ลำนำบุปผาพิษ 1725 (2)

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1725 (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1725 ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ (2)

น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นเล็กน้อย “เช่นนั้นเรื่องของซีจิ่วในวันนี้เจ้าก็ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกันหรือ?”

หยกนภาสะดุ้งโหยง ‘ปะ…เปล่านะ! ความเคลื่อนไหวของนางอยู่นอกเหนือการทำนายของข้าอย่างสมบูรณ์…ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นแบบนี้…ความจริงแล้ว นางต้องไม่ตายสิ…’

นัยน์ตาตี้ฝูอีส่องประกายนิดๆ จับจ้องร่างมัน “เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”

‘ชะ…ใช่สิ! นางเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปนะ เป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไม่ตาย…’

แววตาของตี้ฝูอีมืดมนลง

ใช่แล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ตาย นอกจากถึงขอบเขตที่กำหนดแล้ว…

ในอดีตเขาประสบความเป็นความตายมากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็รอดพ้นอันตายมาได้เสมอ ทุกความยากลำบากล้วนทำให้วรยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น

เขามีชีวิตอยู่เนิ่นนานเกินไป บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงขั้นที่เคยคิดเสาะแสวงหาความตายและลองปฏิบัติดูแล้วด้วย บากบั่นทรมานไปมากมาย แต่อย่างมากเขาก็แค่ต้องทนทุกข์กับบทลงโทษด้วยการมีชีวิตอยู่มากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สิ้นชีพเลย

เว้นแต่มารสวรรค์ตนนั้นจะสามารถเข้าแทนที่เขาได้…

‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงข้าก็ฉงนยิ่งนักเช่นกัน ก่อนที่เทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปยังไม่เติบใหญ่ขึ้น สามารถถูกมารสวรรค์สังหารได้ ข้อนี้ข้ารู้อยู่แล้ว แต่เมื่อพลังวิญญาณของนางบรรลุขั้นสิบแล้ว จะได้รับการปกปักษ์จากสวรรค์ ก่อนถึงขอบเขตที่กำหนดเอาไว้ จะไม่สิ้นชีพเด็ดขาด แต่หนนี้กลับประหลาดนัก ไม่น่าเชื่อว่านางจะสิ้นชีพไปจริงๆ…’

หยกนภาอดไม่ได้ที่จะวนเวียนรอบร่างของกู้ซีจิ่วสองรอบ ซ้ำยังหมอบนิ่งอยู่บนข้อมือของนางด้วย ‘ตายแล้วจริงๆ ด้วย! ข้าสัมผัสถึงดวงวิญญาณของนางไม่ได้เลย…’

ตี้ฝูอีหลุบตามองนางที่อยู่ในอ้อมแขน

ใช่แล้ว เขาก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่านางตายแล้วจริงๆ เคยลองเรียกวิญญาณของนางมามากกว่าหนึ่งครั้ง แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็เรียกมาไม่ได้เลย…

เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มีอยู่เพียงสามกรณ๊เท่านั้น หนึ่ง นางยังไม่ตาย สอง นางไปเกิดใหม่แล้ว สาม นางดับขันธ์ไปแล้ว…

แต่ได้เห็นดวงวิญญาณของนางแตกสลายภายในอ้อมแขนตนเองกับตา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตาย ส่วนการเกิดใหม่ก็ต้องใช้เวลา

โดยเฉพาะกับคนที่ดวงวิญญาณเคยแตกสลาย ถ้าคิดจะถือกำเนิดใหม่ต้องรวบรวมวิญญาณให้ครบก่อน จากนั้นก็ต้องข้ามสะพานไน่เหอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งที่ยมโลก…กระบวนการนี้ อย่างเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี

ส่วนเขาก็เคยเรียกดวงวิญญาณในยามที่นางเพิ่งหมดลมไปอยู่หลายครั้ง ล้วนไม่เป็นผล…

ส่วนกรณีที่สาม การดับขันธ์พลังยุทธ์ต้องบรรลุขั้นทวยเทพแล้ว แถมยังต้องถึงขอบเขตเวลาที่กำหนดแล้วด้วย ถึงจะดับขันธ์ ไม่อาจฝ่าฝืนได้

เท่าที่เขารู้ เมื่อเทพถึงคราวดับขันธ์จะสูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ สูญสลายไปจากโลกใบนี้ วิญญาณสักเศษเสี้ยวก็ไม่มีหลงเหลืออยู่

กู้ซีจิ่วยังไม่ได้กลายเป็นเทพ อีกทั้งยังไม่ถึงขอบเขตที่กำหนด ไม่อาจดับขันธ์ได้…

สามกรณีนี้ล้วนถูกปัดทิ้งไป ไม่ว่าอย่างไรตี้ฝูอีก็คาดเดาไม่ออกเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้ของนางคืออะไรกันแน่

เนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนลึกล้ำเกินไป หลายวันมานี้ตี้ฝูอีจึงว้าวุ่นเลอะเลือน สมองอันปราดเปรื่องก็คร้านจะทำงาน คิดเพียงว่าอยากลาลับจากโลกนี้ตามนางไป…

ยามนี้เมื่อถูกหยกนภาสะกิดขึ้นมาเช่นนี้ ข้อสงสัยในใจเขาก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ

สายตาเขาร่อนลงที่หยกนภา เจ้าหยกนี่มีความเป็นมาที่พิเศษยิ่งนัก มาหากู้ซีจิ่วด้วยตัวเอง นับว่าเป็นกุนซือของกู้ซีจิ่ว และมีประโยชน์ใช้สอยพิเศษบางอย่างด้วย

เนื่องจากยามปกติแล้วเจ้าสิ่งนี้ค่อนข้างเอะอะโวยวาย ยามที่ตี้ฝูอีอยู่กับกู้ซีจิ่ว มักจะผนึกสตินึกรู้ของมันอยู่บ่อยครั้ง ทราบว่ามันไม่มีพิษมีภัยต่อกู้ซีจิ่ว เขาจึงไม่ใส่ใจมันมากนัก ยามนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าเจ้าหยกชิ้นนี้ไม่ธรรมดายิ่ง…

หยกนภาถูกเขาจ้องจนรู้สึกขนลุกแล้ว หดถอยหลังไปอย่างระแวดระวังอีกครั้ง

“เมื่อปีนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาหาซีจิ่วด้วยตัวเอง?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ซักถาม

หยกนภาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ‘นั่นเพราะ…ข้าถูกชะตากับนาง…’

ตี้ฝูอีพลันฉวยตัวมันเอาไว้ “ข้าต้องการฟังความจริง!”

กำลังมือเขาไม่น้อยเลย เมื่อหยกนภาถูกเขาจับไว้ก็เสมือนเป็ดที่ถูกบีบคอ กรีดร้องออกมา ‘ปล่อยมือนะ! ปล่อยมือ! อย่าได้ไร้มารยาทต่อหยกเทพ! มิเช่นนั้นท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีก!’

นัยน์ตาตี้ฝูอีทอแสงวาบ จับประเด็นสำคัญได้แล้ว “ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีกงั้นหรือ? เจ้าเกี่ยวพันอันใดกับวิถีสวรรค์?”

หยกนภานิ่งงันไปครู่หนึ่ง

มันหดถอยหลังไปอีกเล็กน้อย ‘ไม่…ไม่เห็นรู้เรื่องเลย วิถีสวรรค์อะไรกัน?’

ตี้ฝูอีจ้องมองมันโดยไม่เอ่ยวาจา ทว่าสายตากลับเยียบเย็นขึ้นเรื่อย…

หยกนภากระสับกระส่ายแล้ว หวั่นเกรงว่าเขาจะหงุดหงิดแล้วทุบมันให้แหลกดั่งศิลา ‘ข้า…เรื่องราวกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ข้าบอกไม่ได้!’

ตี้ฝูอีตกตะลึง คาดไม่ถึงว่ายังมีลิขิตสวรรค์ที่ตัวเขาก็ไม่ทราบอยู่ด้วย…

ตี้ฝูอีไม่ปล่อยมันไป “ทันทีที่เจ้าพบนางก็รับรู้ได้แล้วใช่ไหมว่านางคือเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป?”

หยกนภาเงียบงัน

“เจ้าเคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อนางหรือไม่?”

‘แน่นอนว่าไม่เคย! มิเช่นนั้นคงดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว! ข้อนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์น่าจะรู้ดีกว่าข้านะ’

ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ เขากระทำตามใจตนเสมอมา ไม่ค่อยแยแสทัณฑ์สวรรค์สักเท่าใด ในอดีตก็มิใช่ว่าไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ เคยดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาเช่นกัน ล้วนถูกเขาถูไถผ่านไปได้ทั้งสิ้น

แต่ทัณฑ์สวรรค์นี้ไม่เพียงแต่ตกใส่ร่างของผู้แพร่งพรายเท่านั้น ยังตกใส่ร่างของผู้ที่รับรู้อีกด้วย

อีกทั้งเมื่อแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ออกมาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายจะย่ำแย่ยิ่งกว่าในอดีต…

ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อคนที่ใส่ใจเลย เลี่ยงไม่ให้เป็นการชักภัยไปหาผู้อื่น

หยกนภาหวั่นเกรงว่าเขาจะนำเรื่องที่กู้ซีจิ่วดวงวิญญาณแตกสลายมากล่าวโทษมัน จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า ‘ข้าเป็นผู้ที่รู้หนักรู้เบา ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ไม่เคยบอกกล่าวแก่นางเลย’

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรแล้ว กระชับอ้อมแขนโอบกู้ซีจิ่ว หลับตาลง

หยกนภาวนเวียนรอบตัวเขาอย่างระมัดระวังยิ่งนักรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามีทีท่าว่าอยากจะหลับใหลไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะหลับใหลไปจริงๆ ไม่ได้นะ! ตอนนี้ภายนอกยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้าท่านยังไม่ไปยับยั้งความโกลาหลอีก สิ่งที่ข้าแสดงให้ท่านเห็นเหล่านั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา!’

“แล้วข้าจะยับยั้งความโกลาหลได้อย่างไรเล่า?” ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว “ยังมีเวลาอีกห้าเดือน บางทีสวรรค์อาจจะยังมีผู้ที่พลังใหม่วิญญาณขั้นสิบโผล่มา ส่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่มาอีกงั้นหรือ?”

‘เรื่องนี้…พูดยากนัก’ หยกนภากระอึกกระอัก พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยชี้แนะเขา ‘ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ’

ตี้ฝูอีจ้องมันครู่หนึ่ง “เจ้าสัมผัสถึงบางอย่างได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”

หยกนภาสะบัดหน้าเผ่นหนีไป ‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย!’

….

สุดท้ายตี้ฝูอีก็อุ้มกู้ซีจิ่วมาที่สวนดอกไม้ด้านหลังอีกครั้ง เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องนภาครู่หนึ่ง ตกตะลึงแล้ว!

นภาดาษดาราที่ปลอดโปร่งเสมอมาปรากฏเมฆดำมืดทึบ และใจกลางเมฆทะมึน เขามองเห็นดวงดาวที่ค่อนข้างแปลกประหลาดดวงหนึ่ง

มีแสงห้าสี ขนาดใหญ่เอาการ ทว่าสว่างไม่มากพอ มีเมฆดำโอบล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ ทำให้แสงของมันส่องลอดออกมาไม่ได้ ดูน่าหดหู่อย่างยิ่ง

นี่คือ…

ตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ?!

ไม่น่าเชื่อว่าตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวแล้ว เห็นทีว่าสวรรค์ก็คงไม่อยากให้โลกใบนี้ล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน…

ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขน นิ้วมือพลันกำแน่น เดิมทีตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่นี้เป็นของนาง!

หยกนภาที่กระโดดโลดเต้นอย่างปีติลิงโลด ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวแล้ว! ขอเพียงท่านตามหาตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้พบ ถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย ก็สามารถรักษาโลกใบนี้ไว้ได้แล้ว เช่นนั้นเมื่อเจ้านายหวนกลับมาอีกครั้งก็ไม่ถึงขั้นต้องเซ้งต่อร้านที่เจ๊งไปแล้ว…’

ตี้ฝูอีสั่นสะท้าน “เจ้าว่าอย่างไรนะ?! นายของเจ้าจะหวนกลับมา?!”

หยกนภาก็ตระหนกเช่นกัน!

ซวยแล้ว! ดูเหมือนมันจะแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ไปนิดหน่อยแล้ว

————————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลำนำบุปผาพิษ 1725 (2)

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1725 (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1725 ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ (2)

น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นเล็กน้อย “เช่นนั้นเรื่องของซีจิ่วในวันนี้เจ้าก็ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกันหรือ?”

หยกนภาสะดุ้งโหยง ‘ปะ…เปล่านะ! ความเคลื่อนไหวของนางอยู่นอกเหนือการทำนายของข้าอย่างสมบูรณ์…ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นแบบนี้…ความจริงแล้ว นางต้องไม่ตายสิ…’

นัยน์ตาตี้ฝูอีส่องประกายนิดๆ จับจ้องร่างมัน “เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”

‘ชะ…ใช่สิ! นางเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปนะ เป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไม่ตาย…’

แววตาของตี้ฝูอีมืดมนลง

ใช่แล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ตาย นอกจากถึงขอบเขตที่กำหนดแล้ว…

ในอดีตเขาประสบความเป็นความตายมากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็รอดพ้นอันตายมาได้เสมอ ทุกความยากลำบากล้วนทำให้วรยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น

เขามีชีวิตอยู่เนิ่นนานเกินไป บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงขั้นที่เคยคิดเสาะแสวงหาความตายและลองปฏิบัติดูแล้วด้วย บากบั่นทรมานไปมากมาย แต่อย่างมากเขาก็แค่ต้องทนทุกข์กับบทลงโทษด้วยการมีชีวิตอยู่มากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สิ้นชีพเลย

เว้นแต่มารสวรรค์ตนนั้นจะสามารถเข้าแทนที่เขาได้…

‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงข้าก็ฉงนยิ่งนักเช่นกัน ก่อนที่เทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปยังไม่เติบใหญ่ขึ้น สามารถถูกมารสวรรค์สังหารได้ ข้อนี้ข้ารู้อยู่แล้ว แต่เมื่อพลังวิญญาณของนางบรรลุขั้นสิบแล้ว จะได้รับการปกปักษ์จากสวรรค์ ก่อนถึงขอบเขตที่กำหนดเอาไว้ จะไม่สิ้นชีพเด็ดขาด แต่หนนี้กลับประหลาดนัก ไม่น่าเชื่อว่านางจะสิ้นชีพไปจริงๆ…’

หยกนภาอดไม่ได้ที่จะวนเวียนรอบร่างของกู้ซีจิ่วสองรอบ ซ้ำยังหมอบนิ่งอยู่บนข้อมือของนางด้วย ‘ตายแล้วจริงๆ ด้วย! ข้าสัมผัสถึงดวงวิญญาณของนางไม่ได้เลย…’

ตี้ฝูอีหลุบตามองนางที่อยู่ในอ้อมแขน

ใช่แล้ว เขาก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่านางตายแล้วจริงๆ เคยลองเรียกวิญญาณของนางมามากกว่าหนึ่งครั้ง แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็เรียกมาไม่ได้เลย…

เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มีอยู่เพียงสามกรณ๊เท่านั้น หนึ่ง นางยังไม่ตาย สอง นางไปเกิดใหม่แล้ว สาม นางดับขันธ์ไปแล้ว…

แต่ได้เห็นดวงวิญญาณของนางแตกสลายภายในอ้อมแขนตนเองกับตา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตาย ส่วนการเกิดใหม่ก็ต้องใช้เวลา

โดยเฉพาะกับคนที่ดวงวิญญาณเคยแตกสลาย ถ้าคิดจะถือกำเนิดใหม่ต้องรวบรวมวิญญาณให้ครบก่อน จากนั้นก็ต้องข้ามสะพานไน่เหอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งที่ยมโลก…กระบวนการนี้ อย่างเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี

ส่วนเขาก็เคยเรียกดวงวิญญาณในยามที่นางเพิ่งหมดลมไปอยู่หลายครั้ง ล้วนไม่เป็นผล…

ส่วนกรณีที่สาม การดับขันธ์พลังยุทธ์ต้องบรรลุขั้นทวยเทพแล้ว แถมยังต้องถึงขอบเขตเวลาที่กำหนดแล้วด้วย ถึงจะดับขันธ์ ไม่อาจฝ่าฝืนได้

เท่าที่เขารู้ เมื่อเทพถึงคราวดับขันธ์จะสูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ สูญสลายไปจากโลกใบนี้ วิญญาณสักเศษเสี้ยวก็ไม่มีหลงเหลืออยู่

กู้ซีจิ่วยังไม่ได้กลายเป็นเทพ อีกทั้งยังไม่ถึงขอบเขตที่กำหนด ไม่อาจดับขันธ์ได้…

สามกรณีนี้ล้วนถูกปัดทิ้งไป ไม่ว่าอย่างไรตี้ฝูอีก็คาดเดาไม่ออกเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้ของนางคืออะไรกันแน่

เนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนลึกล้ำเกินไป หลายวันมานี้ตี้ฝูอีจึงว้าวุ่นเลอะเลือน สมองอันปราดเปรื่องก็คร้านจะทำงาน คิดเพียงว่าอยากลาลับจากโลกนี้ตามนางไป…

ยามนี้เมื่อถูกหยกนภาสะกิดขึ้นมาเช่นนี้ ข้อสงสัยในใจเขาก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ

สายตาเขาร่อนลงที่หยกนภา เจ้าหยกนี่มีความเป็นมาที่พิเศษยิ่งนัก มาหากู้ซีจิ่วด้วยตัวเอง นับว่าเป็นกุนซือของกู้ซีจิ่ว และมีประโยชน์ใช้สอยพิเศษบางอย่างด้วย

เนื่องจากยามปกติแล้วเจ้าสิ่งนี้ค่อนข้างเอะอะโวยวาย ยามที่ตี้ฝูอีอยู่กับกู้ซีจิ่ว มักจะผนึกสตินึกรู้ของมันอยู่บ่อยครั้ง ทราบว่ามันไม่มีพิษมีภัยต่อกู้ซีจิ่ว เขาจึงไม่ใส่ใจมันมากนัก ยามนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าเจ้าหยกชิ้นนี้ไม่ธรรมดายิ่ง…

หยกนภาถูกเขาจ้องจนรู้สึกขนลุกแล้ว หดถอยหลังไปอย่างระแวดระวังอีกครั้ง

“เมื่อปีนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาหาซีจิ่วด้วยตัวเอง?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ซักถาม

หยกนภาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ‘นั่นเพราะ…ข้าถูกชะตากับนาง…’

ตี้ฝูอีพลันฉวยตัวมันเอาไว้ “ข้าต้องการฟังความจริง!”

กำลังมือเขาไม่น้อยเลย เมื่อหยกนภาถูกเขาจับไว้ก็เสมือนเป็ดที่ถูกบีบคอ กรีดร้องออกมา ‘ปล่อยมือนะ! ปล่อยมือ! อย่าได้ไร้มารยาทต่อหยกเทพ! มิเช่นนั้นท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีก!’

นัยน์ตาตี้ฝูอีทอแสงวาบ จับประเด็นสำคัญได้แล้ว “ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีกงั้นหรือ? เจ้าเกี่ยวพันอันใดกับวิถีสวรรค์?”

หยกนภานิ่งงันไปครู่หนึ่ง

มันหดถอยหลังไปอีกเล็กน้อย ‘ไม่…ไม่เห็นรู้เรื่องเลย วิถีสวรรค์อะไรกัน?’

ตี้ฝูอีจ้องมองมันโดยไม่เอ่ยวาจา ทว่าสายตากลับเยียบเย็นขึ้นเรื่อย…

หยกนภากระสับกระส่ายแล้ว หวั่นเกรงว่าเขาจะหงุดหงิดแล้วทุบมันให้แหลกดั่งศิลา ‘ข้า…เรื่องราวกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ข้าบอกไม่ได้!’

ตี้ฝูอีตกตะลึง คาดไม่ถึงว่ายังมีลิขิตสวรรค์ที่ตัวเขาก็ไม่ทราบอยู่ด้วย…

ตี้ฝูอีไม่ปล่อยมันไป “ทันทีที่เจ้าพบนางก็รับรู้ได้แล้วใช่ไหมว่านางคือเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป?”

หยกนภาเงียบงัน

“เจ้าเคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อนางหรือไม่?”

‘แน่นอนว่าไม่เคย! มิเช่นนั้นคงดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว! ข้อนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์น่าจะรู้ดีกว่าข้านะ’

ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ เขากระทำตามใจตนเสมอมา ไม่ค่อยแยแสทัณฑ์สวรรค์สักเท่าใด ในอดีตก็มิใช่ว่าไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ เคยดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาเช่นกัน ล้วนถูกเขาถูไถผ่านไปได้ทั้งสิ้น

แต่ทัณฑ์สวรรค์นี้ไม่เพียงแต่ตกใส่ร่างของผู้แพร่งพรายเท่านั้น ยังตกใส่ร่างของผู้ที่รับรู้อีกด้วย

อีกทั้งเมื่อแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ออกมาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายจะย่ำแย่ยิ่งกว่าในอดีต…

ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อคนที่ใส่ใจเลย เลี่ยงไม่ให้เป็นการชักภัยไปหาผู้อื่น

หยกนภาหวั่นเกรงว่าเขาจะนำเรื่องที่กู้ซีจิ่วดวงวิญญาณแตกสลายมากล่าวโทษมัน จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า ‘ข้าเป็นผู้ที่รู้หนักรู้เบา ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ไม่เคยบอกกล่าวแก่นางเลย’

ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรแล้ว กระชับอ้อมแขนโอบกู้ซีจิ่ว หลับตาลง

หยกนภาวนเวียนรอบตัวเขาอย่างระมัดระวังยิ่งนักรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามีทีท่าว่าอยากจะหลับใหลไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะหลับใหลไปจริงๆ ไม่ได้นะ! ตอนนี้ภายนอกยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้าท่านยังไม่ไปยับยั้งความโกลาหลอีก สิ่งที่ข้าแสดงให้ท่านเห็นเหล่านั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา!’

“แล้วข้าจะยับยั้งความโกลาหลได้อย่างไรเล่า?” ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว “ยังมีเวลาอีกห้าเดือน บางทีสวรรค์อาจจะยังมีผู้ที่พลังใหม่วิญญาณขั้นสิบโผล่มา ส่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่มาอีกงั้นหรือ?”

‘เรื่องนี้…พูดยากนัก’ หยกนภากระอึกกระอัก พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยชี้แนะเขา ‘ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ’

ตี้ฝูอีจ้องมันครู่หนึ่ง “เจ้าสัมผัสถึงบางอย่างได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”

หยกนภาสะบัดหน้าเผ่นหนีไป ‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย!’

….

สุดท้ายตี้ฝูอีก็อุ้มกู้ซีจิ่วมาที่สวนดอกไม้ด้านหลังอีกครั้ง เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องนภาครู่หนึ่ง ตกตะลึงแล้ว!

นภาดาษดาราที่ปลอดโปร่งเสมอมาปรากฏเมฆดำมืดทึบ และใจกลางเมฆทะมึน เขามองเห็นดวงดาวที่ค่อนข้างแปลกประหลาดดวงหนึ่ง

มีแสงห้าสี ขนาดใหญ่เอาการ ทว่าสว่างไม่มากพอ มีเมฆดำโอบล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ ทำให้แสงของมันส่องลอดออกมาไม่ได้ ดูน่าหดหู่อย่างยิ่ง

นี่คือ…

ตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ?!

ไม่น่าเชื่อว่าตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวแล้ว เห็นทีว่าสวรรค์ก็คงไม่อยากให้โลกใบนี้ล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน…

ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขน นิ้วมือพลันกำแน่น เดิมทีตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่นี้เป็นของนาง!

หยกนภาที่กระโดดโลดเต้นอย่างปีติลิงโลด ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวแล้ว! ขอเพียงท่านตามหาตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้พบ ถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย ก็สามารถรักษาโลกใบนี้ไว้ได้แล้ว เช่นนั้นเมื่อเจ้านายหวนกลับมาอีกครั้งก็ไม่ถึงขั้นต้องเซ้งต่อร้านที่เจ๊งไปแล้ว…’

ตี้ฝูอีสั่นสะท้าน “เจ้าว่าอย่างไรนะ?! นายของเจ้าจะหวนกลับมา?!”

หยกนภาก็ตระหนกเช่นกัน!

ซวยแล้ว! ดูเหมือนมันจะแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ไปนิดหน่อยแล้ว

————————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+