ลำนำบุปผาพิษ 1768+1769

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1768+1769 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1768 ลงทัณฑ์

หลงโม่เหยียนถูกลงทัณฑ์อย่างโหดร้ายยิ่งนัก!

ค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ เขายังหันมาสนใจการเคลื่อนไหวของตี้ฝูอีด้านนี้ได้บ้าง ยังหาจังหวะพูดจาได้สักเล็กน้อย แต่ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่อาจเสียสมาธิได้อีกต่อไป!

อย่าว่าแต่แบ่งสมาธิไปพูดจาเลย แม้แต่เวลาจะกะพริบตาสักนิดก็ยังไม่มี!

เขายังยั้งพละกำลังได้เล็กน้อยในค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ ทว่าในค่ายกลกระบี่นี้ เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมด ทว่ากลับยังคงถูกจับไว้และเฆี่ยนตี!

เขาก็เป็นยอดฝีมือในการสร้างค่ายกล มีบทบาทที่โดดเด่นในดินแดนเบื้องบน เมื่อตื่นรู้เขาเลื่อนขั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว นำความสามารถทั้งหมดของดินแดนเบื้องบนกลับคืนมา เขาคิดว่าด้วยความสามารถของตนเองเช่นนี้ หากประมือกับตี้ฝูอี จะต้องมีความรุนแรงขนาดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างแน่นอน!

ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ การประมือสักพันกระบวนท่าก็น่าจะไม่เป็นปัญหา

แน่นอน อีกฝ่ายเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะล่วงลับทางขุนเขาตะวันตก บางทีพลังวิญญาณอาจถดถอยลงไปไม่น้อย บางทียามนี้อาจจะสู้เขามิได้…

นี่คือความคิดของหลงโม่เหยียนตอนที่ยังไม่ได้ประมือกันกับตี้ฝูอี

หลังผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก เขาก็ลบล้างความคิดนี้ออกไป ต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะดับสูญ พลังวิญญาณกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย!

ตอนที่เขาข้ามผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก ยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่ก็คือพละกำลังทั้งหมดของตี้ฝูอี เขายังต้านทานไว้ได้

บัดนี้เมื่ออยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ฝนปรอย! ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ถึงจะเป็นพละกำลังที่แท้จริงของตี้ฝูอี! น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด!

สามสิบกระบวนท่า!

เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ภายในสามสิบกระบวนท่าเขาก็ถูกบีบบังคับให้ถอยหลังไปหลายก้าวติดต่อกัน ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายครั้งหลายครา มีบาดแผลเพิ่มขึ้นบนร่างกายเจ็ดถึงแปดบาดแผล…

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนศิลาก้อนหนึ่ง มองดูเรือนกายของตี้ฝูอี

เขายืนอยู่ตรงนั้น นิ้วมือทำมุทราควบคุมค่ายกลกระบี่ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวดังคลื่นหิมะ งดงามเหลือคณา

เธอรู้สึกว่าเธอยังเห็นไม่มากพอ ไม่อยากละสายตาออกไปจากเขา…

ถึงแม้เขายังสวมใส่หน้ากาก กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาซูบผอมลงไปไม่น้อย วันคืนเหล่านั้นเขาคงทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก

เมื่อนึกถึงคืนวันที่เธอในสภาพวิญญาณอยู่กับเขาบนรถม้า หัวใจเธอพลันทุกข์ตรม เธอเห็นความเจ็บปวดของเขาทั้งหมด

ที่แท้เขาก็ทำเพื่อเธอถึงเพียงนี้…

ที่แท้ในใจเขามีเพียงเธอคนเดียวจริงๆ…

เขายืนอยู่ตรงนั้น อาภรณ์บนเรือนกายพลิ้งไหว ราวกับมีรัศมีแสงในตัว พร่างพราวยิ่งนัก

เขาที่เป็นเช่นนี้ยังมีอายุขัยอยู่ได้อีกเพียงสามเดือนเท่านั้นจริงหรือ?

ไม่! เธอไม่ยอม! เธอจะหาหนทางทำให้อายุเขายืนยาวขึ้น!

เธอฝืนลิขิตสวรรค์มาแล้วหลายครั้ง บางทีครั้งนี้ยังอาจฝืนได้อีก…

ลิขิตสวรรค์บอกว่าเธอจะฟื้นคืนชีพได้ในอีกสามสิบแปดปี นี่ไม่ใช่ว่าเธอฟื้นคืนชีพก่อนกำหนดหรือ?

ตราบใดที่เธอคิด ตราบใดที่เธอพากเพียรมากพอ ไม่แน่ก็อาจทำให้ค้นเจอหนทางที่จะรั้งเขาไว้ได้…

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย ทุกความคิดล้วนเป็นการดึงรั้งเขาไว้!

“เจ้านาย!” หยกนภาไม่รู้ว่าโบยบินมาจากทิศทางใด ร่อนลงบนข้อมือเธอ เจื้อยแจ้วอยู่ในสมองของเธออย่างตื่นเต้น “เจ้านาย นึกไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นคืนชีพได้รวดเร็วเพียงนี้! ข้าคิดถึงท่านมาก ข้ายังคิดว่าข้าต้องลอยล่องไปอย่างไร้จุดหมายบนโลกใบนี้อีกสิบกว่าปีถึงจะได้พบท่านอีกครั้ง…”

กู้ซีจิ่วไม่สนใจมัน เจ้านี่แม้แต่กระแสจิตกับเธอก็ไม่มี เปล่าประโยชน์ที่เธอเคยฝากความหวังไว้ที่มัน!

หยกนภายกเอ่ยถ้อยคำคะนึงถึงมากมายเจื้อยแจ้วอยู่ในหัวเธออย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากกู้ซีจิ่วเลย มันค่อนข้างตกใจ “เจ้านาย ท่านรับรู้ไม่ได้ว่าข้ากำลังพูดกระมัง?!”

“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง?”

———————————————————————-

บทที่ 1769 ลงทัณฑ์ 2

“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง? ร่างโคลนนิ่งรับรู้การสื่อสารของข้าไม่ได้ ข้าสื่อสารกับท่านไม่ได้และไม่มีทางติดต่อได้กระมัง? เจ้านาย เจ้านาย ตอบกลับข้าสักคำ แค่คำเดียว…แม้จะเป็นการส่งสัญญาณให้ข้าก็ได้ เจ้านายยยยยยยยยยย…” หยกนภาอยากจะกรีดร้อง

กู้ซีจิ่วหยักยิ้มริมฝีปากเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่ออยู่ตรงนั้น

เธอทำให้เจ้านี่ร้อนใจ…

ให้มันได้สัมผัสรสชาติที่ไม่มีทางสื่อสารกันได้อีกสักครั้ง

สายตาเธอมองไปท่ามกลางค่ายกลกระบี่ หลงโม่เหยียนประคับประคองอยู่ด้านในสี่สิบกว่ากระบวนท่าแล้ว ร่างกายมีบาดแผลเหวอะหวะนับไม่ถ้วน น่าเวทนายิ่งนัก

เธอรู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธแค้นในใจยิ่งนัก!

ระหว่างเธอกับเขาไม่มีความโกรธแค้นขุ่นเคืองใดๆ ต่อกัน ตอนแรกที่รู้จักกันเธอยังเคยช่วยเหลือพวกเขา ถึงขั้นยังเคยนัดหมายเล็กๆ กับเขาครั้งหนึ่งเพื่อชมดอกเหมยภายใต้การจัดแจงของกู้เซี่ยเทียน เธอรู้สึกว่าตัวเองกับเขาอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นสหายที่คบกันแบบผิวเผิน นึกไม่ถึงตัวเองพยายามทำลายเขตแดนออกมาอย่างสุดชีวิตแต่กลับถูกเจ้านี่เล่นเล่ห์เพทุบาย!

เกือบจะถูกขังไว้ในเขตแดนออกมาไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง…

หากเธอใช้วิชาทำลายเขตแดนไม่เป็น คาดว่าคงถูกเจ้านี่กักขังไว้หลายสิบปีเป็นแน่! บางทีเขาอาจกักขังเธอไว้ตลอดกาลเพื่อชิงอำนาจก็เป็นได้!

ตอนเธอพุ่งตัวออกมา ถึงแม้อยากจะฉีกหลงโม่เหยียนเป็นชิ้น ทว่าเธอก็รู้ว่าตัวเองสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก หากหลงโม่เหยียนเฝ้าอยู่ละแวกนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เธอจะล้างแค้นไม่สำเร็จ อีกทั้งยังต้องหาวิธีใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาหลบหนีอย่างสุดชีวิต ไม่ให้เขาจับตัวกลับไปได้อีก…

แม้แต่กลยุทธ์การหลบหนีเธอก็คิดไว้คร่าวๆ แล้ว ถึงแม้จะสิ้นหวัง ทว่าก็ช่วยไม่ได้

นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกมาจะพบกับตี้ฝูอี เมื่อเห็นเขาอยู่ตรงนี้ เธอก็โล่งใจจริงๆ

ยามนี้เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยและอ่อนยวบอย่างรุนแรง

นี่แสดงถึงการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ เธอต้องการหาสถานที่พักพิงสักหน่อย

ตอนที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายศิลาที่อยู่เบื้องล่างไปหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เบื้องหน้าพลันพร่ามัว ข้างกายเธอมีเก้าอี้โยกตัวหนึ่งปรากฏขึ้น…

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง

เธอมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอียังคงควบคุมกระบี่เล่มนั้นฟาดฟันหลงโม่เหยียน เขาไม่ได้มองมาที่เธอเลย เพียงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค “ศิลาเย็น ไปนอนบนเก้าอี้”

ช่างรู้ใจเสียจริง!

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจแล้ว

เก้าอี้โยกไปเยกมา ราวกับแม้แต่ความเหนื่อยล้าที่ลึกถึงกระดูกเหล่านั้นก็ขจัดออกไปได้ เธอพรูลมหายใจเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่อ

เธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูออกว่าหลงโม่เหยียนเริ่มเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายแล้ว คาดว่าคงประคับประคองไปได้อีกยี่สิบถึงสามสิบกระบวนท่าก็ถูกสับเป็นไส้ซาลาเปาแล้ว…

ช้าก่อน! ไส้ซาลาเปา?!

หลงโม่เหยียนผู้นี้เป็นคนดินแดนเบื้องบน เหมือนว่าฐานะจะสูงส่งยิ่งกว่าเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ตอนนั้นที่ตี้ฝูอีจัดการเซียนหญิงลี่หวางก็ได้รับทัณฑ์สวรรค์ นางเพียงแค่มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยยังถูกลงทัณฑ์อย่างสุดจะทานทน เกือบจะกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้ว

หากหนนี้หลงโม่เหยียนถูกสังหารอีก เกรงว่าตี้ฝูอีจะต้องได้รับทัณฑ์สวรรค์…

เดิมทีเวลาของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว…

เธอเพิ่งนึกถึงจุดนี้ จู่ๆ หยกนภาก็โบยบินไปเจื้อยแจ้วตรงหน้าของตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นี้ไม่อาจสังหารได้! เขาคือคนจากดินแดนเบื้องบน ความผิดทั้งหมดที่เขากระทำมีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารเขา เกรงว่าทัณฑ์สวรรค์จะมาถึงตัว! ท่านจะถูกลงทัณฑ์อีกไม่ได้แล้ว…’

หลงโม่เหยียนเหมือนตระหนักได้ถึงภยันตรายครั้งใหญ่ จึงตะโกนเสียงดัง “เทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายต่อนาง เพียงแค่ต้องการกักขังนางไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง…ถึงแม้มีความผิดก็มีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารข้าจะทำให้ดินแดนเบื้องบนขุ่นเคือง! ข้าคือองค์ชายของดินแดนเบื้องบน น้องเขยของจักรพรรดิเบื้องบน…”

—————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลำนำบุปผาพิษ 1768+1769

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1768+1769 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1768 ลงทัณฑ์

หลงโม่เหยียนถูกลงทัณฑ์อย่างโหดร้ายยิ่งนัก!

ค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ เขายังหันมาสนใจการเคลื่อนไหวของตี้ฝูอีด้านนี้ได้บ้าง ยังหาจังหวะพูดจาได้สักเล็กน้อย แต่ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่อาจเสียสมาธิได้อีกต่อไป!

อย่าว่าแต่แบ่งสมาธิไปพูดจาเลย แม้แต่เวลาจะกะพริบตาสักนิดก็ยังไม่มี!

เขายังยั้งพละกำลังได้เล็กน้อยในค่ายกลกระบี่เมื่อสักครู่ ทว่าในค่ายกลกระบี่นี้ เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมด ทว่ากลับยังคงถูกจับไว้และเฆี่ยนตี!

เขาก็เป็นยอดฝีมือในการสร้างค่ายกล มีบทบาทที่โดดเด่นในดินแดนเบื้องบน เมื่อตื่นรู้เขาเลื่อนขั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว นำความสามารถทั้งหมดของดินแดนเบื้องบนกลับคืนมา เขาคิดว่าด้วยความสามารถของตนเองเช่นนี้ หากประมือกับตี้ฝูอี จะต้องมีความรุนแรงขนาดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างแน่นอน!

ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ การประมือสักพันกระบวนท่าก็น่าจะไม่เป็นปัญหา

แน่นอน อีกฝ่ายเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะล่วงลับทางขุนเขาตะวันตก บางทีพลังวิญญาณอาจถดถอยลงไปไม่น้อย บางทียามนี้อาจจะสู้เขามิได้…

นี่คือความคิดของหลงโม่เหยียนตอนที่ยังไม่ได้ประมือกันกับตี้ฝูอี

หลังผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก เขาก็ลบล้างความคิดนี้ออกไป ต่อให้อีกฝ่ายกำลังจะดับสูญ พลังวิญญาณกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย!

ตอนที่เขาข้ามผ่านค่ายกลกระบี่ครั้งแรก ยังคิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่ก็คือพละกำลังทั้งหมดของตี้ฝูอี เขายังต้านทานไว้ได้

บัดนี้เมื่ออยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่ครั้งที่สอง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ฝนปรอย! ค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ถึงจะเป็นพละกำลังที่แท้จริงของตี้ฝูอี! น่าหวาดกลัวเป็นที่สุด!

สามสิบกระบวนท่า!

เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ภายในสามสิบกระบวนท่าเขาก็ถูกบีบบังคับให้ถอยหลังไปหลายก้าวติดต่อกัน ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายครั้งหลายครา มีบาดแผลเพิ่มขึ้นบนร่างกายเจ็ดถึงแปดบาดแผล…

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนศิลาก้อนหนึ่ง มองดูเรือนกายของตี้ฝูอี

เขายืนอยู่ตรงนั้น นิ้วมือทำมุทราควบคุมค่ายกลกระบี่ อาภรณ์ขาวพลิ้วไหวดังคลื่นหิมะ งดงามเหลือคณา

เธอรู้สึกว่าเธอยังเห็นไม่มากพอ ไม่อยากละสายตาออกไปจากเขา…

ถึงแม้เขายังสวมใส่หน้ากาก กู้ซีจิ่วก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาซูบผอมลงไปไม่น้อย วันคืนเหล่านั้นเขาคงทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก

เมื่อนึกถึงคืนวันที่เธอในสภาพวิญญาณอยู่กับเขาบนรถม้า หัวใจเธอพลันทุกข์ตรม เธอเห็นความเจ็บปวดของเขาทั้งหมด

ที่แท้เขาก็ทำเพื่อเธอถึงเพียงนี้…

ที่แท้ในใจเขามีเพียงเธอคนเดียวจริงๆ…

เขายืนอยู่ตรงนั้น อาภรณ์บนเรือนกายพลิ้งไหว ราวกับมีรัศมีแสงในตัว พร่างพราวยิ่งนัก

เขาที่เป็นเช่นนี้ยังมีอายุขัยอยู่ได้อีกเพียงสามเดือนเท่านั้นจริงหรือ?

ไม่! เธอไม่ยอม! เธอจะหาหนทางทำให้อายุเขายืนยาวขึ้น!

เธอฝืนลิขิตสวรรค์มาแล้วหลายครั้ง บางทีครั้งนี้ยังอาจฝืนได้อีก…

ลิขิตสวรรค์บอกว่าเธอจะฟื้นคืนชีพได้ในอีกสามสิบแปดปี นี่ไม่ใช่ว่าเธอฟื้นคืนชีพก่อนกำหนดหรือ?

ตราบใดที่เธอคิด ตราบใดที่เธอพากเพียรมากพอ ไม่แน่ก็อาจทำให้ค้นเจอหนทางที่จะรั้งเขาไว้ได้…

กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย ทุกความคิดล้วนเป็นการดึงรั้งเขาไว้!

“เจ้านาย!” หยกนภาไม่รู้ว่าโบยบินมาจากทิศทางใด ร่อนลงบนข้อมือเธอ เจื้อยแจ้วอยู่ในสมองของเธออย่างตื่นเต้น “เจ้านาย นึกไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นคืนชีพได้รวดเร็วเพียงนี้! ข้าคิดถึงท่านมาก ข้ายังคิดว่าข้าต้องลอยล่องไปอย่างไร้จุดหมายบนโลกใบนี้อีกสิบกว่าปีถึงจะได้พบท่านอีกครั้ง…”

กู้ซีจิ่วไม่สนใจมัน เจ้านี่แม้แต่กระแสจิตกับเธอก็ไม่มี เปล่าประโยชน์ที่เธอเคยฝากความหวังไว้ที่มัน!

หยกนภายกเอ่ยถ้อยคำคะนึงถึงมากมายเจื้อยแจ้วอยู่ในหัวเธออย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบสนองจากกู้ซีจิ่วเลย มันค่อนข้างตกใจ “เจ้านาย ท่านรับรู้ไม่ได้ว่าข้ากำลังพูดกระมัง?!”

“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง?”

———————————————————————-

บทที่ 1769 ลงทัณฑ์ 2

“สวรรค์! ท่านรับรู้ไม่ได้แล้วจริงๆ! หรือว่าร่างนี้ของท่านก็เป็นร่างโคลนนิ่ง? ร่างโคลนนิ่งรับรู้การสื่อสารของข้าไม่ได้ ข้าสื่อสารกับท่านไม่ได้และไม่มีทางติดต่อได้กระมัง? เจ้านาย เจ้านาย ตอบกลับข้าสักคำ แค่คำเดียว…แม้จะเป็นการส่งสัญญาณให้ข้าก็ได้ เจ้านายยยยยยยยยยย…” หยกนภาอยากจะกรีดร้อง

กู้ซีจิ่วหยักยิ้มริมฝีปากเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่ออยู่ตรงนั้น

เธอทำให้เจ้านี่ร้อนใจ…

ให้มันได้สัมผัสรสชาติที่ไม่มีทางสื่อสารกันได้อีกสักครั้ง

สายตาเธอมองไปท่ามกลางค่ายกลกระบี่ หลงโม่เหยียนประคับประคองอยู่ด้านในสี่สิบกว่ากระบวนท่าแล้ว ร่างกายมีบาดแผลเหวอะหวะนับไม่ถ้วน น่าเวทนายิ่งนัก

เธอรู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธแค้นในใจยิ่งนัก!

ระหว่างเธอกับเขาไม่มีความโกรธแค้นขุ่นเคืองใดๆ ต่อกัน ตอนแรกที่รู้จักกันเธอยังเคยช่วยเหลือพวกเขา ถึงขั้นยังเคยนัดหมายเล็กๆ กับเขาครั้งหนึ่งเพื่อชมดอกเหมยภายใต้การจัดแจงของกู้เซี่ยเทียน เธอรู้สึกว่าตัวเองกับเขาอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นสหายที่คบกันแบบผิวเผิน นึกไม่ถึงตัวเองพยายามทำลายเขตแดนออกมาอย่างสุดชีวิตแต่กลับถูกเจ้านี่เล่นเล่ห์เพทุบาย!

เกือบจะถูกขังไว้ในเขตแดนออกมาไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง…

หากเธอใช้วิชาทำลายเขตแดนไม่เป็น คาดว่าคงถูกเจ้านี่กักขังไว้หลายสิบปีเป็นแน่! บางทีเขาอาจกักขังเธอไว้ตลอดกาลเพื่อชิงอำนาจก็เป็นได้!

ตอนเธอพุ่งตัวออกมา ถึงแม้อยากจะฉีกหลงโม่เหยียนเป็นชิ้น ทว่าเธอก็รู้ว่าตัวเองสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก หากหลงโม่เหยียนเฝ้าอยู่ละแวกนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เธอจะล้างแค้นไม่สำเร็จ อีกทั้งยังต้องหาวิธีใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาหลบหนีอย่างสุดชีวิต ไม่ให้เขาจับตัวกลับไปได้อีก…

แม้แต่กลยุทธ์การหลบหนีเธอก็คิดไว้คร่าวๆ แล้ว ถึงแม้จะสิ้นหวัง ทว่าก็ช่วยไม่ได้

นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกมาจะพบกับตี้ฝูอี เมื่อเห็นเขาอยู่ตรงนี้ เธอก็โล่งใจจริงๆ

ยามนี้เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยและอ่อนยวบอย่างรุนแรง

นี่แสดงถึงการสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ เธอต้องการหาสถานที่พักพิงสักหน่อย

ตอนที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายศิลาที่อยู่เบื้องล่างไปหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เบื้องหน้าพลันพร่ามัว ข้างกายเธอมีเก้าอี้โยกตัวหนึ่งปรากฏขึ้น…

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง

เธอมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอียังคงควบคุมกระบี่เล่มนั้นฟาดฟันหลงโม่เหยียน เขาไม่ได้มองมาที่เธอเลย เพียงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค “ศิลาเย็น ไปนอนบนเก้าอี้”

ช่างรู้ใจเสียจริง!

กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจแล้ว

เก้าอี้โยกไปเยกมา ราวกับแม้แต่ความเหนื่อยล้าที่ลึกถึงกระดูกเหล่านั้นก็ขจัดออกไปได้ เธอพรูลมหายใจเล็กน้อย รับชมการต่อสู้ต่อ

เธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูออกว่าหลงโม่เหยียนเริ่มเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายแล้ว คาดว่าคงประคับประคองไปได้อีกยี่สิบถึงสามสิบกระบวนท่าก็ถูกสับเป็นไส้ซาลาเปาแล้ว…

ช้าก่อน! ไส้ซาลาเปา?!

หลงโม่เหยียนผู้นี้เป็นคนดินแดนเบื้องบน เหมือนว่าฐานะจะสูงส่งยิ่งกว่าเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ตอนนั้นที่ตี้ฝูอีจัดการเซียนหญิงลี่หวางก็ได้รับทัณฑ์สวรรค์ นางเพียงแค่มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยยังถูกลงทัณฑ์อย่างสุดจะทานทน เกือบจะกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้ว

หากหนนี้หลงโม่เหยียนถูกสังหารอีก เกรงว่าตี้ฝูอีจะต้องได้รับทัณฑ์สวรรค์…

เดิมทีเวลาของเขาก็เหลือไม่มากแล้ว…

เธอเพิ่งนึกถึงจุดนี้ จู่ๆ หยกนภาก็โบยบินไปเจื้อยแจ้วตรงหน้าของตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นี้ไม่อาจสังหารได้! เขาคือคนจากดินแดนเบื้องบน ความผิดทั้งหมดที่เขากระทำมีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารเขา เกรงว่าทัณฑ์สวรรค์จะมาถึงตัว! ท่านจะถูกลงทัณฑ์อีกไม่ได้แล้ว…’

หลงโม่เหยียนเหมือนตระหนักได้ถึงภยันตรายครั้งใหญ่ จึงตะโกนเสียงดัง “เทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายต่อนาง เพียงแค่ต้องการกักขังนางไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง…ถึงแม้มีความผิดก็มีโทษไม่ถึงประหารชีวิต หากท่านสังหารข้าจะทำให้ดินแดนเบื้องบนขุ่นเคือง! ข้าคือองค์ชายของดินแดนเบื้องบน น้องเขยของจักรพรรดิเบื้องบน…”

—————————————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+