หมอดูยอดอัจฉริยะ 275 เหตุแห่งความพินาศ

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 275 เหตุแห่งความพินาศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 275 เหตุแห่งความพินาศ

“ครั้งหน้าค่อยไปกับพวกเราก็ได้ เรื่องของลุงเว่ยร้ายแรงมากใช่ไหม?”

พักหลังมานี้เยี่ยเทียนค่อนข้างว่างงาน เลยมีเวลาอยู่กับอวี๋ชิงหย่ามากขึ้น เมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนมีธุระ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกลายเป็นถังเสวียเสวี่ยที่เป็นฝ่ายไม่พอใจ เบ้ปากงอนใหญ่

ท่าทางของถังเสวียเสวี่ยทำให้เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา “เสวียเสวี่ย ให้พี่ชิงหย่าไปเดินช้อปปิ้งกับเธอแล้วกัน แต่จะนานมากไม่ได้นะ ตอนเที่ยงก็ต้องกลับบ้านแล้ว”

“ขอบคุณค่ะพี่เยี่ยเทียน!”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเสวียเสวี่ยตื่นเต้นดีใจทันที เมื่อก่อนเธอสุขภาพอ่อนแอออกไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูดีแล้วจึงสนใจใคร่รู้ต่อโลกภายนอกมากขึ้น

อีกทั้งช่วงนี้คุณปู่มีธุระต้องกลับไปฮ่องกงสองสามวัน ไม่มีใครคอยควบคุมเธอ ถังเสวียเสวี่ยจึงเหมือนกับแกะที่ถูกปล่อยอย่างอิสระ วันๆ อยากจะตามเยี่ยเทียนออกไปเที่ยวอย่างเดียว

“พ่อ เซี่ยวเทียน สองคนมากันได้ยังไง? วันนี้งานที่ร้านว่างเหรอ?”

ในตรอกซอกซอยไม่มีรถแท็กซี่ ตอนที่พวกเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ากำลังเดินออกจากซอย ก็พบกับเยี่ยตงผิงและโจวเซี่ยวเทียน

เยี่ยตงผิงหัวเราะพูด “เมื่อวานเซี่ยวเทียนกลับไปที่เขาถังซานมา เอาเนื้อลาติดมือกลับมาด้วย เขาบอกว่าแกชอบกิน เลยตั้งใจเอามาให้ทำไมเหรอ พวกเธอจะออกไปข้างนอก?”

“ลุงเว่ยป่วยเข้าโรงพยาบาล อยากให้ผมไปเยี่ยมหน่อย เนื้อลาเอาไว้ในรถพ่อก่อน พ่อครับ พ่อช่วยไปส่งชิงหย่ากับ เสวียเสวี่ยไปที่ห้างสรรพสินค้าแถวซีตานได้ไหมครับ เซี่ยวเทียน วันนี้นายไปกับฉัน!”

ตั้งแต่รับศิษย์คนนี้มา เยี่ยเทียนมักจะได้ยินพ่อของเขายกยอลูกศิษย์คนนี้เสมอพอทราบว่าโจวเซี่ยวเทียนกลับไปเขา ถังซานยังนึกถึงตัวเองอุตส่าห์นำเนื้อลากลับมาฝาก เยี่ยเทียนจึงอดรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ได้

“เด็กบ้า ทำไมชอบแย่งเอาคนของพ่อไปเสียทุกที? เอาเถอะ เดี๋ยวฝากพ่อทักทายเหล่าเว่ยด้วยนะ…” เยี่ยตงผิงได้แต่ส่ายหน้า วันนี้ร้านที่ตลาดพานเจียหยวนคงต้องให้หลิวเหวยอันเฝ้าร้านคนเดียวซะแล้ว

พอส่งอวี๋ชิงหย่ากับถังเสวียเสวี่ยขึ้นรถออดี้คันใหม่ของพ่อเสร็จ เยี่ยเทียนก็รีบวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ แล้วให้บึ่งตรงไปส่งที่โรงพยาบาลอันติ้งเหมินที่ใกล้กับสวนสาธารณะตี้ถาน

“เซี่ยวเทียน ได้ยินพ่อว่านายพูดเก่งนักนี่ ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?”

ถ้าไม่ได้ฟังเยี่ยตงผิงพูด เยี่ยเทียนก็คงไม่เชื่อว่าโจวเซี่ยวเทียนจะสามารถใช้วาทศิลป์ในการตะล่อมขายของไปได้ ในราคาห้าหกหมื่นหยวน

ต้องรู้ก่อนว่า ตอนที่เยี่ยเทียนรู้จักเขาครั้งแรก เจ้าหนุ่มคนนี้พูดคำห้วนๆ สั้นๆ แต่ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย

โจวเซี่ยวเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “อาจารย์ ผม…ผมอยากให้แม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แล้วก็…แล้วก็ไม่อยากให้อาจารย์ขายหน้าครับ!”

ความจริงโจวเซี่ยวเทียนตอนเด็กนั้นมีนิสัยร่าเริงสดใส แต่ตั้งแต่ที่พ่อของเขาจากไป ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้นิสัยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนไม่ค่อยพูด

แต่พอได้เปิดใจกับเยี่ยเทียนแล้ว ความทุกข์หดหู่ในใจที่เก็บมาสิบกว่าปีของโจวเซี่ยวเทียนได้ถูกระบายออกไป อุปนิสัยจึงเปลี่ยนกลับมาดีขึ้นอย่างช้าๆ บวกกับได้รับโอกาสจากเยี่ยเทียนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โจวเซี่ยวเทียน ยิ่งรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น

พอได้ยินประโยคนี้ของโจวเซี่ยวเทียน ทำให้เยี่ยเทียนอึ้งไป เพราะเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายจริงใจทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ

เมื่อนึกถึงการกระทำของแม่โจวเซี่วเทียนในวันนั้น ทำให้เยี่ยเทียนแอบทอดถอนใจไม่หยุด เพื่อลูกของตัวเองแล้ว คนเป็นแม่ยอมทำทุกอย่างได้ และโจวเซี่ยวเทียนเองก็มีจิตใจดี ถือว่าการรับศิษย์นอกสำนักครั้งนี้รับได้ถูกคนจริงๆ

บรรยากาศในรถเงียบลง คนขับรถแอบสังเกตคนทั้งสองคนจากกระจกมองหลัง เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มสองคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน แต่ทำไมถึงเรียกแทนกันว่าศิษย์อาจารย์?

โรงพยาบาลอันติ้งเหมินอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเยี่ยเทียนมาก ซึ่งอยู่ใกล้กับยงเหอกงหรือวัดลามะกับสวนสาธารณะตี้ถาน ใช้เวลาไม่นาน รถแท็กซี่ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูของโรงพยาบาล

พอลงจากรถแล้วโจวเซี่ยวเทียนก็ถามว่า “อาจารย์ พวกเราจะเยี่ยมคนไข้ใช่ไหมครับ? ต้องซื้อของเยี่ยมอะไรไหม?”

“เหอะ นายไม่เตือนฉันเกือบลืมสนิท นายรอฉันแป๊บหนึ่ง”

หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงตบศีรษะนิดหน่อย เพราะมัวแต่คิดว่า สนิทสนมกับเว่ยหงจวินมาก จึงลืมมารยาทพื้นฐานไปเลย เขาจึงให้โจวเซี่ยวเทียนรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตัวเองก็ไปซื้อกระเช้าผลไม้มากระเช้าหนึ่ง

“ลุงเว่ย ผมมาถึงแล้ว ตึก B ห้อง 302ใช่ไหม? ผมจะรีบไป!” หลังจากถามเว่ยหงจวินทางโทรศัพท์เรียบร้อย เยี่ยเทียนก็พาโจวเซี่ยวเทียนไปถึงห้องคนไข้ที่เว่ยหงจวินพักอยู่

ห้องคนไข้ที่เว่ยหงจวินพักนั้นเป็นห้องเดี่ยว เยี่ยเทียนมองผ่านหน้าต่างเข้าไปก็เห็นเว่ยหรงหรงอยู่ด้านใน จึงเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป

“เยี่ยเทียน นายมาแล้วเหรอ?” เว่ยหรงหรงเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองบวมแดงเหมือนดวงไฟก็ไม่ปาน แสดงว่าเพิ่งจะร้องไห้ไป

“นี่…นี่มันเกิดรื่องอะไรกัน? ลุงเว่ย ลุงบอกว่าป่วยไม่ใช่เหรอ?” มองดูศีรษะของเว่ยหงจวินที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลที่เหมือนกับมัมมี่โผล่ให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง เยี่ยเทียนหรี่ตาสงสัย

ในโทรศัพท์เว่ยหงจวินบอกว่าเขาป่วย จึงให้เยี่ยเทียนมาเยี่ยม แต่สภาพของเว่ยหงจวินที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกับเจ็บป่วยตรงไหน? แต่ต้องถูกคนทำร้ายแน่นอน แล้วยังลงมือหนักเสียด้วย โดยถูกทำร้ายที่ศีรษะและลำตัวช่วงบนเป็นหลัก

ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้จักคนในปักกิ่งไม่น้อย แต่คนที่เขายอมรับเป็นเพื่อนจริงๆ นั้นมีแค่เฉินสี่ฉวนกับเว่ยหงจวินสองคน เท่านั้น ตอนนี้เห็นเว่ยหงจวินถูกทำร้ายอาการสาหัส ไฟโทสะในใจจึงเดือดพล่าน

“เยี่ยเทียนมาแล้วเหรอ?”

พอได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงคนไข้จึงดิ้นจะลุกขึ้นนั่ง พลางชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง “เยี่ยเทียน นั่งสิ มานั่งตรงนี้ เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”

“เขาเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของผม ชื่อโจวเซี่ยวเทียน” หลังจากเยี่ยเทียนแนะนำโจวเซี่ยวเทียนให้เว่ยหงจวินรู้จักแล้ว จึงถามต่อว่า “ลุงเว่ย เกิดอะไรขึ้น ลุงช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อย”

ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถทำนายโชคชะตาล่วงหน้าและยังสามารถดูโหงวเฮ้งถึงโชคดีหรือร้าย แต่เขาก็ต้องใช้วิชาอาคมในการแสดงการทำนาย โดยปกติเขาจะไม่ทำนายให้ใครส่งเดช ไม่อย่างนั้นคงจะเหนื่อยตาย

อีกอย่างช่วงหลังนี้เว่ยหงจวินก็งานยุ่ง เยี่ยเทียนจึงไม่ได้เจอเขาเลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าได้เกิดเคราะห์ภัยกับเว่ยหงจวิน

มีบางคนอาจจะพูดว่า แล้วนายเห็นเว่ยหงจวินเมื่อสองสามเดือนก่อนหน้านั้น ทำไมตอนนั้นถึงมองไม่ออก?

ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุอย่างหนึ่ง โบราณว่าฮวงจุ้ยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุกสามสิบปี หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นฮวงจุ้ยหรือโชคชะตาของมนุษย์ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ปัจจัยจากโลกภายนอกนั้นมีอิทธิพลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้ว่าจะด้วยความสามารถของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าใครจะพบเจอกับเรื่องราวแบบไหนได้เมื่อไรบ้าง

“เอ่อคือ หรงหรง ลูกลองไปดูสิว่าของของเสี่ยวสวีซื้อมารึยัง?” เว่ยหงจวินมองดูลูกสาวอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เว่ยหรงหรงได้ยินบทสนทนาของเขากับเยี่ยเทียน

“เอ๋ เยี่ยเทียน นายมาแล้วเหรอ?” เสียงของเว่ยหงจวินยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกคนเปิดออก สวีเจิ้นหนานถือกระติกน้ำร้อนเดินเข้ามาข้างหลังของเขายังมีหวังกงคนคุ้นเคยของเยี่ยเทียนเดินตามเข้ามาด้วย

ใบหน้าของหวังกงปรากฎรอยเขียวช้ำ เห็นได้ชัดว่าได้ไปร่วมวงโดนตะลุมบอนกับเถ้าแก่มา เพียงแต่เว่ยหงจวินอา การหนักกว่าเท่านั้นเอง

พอเห็นสวีเจิ้นหนานเดินเข้ามา เว่ยหงจวินจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี ขอบใจมากนะ เอาของวางไว้ตรงนี้แหละ นายกับหรงหรงออกไปเดินเล่นเถอะ”

“ได้ครับ หรงหรง พวกเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันเถอะ มีเยี่ยเทียนอยู่เป็นเพื่อนลุงเว่ยก็พอแล้ว”

ตั้งแต่ได้พบกับเว่ยหงจวิน เขาไม่เคยเห็นสวีเจิ้นหนานหน้าตาระรื่นได้ขนาดนี้ สวีเจิ้นหนานจึงรีบชักชวนเว่ยหรงหรง ออกจากห้องคนไข้ทันที

“ลุงเว่ย นอนลงก่อน ให้หวังกงเป็นคนเล่าเรื่องก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นท่าทางหมดแรงของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนจึงประคองเขาให้นอนลงไป และดูจากบาดแผลฉกรรจ์ของเว่ยหงจวิน น่าจะบาดเจ็บลึกถึงชั้นกระดูกกับเส้นเอ็น ในเวลาสามถึงห้าเดือนก็อย่าคิดว่าจะรักษาอาการให้หายได้

“ได้ หวังกง นาย…นายเล่าให้เสี่ยวเยี่ยฟังเถอะ!”

เว่ยหงจวินยิ้มอย่างขมขื่น เขาเป็นคนทำอะไรระมัดระวังมาตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เยี่ยเทียนได้เตือนเขา งานนอกกฎหมายทั้งหลายอย่าได้เฉียดเข้าไปใกล้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้

“เยี่ยเทียน เรื่องนี้ต้องเริ่มจากที่พวกเราไปรับงานก่อสร้างนั้นมา…”

ใบหน้าของหวังกงก็ถูกชกไม่เบา ขณะที่พูดก็จะกระทบไปถึงแผล ทำให้ปากกระตุกอยู่ตลอด แต่ก็ยังสามารถเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนจบอย่างชัดเจน

ที่แท้สองสามเดือนก่อนบริษัทของเว่ยหงจวินรับงานปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเก่าแถวเขตตงเฉิง เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่ เว่ยหงจวินจึงใช้กำลังความสามารถทั้งหมดทุ่มเทให้กับงานนี้

ปกติคนที่อาศัยในเมืองพอจะทราบว่า ปัญหาใหญ่สุดคือของการปรับปรุงซ่อมแซมเมืองเก่าที่ต้องพบเจอ ก็คือปัญหาของการย้ายบ้านของครอบครัวเก่ามีชื่อว่า “บ้านตะปูหรือติงจื่อหู้” ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงซ่อมแซมเมืองเก่า

หลังจากรัฐบาลใช้วิธีสรรหาบริษัทรับเหมาเข้ามาทำการก่อสร้าง พวกเขาก็ไม่สนใจปัญหา “บ้านตะปูหรือติงจื่อหู้” อีกและให้บริษัทรับเหมาจัดการด้วยตัวเอง

สิ่งที่เรียกว่าบ้านตะปูหรือติงจื่อหู้นั้น ก็คือบ้านที่ไม่สนใจว่าค่าย้ายบ้านจะมีราคาเท่าไรก็ยืนกรานที่จะไม่ย้ายบ้านเด็ดขาด และบริษัทรับเหมาก็เพื่อทำกำไร ปกติก็จะไม่ยอมเพิ่มค่าขนย้ายให้

แต่ถ้าปัญหาไม่จบ ก็จะไม่สามารถดำเนินงานต่อได้ ทำให้ความเสียหายของบริษัทรับเหมายิ่งหนักขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเกิดธุรกิจแบบใหม่ นั้นก็คือบริษัทรับจ้างรื้อถอนและขนย้ายบ้าน

และเพื่อตัดปัญหา หลังจากบริษัทรับเหมามากมายรับงานก่อสร้างแล้ว ก็จะมอบปัญหาที่ยุ่งยากให้แก่บริษัทรับจ้างรื้อถอนและย้ายบ้านให้จัดการแทน

บริษัทรับจ้างรื้อถอนและย้ายบ้านในยุคปี 90 นัั้น ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือพวกอันธพาลกับพวกว่างงานที่รวมตัวกันเป็นแก๊งเพื่อรับเงินจากค่ารื้อถอนขนย้ายบ้าน คนพวกนี้จะยอมทำทุกวิถีทางโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

การตัดน้ำตัดไฟถือเป็นวิธีเบาะๆ หนักหน่อยก็ปล่อยสุนัข ปล่อยงู ไม่อย่างนั้นก็อาศัยคืนเดือนมืด แอบเข้าไปในหมู่บ้านเหมือนผีก็ไม่ปาน และทำการควบคุมและแบกคนที่กำลังนอนหลับสนิทออกมาจากในบ้าน แล้วก็ทำลายบ้านของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลองภายในชั่วพริบตา

ยังมีวิธีที่ต่ำทรามกว่านั้น คือไม่เล่นไม้นี้แล้วบุกเข้าไปใน “บ้านตะปู” แล้วใช้ค้อนใหญ่ไล่ทุบข้าวของในบ้านเป็นการสั่งสอน

ตอนแรกเว่ยหงจวินเคยคิดจะใช้คนพวกนี้ไปจัดการปัญหาการย้ายบ้าน แต่หลังจากได้ฟังคำเตือนของเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจ จึงเกิดต้นเหตุของเรื่องร้ายเหล่านี้

 …………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด