หมอดูยอดอัจฉริยะ 258 สืบทอดตระกูลโจว

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 258 สืบทอดตระกูลโจว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 258 สืบทอดตระกูลโจว

โจวเซี่ยวเทียนเพิ่งจะเปิดปากพูด อาการไอรุนแรงก็ทำให้คำพูดนั้นชะงักไป ใบหน้าขาวซีดก็ปรากฏสีแดงที่ดูสุขภาพไม่ดีเอามากมากขึ้น

เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปจับไหล่ซ้ายของโจวเซี่ยวเทียน กล่าวว่า “ขอมือซ้ายให้ฉัน!”

“อาจารย์จะทำอะไร”

โจวเซี่ยวเทียนตกใจ หดมือกลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่การกระทำนั้นไม่เร็วเท่าเยี่ยเทียน ถูกเขาจับจุดชีพจรไท่หยวน แค่รู้สึกว่าร่างกายส่วนหนึ่งชาล้มลงบนที่นอน

“อาการบาดเจ็บนี้เป็นตรงปอด และลักษณะอาการยังรุนแรงอีกด้วย!”

นิ้วมือสองนิ้วอยู่บริเวณข้อมือของโจวเซี่ยวเทียน หลังจากจับชีพจรซักครู่ เยี่ยเทียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นแบบนี้ต่อไป นายจะมีชีวิตอย่างมากที่สุดก็ครึ่งปี”

มีท่อนหนึ่งของ ‘คัมภีร์หลิงซู บทจิงม่าย’ กล่าวว่า ปอดบวมเต็มที่ พองโตและไอไม่หยุด หากไม่ทำการรักษา ไม่นานก็จะไอเป็นเลือดจนตาย คนโบราณเรียกว่าวัณโรค

วิชาแพทย์สมัยใหม่ก้าวล้ำ โรคชนิดนี้ก็ไม่ใช่โรครักษายากอีกต่อไป แค่นอนโรงพยาบาลทำการรักษาช่วงระยะเวลาหนึ่งก็สามารถหายได้ แต่ว่าเยี่ยเทียนเห็นสภาพทรุดโทรมของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว แม้แต่เงินกินข้าวก็น่าจะไม่มีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำการรักษา

มาอาศัยอยู่ที่โฮสเทลเพื่อหลบสายตาคนอื่น เยี่ยเทียนเข้าใจได้ แต่ผักดองกับหมั่นโถวที่วางอยู่บนโต๊ะนั่น เห็นได้ชัดว่าเงินทองของโจวเซี่ยวเทียนนั้นขัดสนอย่างหนัก เยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่าเงินที่เขาหาได้ไปไว้ไหนหมด

“ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครึ่งปีเพียงพอแล้ว! ” ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนแย้มรอยยิ้มที่น่าสมเพช ถ้าดูจากอายุเขากับเยี่ยเทียนนั้นพอๆ กัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

เยี่ยเทียนถามอย่างรู้สึกประหลาดว่า “โรคชนิดนี้ไม่ได้รักษายาก นอนโรงพยาบาลจ่ายเงินไม่กี่พันก็พอแล้ว นายจะไม่ไปรักษาเหรอ”

“ไม่มีเงิน! ” โจวเซี่ยวเทียนตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“ฉันว่านายมันน่าอัดนักรอบที่แล้วที่ได้เงินจากฉันไปสามหมื่นล่ะ”

เยี่ยเทียนโตจนป่านนี้ เดิมมีแต่คนอื่นที่ต้องปวดหัวเพราะเขา ครั้งนี้นับว่าได้เจอดาวเคราะห์แล้ว คนที่พูดคำพวกนี้ออกมา ในใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอ

สีหน้าโจวเซี่ยวเทียนไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย ค้อนเยี่ยเทียนไปครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เอาไปรักษาหมดแล้ว รักษาแม่!”

“นับว่ากตัญญูนะ”

เยี่ยเทียนมองหน้าโจวเซี่ยวเทียนอย่างพินิจพิจารณาในใจหักล้างกันอยู่ซักครู่และกล่าวว่า “นายเสียพ่อไปตอนยังเด็กพ่อเสียไปเร็วแม่รับผิดชอบภาระทั้งหมด แต่แม่ก็มาตาบอดตอนวัยกลางคนมาทำงานแบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกใช่ไหม”

“คุณ….คุณรู้ได้ยังไง!” ใบหน้าเรียบสนิทโจวเซี่ยวเทียนที่ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรกระตุ้นความสนใจของเขาได้ หลังจากได้ฟังคำกล่าวของเยี่ยเทียนแล้ว ในที่สุดสีหน้าก็แปรเปลี่ยน

เยี่ยเทียนหัวเราะ กล่าวว่า “เห็นจากโหงวเฮ้งหน้าของนาย ตระกูลนายสืบทอดวิชาน่าจะเป็นศาสตร์พยากรณ์สินะ นายไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอกนะ”

หน้าผากของโจวเซี่ยวเทียนอยู่สูง และหน้าผากในตำราโหงวเฮ้งก็คือ เฉียนกว้า หมายถึงบิดา ดังนั้นหน้าผากสูงแปลว่าบิดามีอาการบาดเจ็บและไร้วาสนา

ในยุคสมัยนี้ก็มีศาสตร์ทำนายโหงวเฮ้งของใบหน้าซึ่งคลาสสิคที่สุด บุคคลมีชื่อเสียงคนนั้นหน้าผากสูง เป็นคนกะโหลกหน้าสูง ตั้งแต่เด็กก็ดูโดดเด่น แต่พ่อกลับชอบดูถูกเขา ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ถูกกัน และพ่อก็มาจากไปอย่างรวดเร็ว

“นายปล้นสุสาน ก็เพื่อจะเอามารักษาแม่” หลังจากดูโหวงเฮ้งบนหน้าโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาไปอยู่บ้าง

โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ดวงตาข้างหนึ่งของแม่มองไม่เห็นแล้ว จะต้องเปลี่ยนกระจกตา โรงพยาบาลบอกต้องใช้เงินแปดหมื่น ผม…ผมเงินไม่พอ!”

หรือบางทีเป็นถูกเยี่ยเทียนพูดแทงใจดำ โจวเซี่ยวเทียนพูดมากกว่าเดิมไม่น้อย อย่างน้อยฟังแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกๆ

“เยี่ยเทียน เปิดจุดหยาง ผมไม่ได้ตั้งใจ!” โจวเซี่ยวเทียนพลันเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ผมไม่มีความสามารถพอที่จะปิดผนึกมัน คุณ…คุณช่วยผมได้ไหม”

โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนร่ำเรียนศาสตร์วิชา เขารู้ว่าหากเปิดจุดหยางจะทำให้สรรชีวิตวุ่นวายยากลำบาก ผลของมันไม่ใช่แค่กระทบกับตัวเขาคนเดียว

ดังนั้นเพื่อแม่ของเขา โจวเซี่ยวเทียนก็ยอมค้อมหัวให้เยี่ยเทียน แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนลึกซึ้งในเรื่องของวิชานั้นแค่ไหน แต่แค่ใช้ตามองก็เห็นได้จากครั้งที่แล้วที่ขายโคมไฟจูเสวี้ยที่มีไอร้ายอยู่ภายใน วิธีการนี้ก็ทำให้เขาคาดหวังเป็นอย่างมาก

หลังจากได้ฟังคำของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนกล่าวแบบไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า “นายเล่าเรื่องของนายมาก่อน ฉันไม่ได้ช่วยใครง่ายๆ !”

ไหนๆ ก็เข้ามาพัวพันเรื่องนี้แล้ว ยังไงเยี่ยเทียนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย แต่เขาจะต้องรู้ที่มาที่ไปของโจวเซี่ยวเทียน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าช่วยส่งๆ ไปจะถูกมองว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเข้า

โจวเซี่ยวเทียนเดิมทีก็ไม่อยากพูด แต่เห็นท่าทีเด็ดขาดของเยี่ยเทียน ก้มหัวลงกล่าวว่า “ผมเป็นลูกหลานรุ่นหลังของโจวตุนอี้”

เยี่ยเทียนตกตะลึง รีบถามต่อว่า “เป่ยซ่งโจวตุนอี้เหรอ”

“ใช่ น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก!” โจวเซี่ยวเทียนยิ่งก้มหัวต่ำลงไปอีก แต่ทว่าเยี่ยเทียนก็เข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายในตอนนี้

โจวตุนอี้เรียกเม่าซู ฉายา เหลียนซี นักปรัชญามีชื่อในสมัยเป่ยซ่ง เป็นบรรพบุรุษของปรัชญาแนวบุกเบิกไคซานปี๋ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการ โจวตุนอี้เกิดที่ชงหลิง มีผลงาน ‘ไท่จี๋ถูซัว’ ‘ท่งจิง’ เผยแผ่หลักหยินหยางห้าสาย อนาคตขึ้นอยู่กับสวรรค์แต่นิสัยขึ้นอยู่กับมนุษย์ รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง

ความจริงแล้วก่อนโจวตุนอี้มีชื่อเสียงไม่ค่อยมีคนนับถือ ฐานะทางการศึกษาก็ไม่สูง คนรู้แค่ว่าเขา รอบรู้ด้านการเมือง มีจิตใจที่ชอบหลบเร้นอยู่ตามป่า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบหุบเขาลำเนาไพร แต่ไม่มีคนรู้จักแนวคิดทางปรัชญาของเขา

ต่อมาขุนนางหนานอันตำแหน่งทงพ่านเฉิงไท่จงส่งให้ลูกชายสองคนเฉิงฮ่าวและเฉิงอี๋มายังสำนักของเขา หลังจากนั้นแซ่เฉิงทั้งสองคนก็กลายเป็นนักปรัชญามีชื่อ นักปรัชญาคนดังจูซีได้ยกย่องเขาเป็นอย่างมากได้มีบทแนบท้ายได้แก่ ‘ไท่จี๋ถู’ ‘อี้ซัว’ และ ‘อี้ทง’ ทำให้ชื่อเสียงเริ่มโด่งดังขึ้นมา

แต่ว่าคนรุ่นหลังของประเทศกลับมองว่าโจวตุนอี้เป็นแค่บรรพบุรุษของปรัชญาแนวบุกเบิกไคซานปี๋ แต่ไม่รู้ว่า เขาเองก็เป็นนักดูหยินหยาง รู้ซึ้งถึงศาสตร์แขนงพยากรณ์หยินหยางห้าสายอย่างลึกซึ้ง โดยสรุปวิชาดูฮวงจุ้ยของที่สืบทอดมาของตระกูลโจว ในยุทธภพฉีเหมินก็ถือว่าได้รับการยอมรับ

โจวตุนอี้วิถีชีวิตเรียบบริสุทธิ์ วิชาที่สืบทอดมาของตระกูลโจวในสมัยก่อนก็ถือว่ามีฐานะในฉีเหมินที่สูงพอตัว และในฐานะของหลานชาย โจวเซี่ยวเทียนกลับเปลี่ยนสายไปขโมยขุดสุสาน มิน่าล่ะ เมื่อก่อนไม่ยอมเปิดปากเล่า

“วิชาสืบทอดของพวกนายไม่ได้อยู่ที่มณฑลหูหนานเหรอ ทำไมมาถึงนี้ได้”

เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงวิชาสืบทอดของตระกูลโจว รู้ว่าลูกหลานของโจวตุนอี้ส่วนใหญ่อยู่แถบหูหนานเจียงซี แต่หลังจากปลายราชวงศ์ชิง ตระกูลโจวก็ออกจากยุทธภพฉีเหมิน แล้วก็แทบไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย

“ตระกูลเราย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่มณฑลเหอเป่ยได้สี่รุ่นแล้ว ตาของผมถูกคนทำร้ายเสียชีวิต พ่อของผมก็มาเสียไปอีกคนตอนต้นปีแปดศูนย์ ก็เหลือแต่ผมกับแม่แค่สองชีวิตที่ดูแลกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปขโมยขุดสุสาน…”

โจวเซี่ยวเทียนดูเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก็ไม่ตอบคำถามของเยี่ยเทียน พูดเรื่องของตัวเองที่อยากพูดออกมา อาจะเป็นเพราะในเวลาปกติไม่ค่อยได้สื่อสารกับคนอื่น พูดจาวกไปวนมา แต่เยี่ยเทียนก็เข้าใจถึงที่มาภูมิหลังของเขาแล้ว

ที่แท้ ตาทวดของโจวเซี่ยวเทียนก็คือผู้สืบทอดทางสายเลือดฝั่งภรรยาของโจวตุนอี้ แต่ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงเป็นยุคเปลี่ยนผ่านระบบการปกครอง ในตระกูลมีคนแอบดูผู้สืบทอดของโจวตุนอี้ ประจวบกับคนนอกที่เตรียมจะฉกชิงตำราที่โจวตุนอี้ทิ้งเอาไว้บางส่วน

เพื่อป้องกันการเกิดเหตุ ตาทวดของโจวเซี่ยวเทียนก็เลยพาภรรยาหันหลังจากบ้านเกิดมายังเหอเป่ย ถังซานแถบนี้และตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่มีความรู้แตกฉาน ไม่นานก็กลายเป็นคุณครูในสถานที่กว้างขวางแห่งนี้ ทั้งยังได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน

โจวเทียนฉี่ซึ่งเป็นตาของโจวเซี่ยวเทียนรับสืบทอดวิชาของตระกูล เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยคณะปรัชญาที่เหอเป่ย เดิมทีชีวิตความเป็นอยู่ของบ้านพวกเขานับว่าดี แต่ความวุ่นวายเมื่อสิบปีก่อน ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

เริ่มจากตาของโจวเซี่ยวเทียนในฐานะอาจารย์ถูกลากออกไปรุมทำร้าย ต่อมามีคนรื้อค้นลังหนังสือหลายลังที่เขาซ่อนไว้ที่บ้านคัมภีร์ลับเคล็ดวิชาตระกูลโจว

คนพวกนั้นไม่มีใครอ่านของพวกนี้ออก แต่กลับใส่ร้ายคุณตาของโจวเซี่ยวเทียนว่าเป็นตำราของพวกสังคมปิด แค่นี้ยังไม่พอยังวางเพลิงเผาลังหนังสือต้องการให้คัมภีร์เคล็ดวิชาที่สืบทอดมามลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

เดิมทีร่างกายของโจวเทียนฉี่ก็ถูกพวกคนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บหลายแห่ง เมื่อเห็นหนังสือที่สืบทอดมาสิบชั่วอายุคน กลับถูกทำลายไม่เหลือซากในรุ่นของตน ในเวลานั้นก็โกรธแค้นจนกระอักเลือดตาย

และตอนนั้นพ่อของโจวเซี่ยวเทียนที่เพิ่งแต่งงานจึงเหลือเพียงวิชาติดตัว นอกนั้นก็ตัวเปล่าเล่าเปลือย แต่ก็ไม่กล้านำออกมาใช้ ในตอนที่ป้องกันโจวเทียนฉี่ก็ถูกคนตีจนภายในบาดเจ็บ และก็เสียไปตอนโจวเซี่ยวเทียนอายุได้แปดขวบ

หลังจากนั้นก็มีนโยบายจากรัฐออกมา จึงมีเงินเยียวยาให้กับตระกูลโจวบางส่วน แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนทำงานในตอนที่โจวเทียนฉี่เป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย

เพียงแต่คุณผู้หญิงโจวเสียใจที่สามีเสียชีวิต ดวงตาที่บอดก็เนื่องมาจากการที่มักจะร้องไห้  เริ่มจากมองเห็นไม่ชัดจนค่อยๆ กลายมาเป็นผิดปกติไป เมื่อไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ทำเรื่องลาออกมา สองแม่ลูกก็ได้แต่อาศัยเงินเกษียณอายุอันน้อยนิดประทังชีวิต

เมื่อหลายปีมานี้ ดวงตาของแม่โจวเซี่ยวเทียนก็กลายเป็นบอดสนิท โจวเซี่ยวเทียนพาแม่ไปโรงพยาบาลหาหมอ และคุณหมอบอกว่าเกิดจากการที่เยื่อบุตาอักเสบซ้ำๆ ทำให้ตาขุ่น จะต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อบุดวงตา มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นตาบอดโดยสมบูรณ์

จะว่าไปตระกูลโจวเดิมทีก็พอมีสมบัติเก่าเก็บอยู่บ้าง แต่ในปีนั้นที่ถูกรื้อค้นก็ถูกขโมยเอาไปจนไม่เหลือ พ่อของโจวเซี่ยวเทียนก็มาเสียชีวิตลงก่อนไม่ได้ทิ้งเงินทองอะไรไว้ให้ เรื่องพวกนี้เองที่ทำให้ความกดดันพลันมาตกอยู่กับโจวเซี่ยวเทียน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด