ลำนำบุปผาพิษ 761-762

Now you are reading ลำนำบุปผาพิษ Chapter 761-762 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 761+762

บทที่ 761 เกินขอบเขตไปแล้ว

ที่แท้ตนถลำลึกลงไปถึงเพียงนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเลย!

อันที่จริงเขาไม่ต้องการอยู่ข้างๆ หลงซือเย่ ต่อให้ถูกบีบให้มาเข้าร่างกู้ซีจิ่ว แต่เนื้อในของเขาก็เป็นชายชาตรี เมื่อเห็นหลงซือเย่ใช้สายตารักใคร่หลงใหลมองเขา เส้นขนทั่วร่างเขาก็ลุกชัน! อยากจะควักลูกตาอีกฝ่ายทิ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง

หากเขานั่งข้างหลงซือเย่ คามว่าเจ้าสำนักหลงผู้นี้คงจะตั้งใจรินสุราคีบอาหารให้เขาเพื่อแสดงถึงความรัก ไม่แน่อาจจะพูดจาหวานซึ้งอะไรพวกนั้นให้ระคายหูเขาด้วย เขาเกรงว่าตนจะทนไม่ไหวแล้วถีบเขา…

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย นั่งข้างๆ กู้ซีจิ่วยังปลอดภัยเสียกว่า

อันที่จริงก็น่าหดหู่อยู่บ้าง เดิมทีเขาควรกักตนพักฟื้น แต่เหตุผลที่ไม่กักตนก้เพราะอยากเป็นประธานในพิธีปักปิ่นของสาวน้อยผู้นี้ด้วยตนเอง ไม่นึกเลยว่าจะจับผลัดจับผลูสลับร่างกับนางเข้า ยามนี้เขากลายเป็นสตรีที่เป็นตัวเอกไปแล้ว…

อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก!

ในชีวิตอันเป็นนิรันดร์นี้ เขาได้หาความสำราญเล็กๆ น้อยๆ ให้ตน อันที่จริงหลายปีมานี้จะบทบาทใดเขาก็เล่นมาหมดแล้ว ทูตสวรรค์ ราชครู องค์ชาย คุณชายเสเพล จอมยุทธ์พเนจร พ่อค้าเร่…

มีเพียงบทบาทสตรีที่ยังไม่เคยเล่น…

หนนี้มันเกินขอบเขตไปแล้ว!

เขาไม่ต้องการเล่นบทสตรี แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็จนปัญญาเช่นกัน ทำได้เพียงตามน้ำไป

โชคดีที่สาวน้อยผู้นี้ที่นี่ด้วย สามารถเห็นพิธีปักปิ่นนี้ด้วยตาตัวเองได้ ก็ไม่ถือว่าน่าเสียใจจนเกินไป

อีกอย่างการที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอย่างเขาต้องกลายเป็นสตรีเล่นละครฉากใหญ่ให้นางชม ก็นับว่าเป็นของขวัญพิเศษมิใช่หรือ? ของขวัญเช่นนี้เพียงพอจะให้นางจดจำไปชั่วชีวิต!

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ จู่ๆ ก็เห็นกู่ฉานโม่มองมาที่เขา

เมื่อตี้ฝูอีเห็นสายตารักใคร่เอ็นดูของตาเฒ่าผู้นี้ก็สังหรณ์ใจไม่ดี ตาเฒ่าผู้นี้คงมิเล่นลูกไม้อันใดกระมัง?!

โชคร้ายนัก หนนี้ลางสังหรณ์ของเขายังคงแม่นยำนัก เนื่องจากตาเฒ่ากู่ฉานโม่ผู้นั้นยิ้มหน้าบานปานดอกเบญจมาศเบ่งบาน ทุกรอยย่นล้วนแฝงด้วยความเอื้อเอ็นดู “ซีจิ่ว พิธีปักปิ่นเป็นวันสำคัญ ว่ากันตามหลักแล้ว ช่วงเวลาเช่นนี้บุพการีของเจ้าสมควรจะอยู่ข้างกาย ตามปกติแล้วช่วงเวลาเช่นนี้ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะอนุญาตให้บุพการีของศิษย์ที่ปักปิ่นมาหาได้ นับเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง หลายวันก่อนข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้สั่งให้คนไปแจ้งแก่บุพการีเจ้าแล้ว แต่ได้ข่าวว่าแม่ทัพกู้บิดาของเจ้ารับราชโองการไปสืบสวนคดีอยู่ กลับมาไม่ได้ชั่วคราว คาดว่าเขาคงมาไม่ได้แล้ว อาจารย์ใหญ่เช่นข้ายังนึกว่าจะไม่มีคนในครอบครัวเจ้ามาร่วมวันสำคัญของเจ้าเสียแล้ว ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าเช้าวันนี้จะมีคนผู้หนึ่งมาหา คนผู้นี้มาเพื่อมอบของขวัญวันปักปิ่นให้เจ้า ซีจิ่ว เจ้าลองเดาสิว่าคนผู้นี้คือใคร?”

ตี้ฝูอีเงียบงัน เดากับบ้านเจ้าสิ! ข้าไม่สนใจ!

เขาเลิกคิ้วมองกู่ฉานโม่ ในใจไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ทว่าใบหน้ายังคงตีหน้านิ่ง “ผู้ใดหรือ?”

กู่ฉานโม่หัวเราะฮ่าๆ “มารดาของเจ้า!”

ตี้ฝูอีตกตะลึง!

กู้ซีจิ่วเพิ่งดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง พลันไอออกมาสองครา

กู่ฉานโม่รีบมองไปทางกู้ซีจิ่วทันที ท่าทางภูมิใจ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็คงประหลาดใจเช่นกันกระมัง?”

กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง “ประหลาดใจมาก ฮ่าๆ ประหลาดใจเหลือเกิน”

สายตาของกู่ฉานโม่วกกลับไปที่ร่างตี้ฝูอี “ฮ่าๆ ซีจิ่วเจ้าดีใจไหม? ประหลาดใจหรือเปล่า?”

ตี้ฝูอีกัดฟันยิ้ม “ดีใจยิ่งนัก ประหลาดใจเหลือเกิน!”

กู่ฉานโม่ปรบมือเสียงดัง เอ่ยเสียงดังชัดเจน “ขอเชิญหลัวฮูหยินเข้ามา!”

เมื่อเอ่ยจบ ด้านนอกก็มีสตรีชุดแดงนางหนึ่งเร่งสาวเท้าก้าวเข้ามา สตรีนางนั้นอายุราวสามสิบปี รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งมิมีสอง เค้าหน้ามีความคล้ายคลึงกับกู้ซีจิ่วห้าส่วน

————————————————————————————-

บทที่ 762 หลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยิน

นางเดินละลิ่วเข้ามา ทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับเจ้าสำนักหลงก่อน แล้วหันไปกล่าวขอบคุณกู่ฉานโม่ จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ร่าง ‘กู้ซีจิ่ว’ ทันที

ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ มีม่านน้ำเอ่อคลอขึ้นมา มุมปากนางแย้มเป็นรอยยิ้ม ทว่าหางตาแดงกลับระเรื่อ มองดู ‘กู้ซีจิ่ว’ ก้าวเข้าไปหาช้าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว ข้าเป็นแม่ของเจ้า…” เสียงนี้สั่นเครือนิดๆ คล้ายทั้งสุขและทุกข์

ตี้ฝูอมองนางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างปดะประสาทยิ่งนัก จากนั้นก็ปรายตามองกู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยหางตาแวบหนึ่ง

กู้ซีจิ่วมองเขายิ้มๆ สายตาแฝงแววหัวเราะเยาะและยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่รางๆ…

จิตใจกู้ซีจิ่วเบิกบานนัก! เธอเบิกบานจริงๆ! เธออยากเห็นว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะรับมือกับละครฉากแม่ลูกพบหน้านี้อย่างไร…

ยากนักที่จะได้เห็นอัดอัดคับข้องใจ เธอจะไม่มองให้คุ้มได้อย่างไร?

ตี้ฝูอีกวาดตามองหลัวฮูหยินผู้นี้อยุ่หลายครา ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของกู้ซีจิ่ว เป็นบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง และเป็นบุคคลที่ทุกข์ตรมจนต้องกระโดดหน้าผา ในใจกู้ซีจิ่วยังคงเคารพสตรีนางนี้ยิ่งนัก

แน่นอน อยู่ในขอบเขตของความเคารพเท่านั้น เธอไม่ได้มีความรักระหว่างแม่ลูกอันใดกับนาง อีกทั้งเธอมิใช่กู้ซีจิ่วคุณหนูแม่ทัพที่ถูกกดขี่คนนั้นอีกแล้ว เพียงหยิบยืมร่างกายของบุตรสาวผู้อื่นเท่านั้น

อีกอย่างต่อใหเป็นคุณหนูแม่ทัพผูนั้นจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะรักใคร่ผูกผันกับหลัวฮูหยินผู้นี้สักเท่าใด อย่างไรเสียนางก็แยกกับมารดาตั้งแต่ยังแบเบาะ แถมในใจของกู้ซีจิ่วคนเก่า มารดาผู้นี้คือต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในชีวิตนาง ต่อให้เจ้าของร่างคนเก่าได้พบกับมารดาของตนในยามนี้ ก็คงจะเกลียดชังกระมัง…

แม้กระทั่งความรักของแม่ลูกก็ต้องการเวลาอยู่ใกล้ชิดกันถึงจะผูกพัน ต่อให้เลือดข้นกว่าน้ำ ก็หลอมกันไม่เข้า

กู้ซีจิ่ววิเคราะห์ความรู้สึกที่กู้ซีจิ่วคนเก่าควรมีในยามนี้อยู่ในใจ พบว่าวิเคราะห์ไม่ได้…

จู่ๆ เธอพลันรู้สึกว่าร่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจถึงเพียงนี้

เธอจับจ้องตี้ฝูอี ดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร

จะยืนขึ้นแล้วโผเข้าใส่อ้อมอกผู้เป็นแม่? หรือว่าจะกล่าวอย่างโกรธแค้นชิงชังว่า ‘เจ้าเป็นใครข้าไม่ต้องการเจ้า เจ้าไม่ใช่แม่ของข้า แม่ของข้าจะไม่มาดูดำดูดีข้าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ปล่อยให้ข้าถูกรังแกอยู่ที่จวนแม่ทัพ’ ถ้อยคำที่มีความเป็นไปได้ว่ากู้ซีจิ่วตัวจริงจะพูดแวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็มองอย่างกระตือรือร้นว่าตี้ฝูอีจะใช้ข้อไหน…

เรื่องที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผาในครานั้นทราบกันแทบจะทั่วทวีป ตอนนี้นางโผล่ออกมากะทันหัน อันที่จริงฝูงชนก็ใคร่เห็นปฏิกิริยาของกู้ซีจิ่วเช่นกัน ดังนั้นสายตาของคนทั้งห้องโถงแทบจะมาออกันอยู่ที่ร่างของสองแม่ลูก

ผลคือตี้ฝูอีไม่ใช้สักข้อ เขาเพียงแต่ยิ้มแวบหนึ่ง ชูจอกสุราขึ้นเบื้องหน้า น้ำเสียงเฉยชา “ควรเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยินดี?”

หลัวซิงหลานตัวแข็งทื่อ “จิ่วเอ๋อร์…”

ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ปีนั้นท่านตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับทั้งหมดกับจวนแม่ทัพแล้ว คิดว่ายามนี้ท่านคงไม่ยินดีอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องใดๆ กับจวนแม่ทัพ เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินก็แล้วกัน”

หลัวซิงหลานมองบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสั่นระริกครู่หนึ่ง ถึงตอบด้วยเสียงแผ่วๆ “ได้”

ตี้ฝูอีรินสุราใส่จอกใบหนึ่งแล้วยื่นให้นาง “เช่นนั้น…พวกเราดื่มกันสักจอกดีไหม?” สงบนิ่งดั่งพบพานสหาย

ม่านน้ำในดวงตาหลัวซิงหลานกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำตาแล้ว นางฝืนข่มไม่ให้มันไหลรินลงมา ยกจอกสุราขึ้นเงียบๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม “ได้…” แหงนหน้าดื่มสุราในจอกจนหมด!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด