หมอดูยอดอัจฉริยะ 225

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 225 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 ขัดแย้ง

“พ่อ เรื่องพวกนี้พ่อไม่เข้าใจหรอก ฉันซื้อมามีประโยชน์ก็พอแล้ว”

เยี่ยเทียนขี้เกียจที่จะอธิบายให้พ่อฟัง เปิดปากพูดว่า ตังค์สามหมื่นนั้นถือว่าเป็นของผม เมื่อไม่กี่วันก่อนมีโชคลาภมาหน่อย หลังจากนั้นลูกชายขอแสดงความกตัญญูกับพ่อหน่อย

“ฉันไม่เอาตังค์ของแก เก็บไว้กับตัวเองอย่าใช้ฟุ่มเฟือยก็พอแล้ว”

เยี่ยตงผิงผงกศีรษะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ลูกชายก็โตขนาดนี้ หลังจากที่ช่วยนักบวชเต๋าฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาครั้งนั้นก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ยังทำหน้าตาเหมือนกับว่าไม่มีอะไร ทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์

หลังจากกลับไปที่แผงขายของ เยี่ยเทียนก็มองไปทุกหนทุกแห่ง พูดว่า “พ่อ พวกเราต่างคนต่างเดินกันเถอะ”

ตอนนี้เยี่ยเทียนสนใจที่นี้มากขึ้น เมื่อเทียบกับพานเจียหยวนของสิบชิ้นในนั้นก็จะมีของปลอมเกือบสิบชิ้น แต่ว่าที่นี้ของส่วนใหญ่เป็นของแท้ คุณสมบัติของเครื่องรางที่ถูกพบก็แต่งต่างกันมาก

“ได้ แต่ว่าแกอย่าซื้ออาวุธอะไรอีกนะ “เยี่ยตงผิงไม่ไว้ใจเลยสั่งสอนลูกชายสักหน่อย ตอนนี้เงินสดติดตัวเขามีเหลือแค่สี่แสนหยวน จึงทนไม่ได้กับการใช้เงินของเยี่ยเทียน

“พ่อ ไว้ใจผมเถอะ ของพวกนั้นไม่ใช่ว่าจะไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้าได้นะ” เยี่ยเทียนหัวเราะ หันหลังกลับแล้วเดินไปยังฝั่งตรงข้ามกับพ่อ

เครื่องลายครามชิ้นหนึ่งใช่เครื่องรางหรือไม่ ถ้ามองด้วยตาเปล่าก็จะมองไม่ออก และอีกอย่างของที่นี้เต็มไปด้วยพลังงานพิฆาตบาง ๆ  ที่สัมผัสได้ เยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องดูของแต่ละชิ้นอย่างละเอียด

ดังนั้นความเร็วของการตรวจสอบดูสิ่งของของเยี่ยเทียนก็ช้าลงไปมาก สองสามชั่วโมงดูไปแล้วประมาณสิบกว่าแผง โชคของเขาดูเหมือนว่าจะไม่มีแล้ว ไม่เจอทั้งหรืออาวุธประเภทนั้นอีกเลย

เยี่ยตงผิงกลับดูของได้หลายชิ้น ช่วงเช้าตกลงซื้อขายสำเร็จไปสี่ห้ารายการแล้ว แต่ก็ต้องคอยเรียกลูกชายมาช่วยดูอยู่ตลอดเวลา เขาก็กลัวว่าจะไปซื้ออาวุธสังหารเข้าบ้าน

แต่ว่าผู้ขายที่นี้ โดยภาพรวมแล้วเป็นคนที่มีคุณธรรม นั่นก็คือถ้าคุณต้องการซื้อก็ต้องเหมา ชิ้นเดียวไม่ขาย อยากจะเลือก ๆ ก็ยิ่งไม่มีทาง ดังนั้นหลังจากตกลงซื้อขายสำเร็จ เงินของเยี่ยตงผิงสี่แสนกว่าก็ใช้จ่ายไปเยอะพอสมควร

ตอนนี้เงินหมดแล้ว แต่ก็ยังกลับออกไปไม่ได้ เนื่องจากกฏ เยี่ยตงผิงจึงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่า พอเจอของชิ้นดีก็ไม่มีเงินซื้อ ทำให้เยี่ยตงผิงค่อนข้างที่อึดอัดไม่สบายใจ

การซื้อขายที่นี่ตอนเที่ยงก็จะมีอาหารกลางวันแถมให้ฟรี ในตึกเล็กก็จะมีห้องอาหาร ถ้าหากว่าผู้ขายต้องการเข้าไปกินข้าว ก็สามารถให้พนักงานที่อยู่ในนั้นช่วยเฝ้าของได้

พอถึงเวลาเที่ยงนี้ ก็มีคนทยอยกันไปใช้ห้องอาหารแล้ว ในแผงขายของไม่ว่าจะเป็นผู้ขายหรือผู้ซื้อ ก็ดูน้อยลงไปกว่าเดิม

“พ่อ ไปกินข้าวกันเถอะ ผมว่าพ่อก็ไม่มีเงินแล้ว ยังเดินได้อย่างเพลิดเพลินเลยนะ” ตอนที่เยี่ยเทียนกินข้าวก็ไม่เห็นพ่อ พอกินเสร็จแล้วก็เดินออกมา แล้วก็เห็นพ่อกำลังนั่งยอง ๆ อยู่หน้าแผงขายของขยับอะไรอยู่

“ไป ไปไหนก็ไปเลย จะมากวนอะไรนักหนา” เยี่ยตงผิงอารมณ์ไม่ดีจ้องไปที่ลูกชาย คนที่อยู่ที่นี้ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นคนเมืองหลวงมีหน้ามีตาในวงการเครื่องลายคราม ถ้าถูกคนรู้ว่าตัวเองไม่มีเงิน พูดออกไปคนก็จะว่าเป็นเรื่องตลก

ยังดีที่เจ้าของแผงไปกินข้าวกันแล้ว คนที่เฝ้าของให้ก็เป็นพวกพนักงาน แม้ว่าได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เพียงแต่ว่าด้วยมารยาทที่ดีทำให้ใบหน้าของเขาไม่มีอะไรผิดปกติ

“เหล่าเยี่ย ไปเจอของดีเข้าแล้วหรอ” เยี่ยเทียนที่กำลังพูดอยู่กับพ่อ ได้ยินคำพูดของท่านประธานอวี๋ เขาก็เพิ่งออกมาจากห้องอาหาร ในปากยังคาบไม้จิ้มฟันอยู่

“เฮอเฮอ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร คือชุดของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ” เยี่ยตงผิงหัวเราะแล้วยืนขึ้นมา เมื่อลูกชายพูดออกไปแบบนั้น ในตอนนี้เขาก็ได้แค่ดูเท่านั้นเอง

“เอ๋ เครื่องหยกชุดนี้ไม่เลวเลยนะเหล่าเยี่ย ทำไมไม่สนใจหรอ” เยียตงผิงเพิ่งยืนขึ้น อวี๋คู่ก็นั่งลงไป ขยับเล่นของเล็ก ๆ ที่เยี่ยตงผิงเพิ่งขยับเล่นเช่นกัน“

เยี่ยตงผิงยืนขึ้นแล้ว เถ้าแก่อวี๋ก็เพิ่งเข้ามาดูของพวกนี้ มันไม่ใช่มารยาทที่ดี แต่เขาก็เปิดปากถามไป

ในกระเป๋าของเขาไม่มีเงินแล้ว ถึงแม้ว่ากำลังดูเครื่องหยกชุดนี้อยู่ ทำได้แค่เพียงพูดอย่างแค้นใจว่า” ท่านประธานอวี๋ ถ้าเกิดว่าท่านชอบ

“ถึงแม้ว่าท่านชอบก็สายไปแล้ว พวกของพวกนี้ผมซื้อแล้ว” คำพูดของเยี่ยตงผิงหยุดชะงัก เมื่อถูกเยี่ยเทียนขัดจังหวะ

“เหล่าเยี่ย คุณสองคนเป็นอะไรกัน? ” อวี๋คู่ค่อนข้างแปลกใจมองไปที่เยี่ยเทียนคิดในใจว่า เจ้าเด็กนี้เหมือนจะไม่มีมารยาทนะ

เยี่ยตงผิงในใจค่อนข้างรู้สึกโมโห ตำหนิว่า “เยี่ยเทียน ทำไมพูดแบบนี้”

“พ่อ ของชิ้นนี้ผมเอาแล้ว รอให้ผู้ขายกลับมาก่อน” เยี่ยเทียนโบกมือไปมาใส่พ่อ ในขณะเดียวกันก็นั่งล้วงหยกสองชิ้นออกมาจากมือของอวี๋คู่

“นี่ ฉันว่านะเหล่าเยี่ย แบบนี้มันไม่ค่อยดีหรอก”

ตอนแรกอวี๋คู่ก็ไม่คิดจะซื้อเครื่องหยกไม่กี่ชิ้นพวกนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าเขาที่อายุสี่สิบกว่าปีแล้ว ถูกเยี่ยเทียนแย่งของออกไปจากมือ ก็รู้สึกอดกลั้นไว้ไม่ได้แล้ว

“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้กาลเทศะ เยี่ยเทียน รีบขอโทษลุงอวี๋”

เยี่ยตงผิงก็มีความรู้สึกว่าลูกชายทำเกินไป ตัวเองที่เพิ่งยืนขึ้นเมื่อกี้ แม้ว่าปากนั้นจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ว่าความเป็นจริงคือยอมแพ้สำหรับเรื่องพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนที่ชอบก่อความวุ่นวาย ก็ทำให้เขารู้สึกค่อนข้าง

หลังจากได้ยินคำพูดของพ่อ เยี่ยเทียนก็รู้ว่าตัวเองใจร้อนเกินไปแล้ว รีบยิ้มให้กับอวี๋คู่พูดว่า “ลุงอวี๋ ขอโทษครับ คือผมไม่ถูกต้องเอง เฮอเฮอ ผมก็แค่ชอบพวกหยกนี้มาก”

เยี่ยเทียนไม่มีทางที่จะไม่ชอบหยกพวกนี้หรอก เพราะว่าในแผงขายของนี้มีแค่เครื่องหยกหกชิ้นนี้ที่ขนาดเท่านิ้วโป้ง ข้างในคาดไม่ถึงว่าจะแฝงไว้ด้วยพลังชี่ และพลังชี่ในหยกทั้งหกชิ้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งสามารถกลายป็นเครื่องรางได้

ถึงแม้ว่าพวกหยกเหล่านี้จะแฝงไว้ด้วยพลังชี่ แต่ก็ยังแตกต่างกันกับเครื่องรางที่เคยมีมาก่อน ความจริงแล้วก็มีระดับที่เป็นเครื่องรางได้ ที่สำคัญสุดเลยก็คือ เครื่องหยกเหล่านี้เหมาะในการที่จะเปิดค่ายกลภายในเรือนสี่ประสานของเยี่ยนเทียน

ในโลกปัจจุบัน เครื่องรางเป็นสิ่งที่หาได้ยาก นอกจากภายในของวัดในศาสนาพุทธแล้วก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ในวัดเต๋า ในหมู่ประชาชนทั่วไปจะมองไม่เห็น ตรงหน้าเขาที่ปรากฏอยู่หกชิ้นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้นแรง ยั้งสติไม่อยู่

หยกเหล่านี้อาจเป็นหกชิ้นในสิบสองปีนักษัตร “โอ้ พอดีเลยฉันเกิดปีม้า ในนี้มีปีม้าพอดีเลย เสี่ยวเยียฉันว่านะ ยอมให้ลุงเถอะคิดว่าไง”

คนที่ทำการค้าขายเครื่องลายคราม ส่วนใหญ่ล้วนแล้วเป็นคนประเภทหน้าเนื้อใจเสือ เถ้าแก่อวี๋ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนที่อายุน้อยกว่าตัวเองยี่สิบสามสิบปีหัวเราะขึ้นมา ฮาฮา

“ลุงอวี๋ แต่ แต่ว่าผมก็เกิดปีม้าผมว่าลุงยอมให้คนรุ่นหลังดีกว่า เยี่ยเทียนไม่ให้ความเคารพท่านประธานอวี๋แม้แต่นิดเดียว” หลังจากประโยคนี้ที่พูดออกมา เถ้าแก่อวี๋ก็หุบยิ้มทันที

“เสี่ยวเยี่ย ทำตามกฏสิ”

ลุงอวี๋ ตามกฏคือพ่อของผมเป็นคนเห็นของชิ้นนี้ก่อน”

อวี๋คู่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเยี่ยเทียนสกัดอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกหายใจไม่ออก พูดทันทีว่า เอาอย่างนี้ “รอให้ผู้ขายมาถึงแล้วเราค่อยว่ากัน”

อันที่จริงแล้วคำพูดที่ว่า เกิดปีม้าพอดี นั้นก็เป็นเรื่องที่ไร้สาระ เมื่อกี้ที่เยี่ยเทียนพูดอวี๋คู่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ บวกกับรู้สึกขัดใจต่อเยี่ยตงผิงที่เข้ามาในกลุ่มของพวกเขา ตั้งใจอยากทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจ

เถ้าแก่อวี๋ คิดว่าเมื่อเทียบเขากับเยี่ยเทียนแล้ว ตัวเขาอยู่ในวงการมาก่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถถอยได้แล้ว ในตลาดค้าขายวัตถุโบราณนี้ หากเขาถอยออกมาทุกคนจะรู้กันหมดว่าเขาพ่ายแพ้แก่ถูกเด็กรุ่นหลัง

เยี่ยตงผิงรู้ดีว่าลูกชายเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ถ้ามีสิ่งมากระตุ้นก็ เมื่อคิดดูแล้วเยี่ยเทียนก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีแน่นอน ที่อยากได้เหล่านั้น จึงหัวเราะขึ้นมาพูดว่า “เหล่าอวี๋ อย่าไปใส่ใจเรื่องเล็กน้อยกับเด็กเลย เมื่อกี้ผมเห็นฝั่งนั้นมีถังซานไฉ่ พวกเราไปดูกันดีกว่า”

ไม่คิดว่าอวี๋คู่เองก็ไม่ไว้หน้าเยี่ยตงผิงแม้แต่นิดเดียว  ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือการเข้าสู่สนามรบกับสองพ่อลูกเยี่ย  ถังซานไฉ่นั้นแกรีบไปซื้อเถอะ ฉันจะเอาเครื่องหยกพวกนี้”

คนที่ทำการซื้อขายที่นี้ โดยทั่วไปถ้าไม่มีความต้องการ ก็จะไม่เบียดเสียดกัน เมื่อด้านหน้าแผงขายของนี้เห็นเยี่ยเทียนกับอีกคนกำลังถกเถียงกัน ก็เกิดความสนใจขึ้น คนที่เพิ่งออกมาจากห้องอาหาร ก็ค่อย ๆ ล้อมวงกันเข้ามา

“ลุงอวี๋ กับเด็กคนนั้นกำลังแย่งของกันอยู่  ดูเหมือนเด็กคนนั้นทำให้เขาโมโหแล้ว

ไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้ เหล่าเยี่ยก็เดินไปแล้ว เหล่าอวี๋ต้องการซื้อก็ไม่ได้ผิดกฏอะไร

ที่จริงแล้วเรื่องราวนั้นธรรมดามาก หลังจากคนที่มุงกันอยู่เข้าใจก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันออกมา บางคนก็ช่วยเถ้าแก่อวี๋ มีบางคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยี่ยตงผิง เดิมแผงที่เงียบเหงานี้ก็กลับครึกครื้นขึ้นมา

“ไอ๊หยา  เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน” ในระหว่างที่โต้เถียงกัน ผู้เฒ่าผอม ๆ คนหนึ่งอายุราวห้าสิบกว่าก็เดินเบียดเข้าไปในกลุ่มคน เขาก็คือคนขายของพวกนี้

“ท่าน ของนี้ราคาเท่าไหร่กัน” เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่ถามขึ้นพร้อมกัน ผู้เฒ่าคนนั้นพอได้ยินแล้วถึงกับมึนงง ของที่ตัวเองขายตั้งแต่เช้าไม่มีใครมาดูเลยสักคน กลายเป็นขายดิบขายดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

สุภาษิตกล่าวว่าประสบการณ์จะทำให้คนฉลาดขึ้น คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่ผู้เฒ่าคนนั้นกวาดสายตาไปรอบ ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า ท่านทั้งสอง ของที่อยู่ที่นี้ ต้องเหมาแล้วประมูลนะ ต่ำสุดคือสองหมื่น ถ้ามันมีความหมายต่อท่านทั้งสอง รอตอนที่ประมูลก็ให้ราคากันเยอะ ๆ

หลังจากที่ผู้เฒ่าพูดออกมา เยี่ยเทียนกับอวี๋คู่เกิดอาการมึนงง ของยังเป็นของคนอื่น จะขายอย่างไร ก็เป็นการตัดสินของเจ้าของ

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ประมูลเลย “ เถ้าแก่อวี๋ส่งเสียงไม่พอใจ หันหลังเดินจากไป แย่งของกับเด็กรุ่นหลัง จริง ๆ แล้วเขาก็รุู้สึกขายหน้านิดหน่อย

คนที่มุงดูพอเห็นว่าไม่มีอะไรครึกครื้นน่าสนใจ ก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันออกไป เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่หน้าแผงขายของผู้เฒ่า มองดูเครื่องหยกเหล่านั้นอย่างละเอียด

เยียตงผิงลากลูกชายไปที่มุมหนึ่ง เปิดปากพูดว่า “เยี่ยเทียน แกกับเหล่าอวี๋แย่งอะไรกันอยู่เ ขาไม่ใช่คนที่ใจกว้าง ถ้าเขาไม่ได้ของก็จะเกิดการเกลียดชังกันขึ้นมา พูดเลยแล้วกัน ตอนนี้ฉันก็ไม่มีเงินสดติดตัวแล้ว”

วิธีดำเนินการของพวกผู้ขายพวกนี้ก็ไม่ปกติ เนื่องจากพวกเกลัวว่าความลับที่เกี่ยวข้องกับตัวเองจะรั่วไหลออกไป การค้าขายนี้ จะไม่มีการโอนเงิน จะมีก็แต่ค้าขายกันด้วยเงินสดถึงจะตกลงกันได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด