สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน 166 สามีกตัญญูยี่สิบสี่ประการ

Now you are reading สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน Chapter 166 สามีกตัญญูยี่สิบสี่ประการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 166 สามีกตัญญูยี่สิบสี่ประการ

ผลลัพธ์ของการสารภาพรักที่ออกมา เธอกลับไม่ได้ต่างไปจากผู้หญิงเหล่านั้น

เธอถูกปฏิเสธ

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโห้หลีเฉินจึงเริ่มเหินห่าง แม้กระทั่งตำแหน่งข้างกายเขาก็ไม่มีที่ให้เธออีกต่อไป

ในช่วงเวลานั้นสภาพเธออยู่ไม่สู้ตายเสียดีกว่า เธอได้สูญเสียโห้หลีเฉินไปอย่างสมบูรณ์แบบ

จนกระทั่งต่อมา เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เพื่อช่วยโห้หลีเฉิน

เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงมากจนเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เธอได้รับความเห็นใจจากโห้หลีเฉิน เขายอมรับเธอเป็นน้องสาว ทั้งยังรับปากว่าจะปกป้องและดูแลเธอไปตลอดชีวิต

แม้ว่าเธอจะกลับมาในฐานะน้องสาว แต่ครั้งนี้ทำให้เธอได้กลับมาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง

เธอคิดว่าโห้หลีเฉินเป็นคนเย็นชามาก ชาตินี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถอยู่กับเขาได้ ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นได้แค่น้องสาวหรือเพื่อน แต่เธอก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขา

ตราบใดที่มีเธอแค่คนเดียว เธอก็พอใจแล้ว

แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เธอกลับจากการรักษาตัวที่ต่างประเทศ ข้างกายโห้หลีเฉินกลับมีเย้นหว่านเพิ่มมาอีกคน และสิ่งที่เธอรับไม่ได้ที่สุดคือโห้หลีเฉินรักเย้นหว่าน

สิ่งนี้ทำให้เธอริษยาจนแทบคลั่ง

เธอเพิ่งรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วโห้หลีเฉินไม่ใช่คนเลือดเย็นอย่างที่คิด แต่เป็นเพราะก่อนหน้านั้นเขายังไม่เจอเย้นหว่านต่างหาก

เมื่อมู่หรุงชิ่นกำลังตกอยู่ในภวังค์ โห้หลีเฉินก็หันไปมองเธอและคิดอะไรบางอย่าง

“เธอมาทำไม?”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ไร้ความรู้สึกเหมือนสายน้ำไหล

มู่หรุงชิ่นตื่นจากภวังค์และพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวหว่านได้รับบาดเจ็บก็เลยมาเยี่ยม แต่พวกเขากลับไม่ยอมรอฉัน”

ในขณะที่พูดมู่หรุงชิ่นจงใจถลึงตามองฉินฉู่

ฉินฉู่พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา “ก็คุณหนูใหญ่กับพวกเราอยู่ทางเดียวกันเสียที่ไหนล่ะ”

ดังนั้นฉินฉู่จึงพูดออกมาทั้งหมด

โห้หลีเฉินมองฉินฉู่ด้วยความเย็นชาเล็กน้อย

ฉินฉู่เองก็ไม่รู้ว่าลมหนาวพัดมาจากไหน ลมหนาวที่เยือกเย็นนี้ทำให้เขาตื่นตระหนก

เขายิ้มอย่างแก้เก้อ “ไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะมารวมตัวกันได้ มานั่งคุยกระชับความสัมพันธ์กันดีกว่า”

ฉินฉู่พูดยังไม่ทันเสร็จก็มีน้ำเสียงที่เยือกเย็นของโห้หลีเฉินพูดแทรกขึ้นมา

น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาและไร้ความปราณี

“เย้นหว่านตื่นแล้ว พวกนายก็ไปได้แล้ว”

ฉินฉู่ “…”

คนอื่นๆ “…”

ดังนั้นตอนนี้ที่คุณโห้มาร่วมดื่มน้ำชากับพวกเขาเป็นเพราะเย้นหว่านกำลังหลับอยู่งั้นหรือ?

นี่มันจะดูถูกเพื่อนเกินไปแล้ว!

ฉินฉู่มีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็ยกข้อมือขึ้นและมองไปที่นาฬิกาของเขา

“นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว พี่สะใภ้ตื่นมาก็คงถึงเวลาทานอาหารพอดี พวกเราก็อยู่รอทานอาหารเย็นพร้อมกับเธอดีกว่า”

เขาพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะปรึกษาโห้หลีเฉินเลยสักคำ

เย้นเหวินหนานมองเขาอย่างกลัดกลุ้ม เขาก็เป็นถึงคุณชายตระกูลฉิน ข้าวมื้อเดียวก็ไม่มีจะกินงั้นหรือ? หลายปีมานี้นิสัยของคนคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด ยิ่งห้ามยิ่งยุ ยิ่งไล่ให้เขาไป เขาก็ยิ่งคิดหาวิธีเพื่อจะอยู่ต่อ

โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร

ในทางกลับกันสำหรับเขาแล้ว ตราบใดที่เย้นหว่านตื่นแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ

——

ความจริงเย้นหว่านไม่ได้หลับ แต่ที่บอกไปว่าไม่สบายเป็นเพราะอยากหาข้ออ้างไม่ลงไปข้างล่าง

ในช่วงเวลานี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เท้าของเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ตาม หรือแม้แต่ห้องน้ำ โห้หลีเฉินก็ล้วนเป็นคนอุ้มเธอไป

เธอเคยปฏิเสธอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล

ดังนั้นไม่กี่วันมานี้เธอเกือบจะกลายเป็นคนพิการ เนื่องจากไม่ได้ใช้แขนขาออกแรงเลย

ยังดีที่มีเย้นซินอยู่ในบ้าน และมีคนน้อย เธอจึงปรับตัวได้ แต่อยู่ๆก็มีผู้ชายหลายคนมาแบบนี้และยังมีฉินฉู่ที่เป็นคนชอบหยอกล้อคนอื่นที่สุด ถ้าหากเขาเห็นว่าโห้หลีเฉินอุ้มเธอตลอดเวลา จะต้องโดนล้อไปอีกนานแน่ๆ

เธอเป็นคนหน้าบางจึงไม่กล้าลงไปชั้นล่าง

เย้นหว่านนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง พอถึงเวลาทานข้าว ประตูห้องก็ถูกคนจากข้างนอกเปิดออก

โห้หลีเฉินเดินเข้ามาและมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเหมือนเขามองออกว่าเธอไม่ได้หลับ

เย้นหว่านรู้สึกผิดเล็กน้อย “พวกเขาไปแล้วหรือ?”

“ยัง พวกเขารอทานข้าวพร้อมกัน”

เย้นหว่านรู้สึกลนลานใจในชั่วขณะ ต้องทานข้าวพร้อมกัน อย่างงั้นโห้หลีเฉินจะต้องเป็นคนอุ้มเธอลงไปแน่ๆ จะให้พวกเขาเห็นภาพนี้ไม่ได้

แค่คิดก็น่าอายแล้ว

เย้นหว่านจึงรีบใช้มือกดลงไปที่ขมับ และทำท่าทางอ่อนเพลียอยู่บนเตียง “ฉันยังปวดหัวนิดหน่อย ไม่อยากทานข้าว ฉันไม่ทานข้าวเย็นแล้วนะ ขอนอนต่ออีกสักพัก”

ในขณะที่พูดเธอก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาเตรียมจะนอนต่อ แต่กลับมีมือข้างหนึ่งมาดึงผ้าห่มเธอออก

โห้หลีเฉินยืนอยู่ข้างเตียง มองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“อายหรือ?”

มีอะไรที่ต้องอาย?

เย้นหว่านส่ายหน้ายืนยัน “คุณพูดอะไร ฉันแค่ปวดหัวอยากนอน”

เธอยื่นมือออกไปเพื่อดึงผ้าห่ม แต่โห้หลีเฉินกลับยื้อกลับ เธอพยายามใช้แรงดึงแต่ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ได้

ผู้ชายคนนี้ทำไมแรงเยอะขนาดนี้นะ?

ไม่เห็นหรือไงว่าเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะยอมหน่อยก็ไม่ได้

เย้นหว่านกลุ้มใจ จากนั้นเธอก็ปล่อยผ้าห่มและหันไปนอนลงบนเตียงต่อ

โห้หลีเฉินเห็นเธอขี้เกียจแบบนี้ก็ไม่ทนอีกต่อไป เขายกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าเย้นหว่านจะคอยพยายามหาทางหลีกเลี่ยงเขาแต่เธอก็ยังคงขี้อาย อย่างไรก็ตามเธอเริ่มคุ้นเคยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว และยังเปิดเผยอารมณ์งี่เง่าเล็กๆน้อยๆให้เขาได้เห็น

โห้หลีเฉินค่อยๆนั่งลงบนเตียงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนหลงใหล

“งั้นนอนเถอะ รอเธอตื่นแล้วค่อยทานก็ได้”

ดวงตาของเย้นหว่านที่กำลังปิดอยู่ก็ลืมตาขึ้นทันที พลางมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไม่ต้อง พวกคุณทานกันก่อน”

พอทานข้าวเสร็จ คนพวกนั้นถึงจะกลับไปได้

โห้หลีเฉินพูดยืนยัน “ฉันจะรอ”

เขาจะรอเธอ แล้วพวกฉินฉู่ล่ะ แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องรอด้วย

แขกมาเยี่ยมถึงที่บ้าน แต่กลับให้แขกรอจนท้องหิว เรื่องแบบนี้โห้หลีเฉินคงทำได้โดยไม่รู้สึกรู้สา

แต่เย้นหว่านกลับทำไม่ลง

เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความกลัดกลุ้ม “อยู่ๆฉันก็ไม่ง่วงแล้ว ไปทานข้าวกันเถอะ”

“อืม”

โห้หลีเฉินคล้อยตาม

เย้นหว่านมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างไร้วิญญาณไปชั่วขณะ เธอรู้สึกว่าไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะคล้อยตามไปเสียทุกอย่าง

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนได้รับการปรนเปรออย่างบอกไม่ถูก

หยุด—

เธอไม่ควรคิดแบบนี้อีกแล้ว

เย้นหว่านทึ้งผม ดวงตาสั่นไหวไม่ได้มองไปที่โห้หลีเฉิน เธอลงจากเตียง

เป็นเรื่องธรรมดาที่โห้หลีเฉินจะเป็นคนอุ้มเธอ เย้นหว่านจึงรีบเอื้อมมือไปวางบนไหล่ของเขาเพื่อห้าม

“เท้าฉันเกือบหายดีแล้ว ฉันเดินเองได้จริงๆนะ”

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เย้นหว่านยังจงใจดึงชายกระโปรงของเธอขึ้นเพื่อให้โห้หลีเฉินดูรอยแผลจางๆ

โห้หลีเฉินมองแล้วได้ข้อสรุป

“ยังไม่หายดีทั้งหมด”

หลังจากพูดจบแขนที่แข็งแรงของเขาก็เข้ามาอุ้มเย้นหว่าน

อยู่ในท่าอุ้มแบบเจ้าหญิง แต่คราวนี้นอกจากสภาวะไร้น้ำหนักแล้วก็ยังมีหัวใจของเย้นหว่านที่เหมือนถูกแขวนเอาไว้

ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความอึดอัด แก้มแดงระเรื่อ

เธอดิ้นอยู่สักพักก็กัดฟันพูด

“คุณโห้ คุณอุ้มฉันลงไปแบบนี้ ถ้าพวกเขาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดีหรือเปล่า? การอุ้มฉันมันจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์เย็นชาของคุณได้นะ”

โห้หลีเฉินเดินออกมาจากห้อง เขาพูดอย่างเรียบๆ

“ตอนนี้พวกเขาบอกว่าผมเป็นสามีกตัญญูยี่สิบสี่ประการ”

ประโยคบอกเล่านี้ มีอยู่สามส่วนที่เป็นการหัวเราะเยาะ และอีกเจ็ดส่วนเป็นเรื่องตลก

ทันใดนั้นเย้นหว่านก็แก้มแดงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นรัว

คำเยาะเย้ยก่อนหน้านี้ของฉินฉู่ยังคงก้องอยู่ในหู

โห้หลีเฉินเป็นสามีกตัญญูยี่สิบสี่ประการ?

แต่ทำไมเขาดูพอใจกับคำพูดแบบนี้ล่ะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด