนางอย่างดูแคลน “ได้อย่างไร ใต้เท้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าถวายธูปอาจารย์ปู่ที่ห้องบูชาตามใจชอบเช่นนั้นหรือ”  

 

 

ห้องบูชาเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของซือหลี่เจียน นอกจากข้าหลวงใหญ่แห่งซือหลี่เจียนกับขันทีใหญ่ผู้ดูแลพู่กันไม่กี่คนที่มีสิทธิ์เข้าออกห้องบูชาเซ่นไหว้อาจารย์ปู่แล้ว ต้องเป็นขุนนางระดับสูงของซือหลี่เจียนที่เข้ารับตำแหน่งใหม่หรือเลื่อนตำแหน่งเท่านั้นจึงจะเข้าไปไหว้ได้สักครั้ง ส่วนข้าราชการทั่วไปของซือหลี่เจียน อย่างดีก็ต้องเป็นตรุษสารทใหญ่ของปีถึงจะมีโอกาสเข้าไปเซ่นไหว้โดยการนำของตูกง  

 

 

แม้ชิวเยี่ยไป๋จะมีตำแหน่งเป็นเชียนจ่ง แต่จัดว่าเป็นคนชายขอบย่อมไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้เป็นธรรมดา  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ดูเหมือนจะไม่เห็นสายตาดูหมิ่นดูแคลนของขันทีผู้นั้น เพียงกล่าวยิ้มแย้มว่า “ข้าน้อยย่อมมิบังอาจ จึงตั้งใจเพียงขอสวดภาวนาให้อาจารย์ปู่ในเสินอู่ถังเท่านั้นเอง”  

 

 

พูดจบ นางก็เดินอ้อมขันทีที่ขวางทางหลายคนตรงเข้าเสินอู่ถังเลย   

 

 

ขันทีเหล่านั้นงงงัน พวกเขาต่างมีวรยุทธ์ กลับไม่มีใครดูออกว่าเมื่อครู่ชิวเยี่ยไป๋เดินฝ่าพวกตนได้อย่างไร  

 

 

ในความเป็นจริงเสินอู่ถังคือห้องประชุม ยามปกติมีคนไปมาอยู่แล้ว มีการรอกันตรงนี้ เผื่อเจิ้งจวินจะเรียกใช้  

 

 

ขณะนี้ในเสินอู่ถังยังมีขันทีใหญ่และข้าราชการที่นั่งรอการเรียกหาของเจิ้งจวินอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลมาขัดขวางไม่ให้ชิวเยี่ยไป๋สวดภาวนาขอพรจากอาจารย์ปู่ตรงนี้  

 

 

หัวหน้าขันทีเห็นชิวเยี่ยไป๋เดินช้าๆ ไปนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งที่มุมห้องเสินอู่ถัง และเริ่มหลับตาพึมพำท่าทางราวกับศรัทธาเปี่ยมล้น ต่างก็จนปัญญา คิดไปคิดมาจึงให้คนไปรายงานที่ห้องบูชา  

 

 

เจิ้งจวินฟังแล้วก็ปักธูปกำหนึ่งลงในกระถางธูป กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เขาอยากสวดมนต์ที่เสินอู่ถังก็แล้วแต่เขาเถิด”  

 

 

ขันทีใหญ่อาภรณ์สีแดงที่ยืนรับใช้ข้างกระถางธูปแค่นหัวร่อเย็นชา “ข้าจะรอดูว่า เขาจะทนได้ถึงเมื่อใด”  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋นั่งตรงนั้นปากขมุบขมิบ ท่าทางอันโอ่อ่านั้นทำเอาพวกคนที่นั่งรอการเรียกหาพากันชำเลืองมอง  

 

 

กองคั่นเฟิงเดิมทีก็ถูกดูถูกดูแคลนอยู่แล้ว สองวันก่อนยังทำเรื่องงี่เง่าโดนโบยลงโทษทั้งกอง ทุกคนจึงพากันเดาว่าชิวเยี่ยไป๋คงมาร้องขอความเมตตา แต่เห็นได้ชัดว่าตูกงไม่ให้โอกาส ดังนั้นสายตาที่มองมาที่นางจึงล้วนเป็นความดูแคลน สงสัย เยาะหยัน ทุกสายตาเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงใส่ตัวนาง  

 

 

แต่คนที่ตกเป็นเป้าสายตากลับเอาแต่หลับตาพึมพำเหมือนไม่ยี่หระ  

 

 

ดังนั้น ‘หนามสายตา’ ที่ทิ่มใส่จึงไร้ผลใดๆ ทำเอาคนที่รอชมดูความอิหลักอิเหลื่อของชิวเยี่ยไป๋ไม่สะใจเหมือนที่คิด ในเมื่อไม่สะใจจึงเกิดความคิดชั่วร้ายตามสันดานมนุษย์และ…ทุ่มหินใส่คนตกบ่อ  

 

 

“โอ้ ใต้เท้าชิวท่านนี้มากอดขาพระยามจวนตัว พระคงไม่ไยดีกระมัง” ขันทีผู้ทำงานส่วนหน้าของสำนักอดถากถางมิได้  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างนุ่มนวล “อมิตตพุทธ”  

 

 

ขันทีผู้นั้นงุนงง ถ้าชิวเยี่ยไป๋สวนกลับบ้าง พวกเขาจะได้ทีจับผิด อาจหาทางให้ชิวเยี่ยไป๋ได้รับโทษด้วยซ้ำ จะได้ขายหน้าซ้ำสอง  

 

 

แต่ ‘อมิตตพุทธ’ หมายความว่าอะไร?  

 

 

คนอื่นเห็นขันทีผู้นี้เริ่มต้นก็ไร้ผล แม้ยามปกติคนเหล่านี้จะขบเหลี่ยมกันอยู่ก็ตาม แต่ครานี้กลับพร้อมใจกัน พากันถากถางชิวเยี่ยไป๋คนละคำสองคำ  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตอบทุกคำเหมือนกันคือ ‘อมิตตพุทธ’ ทำเอาหลายคนนั้นทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรชิวเยี่ยไป๋ก็บอกโทนโท่ว่าสวดภาวนาให้อาจารย์ปู่ ขืนทำโทษหรือด่าว่าชิวเยี่ยไป๋ เผลอๆ จะกลายเป็นลบหลู่ตูกงเอา  

 

 

บวกกับคำสวดทุกคำของชิวเยี่ยไป๋และขณะฟังพวกเขา ล้วนมองเจ้าของคำพูดด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา นุ่มนวลเป็นมิตรทำเอาคนเหล่านั้นชักนั่งไม่ติด จึงคิดจะถากถางโจมตีชิวเยี่ยไป๋ให้ถึงที่สุดเสียเลย นึกในใจว่าเจ้าคนแซ่ชิวผู้นี้คงถูกกดดันจิตใจอย่างหนักจนเป็นบ้าไปแล้ว  

 

 

จนกระทั่งถึงเที่ยง คนในเสินอู่ถังต่างถูกเจิ้งจวินเรียกเข้าพบจนหมดยกเว้นชิวเยี่ยไป๋ และแล้วในห้องประชุมเสินอู่ถังจึงเหลือชิวเยี่ยไป๋คนเดียว  

 

 

บรรดาขันทีที่รับใช้ในนั้นดูเหมือนไม่มีใครเห็นว่ายังเหลืออีกคน ต่างพากันส่งสำรับอาหารให้เจ้านายของตน อากาศร้อนจัดเช่นนี้ยังคงไม่มีใครช่วยส่งน้ำชาสักจอกให้ชิวเยี่ยไป๋  

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก็มิแยแส เดิมทีในเสินอู่ถังก็เตรียมน้ำชาสำหรับแขกไว้ไม่น้อย นางจึงรินน้ำดื่มเอง และแก้ห่อสัมภาระของตนหยิบของว่างที่ทำอย่างประณีตและอิ่มท้องได้นั่งกินอย่างสงบเสงี่ยม  

 

 

ของกินในห่อสัมภาระของนางอุดมสมบูรณ์ถึงระดับที่ทำให้พวกขันทีที่เคยขวางนางพากันอ้าปากค้าง เดิมทีพวกเขาคิดว่าห่อสัมภาระของเชียนจ่งผู้นี้ออกจะห่อโตไปหน่อย ข้างในคงเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่จะมาถวายขอความเห็นใจจากตูกง กลับนึกไม่ถึงว่าที่ห่อใหญ่เพราะเหตุนี้  

 

 

เรื่องนี้มีคนรายงานถึงหูเจิ้งจวินทันที  

 

 

เจิ้งจวินที่เดินออกทางประตูหลังของห้องบูชา และกลับสู่ห้องด้านหลังเสินอู่ถังเพื่อรับประทานอาหารตั้งนานแล้ว พอได้ยินเรื่องนี้ก็แค่นเสียง “ช่างเป็นคนสบายใจเฉิบเสียจริง”  

 

 

ขันทีใหญ่อาภรณ์สีแดงที่ติดสอยห้อยตามตลอดหัวร่อเย็นชา “ไม่รู้ดีรู้ชั่ว!”  

 

 

บ่ายคล้อยแล้ว ยังมีคนมารายงานเรื่องต่างๆ ต่อเจิ้งจวินเช่นเดิม พากันนั่งรอเรียกในเสินอู่ถัง คนเหล่านี้ย่อมเห็นชิวเยี่ยไป๋เป็นธรรมดา และแล้วละครฉากเดียวกันก็เกิดซ้ำ  

 

 

แน่นอน ถ้อยคำเหมือนหอกดาบอาวุธลับยังคงถูกโต้กลับด้วย แววตาประหลาดพิกลและวาจาอันนุ่มนวลจนแทบต้องปรบมือให้  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด