หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย)

ความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวนในเวลานี้ไม่สามารถใช้วิชาหนึ่งกระบี่ชี้ชะตาปะทะกับพลังขั้นทะยาน สวรรค์ได้ สิ่งที่พอจะทำได้คือใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เสริมเข้าไป ทว่ามันก็ไม่แน่นัก ด้วยเขาอาจได้รับชัย ชนะหรือไม่ก็พ่ายแพ้กลับมา …ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น

น่าเสียดายที่เยี่ยฉวนไม่ได้มีเคล็ดวิชาเพลงกระบี่อื่น ๆ เพราะหากเป็นเช่นนั้นการเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธพลังขั้นทะยานสวรรค์ย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแน่ !

ครึ่งชั่วยามถัดมา ชายหนุ่มจำต้องออกมาจากหอคอยเรือนจำ

ทั้งนี้เพราะลู่เสี่ยวหรานแวะมาเยี่ยมเยียนในที่พัก ทันทีที่เห็นหน้าเยี่ยฉวน ชายวัยกลางคนก็พลันยิ้ม แย้มพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าได้รับความสะดวกดีอยู่หรือไม่ สหายข้า ?”

เยี่ยฉวนหัวเราะออกมา “ขอบอกตามสัตย์จริง ข้าและน้องสาวไม่เคยอยู่สุขสบายเท่านี้มาก่อนเลย !”

ลู่เสี่ยวหรานได้ยินเช่นก็รู้สึกยินดียิ่งนัก “เจ้าพูดเกินไป จริงสิ เย็นนี้จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ ข้าอยากจะ ชวนเจ้าและน้องสาวของเจ้าไปด้วยกัน”

“งามสังสรรค์ ?”

ชายหนุ่มหยุดคิด ก่อนที่จะเอ่ยถาม “มันคืองานสังสรรค์อะไรหรือ ?”

ผู้มีอาวุโสจึงกล่าวต่อไปพร้อมเสียงหัวเราะ “องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเจียงทรงรับเป็นเจ้าภาพงาน สังสรรค์ ทุกครั้งก่อนที่สถานศึกษาฉางมู่จะทำการคัดเลือกผู้เข้าเรียน จะมีบรรดาผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทุกสารทิศของแคว้นมารวมตัวกัน โดยทั่วไปเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ จะไม่ค่อยเข้าร่วม ดังนั้นฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งองค์ชายมาทำหน้าที่แทนอยู่เสมอ”

เยี่ยฉวนรำพึงกับตนเองก่อนเอ่ยถามออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับเชิญ ?”

“ใช่แล้ว บุคคลที่ได้รับเชิญจะต้องเป็นคนชั้นพิเศษทั้งสถานะและขั้นพลัง ถ้าพูดให้ถูก การได้รับเชิญ เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์แทบจะเรียกว่าเป็นสิ่งยืนยันที่นั่งในสถานศึกษาฉางมู่เลยทีเดียว มิฉะนั้นผู้มีอำนาจจะไม่เชิญเข้าร่วมโดยเด็ดขาด”

เยี่ยฉวนที่ได้ฟังดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้รับเชิญ !”

ตอนนั้นเองที่ลู่เสี่ยวหรานหันมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเต็มตาก่อนจะพูดว่า “สหายข้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือติดตามข้า ส่วนเทียบเชิญ ก็ข้านี่อย่างไรที่กำลังเชิญเจ้า ไม่ใช่หรือไร ? งานครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อเจ้า ที่นั่น เจ้าจะได้ผูกมิตรกับคนที่มีพรสวรรค์ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ว่าอย่างไร ?”

เมื่อได้รับฟังเหตุผล เยี่ยฉวนจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ

อย่างที่ลู่เสี่ยวหรานได้กล่าวไว้ การผูกมิตรเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องดี ในเมื่อเลือกที่จะเริ่มต้นเดินบนเส้นทางของเซียนกระบี่แล้ว ไฉนเลยจะต้องทำตัวเป็นคนรักสันโดษอีกเล่า ? อีกประการหนึ่ง การได้พบปะผู้ที่มี พรสวรรค์แห่งแคว้นเจียงคนอื่นดูบ้างก็ฟังดูน่าสนใจมากทีเดียว !

ผู้อาวุโสหัวเราะชอบใจ “เจ้ารีบเตรียมตัวเถิดสหายข้า เสร็จแล้วพวกเราจะออกเดินทางทันที !”

กล่าวจบชายวัยกลางคนก็รีบรุดกลับทันที

เมื่อเยี่ยฉวนกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มก็พบว่าเยี่ยหลิงตื่นนอนแล้ว

เขาเดินเข้าไปหาน้องสาว เอื้อมมือไปจับแก้มของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่หลับต่อได้หรือ ไม่ ? เพราะคืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารชั้นเลิศ !”

เยี่ยหลิงกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนคลี่ยิ้มกว้าง “ตกลงเจ้าค่ะ !”

เยี่ยฉวนใช้นิ้วบีบจมูกเล็ก ๆ ของนางทีหนึ่ง ร้องสั่งว่า “รีบไปล้างหน้าล้างตา พวกเรากำลังจะออกเดิน ทางกันแล้ว !”

ครึ่งชั่วยามถัดมา ลู่เสี่ยวหรานพร้อมด้วยพี่น้องตระกูลเยี่ยและผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนก็ได้ออกเดินทาง จากจวนที่พัก ก่อนที่ไม่นานนักพวกเขาจะมาถึงบริเวณหอพำนักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกลางเมือง

หอพำนักเซียน !

หอพำนักแห่งนี้นับว่าใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตัวตึกตั้งอยู่บนที่ดินกว้างราวหนึ่งหมู่ ประกอบด้วย อาคารหกชั้น ผนังภายนอกทาสีทองเหมาะสมกับสถานที่หรูหราฟุ่มเฟือย ด้วยที่นี่คือหนึ่งในทรัพย์สินที่สำนัก อัปสรเมรัยเป็นผู้ครอบครอง

เมื่อก้าวเข้ามาภายในอาคาร ทั้งเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงก็ถึงกับตะลึงงัน

ด้วยสองพี่น้องยังไม่เคยเห็นโรงเตี๊ยมที่ไหนทั้งใหญ่โตและหรูหราเท่าที่นี่มาก่อน !

แม้แต่ลู่หมิงเองยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย เป็นเพราะเมืองพันภูผาไม่เคยมีโรงเตี๊ยมที่ใหญ่เท่าที่แห่งนี้มาก่อนเช่นกัน

ลู่เสี่ยวหรานสังเกตเห็นทีท่าของแต่ละคนจึงเปล่งเสียงหัวเราะมาให้ได้ยิน “ที่นี่ยังมิใช่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด ต่อไปถ้าพวกเจ้าคนใดมีโอกาสท่องโลกอันกว้างใหญ่ เจ้าก็จะรู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างมีอยู่มากมายรอบ ตัวของเรา”

เยี่ยฉวนผงกศีรษะ เขาเองก็เชื่อในหลักการนี้เช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าเขาช่างโชคดีที่ตัดสินใจออกจากเมืองชิง เพราะหาไม่แล้ว เขาก็คงยังเป็นคนที่อ่อน ด้อยไร้ประสบการณ์ชีวิตใดอยู่เช่นเดิม !

หลังจากนั้นลู่เสี่ยวหรานก็ได้นำทั้งสามเดินเข้าไปภายในหอพำนักเซียน ก่อนสตรีผู้มีรูปกายสวยงามจะตรงเข้าหาทันที “ท่านผู้นี้คือขุนนางลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

ลู่เสี่ยวหรานผงกศีรษะ

สตรีนางนั้นจึงรีบส่งยิ้มหวานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “อีกประมาณครึ่งชั่วยามจึงจะเริ่มงาน องค์ชายใหญ่ได้ทรงเตรียม ‘ความสำราญ’ ไว้คอยต้อนรับแล้ว ท่านยินดีจะให้ทางเรารับใช้หรือไม่เจ้าคะ ?”

ลู่เสี่ยวหรานได้ยินนางเจรจาเจื้อยแจ้วก็พลันสีหน้าแดงระเรื่อ ทว่าเขากลับรีบสั่นศีรษะปฏิเสธพร้อม บอกนางว่า “ไม่จำเป็น เจ้าพาข้าไปเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เถิด”

สตรีสาวสวยพยักหน้ารับคำ ก่อนเดินนำลู่เสี่ยวหรานและกลุ่มขึ้นทางบันได เมื่อมาถึงชั้นที่สี่ พี่น้อง ตระกูลเยี่ยก็ถึงกับตกตะลึงต่อภาพที่เห็น

ด้วยชั้นที่สี่มีพื้นที่เป็นลานโล่งกว้างขวางมากกว่าเนื้อที่บ้านของพวกเขารวมกันเสียอีก อีกทั้งภายในยังตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่หรูหราฟุ่มเฟือยกับปูทับพื้นด้วยพรมหนังสัตว์แผ่นหนานุ่มนิ่มน่าสบายจนราวกับ พระราชวังขนาดย่อม ๆ

“โอ้โห !”

ทันทีที่เท้าแตะลงบนพรมหนังสัตว์ที่อ่อนนุ่ม ลู่หมิงถึงกับร้องอุทานออกมาดังลั่น “ท่านพ่อขอรับ นี่คือ หนังของเสือแดงใช่หรือไม่ ราคาของมันผืนหนึ่งอย่างน้อยต้องหนึ่งร้อยเหรียญทอง แต่ที่นี่มีพรมหนังสัตว์ถึง หมื่นผืน… ให้ตายเถอะ สำนักอัปสรเมรัยร่ำรวยกว่าตระกูลของเราอีก !”

เมื่อได้ยินเจ้าหนูน้อยพูด เยี่ยฉวนและเยี่ยหลินจึงหันมองหน้ากัน ก่อนชายหนุ่มจะสั่นหน้าอย่างจนด้วยเกล้า “ร่ำรวยมากเสียจนข้าละนึกไม่ออกทีเดียว !”

ลู่เสี่ยวหรานหัวเราะ “สหายข้า ความร่ำรวยของสำนักอัปสรเมรัยอาจจะเทียบได้กับบางแคว้นทีเดียว แม้แต่ราชวงศ์บางแห่งก็ยังไม่ร่ำรวยเท่านี้”

ฉับพลันผู้อาวุโสก็ได้หันมองไปที่เบื้องหน้าก่อนหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “สหายข้า พวกเจ้ารอที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวจะข้ากลับมา !”

พูดจบก็รีบเดินแยกออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ทางฝั่งของเยี่ยฉวนก็ได้มีเด็กหนุ่มเดินตรงรี่มา เขากระแทกกำปั้นกับฝ่ามือแสดง คารวะต่อเยี่ยฉวน “พี่ชายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงใช่หรือไม่ ?”

ชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นจึงตอบกลับด้วยท่าทางเดียวกัน “พวกเราเพิ่งมา !”

หนุ่มน้อยยิ้มตอบ “ข้าคือปู้เอ๋อร์ ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลปู้แห่งเมืองชวน ท่านมีนามว่ากระไร ขอรับ พี่ชาย ?”

เยี่ยฉวนหัวเราะและตอบว่า “ข้าเยี่ยฉวนแห่งเมืองชิง ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลใด !”

“จอมยุทธ์พเนจร ?”

เด็กหนุ่มชะงักกึก เขานิ่งไปอึดใจพลางมองสำรวจเยี่ยฉวนอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ท่านเป็นจอมยุทธพเนจรอย่างนั้นหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “ไม่ผิด”

เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขออภัยที่เข้ามารบกวน”

พูดจบก็หันหลังเดินกลับไปทันที

“…” เยี่ยฉวนถึงกับนิ่งอึ้ง

ว่าแล้วคนผู้นั้นก็เดินตรงไปยังมุมอื่นพร้อมเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มรุ่นคราวเดียวกันด้วยคำที่พูดกับเยี่ยฉวนเมื่อสักครู่

เด็กหนุ่มคนใหม่หันกลับมาแสดงคารวะและกล่าวว่า “ข้าชื่อโม่เสี่ยว ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลโม่ แห่งเมืองเยี่ย !”

เมื่อได้ยิน ปู้เอ๋อร์คนเดิมก็พลันทำท่าตกอกตกใจ “เจ้ามาจากตระกูลโม่ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองทองคำนับสิบเหมืองนั้นหรือ ?”

หนุ่มน้อยคนใหม่พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็คว้าแขนของเด็กหนุ่มโม่เสี่ยวพลางยิ้มแย้ม “ท่านพี่โม่ ข้ารู้สึกว่าพวกเราเคยรู้จักกัน มาก่อน มาเถิด พวกเรามาดื่มกันสักจอก…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย)

Now you are reading หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ Chapter 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 57 ขออภัยที่มารบกวน (ปลาย)

ความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวนในเวลานี้ไม่สามารถใช้วิชาหนึ่งกระบี่ชี้ชะตาปะทะกับพลังขั้นทะยาน สวรรค์ได้ สิ่งที่พอจะทำได้คือใช้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เสริมเข้าไป ทว่ามันก็ไม่แน่นัก ด้วยเขาอาจได้รับชัย ชนะหรือไม่ก็พ่ายแพ้กลับมา …ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น

น่าเสียดายที่เยี่ยฉวนไม่ได้มีเคล็ดวิชาเพลงกระบี่อื่น ๆ เพราะหากเป็นเช่นนั้นการเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธพลังขั้นทะยานสวรรค์ย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาแน่ !

ครึ่งชั่วยามถัดมา ชายหนุ่มจำต้องออกมาจากหอคอยเรือนจำ

ทั้งนี้เพราะลู่เสี่ยวหรานแวะมาเยี่ยมเยียนในที่พัก ทันทีที่เห็นหน้าเยี่ยฉวน ชายวัยกลางคนก็พลันยิ้ม แย้มพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าได้รับความสะดวกดีอยู่หรือไม่ สหายข้า ?”

เยี่ยฉวนหัวเราะออกมา “ขอบอกตามสัตย์จริง ข้าและน้องสาวไม่เคยอยู่สุขสบายเท่านี้มาก่อนเลย !”

ลู่เสี่ยวหรานได้ยินเช่นก็รู้สึกยินดียิ่งนัก “เจ้าพูดเกินไป จริงสิ เย็นนี้จะมีงานเลี้ยงสังสรรค์ ข้าอยากจะ ชวนเจ้าและน้องสาวของเจ้าไปด้วยกัน”

“งามสังสรรค์ ?”

ชายหนุ่มหยุดคิด ก่อนที่จะเอ่ยถาม “มันคืองานสังสรรค์อะไรหรือ ?”

ผู้มีอาวุโสจึงกล่าวต่อไปพร้อมเสียงหัวเราะ “องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเจียงทรงรับเป็นเจ้าภาพงาน สังสรรค์ ทุกครั้งก่อนที่สถานศึกษาฉางมู่จะทำการคัดเลือกผู้เข้าเรียน จะมีบรรดาผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทุกสารทิศของแคว้นมารวมตัวกัน โดยทั่วไปเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ จะไม่ค่อยเข้าร่วม ดังนั้นฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งองค์ชายมาทำหน้าที่แทนอยู่เสมอ”

เยี่ยฉวนรำพึงกับตนเองก่อนเอ่ยถามออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับเชิญ ?”

“ใช่แล้ว บุคคลที่ได้รับเชิญจะต้องเป็นคนชั้นพิเศษทั้งสถานะและขั้นพลัง ถ้าพูดให้ถูก การได้รับเชิญ เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์แทบจะเรียกว่าเป็นสิ่งยืนยันที่นั่งในสถานศึกษาฉางมู่เลยทีเดียว มิฉะนั้นผู้มีอำนาจจะไม่เชิญเข้าร่วมโดยเด็ดขาด”

เยี่ยฉวนที่ได้ฟังดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้รับเชิญ !”

ตอนนั้นเองที่ลู่เสี่ยวหรานหันมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเต็มตาก่อนจะพูดว่า “สหายข้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือติดตามข้า ส่วนเทียบเชิญ ก็ข้านี่อย่างไรที่กำลังเชิญเจ้า ไม่ใช่หรือไร ? งานครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อเจ้า ที่นั่น เจ้าจะได้ผูกมิตรกับคนที่มีพรสวรรค์ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ว่าอย่างไร ?”

เมื่อได้รับฟังเหตุผล เยี่ยฉวนจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ

อย่างที่ลู่เสี่ยวหรานได้กล่าวไว้ การผูกมิตรเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องดี ในเมื่อเลือกที่จะเริ่มต้นเดินบนเส้นทางของเซียนกระบี่แล้ว ไฉนเลยจะต้องทำตัวเป็นคนรักสันโดษอีกเล่า ? อีกประการหนึ่ง การได้พบปะผู้ที่มี พรสวรรค์แห่งแคว้นเจียงคนอื่นดูบ้างก็ฟังดูน่าสนใจมากทีเดียว !

ผู้อาวุโสหัวเราะชอบใจ “เจ้ารีบเตรียมตัวเถิดสหายข้า เสร็จแล้วพวกเราจะออกเดินทางทันที !”

กล่าวจบชายวัยกลางคนก็รีบรุดกลับทันที

เมื่อเยี่ยฉวนกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มก็พบว่าเยี่ยหลิงตื่นนอนแล้ว

เขาเดินเข้าไปหาน้องสาว เอื้อมมือไปจับแก้มของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่หลับต่อได้หรือ ไม่ ? เพราะคืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารชั้นเลิศ !”

เยี่ยหลิงกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนคลี่ยิ้มกว้าง “ตกลงเจ้าค่ะ !”

เยี่ยฉวนใช้นิ้วบีบจมูกเล็ก ๆ ของนางทีหนึ่ง ร้องสั่งว่า “รีบไปล้างหน้าล้างตา พวกเรากำลังจะออกเดิน ทางกันแล้ว !”

ครึ่งชั่วยามถัดมา ลู่เสี่ยวหรานพร้อมด้วยพี่น้องตระกูลเยี่ยและผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนก็ได้ออกเดินทาง จากจวนที่พัก ก่อนที่ไม่นานนักพวกเขาจะมาถึงบริเวณหอพำนักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกลางเมือง

หอพำนักเซียน !

หอพำนักแห่งนี้นับว่าใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ตัวตึกตั้งอยู่บนที่ดินกว้างราวหนึ่งหมู่ ประกอบด้วย อาคารหกชั้น ผนังภายนอกทาสีทองเหมาะสมกับสถานที่หรูหราฟุ่มเฟือย ด้วยที่นี่คือหนึ่งในทรัพย์สินที่สำนัก อัปสรเมรัยเป็นผู้ครอบครอง

เมื่อก้าวเข้ามาภายในอาคาร ทั้งเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงก็ถึงกับตะลึงงัน

ด้วยสองพี่น้องยังไม่เคยเห็นโรงเตี๊ยมที่ไหนทั้งใหญ่โตและหรูหราเท่าที่นี่มาก่อน !

แม้แต่ลู่หมิงเองยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย เป็นเพราะเมืองพันภูผาไม่เคยมีโรงเตี๊ยมที่ใหญ่เท่าที่แห่งนี้มาก่อนเช่นกัน

ลู่เสี่ยวหรานสังเกตเห็นทีท่าของแต่ละคนจึงเปล่งเสียงหัวเราะมาให้ได้ยิน “ที่นี่ยังมิใช่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด ต่อไปถ้าพวกเจ้าคนใดมีโอกาสท่องโลกอันกว้างใหญ่ เจ้าก็จะรู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างมีอยู่มากมายรอบ ตัวของเรา”

เยี่ยฉวนผงกศีรษะ เขาเองก็เชื่อในหลักการนี้เช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าเขาช่างโชคดีที่ตัดสินใจออกจากเมืองชิง เพราะหาไม่แล้ว เขาก็คงยังเป็นคนที่อ่อน ด้อยไร้ประสบการณ์ชีวิตใดอยู่เช่นเดิม !

หลังจากนั้นลู่เสี่ยวหรานก็ได้นำทั้งสามเดินเข้าไปภายในหอพำนักเซียน ก่อนสตรีผู้มีรูปกายสวยงามจะตรงเข้าหาทันที “ท่านผู้นี้คือขุนนางลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

ลู่เสี่ยวหรานผงกศีรษะ

สตรีนางนั้นจึงรีบส่งยิ้มหวานก่อนเอ่ยขึ้นว่า “อีกประมาณครึ่งชั่วยามจึงจะเริ่มงาน องค์ชายใหญ่ได้ทรงเตรียม ‘ความสำราญ’ ไว้คอยต้อนรับแล้ว ท่านยินดีจะให้ทางเรารับใช้หรือไม่เจ้าคะ ?”

ลู่เสี่ยวหรานได้ยินนางเจรจาเจื้อยแจ้วก็พลันสีหน้าแดงระเรื่อ ทว่าเขากลับรีบสั่นศีรษะปฏิเสธพร้อม บอกนางว่า “ไม่จำเป็น เจ้าพาข้าไปเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่เถิด”

สตรีสาวสวยพยักหน้ารับคำ ก่อนเดินนำลู่เสี่ยวหรานและกลุ่มขึ้นทางบันได เมื่อมาถึงชั้นที่สี่ พี่น้อง ตระกูลเยี่ยก็ถึงกับตกตะลึงต่อภาพที่เห็น

ด้วยชั้นที่สี่มีพื้นที่เป็นลานโล่งกว้างขวางมากกว่าเนื้อที่บ้านของพวกเขารวมกันเสียอีก อีกทั้งภายในยังตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่หรูหราฟุ่มเฟือยกับปูทับพื้นด้วยพรมหนังสัตว์แผ่นหนานุ่มนิ่มน่าสบายจนราวกับ พระราชวังขนาดย่อม ๆ

“โอ้โห !”

ทันทีที่เท้าแตะลงบนพรมหนังสัตว์ที่อ่อนนุ่ม ลู่หมิงถึงกับร้องอุทานออกมาดังลั่น “ท่านพ่อขอรับ นี่คือ หนังของเสือแดงใช่หรือไม่ ราคาของมันผืนหนึ่งอย่างน้อยต้องหนึ่งร้อยเหรียญทอง แต่ที่นี่มีพรมหนังสัตว์ถึง หมื่นผืน… ให้ตายเถอะ สำนักอัปสรเมรัยร่ำรวยกว่าตระกูลของเราอีก !”

เมื่อได้ยินเจ้าหนูน้อยพูด เยี่ยฉวนและเยี่ยหลินจึงหันมองหน้ากัน ก่อนชายหนุ่มจะสั่นหน้าอย่างจนด้วยเกล้า “ร่ำรวยมากเสียจนข้าละนึกไม่ออกทีเดียว !”

ลู่เสี่ยวหรานหัวเราะ “สหายข้า ความร่ำรวยของสำนักอัปสรเมรัยอาจจะเทียบได้กับบางแคว้นทีเดียว แม้แต่ราชวงศ์บางแห่งก็ยังไม่ร่ำรวยเท่านี้”

ฉับพลันผู้อาวุโสก็ได้หันมองไปที่เบื้องหน้าก่อนหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “สหายข้า พวกเจ้ารอที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวจะข้ากลับมา !”

พูดจบก็รีบเดินแยกออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ทางฝั่งของเยี่ยฉวนก็ได้มีเด็กหนุ่มเดินตรงรี่มา เขากระแทกกำปั้นกับฝ่ามือแสดง คารวะต่อเยี่ยฉวน “พี่ชายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงใช่หรือไม่ ?”

ชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นจึงตอบกลับด้วยท่าทางเดียวกัน “พวกเราเพิ่งมา !”

หนุ่มน้อยยิ้มตอบ “ข้าคือปู้เอ๋อร์ ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลปู้แห่งเมืองชวน ท่านมีนามว่ากระไร ขอรับ พี่ชาย ?”

เยี่ยฉวนหัวเราะและตอบว่า “ข้าเยี่ยฉวนแห่งเมืองชิง ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลใด !”

“จอมยุทธ์พเนจร ?”

เด็กหนุ่มชะงักกึก เขานิ่งไปอึดใจพลางมองสำรวจเยี่ยฉวนอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ท่านเป็นจอมยุทธพเนจรอย่างนั้นหรือ ?”

เยี่ยฉวนพยักหน้า “ไม่ผิด”

เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าผิดหวังอย่างยิ่งแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขออภัยที่เข้ามารบกวน”

พูดจบก็หันหลังเดินกลับไปทันที

“…” เยี่ยฉวนถึงกับนิ่งอึ้ง

ว่าแล้วคนผู้นั้นก็เดินตรงไปยังมุมอื่นพร้อมเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มรุ่นคราวเดียวกันด้วยคำที่พูดกับเยี่ยฉวนเมื่อสักครู่

เด็กหนุ่มคนใหม่หันกลับมาแสดงคารวะและกล่าวว่า “ข้าชื่อโม่เสี่ยว ผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลโม่ แห่งเมืองเยี่ย !”

เมื่อได้ยิน ปู้เอ๋อร์คนเดิมก็พลันทำท่าตกอกตกใจ “เจ้ามาจากตระกูลโม่ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองทองคำนับสิบเหมืองนั้นหรือ ?”

หนุ่มน้อยคนใหม่พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็คว้าแขนของเด็กหนุ่มโม่เสี่ยวพลางยิ้มแย้ม “ท่านพี่โม่ ข้ารู้สึกว่าพวกเราเคยรู้จักกัน มาก่อน มาเถิด พวกเรามาดื่มกันสักจอก…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+