หมอดูยอดอัจฉริยะ 193

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 193 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
พลังชี่ดั้งเดิมบาดเจ็บ

โดยทั่วไปแล้วสถานที่ซึ่งเกิดพลังกระแสพิฆาต จะส่งผลร้ายต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่อาจสะสมในสมองเหมือนอย่างที่ลู่เชินเป็นอยู่ สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อถูกค่ายกลที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์กระตุ้นเท่านั้น

เพียงแต่เยี่ยเทียนมองว่าวิชาของคนที่ตั้งค่ายกลนี้ขึ้นมาไม่สูงส่งเท่าไหร่ พลังกระแสพิฆาตที่สะสมรวมตัวกันยังไม่พอทำลายความทรงจำของลู่เชิน  ถ้าลู่เชินใส่ของขลังหยกไว้กับตัว เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ฉัน……ฉันมาที่โรงพยาบาลได้ยังไง?   ฉัน……ตอนเช้าฉันยังอยู่แถวโรงพยาบาลเฉาหยางเลยนี่!”

ลู่เชินส่ายหัวไปมา เห็นมือขวาห้อยสายน้ำเกลืออยู่ก็รู้สึกมึนงงไปหมด เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ฟื้นตัวจากการสลบดี

“พี่เชิน พี่อยู่ตรงไหนของโรงพยาบาลเฉาหยาง? มีคดีอะไรหรือ?” เยี่ยเทียนถามต่อ ในคำพูดเต็มไปด้วยความอยากรู้ จนคนฟังอดระบายออกมาไม่ได้

“ในตรอกซอยข้างหลังโรงพยาบาล ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ผู้ตายมีสองคน คนหนึ่งถูกกัดหลอดลมจนเสียชีวิต ส่วนอีกคนหนึ่งไม่มีรอยแผลบนตัวเลย ยังสรุปไม่ได้ว่าถูกฆ่าหรือเสียชีวิตกะทันหัน……”

“เฮ้อ เยี่ยเทียน นี่นายยังไม่บอกฉันเลย ว่าฉันมาถึงที่นี่ได้ยังไง?”

ตอนแรกสติของลู่เชินยังไม่ฟื้นตัวดี แต่หลังจากได้คุยกับเยี่ยเทียนไม่กี่คำก็เริ่มตาสว่าง จรรยาบรรณในอาชีพทำให้เขาไม่พูดต่อ

“เมื่อเช้าจู่ๆ พี่ก็สลบไป แล้วมีคนพามาส่งที่นี่……”

หลังจากเล่าเหตุการณ์ที่ลู่เชินสลบคร่าวๆ ดวงตาทั้งสองก็จดจ้องที่ลู่เชิน ถามว่า “พี่เชิน เมื่อเช้าจู่ๆ พี่ก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัวแล้วจากนั้นพี่ก็ไม่รู้สึกตัวเลยใช่ไหม?”

“ใช่ๆ  ฉันนึกออกแล้ว ฉันกำลังเปิดดูดวงตาของผู้ตาย จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัว หลังจากนั้น……”  ลู่เชินลุกขึ้นนั่ง แค่นหัวเราะแล้วพูดต่อ  “จากนั้นก็อยู่ที่นี่แล้ว……”

“พี่เชิน พี่บอกจุดเกิดเหตุให้ผมรู้ที!”

เรื่องที่เกิดขึ้นต่างจากสิ่งที่เยี่ยเทียนคิด ตอนแรกเขานึกว่าลู่เชินไปทำลายค่ายกลของคนอื่นจึงถูกพลังพิฆาตตีกลับ แต่ไม่นึกเลยว่าพลังนั้นจะมาจากดวงตาของคนตาย เหตุการณ์อย่างนี้เยี่ยเทียนยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เยี่ยเทียน เธอถามเรื่องนี้ทำไม?  ไม่ได้การ ฉันต้องกลับไปที่สถานี……”

ลู่เชินเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่องานมาก พอตื่นขึ้นมา ในสมองก็คิดแต่คดีที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลงจากเตียงผู้ป่วย

คดีนี้มีความแปลกประหลาด ถ้าดูจากจุดเกิดเหตุ น่าจะมีคนหนึ่งเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วกัดอีกคนจนตาย แต่ว่าตัวฆาตกรเองก็ตายโดยไร้สาเหตุ

ลู่เชินเคยทำคดีฆาตกรรมมามากมาย แต่ใช้ฟันกัดคนจนตาย เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ตอนนั้นสถานีตำรวจเรียกตัวลู่เชินออกมากลางดึก เพราะเกรงว่าผู้คนจะหวาดกลัวต่อคดีฆาตกรรมพิสดารคดีนี้ จึงอยากหาสาเหตุการตายของอีกคนให้เจอโดยเร็ว

“พี่เชิน ตอนพี่สลบไปคุณลุงคุณป้าต่างตกใจกันหมด ลองคิดดูก่อนดีกว่าว่าจะอธิบายกับพวกเขายังไง……”

เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา อาศัยเวลาที่ลู่เชินกำลังเตรียมใส่รองเท้า เดินไปเปิดประตู อวิ๋นซีและคนอื่นที่รออยู่หน้าประตูอย่างกระวนกระวาย ก้าวเดินเข้ามาข้างในทันที

“เสี่ยวเชิน!”

“คุณ!”

“พ่อ!”

เสียงขานเรียกจากทั้งสามทำให้ลู่เชินที่เพิ่งฟื้นตกตะลึงเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าเต็มไปด้วยผมขาวของพ่อกับแม่และดวงตาที่ร้องไห้จนบวมเป่งของภรรยา ดวงตาของชายอกสามศอกผู้นี้ก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน

เยี่ยตงจู๋เห็นลูกชายไม่เป็นอะไรก็รู้สึกดีใจและงุนงง มองไปยังเยี่ยเทียน ถามว่า

“เสี่ยวเทียน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? อีกอย่าง ทำไมสีหน้าของเธอถึงดูแย่ขนาดนี้?”

“ป้ารอง หน้าของผมก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นต่างจากเมื่อก่อนเลย?”

เยี่ยเทียนฝืนยิ้มและพูดว่า “ป้ารอง ไม่เป็นไรแล้ว พี่เชินแค่ทำงานหนักเกินไป ผมกดจุดเหรินจงไปแล้วพี่เขาก็ตื่น พักผ่อนสักสองวันเดี๋ยวก็ดีขึ้น พวกคุณป้าอย่าให้พี่เขาไปไหนล่ะ……”

หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้นแล้ว เยี่ยตงจู๋แม้ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่เวลาเหมาะจะถามต่อ จึงตอบไปว่า  “อืม ถ้างั้นโทรหาพ่อเธอหน่อย โทรหาอาเล็กด้วย ว่าไม่ต้องให้พวกเขามาแล้ว”

“ครับ คุณป้า อยู่เฝ้าพี่เชินนะ บ้านผมกำลังตกแต่งอยู่เลยต้องไปคุมเสียหน่อย ผมไปก่อนนะครับ……”

เมื่อครู่ใช้วิชาไป พลังชี่ดั้งเดิมย่อมได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพลังพิฆาตในโรงพยาบาลเข้มข้นมาก ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่ฟื้นฟูร่างกายสำหรับเยี่ยเทียน หลังจากบอกลาทุกคนเสร็จ เยี่ยเทียนก็เดินออกไปข้างนอก

“จริงสิ พี่เชิน วันหลังถ้ามีคดีอีก พี่ต้องใส่หยกปี่เซียะที่ผมให้พี่ชิ้นนั้นนะ!” เยี่ยเทียนหันกลับไปบอก ก่อนเดินออกจากห้องผู้ป่วย

ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้พูดรายละเอียด แต่ลู่เชินและคนอื่นที่อยู่ในห้องผู้ป่วยรู้สึกขนลุกขึ้นมากันหมด อวิ๋นซีอดคว้ามือลู่เชินเอาไว้ไม่ได้ “คุณ คุณไม่ทำงานนี้แล้วดีกว่าไหม? ความจริงเปลี่ยนงานก็ไม่เลวนักหรอก……”

ลู่เชินจับผมของภรรยาเบาๆ เอ่ยปากว่า “อย่าพูดเหลวไหล วันหลังผมออกไปข้างนอกจะพกหยกปี่เซียะไปด้วยแล้วกัน……”

ที่จริงตั้งแต่เยี่ยเทียนให้หยกปี่เซียะกับลู่เชิน เขาก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก บวกกับเขาได้ยินหลิวเวยอันพูดว่าหยกปี่เซียะชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงเป็นล้าน จึงกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำแตก

อีกทั้งลู่เชินกลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะหัวเราะเยาะหาว่าเป็นพวกงมงาย จึงไม่ได้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ในใจของลู่เชินก็รู้สึกหวาดวิตกขึ้นมาเหมือนกัน

……………………………………

หลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของโรงพยาบาล พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว แสงสุดท้ายส่องลงมายังตัวของเยี่ยเทียนทำให้ร่างกายที่เย็นเยียบของเขาสัมผัสถึงไออุ่นที่ส่องมา ใบหน้าอันซีดขาวจึงเริ่มมีสีเลือดขึ้นบ้าง

“ดูเหมือนว่าผลกระทบจากการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาในครั้งนั้นจะร้ายแรงไม่น้อยทีเดียว!”

เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก พลังชี่ดั้งเดิมเริ่มเคลื่อนไหวและขจัดพลังพิฆาตที่เหลืออยู่ในร่างกายออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังพิฆาตอยู่บ้าง ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งหมด

ความจริงถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อน ด้วยกำลังภายในของเยี่ยเทียนที่มีอยู่ พลังพิฆาตแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้แน่นอน ทว่าเป็นเพราะตอนนั้นเขาช่วยท่านผู้เฒ่าฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาจนทำให้ภายในได้รับบาดเจ็บ ระดับความรุนแรงของพลังพิฆาตเพียงเท่านี้เขายังไม่อาจทนไหว

เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาคนที่บ้านแล้วโทรหาพ่อ เยี่ยเทียนกลับไปยังเรือนสี่ประสาน แน่นอนว่าเป็นหลังที่อาเล็กและคนอื่นๆ พักอาศัย หากตรงไปบ้านที่ยังไม่ได้ขจัดพลังพิฆาตออกไป เขาต้องได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน

“เสี่ยวเทียน พี่เชินแกไม่เป็นไรใช่มั้ย? พวกเรากำลังจะไปเยี่ยม ทำไมถึงไม่ต้องไปแล้วล่ะ?”

เพิ่งเข้ามาถึง เยี่ยตงเหมยก็เดินมาหา ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้ว เยี่ยตงเหมยจึงมองไม่เห็นสีหน้าซีดเซียวของเยี่ยเทียน

“อาเล็ก ไม่เป็นอะไรแล้วครับ พี่เชินเขาแค่ทำงานหนักเกินไป พักผ่อนหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น… อาเล็กครับ วันนี้ผมไปข้างนอกมาทั้งวันรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ผมไปนอนก่อนนะครับ เหลือข้าวเย็นให้ผมนิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องเรียกผมแล้วล่ะ……”

เยี่ยเทียนฝืนพูดโต้ตอบเพียงไม่กี่คำ แล้วเดินไปหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเยี่ยตงเหมยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนก็หยิบขวดลายครามขึ้นมาจากตู้หนังสือ เทยาที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยออกมาหนึ่งเม็ด ใส่ยาเข้าปากเคี้ยวเสร็จก็กลืนลงไปทันทีโดยไม่ดื่มน้ำตาม

พอยาเม็ดตกถึงท้อง เยี่ยเทียนพลันรับรู้ถึงไอร้อนแผ่ซ่านขึ้นมาจากช่วงท้องน้อย ร่างกายที่เดิมทีเย็นเฉียบกลับกลายเป็นอุ่นขึ้น เยี่ยเทียนถึงค่อยโล่งอกได้ ใช้มือนวดท้องน้อยเบาๆ เพื่อให้ยาออกฤทธิ์

“แค่กๆ ยังดี ยังมียาที่อาจารย์เหลือไว้ให้……”

ยานี้เป็นยาที่หลี่ซั่นหยวนผลิตเองกับมือ ผสมสมุนไพรสารพัดไว้ข้างใน ล้วนเก็บเองกับมือจากป่าลึกของเหมาซานโดยหลี่ซั่นหยวน

ดังนั้นแม้ท่านผู้เฒ่าจะทิ้งวิธีทำไว้ให้ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถผลิตออกมาได้เลยสักเม็ด นั่นเป็นเพราะส่วนผสมของยาที่ขายตามร้านยาล้วนถูกผลิตขึ้นโดยมนุษย์ จึงไม่สามารถออกฤทธิ์ยาที่แท้จริง

รอจนฤทธิ์ยากระจายทั่วท้อง เยี่ยเทียนจึงเก็บขวดยาอย่างระมัดระวัง ยานี้ไม่เพียงเป็นยาชั้นดี แต่สำหรับเยี่ยเทียน มันยังเป็นสิ่งเอาไว้รำลึกถึงอาจารย์ด้วย

เก็บขวดลายครามเสร็จ เยี่ยเทียนไม่ได้ออกไปข้างนอกในทันที แต่กลับขึ้นไปบนเตียง พับขาแล้วเริ่มนั่งสมาธิ พอสัมผัสได้ว่าร่างกายปราศจากความเย็นแล้วเยี่ยเทียนก็ลงจากเตียง หยิบของขลังจากหยกหลายชิ้นออกมาจากตู้หนังสือ เก็บเข้ากระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จ ก็เปิดประตูเดินตรงไปหน้าบ้าน

“เสี่ยวเทียน ตื่นแล้วหรือ อาไปอุ่นกับข้าวให้นะ……”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินมาถึงหน้าบ้าน เยี่ยตงเหมยก็รีบไปจัดการในครัว เพราะเมื่อค่ำพี่รองโทรศัพท์มาบอกว่าเยี่ยเทียนสีหน้าไม่สู้ดีนัก ให้ทำกับข้าวบำรุงหน่อย ด้วยเหตุนี้เยี่ยตงเหมยจึงไปตลาดผักสดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“พี่จ๋า หนูเอารูปถ่ายของพี่ให้เพื่อนดู พวกเขาบอกว่าตอนพี่ผมขาวดูเท่มาก!”

หลานหลานที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เด็กผู้หญิงอายุประมาณนี้กำลังเป็นวัยติดไอดอล แต่สำหรับหลิวหลานหลาน ต่อให้เป็นสี่หนุ่มจตุรเทพแห่งฮ่องกง ก็ยังสู้ความหล่อของพี่ชายไม่ได้

“ใครกันจะอยากผมขาวตลอดเวลา?”  เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง ตีหน้าขรึมพูดว่า

“ไปเรียนคำศัพท์นี้มาจากไหนเนี่ย? เท่อะไรกัน รีบไปทำการบ้าน ไม่งั้นเดี๋ยวอาเล็กมาก็โดนดุอีกหรอก!”

“หนูไม่กลัวหรอก พี่ชาย วันอาทิตย์พี่ชายกับพี่สะใภ้ต้องพาหนูไปเที่ยวนะ……” หลิวหลานหลานหัวเราะอย่างร่าเริง เห็นแม่เดินออกมาจากในครัว ก็แลบลิ้นปลิ้นตาวิ่งกลับเข้าห้องนอน

เวลาเยี่ยเทียนกินข้าว มักให้ความสำคัญกับคุณประโยชน์ของอาหารมาก แต่จะไม่ยี่หระกับรสชาติสักเท่าไหร่ เขาเอาจานเนื้อวัวกับเนื้อแกะมารวมอยู่ในจานเดียวกัน กินกับหมั่นโถวสองลูก ผ่านไปชั่วครู่ก็กินจนหมด

“เสี่ยวเทียน ดึกขนาดนี้แล้วยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” เห็นเยี่ยเทียนกินข้าวเสร็จแล้วเดินออกไป เยี่ยตงเหมยตะโกนเรียกจากทางด้านหลัง

“อาเล็ก กินเสร็จแล้วขอไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่นะครับ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว……”เยี่ยเทียนตอบกลับไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินออกไป

เลี้ยวผ่านไม่กี่ตรอกซอย เยี่ยเทียนก็มาถึงริมถนน โบกมือเรียกแท็กซี่ได้หนึ่งคัน พูดว่า”ไปโรงพยาบาลเฉาหยางครับ”

เยี่ยเทียนเติบโตมาจนขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมัยใส่กางเกงเปิดเป้าหรือต่อยตีกับคนอื่น หรือตอนติดตามท่านผู้เฒ่าไปในยุทธภพ นอกจากหลุมพรางที่ตัวเองขุดตอนทำพิธีฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาแล้ว เขาไม่เคยเสียเปรียบเลยสักครั้ง

แต่ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหาเรื่องญาติสนิทตัวเอง อีกทั้งยังทำร้ายพลังชี่ดั้งเดิมของเขาทางอ้อม ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ยอมไม่ได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด