หมอดูยอดอัจฉริยะ 279 ทำลายสนาม (1)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 279 ทำลายสนาม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 279 ทำลายสนาม (1)

“เสี่ยวเทียน ย้ายเตียงผู้ป่วยของลุงเว่ย กลับไปกันเถอะ” เมื่อดูฉากสนุกจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงจัดเก็บเตียงให้อยู่ในสภาพเดิม แต่ผ่านไปไม่นาน เว่ยหรงหรงกับสวีเจิ้นหนานก็กลับมาแล้ว

“พ่อคะ หนูบอกพ่อแล้ว เมื่อครู่ข้างล่างเกิดเรื่องใหญ่ และพวกอันธพาลสองสามคนนั้นที่หนูเห็นเมื่อวานก็ตายหมดแล้วค่ะ!”

เว่ยหรงหรงเข้าไปในห้องก็บ่นเสียงดังไม่หยุด ตอนที่เธอกับสวีเจิ้นหนานกลับมา ศพของสามศพยังนอนอยู่หน้าประตูของแผนกผู้ป่วยใน เและเว่ยหรงหรงมองปราดเดียวก็จำเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนที่นอนหน้าหงายเพราะโดนยิงแสกหน้าผากได้

“เอ๋ ตรงนี้มองเห็นพอดีเลย พวกคุณไม่เห็น น่าเสียดายจริงๆ!”

เว่ยหรงหรงก็เป็นผู้หญิงที่ไม่มีหัวจิตหัวใจเลย เธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด แถมยังพูดพลางชี้มือชี้ไม้อยู่ตรงนั้น จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าต่างแล้วดึงผ้าม่านขึ้น

“เอ๊ะ? ทำไมพวกคุณไม่รู้สึกแปลกใจเลยล่ะคะ? หรือว่าพวกคุณรู้หมดแล้ว!” เว่ยหรงหรงเห็นตัวเองพูดมาครึ่งค่อนวัน แต่สีหน้าของเยี่ยเทียนกับคนอื่นๆ กลับไม่เผยความประหลาดใจเลยสักนิด จึงเข้าใจทันที

“อืม เมื่อครู่ได้เห็นนักเลงสองสามคนนี้ตีกันแล้ว”

เยี่ยเทียนเดินไปที่ข้างหน้าต่างแล้วมองลงไป จู่ๆ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที แล้วจึงหันหน้ามาพูด “ลุงเว่ย ลุงต้องรักษาแผลให้ดีนะครับ ผมจะช่วยลุงจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย แผลที่ลุงถูกตีในครั้งนี้ จะไม่มีทางเจ็บฟรีแน่นอน!”

เด็กหนุ่มผมสีเหลืองและพรรคพวกได้เจอเรื่องในวันนี้ เป็นเพียงลูกสมุนของบริษัทรื้อถอนส่งมา หากต้องการสาวถึงต้นตอจะต้องตามหาตัวของเจ้าของบริษัทรื้อถอนให้เจอ และเรื่องในวันนี้เป็นเพียงการเรียกเก็บดอกเบี้ยจากพวกเขาเท่านั้น

“เยี่ยเทียน นายบอกว่าจะรอตำรวจขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกลับใช่ไหม?” เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินจึงตกตะลึงพักหนึ่ง

“ลุงเว่ย พี่ชายของผมก็อยู่ข้างล่างครับ”

เดิมทีเยี่ยเทียนอยากจะรอให้ตำรวจขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกลับ แต่เมื่อมองลงไปข้างล่าง กลับเห็นลู่เชินพี่ชายของเขา ในฐานะหมอนิติเวชอย่างเขาอาจจะไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ เพราะมีเรื่องน้อยก็ยังดีกว่ามีเรื่องเยอะ

เว่ยหงจวินก็รู้จักลู่เชินเช่นกัน เขาจึงพยักหน้าพูด “ได้ งั้นนายกับเสี่ยวโจว กลับไปก่อนเถอะ มีหรงหรงอยู่เป็นเพื่อนฉันก็พอแล้ว หวังกงก็รู้เรื่องเส้นสนกลในของเรื่องพวกนี้ อีกสักพักฉันจะให้เขาติดต่อนาย!”

เมื่อครู่ตอนที่เยี่ยเทียนให้พวกเขาดูเรื่องสนุกสนาน เขากลับแยกหวังกงออกมา และถึงแม้จะพูดเรื่องนี้ออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ อีกอย่างยิ่งคนรู้น้อยก็ยิ่งดี

“อาจารย์ ท่านเท่มากจริงๆ ครับ ผมเคยได้ยินตอนที่คุณพ่อเล่านิทานถึงรู้ว่ามีคนสามารถเขียนยันต์กลางอากาศได้ ไม่คิดว่าท่านก็ทำได้นะครับ!”

หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงทำสีหน้าตื่นเต้นไม่หยุด เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ กับการตายของนักเลงสองสามคนนั้น เพราะลักษณะงานที่เคยทำมาก่อนหน้าได้ตัดสินว่า โจวเซี่ยวเทียนไม่กลัวคนตาย

“หืม? พยายามพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นให้น้อยหน่อย…”

เยี่ยเทียนถลึงตาจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ อีกฝ่ายจึงหุบปากด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ได้โกรธ โจวเซี่ยวเทียนจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ท่าน…ท่านสามารถสอนวิชาผมได้ไหมครับ?”

วิชาของตระกูลโจว ส่วนมากใช้กับเรื่องการดูฮวงจุ้ยของสุสาน การหาเส้นเลือดมังกรกับทำนายโชคชะตา แต่ไม่ถนัดเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ อีกทั้งโจวเซี่ยวเทียนยังเป็นแค่เด็ก ดังนั้นจึงมีความสนใจมากเป็นธรรมดา

“เซี่ยวเทียน ไม่ใช่ฉันไม่อยากสอนนาย แต่สอนแล้วนายก็เรียนไม่ได้”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ถ้าอยากเรียนการควบคุมยันต์ อย่างน้อยจะต้องสื่อสารกับพลังแห่งฟ้าดินได้เป็นอย่างแรก วิชาที่ ครอบครัวของนายสืบทอดมาได้หายสาบสูญไปแล้ว จึงไม่มีกำลังภายในที่ตอบสนองได้ ทำให้นายเรียนวิชาเหล่านี้ไม่ได้”

เมื่อเห็นโจวเซี่ยวเทียนเผยสีหน้าผิดหวังออกมา เยี่ยเทียนจึงพูดต่อ “กำลังภายในที่นายฝึกนั้นมีวิธีการนั่งสมาธิและฝึกเดินลมปราณค่อนข้างแตกต่างกับสำนักของฉัน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าก่อนหน้านั้นฉันถึงรับนายเป็นศิษย์ในนามได้เท่านั้น!”

การฝึกกำลังภายในเน้นการฝึกลมปราณเป็นหลัก พิถีพิถันเรื่องการฝึกฝนกำลังภายใน การฝึกกำลังภายนอก เน้นพลังเป็นหลัก พิถีพิถันเรื่องพลังกล้ามเนื้อ ความแตกต่างของการฝึกกำลังภายในกับกำลังภายนอกนั้น ดูจากรูปแบบอาจจะไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่วิธีการนั้นกลับแตกต่างกันค่อนข้างมาก

กำลังภายนอกให้ความสำคัญใน “การฝึกพลังและกล้ามเนื้อ” เป็นการฝึกความรวดเร็ว พละกำลัง เทคนิคต่างๆ ของร่างกายเป็นต้น และในด้านเทคนิคนั้น ต้องมีผลลัพธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็ว

แต่การฝึกกำลังภายในไม่เหมือนกัน การฝึกกำลังภายในไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกความรวดเร็ว พละกำลังและ เทคนิค แต่เน้นการฝึกศักยภาพที่ซ่อนเร้นภายในร่างกาย จึงจำเป็นต้องฝึกวิธีการหายใจเป็นพิเศษและยังเป็นความลับที่ไม่มีการบอกต่อของกำลังภายในอีกด้วย

โจวเซี่ยวเทียนฝึกวิชากำลังภายในของตระกูลมาสิบกว่าปีแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ จึงเป็นไปไม่ได้โดยพื้นฐาน เพราะผลลัพธ์แบบนั้นจะทำให้การเดินเส้นลมปราณได้รับความเสียหาย หรือเหมือนกับในตำนานที่ว่าธาตุไฟเข้าแทรก

เยี่ยเทียนไม่สามารถสอนโจวเซี่ยวเทียนได้ เพราะมีอีกสาเหตุหนึ่งคือ มรดกในการสืบทอด

การสืบทอดวิชาความรู้ของเยี่ยเทียนที่ได้รับมาอย่างแปลกประหลาดนั้น ถึงแม้กำลังภายในของเขาจะเบาบางมาก แต่กลับสามารถแสดงวิชาที่นักพรตเฒ่าไม่สามารถทำออกมาได้ และสาเหตุที่เขาสามารถเชื่อมต่อกับพลังแห่งฟ้าดินได้นั้น ก็เป็นผลมาจากการได้รับอุบัติเหตุเมื่อตอนอายุสิบขวบ

แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถเชื่อมต่อกับพลังแห่งฟ้าดินได้ เพราะเยี่ยเทียนรู้มาจากการถ่ายทอดวิชาที่อยู่ในสมองของเขาว่า หลังจากพวกเขาสามารถฝึกฝนชีให้เปลี่ยนเป็นเสินของสำนักเสื้อป่านได้แล้ว ก็จะมีความสามารถในการควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ขอเพียงสามารถฝึกวิชาของสำนักเสื้อป่านให้ถึงระดับของเยี่ยเทียนได้ และได้รับวิชาของสำนักเสื้อป่านที่สอดคล้องกันอีกครั้ง ก็จะสามารถแสดงวิชาเหล่านั้นเหมือนกับเยี่ยเทียนได้

แต่วิชากำลังภายในของตระกูลโจวเซี่ยวเทียนที่ฝึกมาทั้งหมดนั้น ยังขาดความสมบูรณ์แบบ ถ้าหากไม่สามารถตามหาวิชาถ่ายทอดของสกุลที่สมบูรณ์แบบได้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของโจวเซี่ยวเทียนคงมีกำลังภายในอยู่แค่ระดับนี้เท่านั้น

หลังจากฟังเยี่ยเทียนอธิบายแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงทำสีหน้าเศร้าสลด เพราะมรดกที่สืบทอดของตระกูลพวกเขาได้สูญหายไปเกือบร้อยปี ใช่ว่าจะหากลับมาได้ง่ายซะที่ไหน?

“นายไม่ต้องเสียใจไป ต่อไปถ้ามีเวลา ฉันจะต้องเดินทางไปมาเพื่อดูผู้คนที่เรียนวิชาลึกลับภายในประเทศให้หมด ไม่แน่อาจจะได้ข้อมูลของการฝึกเคล็ดวิชาของตระกูลนายก็เป็นได้”

เมื่อเยี่ยเทียนเห็นท่าทางสิ้นหวังของโจวเซี่ยวทียน เขาจึงได้แต่พูดปลอบใจสองสามประโยค เพียงแต่สิ่งที่เขาพูดไป นั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อ

เคล็ดลับวิชาเหล่านั้น เหมือนกับคัมภีร์ทำนายอนาคตที่ได้มาจากสุสาน ล้วนเป็นสิ่งของที่มีมานานนับร้อยปี กระทั่งเป็นพันปี หลังจากผ่านสงครามที่วุ่นวายมาหลายยุคสมัย โอกาสในการเก็บสงวนเอาไว้จึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก

ตอนที่เยี่ยเทียนกลับถึงบ้าน อวี๋ชิงหย่าและคนอื่นๆ ยังไม่กลับมา แต่สักพักเขาก็ได้รับโทรศัพท์ของหวังกง เพียงแต่เรือนสี่ประสานของเขาไม่เหมาะสมที่จะต้อนรับใคร ดังนั้นเขาจึงนัดหวังกงไปที่เจอกันที่บ้านหลังเก่า

“เยี่ยเทียน นี่คือข้อมูลของบริษัทรื้อถอนสามบริษัทในเขตตงเฉิง”

เยี่ยเทียนนั่งรอแขกอยู่ในบ้านหลังเก่า จากนั้นหวังกงจึงนำเอกสารวางต่อหน้าเยี่ยเทียน พลางชี้นิ้วไปที่กระดาษหนึ่งใบในนั้นและพูดอธิบาย “บริษัทที่มาหาเรื่องประธานเว่ยคือบริษัทอันชุ่นชายเชียน (บริษัทรับจ้างรื้อถอนอันชุ่น) เจ้านายของพวกเขาชื่อว่าเฟ่ยเฮ่อเหว่ย แต่คนอื่นจะเรียกว่าพี่เหว่ย ประธานเว่ยถูกตีในครั้งนี้ น่าจะเป็นฝีมือของลูกน้องเขาครับ”

“แล้วอีกสองบริษัทล่ะ? ไหนบอกว่ามีสามบริษัทไม่ใช่เหรอครับ?” เยี่ยเทียนถามอย่างไม่มั่นใจ เพราะเขาไม่มีเวลาไปหาเรื่องทั้งสามบริษัทหรอก

 “ในสามบริษัทนี้ บริษัทลี่หมินชายเชียนมีกำลังแข็งแกร่งที่สุด ได้ยินว่าตอนนั้นเจ้าของบริษัทเป็นลูกเพลย์บอยที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในปักกิ่ง และยังเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยกับโรงเรียนสอนกังฟูอีกด้วย แต่ว่า…”

หวังกงพูดถึงตรงนี้แล้วจึงลังเลพักหนึ่ง “แต่ข้อมูลที่เราสืบได้ เหมือนบริษัทลี่หมินจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นะครับ น่าจะเป็นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยกับอีกบริษัทมากกว่าที่อาศัยชื่อและสมญานามของบริษัทลี่หมินมาใช้หลอกลวงเพื่อให้ตกใจกลัว”

“เหรอ? บริษัทลี่หมินมีชื่อเสียงมากเหรอครับ? คนที่ชื่อพี่เหว่ยถึงต้องอ้างชื่อของเขา?” เมื่อได้ยินว่ามีโรงเรียนสอนกังฟู เยี่ยเทียนจึงตกตะลึง

ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนปลดปล่อยหรือในยุคปัจจุบัน คนที่สามารถเปิดโรงเรียนสอนกังฟูได้ จะต้องเป็นคนในวงการที่กว้างขวางมาก และในมือต้องมีวิชาติดตัวถึงจะได้

ช่วงก่อนปลดปล่อยโรงเรียนสอนกังฟูได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ต่างก็มีโรงเรียนสอนกังฟูนับไม่ถ้วน เยี่ยเทียนได้ยินนักพรตเฒ่าเล่าเรื่องโรงเรียนสอนกังฟูของพวกนักเตะในการต่อสู้อยู่ไม่น้อย

เพียงแต่ตอนที่เขากับนักพรตเฒ่าท่องเที่ยวไปในยุทธภพนั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดของนโยบาย ทำให้ไม่มีโรงเรียนสอนกังฟูหลงเหลืออยู่ในประเทศจีน ตอนนี้เขาได้ยินหวังกงพูดถึงเจ้าของบริษัทรับจ้างรื้อถอนที่ยังเปิดโรงเรียนสอนกังฟูอยู่ จึงทำให้เยี่ยเทียนเกิดความสนใจ

“ลี่หมินชายเชียนมีชื่อเสียงในสาขาอาชีพนี้ แต่ชิวเหวินตงเจ้าของบริษัทลี่หมินเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในปักกิ่ง ได้ยินว่าเขาแอบเลี้ยงพวกเดนตายไว้มากมาย”

เหมือนหวังกงจะกลัวว่าคำพูดของตัวเองจะเบี่ยงเบนความคิดของเยี่ยเทียน เขาจึงพูดต่อ “เยี่ยเทียน เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับชิวเหวินตง เพราะว่าเถ้าแก่ก็รู้จักกับเขา เขาเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เหมือนพวกที่ชอบแทงข้างหลัง และถ้าเขาอยากจะได้โครงการรื้อถอน ตอนแรกเถ้าแก่ก็จะพิจารณาอยู่เหมือนกัน”

เยี่ยเทียนใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยพูด “เรื่องที่บริษัทอันชุ่นจงใจแอบอ้างชื่อเสียงของลี่หมิน ผมคิดว่าบริษัทลี่ หมินคงหนีไม่พ้นแน่นอน โอเค หวังกง ผมรู้แล้วว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง!”

“เยี่ยเทียน ทาง…ทางที่ดีคุณอย่าไปหาเรื่องบริษัทลี่หมินชายเชียนนะครับ คนที่ชื่อชิวเหวินตงนั่นประธานเว่ยของพวก เราสู้ไม่ไหว ต่อให้ลี่หมินมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ประธานเว่ยก็ต้องดึงพวกเขาออกมา! “

หลังจากเห็นเยี่ยเทียนทำสีหน้าเหมือนไม่เห็นด้วย หวังกงจึงอดเตือนเขาไม่ได้

จากความหมายของหวังกงกับเว่ยหงจวิน ถ้าหากจับบริษัทอันชุ่นได้อยู่หมัด ก็ไม่จำเป็นต้องดึงชิวเหวินตงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเข้ามาเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะทำให้เรื่องบานปลาย และเว่ยหงจวินก็คงไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ง่ายขนาดนั้น

เยี่ยเทียนได้ยินจึงพูดพลางยิ้ม “ผมเข้าใจครับ หวังกง ช่วงสองวันนี้งานก่อสร้างไม่ค่อยราบรื่น คุณอย่าเพิ่งทำงานเลย รอให้ผ่านสองวันนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน อ้อใช่ เอกสารพวกนี้ทิ้งไว้ที่ผมก็แล้วกันครับ…”

เยี่ยเทียนรู้ว่าหวังกงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นสองสามวันที่ผ่านมา อีกอย่างเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ ก็ไม่จำเป็นให้เขารู้ จะได้ไม่ทำให้คนซื่อต้องตกใจกลัว

“เฮ้ นายกำลังเหม่อทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” หลังจากส่งหวังกงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนจึงเห็นโจวเซี่ยวเทียนนั่งก้มหน้าอยู่ ในลานบ้าน พร้อมกับสีหน้าเศร้าสร้อยหงอยเหงา

“ทำไม? ยังคิดเรื่องพวกนั้นอยู่?”

เยี่ยเทียนตบไปที่ศีรษะของเขาเบาๆ พลางพูดจิกกัด “นายไม่อยากเข้ายุทธภพเหรอ? วันนี้พักผ่อนให้ดีๆ พรุ่งนี้เช้าฉัน จะพานายไปดูว่ายุทธภพคืออะไร!”

“อาจารย์ ท่านพูดจริงเหรอครับ? พวกเราจะไปทำอะไรพรุ่งนี้ครับ?” ดวงตาของโจวเซี่ยวเทียนเป็นประกาย

“ทำลายสนาม!” เยี่ยเทียนพูดออกมาสองคำ

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด