ลำนำบุปผาพิษ 1836+1837

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1836+1837 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1836 จิตมาร

อากาศหนาวเย็นเกินไป อีกทั้งอาภรณ์บนร่างเด็กสองคนนี้ก็บาง ยังหาจุดอับลมอันใดไม่ได้ เด็กคนหนึ่งก็หนาวจนล้มพับไปแล้ว เด็กอีกคนเข้าไปดึงเขา แต่กลับล้มลงไปด้วย ลุกไม่ขึ้นแล้ว

แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวนิดๆ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสื้อผ้าสองชุดลอยออกไป แต่ละชุดคลี่ห่มลงบนร่างกายของเด็กทั้งสอง

อาภรณ์ของเธอย่อมรักษาอบอุ่นได้ดียิ่งนัก เด็กทั้งสองคนอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รีบสวมเสื้อผ้าลงบนร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะให้แก่ท้องฟ้าสุดชีวิต เอ่ยขอบคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…

กู้ซีจิ่วไม่ได้ปรากฏกายขึ้น เด็กทั้งสองก็ไม่เห็นเธอเช่นกัน พวกเขาเพียงขอบคุณท่านเทพที่ปกปักรักษาพวกเขา…เทพศักดิ์สิทธิ์

เด็กทั้งสองไปย่างกระต่ายแล้ว

หยกนภาทอดถอนใจ ‘เจ้านาย สภาพอากาศเช่นนี้เลวร้ายนัก ในแผ่นดินมีผู้คนเช่นนี้มากมายดั่งขนวัว ท่านจะช่วยได้สักกี่มากน้อยกันเล่า?’

กู้ซีจิ่วเงียบงัน เดี๋ยวนี้เธอพูดน้อยมาก แม้กระทั่งความคิดก็ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าไหร่ ดังนั้นหยกนภาจึงไม่กระจ่างเช่นกันว่าเธอที่แท้คิดอะไรอยู่

เธอเงียบอยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร?”

‘มีความสุข! ดีใจ! มีอารมณ์ของมนุษย์ เจ้านาย แผ่นดินนี้ต้องการเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตชีวา แม้ว่าท่านจะโกรธร้องไห้ ก็ยังดีกว่าซึมกะทืออยู่เช่นนี้…’

กู้ซีจิ่วนิ่งไปอีกพักหนึ่ง “เปิ่นจุนทำไม่ได้!”

เธอเคยพยายามแล้ว แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ…

หยกนภาเงียบงัน มันกลุ้มใจจริงๆ

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ แต่ว่าต้องทำยังไงล่ะถึงจะทำให้เจ้านายกลับมามีชีวิตชีวาได้?

ว่ากันตามจริงแล้ว มันค่อนข้างคำนึงถึงวันเวลาที่ตี้ฝูอีดำรงตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์…

ยามนั้นโลกใบนี้เขียวขจีบุปผาเบ่งบาน แม้ว่าบางครั้งจะเกิดสงครามวุ่นวายขึ้นมาบ้าง แต่นั่นก็เป็นสีสันในชีวิต

ส่วนยามนี้โลกใบนี้เสมือนกลายเป็นมุกเหมันต์ลูกหนึ่งไปแล้ว…

กู้ซีจิ่วไปที่วังบาดาลใต้มหาสมุทรแห่งนั้นอีกครั้ง

เธอมองบทกลอนที่ถูกเธอสลักไว้ทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง

…เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา

เธอนั่งบนเก้าอี้โยกตัวนั้น มองคำว่า ‘ฝูอี’ สองตัวในบทกลอนประโยคนั้น ความปวดใจที่คุ้นเคยเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง…

หนึ่งปีมานี้อารมณ์ของเธอลดน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรสำหรับเธอแล้วล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น ปลุกเร้าอารมณ์เธอขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด แต่สองคำนี้กลับก่อระลอกคลื่นในหัวใจเธอได้…

ราวกับสองคำนี้มีความเชื่อมโยงอันใดที่ลึกซึ้งกับเธอยิ่งนัก…

แต่ว่าเธอนึกไม่ออกเลยว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไร

เธอนอนหลับใหลอยู่บนเก้าอี้โยก หยกนภาที่อยู่บนข้อมือเปล่งแสงอ่อนจางออกมาเล็กน้อย ห่อหุ้มร่างเธอไว้ในแสงจางๆ

ที่นี่เหน็บหนาวเกินไป แต่เจ้านายกลับหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง เป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแล้วหรือไง!

ดังนั้นหยกนภาจึงเปล่งแสงอบอุ่นออกมาห่อหุ้มเจ้านาย ให้ความอบอุ่นนาง

กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงนิทราขมวดคิ้วนิดๆ คล้ายว่ากำลังตกอยู่ในฝันร้าย

หยกนภาใจเต้นแวบหนึ่ง มันอยากเห็นยิ่งนักว่าในฝันของเจ้านายมีอะไร

อย่างที่กล่าวกันไว้ โรคใจก็ต้องใช้ยาใจ บางทีมันอาจจะหาเงื่อนงำอันใดได้จากความฝันของนาง…

….

ทุ่งหิมะกว้างไกล ทะเลหิมะสุดสายตา

พายุหิมะดั่งใบมีด แทบจะกรีดเฉือนทุกสิ่งได้

ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสิ่งมีชีวิต และอาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเลย

หยกนภานึกไม่ถึงเลยว่าความฝันของเจ้านายจะรกร้างว่างเปล่าน่าสะพรึงถึงเพียงนี้!

มันมองเห็นเจ้านาย นางสวมชุดดำนั่งอยู่ในพื้นหิมะ สายลมพัดเส้นผมดำขลับและชุดสีดำให้กระพือ ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ทว่าจับทิศทางไม่ได้…

หยกนภารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง มันลอยเข้าไปหา ‘เจ้านาย ท่านอย่านั่งอยู่ที่นี่เลย ท่านจะกระด้างเอาได้นะ’

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองมัน ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับซุกซ่อนผลึกน้ำแข็งไว้ เธอดูฉงนงุนงงอยู่บ้าง “ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ล้วนหนาวเย็นเช่นเดียวกันหมด…”

———————————————————————–

บทที่ 1837 บุพเพสันนิวาสอันดี

‘นี่ก็ไม่แน่ บางทีถ้าเดินหน้าต่อไปอาจะพบฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นบุปผาผลิแย้มก็ได้นะ?’ หยกนภาให้กำลังใจนาง

กู้ซีจิ่วนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน “ไม่เดินแล้ว เหมือนกันหมดนั้นแหละ”

หยกนภาเงียบไป

ยามนี้ในใจของนางคงไม่มีโอเอซิสสักนิดแล้วกระมัง?

การสิ้นชีพของตี้ฝูอีส่งผลกระทบต่อนางมากเกินไป หากว่านางยังมีความทรงจำในส่วนนี้อยู่ นางจะเซื่องซึมไร้ชีวิตจิตใจเหมือนในยามนี้ก็พอเข้าใจได้ โศกนาฏกรรมรักเชียวนะ! ทรมานยิ่งนัก!

แต่นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตี้ฝูอีแล้วชัดๆ เหตุใดชีวิตของนางยังแห้งแล้งห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิมเล่า?

ไม่ว่าหยกนภาจะใคร่ครวญอย่างไรก็ใคร่ครวญปัญหาข้อนี้ได้ไม่กระจ่าง

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้าที่จะรู้จักตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วสดใสมีชีวิตชีวามาโดยตลอด ตอนนี้นางลืมเลือนทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตี้ฝูอีไปแล้ว เท่ากับไม่ต้องเจ็บช้ำจากโศกนาฏกรรมรัก มิใช่ว่าสมควรกลับไปสดใสมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านั้นหรอกหรือ?

‘บางทีอาจสมควรจัดสรรบุพเพสันนิวาสให้นางอีกครั้งได้แล้ว’ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แว่วขึ้นริมหูของหยกนภา

หยกนภาสะดุ้ง ส่องแสงกะพริบ ‘ผู้ใด?’

‘เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าคือผู้ใด ข้าก็เหมือนกับเจ้านั้นแหละ ล้วนเป็นผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์เช่นกัน ถือกำเนิดขึ้นเพื่อค้ำจุนเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่’

หยกนภามองดูกู้ซีจิ่ว นางยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น กอดเข่าซุกศีรษะ ปานรูปสลักน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง ชัดเจนยิ่งนัก นางไม่ได้ยินเสียงนั้น

‘บุพเพสันนิวาสแบบคลุมถุงชนน่ะหรือ?’ หยกนภาเสียงขึ้นจมูก ‘จะมีผู้ใดทัดเทียมเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูได้อีกหรือ?’

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ‘แต่หวงถูดับขันธ์ไปแล้ว หายไปจากโลกนี้แล้ว เขาไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว’

หยกนภาคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ว่ากันตามวัฏจักรสังสารวัฏ หลังจากหวงถูดับขันธ์แล้วจะขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนหรือไม่?’

‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย’ เสียงนั้นตอบหยกนภาอย่างกำปั้นทุบดินด้วยไม่กี่คำนี้

หยกนภาร้องเฮอะคราหนึ่ง ‘เช่นนั้นสวรรค์คิดจะจับคู่นางกับผู้ใดเล่า? ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าบนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่คู่ควรกับนางอยู่อีก…หลงซือเย่ก็ไม่เหมาะ เมื่อก่อนนางเคยชอบพอกับเขา แต่หลังจากที่ได้พบรักกับหวงถูแล้ว ในใจนางหลงซือเย่ได้กลายเป็นน้ำจืดไร้รสไปแล้ว’

‘บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับนางแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมสิ ยังมีคนของดินแดนเบื้องบนอยู่ อันที่จริงอีกสองร้อยปีให้หลังนางจะมีบุพเพสันนิวาสอันดีกับคนผู้หนึ่งของดินแดนเบื้องบน แต่ด้วยสภาพในปัจจุบันของนาง โลกนี้คงยืนหยัดได้ไม่ถึงสองร้อยปี มิสู้ชักนำบุพเพมาก่อนกำหนดเสียดีกว่า’

หยกนภาไม่มีความรู้สึกดีกับคนของดินแดนเบื้องบนสักเท่าไหร่ เพียงแต่ยังคงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘คนผู้นั้นคือใคร?’

‘โอรสของจักรพรรดิดินแดนเบื้องบน ว่าที่สวรรค์จัดแจงไว้ อีกสองร้อยปีให้หลังเขาจะถูกลงโทษให้ลงสู่โลกเบื้องล่างเพราะทำความผิด จากนั้นก็จะมีบุพเพกับนาง สามารถครองคู่กับนางไปได้จนแก่เฒ่าผมขาวโพลน จวบจนถึงวันที่นางดับขันธ์’

ร่างของหยกนภาส่องแสงวิบวับ ‘โอรสจักรพรรดิ? ฟังแล้วดูสูงส่งเกินเอื้อมนัก เจ้าบอกจะสานบุพเพของพวกเขาก่อนกำหนด นั่นคือคิดจให้เขากระทำความผิดแล้วถูกเตะส่งลงมาก่อนกำหนดหรือ?’

‘ไม่ เขาลงมาก่อนกำหนดไม่ได้ เพียงแต่ให้กู้ซีจิ่วขึ้นไปได้’

หยกนภาทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ‘เจ้าบอกว่าสามารถขึ้นไปได้งั้นหรือ?!’

‘ในสถานการณ์พิเศษก็ต้องจัดการแบบพิเศษ ลิขิตสวรรค์กล่าวว่าให้นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ เพียงแต่นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ ทว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนได้ตลอด ดีที่สุดคืออยู่ดินแดนเบื้องบนครึ่งปี อยู่ที่โลกเบื้องล่างครึ่งปี…’

ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?!

หยกนภารู้สึกว่าตนคล้ายจะมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว มันรู้ว่ากู้ซีจิ่วตามหาทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนมาโดยตลอด เช่นนี้ก็ดีเลย ในที่สุดนางก็สามารถไปได้แล้ว!

บางทีถ้านางได้เห็นความศิวิไลซ์เหล่านั้นของดินแดนเบื้องบน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมา

‘ทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนอยู่ที่ไหน?’ หยกนภาส่องแสงกะพริบ

‘ปลายสุดทางทิศใต้ มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าอยู่ ต้นแดงดั่งเพลิง สามารถขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้’ เสียงนั้นกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย

———————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ลำนำบุปผาพิษ 1836+1837

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 1836+1837 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1836 จิตมาร

อากาศหนาวเย็นเกินไป อีกทั้งอาภรณ์บนร่างเด็กสองคนนี้ก็บาง ยังหาจุดอับลมอันใดไม่ได้ เด็กคนหนึ่งก็หนาวจนล้มพับไปแล้ว เด็กอีกคนเข้าไปดึงเขา แต่กลับล้มลงไปด้วย ลุกไม่ขึ้นแล้ว

แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวนิดๆ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสื้อผ้าสองชุดลอยออกไป แต่ละชุดคลี่ห่มลงบนร่างกายของเด็กทั้งสอง

อาภรณ์ของเธอย่อมรักษาอบอุ่นได้ดียิ่งนัก เด็กทั้งสองคนอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รีบสวมเสื้อผ้าลงบนร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะให้แก่ท้องฟ้าสุดชีวิต เอ่ยขอบคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…

กู้ซีจิ่วไม่ได้ปรากฏกายขึ้น เด็กทั้งสองก็ไม่เห็นเธอเช่นกัน พวกเขาเพียงขอบคุณท่านเทพที่ปกปักรักษาพวกเขา…เทพศักดิ์สิทธิ์

เด็กทั้งสองไปย่างกระต่ายแล้ว

หยกนภาทอดถอนใจ ‘เจ้านาย สภาพอากาศเช่นนี้เลวร้ายนัก ในแผ่นดินมีผู้คนเช่นนี้มากมายดั่งขนวัว ท่านจะช่วยได้สักกี่มากน้อยกันเล่า?’

กู้ซีจิ่วเงียบงัน เดี๋ยวนี้เธอพูดน้อยมาก แม้กระทั่งความคิดก็ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าไหร่ ดังนั้นหยกนภาจึงไม่กระจ่างเช่นกันว่าเธอที่แท้คิดอะไรอยู่

เธอเงียบอยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร?”

‘มีความสุข! ดีใจ! มีอารมณ์ของมนุษย์ เจ้านาย แผ่นดินนี้ต้องการเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตชีวา แม้ว่าท่านจะโกรธร้องไห้ ก็ยังดีกว่าซึมกะทืออยู่เช่นนี้…’

กู้ซีจิ่วนิ่งไปอีกพักหนึ่ง “เปิ่นจุนทำไม่ได้!”

เธอเคยพยายามแล้ว แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ…

หยกนภาเงียบงัน มันกลุ้มใจจริงๆ

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ แต่ว่าต้องทำยังไงล่ะถึงจะทำให้เจ้านายกลับมามีชีวิตชีวาได้?

ว่ากันตามจริงแล้ว มันค่อนข้างคำนึงถึงวันเวลาที่ตี้ฝูอีดำรงตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์…

ยามนั้นโลกใบนี้เขียวขจีบุปผาเบ่งบาน แม้ว่าบางครั้งจะเกิดสงครามวุ่นวายขึ้นมาบ้าง แต่นั่นก็เป็นสีสันในชีวิต

ส่วนยามนี้โลกใบนี้เสมือนกลายเป็นมุกเหมันต์ลูกหนึ่งไปแล้ว…

กู้ซีจิ่วไปที่วังบาดาลใต้มหาสมุทรแห่งนั้นอีกครั้ง

เธอมองบทกลอนที่ถูกเธอสลักไว้ทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง

…เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา

เธอนั่งบนเก้าอี้โยกตัวนั้น มองคำว่า ‘ฝูอี’ สองตัวในบทกลอนประโยคนั้น ความปวดใจที่คุ้นเคยเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง…

หนึ่งปีมานี้อารมณ์ของเธอลดน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรสำหรับเธอแล้วล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น ปลุกเร้าอารมณ์เธอขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด แต่สองคำนี้กลับก่อระลอกคลื่นในหัวใจเธอได้…

ราวกับสองคำนี้มีความเชื่อมโยงอันใดที่ลึกซึ้งกับเธอยิ่งนัก…

แต่ว่าเธอนึกไม่ออกเลยว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไร

เธอนอนหลับใหลอยู่บนเก้าอี้โยก หยกนภาที่อยู่บนข้อมือเปล่งแสงอ่อนจางออกมาเล็กน้อย ห่อหุ้มร่างเธอไว้ในแสงจางๆ

ที่นี่เหน็บหนาวเกินไป แต่เจ้านายกลับหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง เป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแล้วหรือไง!

ดังนั้นหยกนภาจึงเปล่งแสงอบอุ่นออกมาห่อหุ้มเจ้านาย ให้ความอบอุ่นนาง

กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงนิทราขมวดคิ้วนิดๆ คล้ายว่ากำลังตกอยู่ในฝันร้าย

หยกนภาใจเต้นแวบหนึ่ง มันอยากเห็นยิ่งนักว่าในฝันของเจ้านายมีอะไร

อย่างที่กล่าวกันไว้ โรคใจก็ต้องใช้ยาใจ บางทีมันอาจจะหาเงื่อนงำอันใดได้จากความฝันของนาง…

….

ทุ่งหิมะกว้างไกล ทะเลหิมะสุดสายตา

พายุหิมะดั่งใบมีด แทบจะกรีดเฉือนทุกสิ่งได้

ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสิ่งมีชีวิต และอาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเลย

หยกนภานึกไม่ถึงเลยว่าความฝันของเจ้านายจะรกร้างว่างเปล่าน่าสะพรึงถึงเพียงนี้!

มันมองเห็นเจ้านาย นางสวมชุดดำนั่งอยู่ในพื้นหิมะ สายลมพัดเส้นผมดำขลับและชุดสีดำให้กระพือ ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ทว่าจับทิศทางไม่ได้…

หยกนภารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง มันลอยเข้าไปหา ‘เจ้านาย ท่านอย่านั่งอยู่ที่นี่เลย ท่านจะกระด้างเอาได้นะ’

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองมัน ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับซุกซ่อนผลึกน้ำแข็งไว้ เธอดูฉงนงุนงงอยู่บ้าง “ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ล้วนหนาวเย็นเช่นเดียวกันหมด…”

———————————————————————–

บทที่ 1837 บุพเพสันนิวาสอันดี

‘นี่ก็ไม่แน่ บางทีถ้าเดินหน้าต่อไปอาจะพบฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นบุปผาผลิแย้มก็ได้นะ?’ หยกนภาให้กำลังใจนาง

กู้ซีจิ่วนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน “ไม่เดินแล้ว เหมือนกันหมดนั้นแหละ”

หยกนภาเงียบไป

ยามนี้ในใจของนางคงไม่มีโอเอซิสสักนิดแล้วกระมัง?

การสิ้นชีพของตี้ฝูอีส่งผลกระทบต่อนางมากเกินไป หากว่านางยังมีความทรงจำในส่วนนี้อยู่ นางจะเซื่องซึมไร้ชีวิตจิตใจเหมือนในยามนี้ก็พอเข้าใจได้ โศกนาฏกรรมรักเชียวนะ! ทรมานยิ่งนัก!

แต่นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตี้ฝูอีแล้วชัดๆ เหตุใดชีวิตของนางยังแห้งแล้งห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิมเล่า?

ไม่ว่าหยกนภาจะใคร่ครวญอย่างไรก็ใคร่ครวญปัญหาข้อนี้ได้ไม่กระจ่าง

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้าที่จะรู้จักตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วสดใสมีชีวิตชีวามาโดยตลอด ตอนนี้นางลืมเลือนทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตี้ฝูอีไปแล้ว เท่ากับไม่ต้องเจ็บช้ำจากโศกนาฏกรรมรัก มิใช่ว่าสมควรกลับไปสดใสมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านั้นหรอกหรือ?

‘บางทีอาจสมควรจัดสรรบุพเพสันนิวาสให้นางอีกครั้งได้แล้ว’ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แว่วขึ้นริมหูของหยกนภา

หยกนภาสะดุ้ง ส่องแสงกะพริบ ‘ผู้ใด?’

‘เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าคือผู้ใด ข้าก็เหมือนกับเจ้านั้นแหละ ล้วนเป็นผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์เช่นกัน ถือกำเนิดขึ้นเพื่อค้ำจุนเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่’

หยกนภามองดูกู้ซีจิ่ว นางยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น กอดเข่าซุกศีรษะ ปานรูปสลักน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง ชัดเจนยิ่งนัก นางไม่ได้ยินเสียงนั้น

‘บุพเพสันนิวาสแบบคลุมถุงชนน่ะหรือ?’ หยกนภาเสียงขึ้นจมูก ‘จะมีผู้ใดทัดเทียมเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูได้อีกหรือ?’

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ‘แต่หวงถูดับขันธ์ไปแล้ว หายไปจากโลกนี้แล้ว เขาไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว’

หยกนภาคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ว่ากันตามวัฏจักรสังสารวัฏ หลังจากหวงถูดับขันธ์แล้วจะขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนหรือไม่?’

‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย’ เสียงนั้นตอบหยกนภาอย่างกำปั้นทุบดินด้วยไม่กี่คำนี้

หยกนภาร้องเฮอะคราหนึ่ง ‘เช่นนั้นสวรรค์คิดจะจับคู่นางกับผู้ใดเล่า? ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าบนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่คู่ควรกับนางอยู่อีก…หลงซือเย่ก็ไม่เหมาะ เมื่อก่อนนางเคยชอบพอกับเขา แต่หลังจากที่ได้พบรักกับหวงถูแล้ว ในใจนางหลงซือเย่ได้กลายเป็นน้ำจืดไร้รสไปแล้ว’

‘บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับนางแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมสิ ยังมีคนของดินแดนเบื้องบนอยู่ อันที่จริงอีกสองร้อยปีให้หลังนางจะมีบุพเพสันนิวาสอันดีกับคนผู้หนึ่งของดินแดนเบื้องบน แต่ด้วยสภาพในปัจจุบันของนาง โลกนี้คงยืนหยัดได้ไม่ถึงสองร้อยปี มิสู้ชักนำบุพเพมาก่อนกำหนดเสียดีกว่า’

หยกนภาไม่มีความรู้สึกดีกับคนของดินแดนเบื้องบนสักเท่าไหร่ เพียงแต่ยังคงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘คนผู้นั้นคือใคร?’

‘โอรสของจักรพรรดิดินแดนเบื้องบน ว่าที่สวรรค์จัดแจงไว้ อีกสองร้อยปีให้หลังเขาจะถูกลงโทษให้ลงสู่โลกเบื้องล่างเพราะทำความผิด จากนั้นก็จะมีบุพเพกับนาง สามารถครองคู่กับนางไปได้จนแก่เฒ่าผมขาวโพลน จวบจนถึงวันที่นางดับขันธ์’

ร่างของหยกนภาส่องแสงวิบวับ ‘โอรสจักรพรรดิ? ฟังแล้วดูสูงส่งเกินเอื้อมนัก เจ้าบอกจะสานบุพเพของพวกเขาก่อนกำหนด นั่นคือคิดจให้เขากระทำความผิดแล้วถูกเตะส่งลงมาก่อนกำหนดหรือ?’

‘ไม่ เขาลงมาก่อนกำหนดไม่ได้ เพียงแต่ให้กู้ซีจิ่วขึ้นไปได้’

หยกนภาทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ‘เจ้าบอกว่าสามารถขึ้นไปได้งั้นหรือ?!’

‘ในสถานการณ์พิเศษก็ต้องจัดการแบบพิเศษ ลิขิตสวรรค์กล่าวว่าให้นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ เพียงแต่นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ ทว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนได้ตลอด ดีที่สุดคืออยู่ดินแดนเบื้องบนครึ่งปี อยู่ที่โลกเบื้องล่างครึ่งปี…’

ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?!

หยกนภารู้สึกว่าตนคล้ายจะมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว มันรู้ว่ากู้ซีจิ่วตามหาทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนมาโดยตลอด เช่นนี้ก็ดีเลย ในที่สุดนางก็สามารถไปได้แล้ว!

บางทีถ้านางได้เห็นความศิวิไลซ์เหล่านั้นของดินแดนเบื้องบน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมา

‘ทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนอยู่ที่ไหน?’ หยกนภาส่องแสงกะพริบ

‘ปลายสุดทางทิศใต้ มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าอยู่ ต้นแดงดั่งเพลิง สามารถขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้’ เสียงนั้นกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย

———————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+