หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น)

แต่ก่อนนี้ กระบี่หลิงเซี่ยวถือว่าเป็นอาวุธที่แปลกสำหรับชายหนุ่ม

เขาเคยรู้สึกว่าหลิงเซี่ยวไม่ใช่กระบี่ของตัวเอง และมันจะค่อนข้างจะไม่ถนัดเวลาที่ใช้งาน

กระทั่งตอนก่อนหน้านี้ แม้ไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ หลงเหลืออยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะมีความรู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องเงอะงะงุ่มง่ามเช่นเมื่อก่อนแล้ว !

มาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็เริ่มค้นพบความสำคัญของการรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างกระบี่และตัวผู้ถือ ครองแล้ว !

หลังจากเก็บกระบี่เข้าที่ เขาก็ออกจากหอคอยแห่งเรือนจำเพื่อชำระล้างร่างกาย

ตาใกล้จะปิดแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกง่วงนอนเต็มที !

การฝึกฝนวิชานั้นสำคัญก็จริง แต่การพักผ่อนก็เช่นกัน !

ไม่ว่าเยี่ยฉวนต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นและมุมานะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากเพียงใด กระนั้นเขาก็ยังต้องพักผ่อนทุกวัน เพราะหลังจากที่ได้หยุดพักเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มอิ่ม เขาก็จะสามารถฝึกฝนได้ดีขึ้นตาม ไปด้วย

ที่ข้างนอกนั้น

ไม่มีใครรู้ว่าทั่วทั้งเรือเหาะตกอยู่ในความเงียบตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ทุกคนบนเรือเหาะไม่ได้หลงลืมเด็กชายตัวอ้วนคนนั้น เช่นเดียวกับเรื่องราวที่เกิดเหตุปะทะก่อนหน้านี้ที่ยิ่งลืมไม่ลง !!

พวกเขาล้วนสนใจใคร่รู้และต่างพากันสงสัยว่าชายหนุ่มได้ตายไปแล้วหรือยัง ?

แต่ก็คงไม่น่ารอดกระมัง !

นอกจากนี้แล้ว คนของสำนักอัปสรเมรัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูกฆ่าได้ง่าย ๆ

เรือเหาะบินข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ มันลอยข้ามเหนือเทือกเขาอันไร้จุดสิ้นสุดที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้นเมื่อยืนมองจากด้านบนก็จะสามารถเห็นภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่งดงามปรากฏในสายตา

ผู้คนมากมายต่างปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ทุกคนดูเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เนื่องจากมีประกาศคำเตือนจากสำนักอัปสรเมรัยมาว่า ให้ทุกคนเก็บงำเรื่องก่อนหน้านี้เอาไว้เป็นความลับเสีย ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับการลงโทษจากทางสำนักอย่างสาสมแน่ !

ไม่มีใครกล้าขัดขืน

ภายในห้องนั้น

เยี่ยฉวนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขารู้สึกคันนิดหน่อยบนใบหน้า ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนที่ดวงตากลมโตกระจ่างใสคู่หนึ่งจะพุ่งเข้ามาในสายตาของเขา

ชายหนุ่มยื่นมือไปลูบเส้นผมของเยี่ยหลิง ที่แท้เป็นนางนั่นเองที่ใช้มือเล็ก ๆ เกาบนใบหน้าเขาเบา ๆ!

เมื่อเห็นว่าเยี่ยฉวนตื่นแล้ว เยี่ยหลิงก็ส่งยิ้มหวานให้ทันที “ท่านพี่ !”

เยี่ยฉวนหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะถามขึ้น “นี่เป็นเวลาใดแล้ว ?”

เยี่ยหลิงคลี่ยิ้มและเอ่ยตอบ “เที่ยงวันแล้วเจ้าค่ะ ! วันนี้ท่านพี่นอนตื่นสาย ! แต่ไม่เป็นไร ท่านนอนต่อ เถอะ ส่วนข้าจะคอยอยู่ข้าง ๆ เอง !”

เยี่ยฉวนยิ้ม เขาบีบจมูกของเยี่ยหลิงเบา ๆ อย่างเอ็นดู “เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันดีกว่า”

หลังจากนั้นเยี่ยฉวนจึงลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะออกไปที่ดาดฟ้าเรือพร้อมกันกับน้องสาว

กลายเป็นว่าสองพี่น้องได้ตกเป็นเป้าสายตาของคนในบริเวณนั้นทันทีเมื่อปรากฏตัวขึ้น !

“เขายังมีชีวิตอยู่หรือนี่ ?”

ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยคำถาม

“เหตุใดเขาจึงยังไม่ตายทั้ง ๆ ที่ลงมือสังหารคนของสำนักอัปสรเมรัย ?”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลู่เสี่ยวหรานได้หันมองไปที่เยี่ยฉวนอย่างลึกซึ้งและกระซิบกับตัวเองว่า “ชายผู้นี้ ไม่ธรรมดา !”

ข้าง ๆ กันนั้น เด็กชายอ้วนตัวเล็กได้เดินตรงไปยังทั้งสอง เขามองไปที่เยี่ยฉวนและนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ท่านพี่ โปรดรับข้าไว้เป็นศิษย์ด้วยเถิด ไม่ว่าท่านต้องการเท่าไหร่ ? ขอแค่บอกราคามา พ่อของข้ายินดี จ่ายให้ได้ทั้งนั้น !”

เยี่ยฉวนสิ้นคำพูด “…”

เยี่ยหลิงเอามือปิดปาก แอบอมยิ้มเล็กน้อย

ลู่เสี่ยวหรานเดินไปที่ด้านหน้าของเยี่ยฉวนกับเยี่ยหลิง จากนั้นก็เตะเจ้าเด็กอ้วนไปหนึ่งที ก่อนจะถาม แบบยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ารู้ไหมว่าการเป็นผู้ฝึกกระบี่นั้นยากลำบากเพียงใด ?”

เด็กอ้วนตัวน้อยมองกลับมาด้วยสายตาไม่พอใจ “แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวความลำบากยากเข็ญนั้นด้วย ?ข้าสามารถแก้ปัญหาพวกนั้นได้ด้วยเงินนะ !”

ลู่เสี่ยวหรานดูค่อนข้างลำบากใจ เขาหันไปประสานมือทักทายเยี่ยฉวน “เป็นข้าที่สั่งสอนเขาไม่ถูกต้อง เอง โปรดยกโทษให้ด้วย”

เยี่ยฉวนยิ้มและมองไปที่เด็กน้อยไร้เดียงสา “เจ้าอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่งั้นหรือ ?”

เด็กชายอ้วนตัวน้อยรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

เยี่ยฉวนส่งยิ้ม “ย่อมได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงไปลดน้ำหนักก่อนเสียไป !”

เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายอ้วนตัวน้อยก็ทำหน้าเหมือนได้กินยาขม

“จะให้ลดน้ำหนักหรือ ?”

“แบบนั้นท่านก็ฆ่าข้าเสียเถอะ !”

เมื่อเห็นเด็กอ้วนตัวน้อยออกอาการ ทั้งเยี่ยฉวนและลู่เสี่ยวหรานต่างก็หัวเราะออกมา

ในตอนนี้เองที่ลู่เสี่ยวหรานถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “สหายเยี่ย ท่านต้องการเดินทางไปที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

ลู่เสี่ยวหรานมองหน้าเยี่ยฉวน “แล้วแบบนี้ท่านจะลงทะเบียนเข้าร่วมกับสำนักศึกษาฉางมู่ด้วยใช่หรือ ไม่ ?”

เยี่ยฉวนแปลกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสรู้ได้อย่างไร ?”

ลู่เสี่ยวหรานหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “การลงทะเบียนของสำนักศึกษาฉางมู่ในทุก ๆ 3 ปีนั้น เรียกได้ว่า เป็นงานที่มีชีวิตชีวาที่สุดในแคว้นเจียงแล้ว สหายเอ๋ย ท่านดูอายุยังน้อย และหากบอกว่ากำลังจะไปที่เมือง หลวง กอปรกับสำนักศึกษาฉางมู่กำลังเริ่มเปิดรับลงทะเบียนอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นข้าจึงเดาได้ไม่ยากว่าพวกท่านทั้งสองจะไปที่สำนักฉางมู่กัน”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงชี้ไปที่เด็กอ้วนตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างหน้า “นี่คือบุตรชายของข้า ลู่หมิง และที่ข้ายอมพา เขาเข้าเมืองหลวงมาในเวลานี้ก็เพราะคาดหวังว่าเจ้านี่จะสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาฉางมู่ได้นี่แหละ”

ลู่หมิง เด็กชายอ้วนตัวน้อยพูดพลางตบอกตนเอง “ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป อย่างข้าน่ะสามารถเข้า สำนักฉางมู่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าหากว่าพวกเขาไม่ยอม ถ้างั้นข้าก็จะใช้เงินซื้อมันทั้งสำนักศึกษาฉางมู่เสียเลย !!”

คำตอบนี้ทำเอาเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงถึงกับพูดไม่ออก “…”

ลู่เสี่ยวหรานส่ายหน้าและถอนหายใจ “ข้าไม่ควรให้ท้ายเจ้ามากตั้งแต่แรกเลย ดูสิ เหลิงใหญ่แล้ว !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วย เมืองหลวงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นเจียง ที่ แห่งนั้นเต็มไปด้วยอัจฉริยะโดดเด่นอยู่มากมาย หรือแม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เจ้าเด็กชายอ้วนตัวน้อยคนนี้อาจทำอะไรก็ได้อย่างใจต้องการเมื่ออยู่ในเมืองพันภูผา แต่หากเขาตั้งใจที่จะมาอาศัยอยู่ในเมือง หลวงแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องสูญเสียอย่างหนัก

ลู่เสี่ยวหรานหันไปมองท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไปก่อนจะกระซิบ “เราใกล้จะถึงเมืองชายแดนแล้ว”

“เมืองชายแดนหรือ ?”

เยี่ยฉวนค่อนข้างงงงวย

ลู่เสี่ยวหรานอธิบาย “มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สหายเยี่ยอาจจะยังไม่รู้ เมืองชายแดนนี้ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นเจียงและแคว้นถังทางตอนเหนือ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแคว้นเจียงและแคว้นถังจึงได้ทำการสู้รบ กันมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อทำศึกแย่งชิงพื้นที่ตรงนี้ ภูมิประเทศของเมืองชายแดนค่อนข้างสูงชัน และมีภูเขาไฟทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นธรรมชาติอยู่ด้านข้าง อาจกล่าวได้ว่าเมืองชายแดนนั้นมีความได้เปรียบทางด้านยุทธ ศาสตร์ในเรื่องของพื้นที่ทางการทหาร ดังนั้นในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่เมืองชายแดนจึงยังดูเหมือนว่า แคว้นเจียงและแคว้นถังเป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ สรุปคือ แม้ว่าพื้นที่ชายแดนจะเป็นของแคว้นเจียงในตอนนี้ แต่ ผู้คนในแคว้นถังก็เชื่อว่าเป็นของพวกเขา อย่างไรเสีย… จะว่าไปแล้ว ที่นี่ก็ไร้ซึ่งระเบียบหรือกฎเกณฑ์ควบคุมดู แลอยู่ดี”

เยี่ยฉวนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เราจำต้องหยุดพักกันที่นั่นหรือ ?”

ลู่เสี่ยวหรานพยักหน้า “เรือเหาะจำเป็นต้องเติมเชื้อเพลิง ดังนั้นเราน่าจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นราว ๆ ครึ่งวัน”

เยี่ยฉวนกล่าว “ผู้อาวุโสลู่กำลังกังวลว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ?”

ลู่เสี่ยวหรานพูดยิ้ม ๆ “ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก เพราะที่นั่นน่ารังเกียจเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะ ถึงแม้ว่าพื้นที่นี้จะอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นเจียง แต่ผู้คนจากแคว้นถังก็สามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ พวกมันจงใจยั่วยุพวกเราอย่างโจ่งแจ้งอยู่ใต้กำแพงเมืองนั้น ช่างเถิด อย่าให้ข้าต้องพูดเลย !”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับแต่ไม่พูดอะไร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 48 ในความฝันนั้นทุกอย่างเป็นไปได้ (ต้น)

แต่ก่อนนี้ กระบี่หลิงเซี่ยวถือว่าเป็นอาวุธที่แปลกสำหรับชายหนุ่ม

เขาเคยรู้สึกว่าหลิงเซี่ยวไม่ใช่กระบี่ของตัวเอง และมันจะค่อนข้างจะไม่ถนัดเวลาที่ใช้งาน

กระทั่งตอนก่อนหน้านี้ แม้ไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ หลงเหลืออยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะมีความรู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องเงอะงะงุ่มง่ามเช่นเมื่อก่อนแล้ว !

มาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็เริ่มค้นพบความสำคัญของการรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างกระบี่และตัวผู้ถือ ครองแล้ว !

หลังจากเก็บกระบี่เข้าที่ เขาก็ออกจากหอคอยแห่งเรือนจำเพื่อชำระล้างร่างกาย

ตาใกล้จะปิดแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกง่วงนอนเต็มที !

การฝึกฝนวิชานั้นสำคัญก็จริง แต่การพักผ่อนก็เช่นกัน !

ไม่ว่าเยี่ยฉวนต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นและมุมานะฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากเพียงใด กระนั้นเขาก็ยังต้องพักผ่อนทุกวัน เพราะหลังจากที่ได้หยุดพักเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มอิ่ม เขาก็จะสามารถฝึกฝนได้ดีขึ้นตาม ไปด้วย

ที่ข้างนอกนั้น

ไม่มีใครรู้ว่าทั่วทั้งเรือเหาะตกอยู่ในความเงียบตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ทุกคนบนเรือเหาะไม่ได้หลงลืมเด็กชายตัวอ้วนคนนั้น เช่นเดียวกับเรื่องราวที่เกิดเหตุปะทะก่อนหน้านี้ที่ยิ่งลืมไม่ลง !!

พวกเขาล้วนสนใจใคร่รู้และต่างพากันสงสัยว่าชายหนุ่มได้ตายไปแล้วหรือยัง ?

แต่ก็คงไม่น่ารอดกระมัง !

นอกจากนี้แล้ว คนของสำนักอัปสรเมรัยก็ไม่ใช่ว่าจะถูกฆ่าได้ง่าย ๆ

เรือเหาะบินข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ มันลอยข้ามเหนือเทือกเขาอันไร้จุดสิ้นสุดที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้นเมื่อยืนมองจากด้านบนก็จะสามารถเห็นภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่งดงามปรากฏในสายตา

ผู้คนมากมายต่างปรากฏตัวขึ้นบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ทุกคนดูเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เนื่องจากมีประกาศคำเตือนจากสำนักอัปสรเมรัยมาว่า ให้ทุกคนเก็บงำเรื่องก่อนหน้านี้เอาไว้เป็นความลับเสีย ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับการลงโทษจากทางสำนักอย่างสาสมแน่ !

ไม่มีใครกล้าขัดขืน

ภายในห้องนั้น

เยี่ยฉวนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขารู้สึกคันนิดหน่อยบนใบหน้า ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนที่ดวงตากลมโตกระจ่างใสคู่หนึ่งจะพุ่งเข้ามาในสายตาของเขา

ชายหนุ่มยื่นมือไปลูบเส้นผมของเยี่ยหลิง ที่แท้เป็นนางนั่นเองที่ใช้มือเล็ก ๆ เกาบนใบหน้าเขาเบา ๆ!

เมื่อเห็นว่าเยี่ยฉวนตื่นแล้ว เยี่ยหลิงก็ส่งยิ้มหวานให้ทันที “ท่านพี่ !”

เยี่ยฉวนหันไปมองรอบ ๆ ก่อนจะถามขึ้น “นี่เป็นเวลาใดแล้ว ?”

เยี่ยหลิงคลี่ยิ้มและเอ่ยตอบ “เที่ยงวันแล้วเจ้าค่ะ ! วันนี้ท่านพี่นอนตื่นสาย ! แต่ไม่เป็นไร ท่านนอนต่อ เถอะ ส่วนข้าจะคอยอยู่ข้าง ๆ เอง !”

เยี่ยฉวนยิ้ม เขาบีบจมูกของเยี่ยหลิงเบา ๆ อย่างเอ็นดู “เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันดีกว่า”

หลังจากนั้นเยี่ยฉวนจึงลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนจะออกไปที่ดาดฟ้าเรือพร้อมกันกับน้องสาว

กลายเป็นว่าสองพี่น้องได้ตกเป็นเป้าสายตาของคนในบริเวณนั้นทันทีเมื่อปรากฏตัวขึ้น !

“เขายังมีชีวิตอยู่หรือนี่ ?”

ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยคำถาม

“เหตุใดเขาจึงยังไม่ตายทั้ง ๆ ที่ลงมือสังหารคนของสำนักอัปสรเมรัย ?”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลู่เสี่ยวหรานได้หันมองไปที่เยี่ยฉวนอย่างลึกซึ้งและกระซิบกับตัวเองว่า “ชายผู้นี้ ไม่ธรรมดา !”

ข้าง ๆ กันนั้น เด็กชายอ้วนตัวเล็กได้เดินตรงไปยังทั้งสอง เขามองไปที่เยี่ยฉวนและนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ท่านพี่ โปรดรับข้าไว้เป็นศิษย์ด้วยเถิด ไม่ว่าท่านต้องการเท่าไหร่ ? ขอแค่บอกราคามา พ่อของข้ายินดี จ่ายให้ได้ทั้งนั้น !”

เยี่ยฉวนสิ้นคำพูด “…”

เยี่ยหลิงเอามือปิดปาก แอบอมยิ้มเล็กน้อย

ลู่เสี่ยวหรานเดินไปที่ด้านหน้าของเยี่ยฉวนกับเยี่ยหลิง จากนั้นก็เตะเจ้าเด็กอ้วนไปหนึ่งที ก่อนจะถาม แบบยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ารู้ไหมว่าการเป็นผู้ฝึกกระบี่นั้นยากลำบากเพียงใด ?”

เด็กอ้วนตัวน้อยมองกลับมาด้วยสายตาไม่พอใจ “แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวความลำบากยากเข็ญนั้นด้วย ?ข้าสามารถแก้ปัญหาพวกนั้นได้ด้วยเงินนะ !”

ลู่เสี่ยวหรานดูค่อนข้างลำบากใจ เขาหันไปประสานมือทักทายเยี่ยฉวน “เป็นข้าที่สั่งสอนเขาไม่ถูกต้อง เอง โปรดยกโทษให้ด้วย”

เยี่ยฉวนยิ้มและมองไปที่เด็กน้อยไร้เดียงสา “เจ้าอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่งั้นหรือ ?”

เด็กชายอ้วนตัวน้อยรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

เยี่ยฉวนส่งยิ้ม “ย่อมได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงไปลดน้ำหนักก่อนเสียไป !”

เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายอ้วนตัวน้อยก็ทำหน้าเหมือนได้กินยาขม

“จะให้ลดน้ำหนักหรือ ?”

“แบบนั้นท่านก็ฆ่าข้าเสียเถอะ !”

เมื่อเห็นเด็กอ้วนตัวน้อยออกอาการ ทั้งเยี่ยฉวนและลู่เสี่ยวหรานต่างก็หัวเราะออกมา

ในตอนนี้เองที่ลู่เสี่ยวหรานถามขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “สหายเยี่ย ท่านต้องการเดินทางไปที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

ลู่เสี่ยวหรานมองหน้าเยี่ยฉวน “แล้วแบบนี้ท่านจะลงทะเบียนเข้าร่วมกับสำนักศึกษาฉางมู่ด้วยใช่หรือ ไม่ ?”

เยี่ยฉวนแปลกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสรู้ได้อย่างไร ?”

ลู่เสี่ยวหรานหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “การลงทะเบียนของสำนักศึกษาฉางมู่ในทุก ๆ 3 ปีนั้น เรียกได้ว่า เป็นงานที่มีชีวิตชีวาที่สุดในแคว้นเจียงแล้ว สหายเอ๋ย ท่านดูอายุยังน้อย และหากบอกว่ากำลังจะไปที่เมือง หลวง กอปรกับสำนักศึกษาฉางมู่กำลังเริ่มเปิดรับลงทะเบียนอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นข้าจึงเดาได้ไม่ยากว่าพวกท่านทั้งสองจะไปที่สำนักฉางมู่กัน”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงชี้ไปที่เด็กอ้วนตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างหน้า “นี่คือบุตรชายของข้า ลู่หมิง และที่ข้ายอมพา เขาเข้าเมืองหลวงมาในเวลานี้ก็เพราะคาดหวังว่าเจ้านี่จะสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาฉางมู่ได้นี่แหละ”

ลู่หมิง เด็กชายอ้วนตัวน้อยพูดพลางตบอกตนเอง “ท่านพ่อไม่ต้องกังวลไป อย่างข้าน่ะสามารถเข้า สำนักฉางมู่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าหากว่าพวกเขาไม่ยอม ถ้างั้นข้าก็จะใช้เงินซื้อมันทั้งสำนักศึกษาฉางมู่เสียเลย !!”

คำตอบนี้ทำเอาเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงถึงกับพูดไม่ออก “…”

ลู่เสี่ยวหรานส่ายหน้าและถอนหายใจ “ข้าไม่ควรให้ท้ายเจ้ามากตั้งแต่แรกเลย ดูสิ เหลิงใหญ่แล้ว !”

เยี่ยฉวนพยักหน้าเห็นด้วย เมืองหลวงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแคว้นเจียง ที่ แห่งนั้นเต็มไปด้วยอัจฉริยะโดดเด่นอยู่มากมาย หรือแม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เจ้าเด็กชายอ้วนตัวน้อยคนนี้อาจทำอะไรก็ได้อย่างใจต้องการเมื่ออยู่ในเมืองพันภูผา แต่หากเขาตั้งใจที่จะมาอาศัยอยู่ในเมือง หลวงแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องสูญเสียอย่างหนัก

ลู่เสี่ยวหรานหันไปมองท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไปก่อนจะกระซิบ “เราใกล้จะถึงเมืองชายแดนแล้ว”

“เมืองชายแดนหรือ ?”

เยี่ยฉวนค่อนข้างงงงวย

ลู่เสี่ยวหรานอธิบาย “มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สหายเยี่ยอาจจะยังไม่รู้ เมืองชายแดนนี้ตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นเจียงและแคว้นถังทางตอนเหนือ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแคว้นเจียงและแคว้นถังจึงได้ทำการสู้รบ กันมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อทำศึกแย่งชิงพื้นที่ตรงนี้ ภูมิประเทศของเมืองชายแดนค่อนข้างสูงชัน และมีภูเขาไฟทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นธรรมชาติอยู่ด้านข้าง อาจกล่าวได้ว่าเมืองชายแดนนั้นมีความได้เปรียบทางด้านยุทธ ศาสตร์ในเรื่องของพื้นที่ทางการทหาร ดังนั้นในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่เมืองชายแดนจึงยังดูเหมือนว่า แคว้นเจียงและแคว้นถังเป็นเจ้าของร่วมกันอยู่ สรุปคือ แม้ว่าพื้นที่ชายแดนจะเป็นของแคว้นเจียงในตอนนี้ แต่ ผู้คนในแคว้นถังก็เชื่อว่าเป็นของพวกเขา อย่างไรเสีย… จะว่าไปแล้ว ที่นี่ก็ไร้ซึ่งระเบียบหรือกฎเกณฑ์ควบคุมดู แลอยู่ดี”

เยี่ยฉวนถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เราจำต้องหยุดพักกันที่นั่นหรือ ?”

ลู่เสี่ยวหรานพยักหน้า “เรือเหาะจำเป็นต้องเติมเชื้อเพลิง ดังนั้นเราน่าจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นราว ๆ ครึ่งวัน”

เยี่ยฉวนกล่าว “ผู้อาวุโสลู่กำลังกังวลว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ?”

ลู่เสี่ยวหรานพูดยิ้ม ๆ “ความจริงมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก เพราะที่นั่นน่ารังเกียจเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะ ถึงแม้ว่าพื้นที่นี้จะอยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นเจียง แต่ผู้คนจากแคว้นถังก็สามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ พวกมันจงใจยั่วยุพวกเราอย่างโจ่งแจ้งอยู่ใต้กำแพงเมืองนั้น ช่างเถิด อย่าให้ข้าต้องพูดเลย !”

เยี่ยฉวนพยักหน้ารับแต่ไม่พูดอะไร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+