หมอดูยอดอัจฉริยะ 360 ลมพัดเมฆเคลื่อน (3)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 360 ลมพัดเมฆเคลื่อน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 360 ลมพัดเมฆเคลื่อน (3)

“ใช่ครับ ท่านส.ส.เฉิน คุณจั่ว หลังจากผ่านการตรวจค้นและซักถามตลอดหนึ่งคืน พบศพทั้งหมดยี่สิบสองศพ และหนึ่งในนั้นไม่มีศพของคุณเยี่ยเทียนครับ!”

หลังจากทำงานตลอดหนึ่งคืนเต็ม อธิบดีโจวก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เวลานี้เขายังต้องตั้งสติให้ดี เพื่อรายงานสถานการณ์ในที่เกิดเหตุให้ท่าน ส.ส. เฉินได้ทราบ

“รู้สถานะที่ชัดเจนของอีกฝ่ายหรือยัง?”

จั่วเจียจวิ้นถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ตอนที่เขาอยู่ในระหว่างการเดินทางก็ได้รับโทรศัพท์แล้ว จึงรู้ว่าไม่พบศพของเยี่ยเทียน ทำให้เขาโล่งใจมาก และรู้สึกโกรธคนที่ต้องการฆ่าเยี่ยเทียนจนเข้ากระดูกดำ

“คุณจั่วครับ ตรวจสอบสถานะของพวกเขาแล้ว คือ…คือทีมทหารรับจ้างเทียนหลงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ ทั้งหมดยี่สิบสองคนได้เสียชีวิตที่นี่หมดแล้วครับ”

คดีที่ถูกพี่ใหญ่หลายคนให้ความสนใจจึงทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างดี หลังจากเทียบใบหน้าของศพผ่านทางรูปภาพแล้ว ไม่ช้าจึงยืนยันได้ว่าเป็นทีมทหารรับจ้างเทียนหลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริงๆ

แต่สิ่งที่ทำให้อธิบดีโจวกับผู้พันคนนั้นตกใจคือ ทีมทหารรับจ้างที่เคยผ่านการร่วมรบในสงครามอิรักมาก่อน กลับพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งกองทัพอยู่ในภูเขาฝ่อกงซานแห่งนี้

นอกจากความตื่นตระหนกตกใจแล้ว คนที่รู้จักชื่อเสียงของทีมทหารรับจ้างเทียนหลงต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเช่นกัน พลางคิดว่าพวกเขาได้เจอกับคู่แข่งแบบไหนกันแน่ ขนาดคนยี่สิบสองคนนั้นยังไม่สามารถหนีรอดมาได้แม้แต่คนเดียว?

“ทีมทหารรับจ้างเทียนหลง?!”

ในปากของจั่วเจียจวิ้นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วจึงหันหน้าไปที่อาติง พลางพูด “ไปสืบเบื้องหลังของทีมทหารรับจ้างพวกนี้ให้หมด ดูสิว่ายังมีคนที่หลงเหลืออีกไหม?”

ถึงแม้กฎของยุทธภพที่เรียนวิชาฉีเหมินจะไม่สร้างความหายนะให้แก่คนของครอบครัว แต่คนพวกนี้ไม่ใช่คนจีน ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ จั่วเจียจวิ้นก็จะไม่ถือสาที่จะให้ครอบครัวของคนพวกนี้ต้องลงหลุมไปพร้อมกับเยี่ยเทียน

“บนภูเขานี้มีวัดวาอารามมากมาย แต่ไม่มีพระสงฆ์รูปไหนรู้เรื่องของเมื่อวานเลย?” หลังจากสั่งงานอาติงแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงมองไปอธิบดีโจว

อธิบดีโจวฝืนหัวเราะขมขื่นแล้วพูด “คุณจั่วครับ เมื่อวานเกิดฝนเทกระหน่ำทั้งคืน บวกกับฟ้าแลบฟ้าร้องครั่นครืน จึงทำให้พระสงฆ์ได้ยินเสียงปืนบ้าง แต่เนื่องจากสายตาไม่ค่อยดี พวกเขาจึงมองอะไรไม่เห็นครับ”

เมื่อเกิดคดีใหญ่เช่นนี้ อธิบดีโจวจึงไม่สนใจแล้วว่าที่นี่คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาจึงเข้าไปกราบเรียนผู้อำนวยการของภูเขาฝ่อกงซานและเรียนเชิญพระสงฆ์เปิดการประชุมใหญ่ตลอดทั้งคืน กระทั่งอาจารย์ใหญ่เหลียนซิงยวิ๋นก็ยังตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจน

หลังจากฟังคำอธิบายของอธิบดีโจวแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงเกิดความลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าพูด “ โอเค ส.ส.เฉินครับ ครั้งนี้รบกวนคุณจริงๆ คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมอยากจะดูบาดแผลของคนพวกนี้ก่อน!”

เมื่อสิบปีก่อนจั่วเจียจวิ้นเคยทำนายดวงชะตาให้ ส.ส.เฉิน คนนี้มาก่อน และบอกว่าสุดท้ายเขาจะยอมทิ้งอาชีพทนายความและเข้าสู่การเป็นนักการเมือง แถมยังจะได้นั่งในตำแหน่งที่สูงมากอีกด้วย

เดิมที ส.ส.เฉิน ก็ไม่เชื่อ แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาต้องก้าวเข้าไปอยู่ในเวทีการเมืองโดยบังเอิญ และภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามปีเขาก็สามารถเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและผู้แทนไต้หวันได้สำเร็จ ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวจั่วเจียจวิ้นเป็นอย่างมาก

แต่ ส.ส.เฉิน กลับไม่รู้ว่า ระยะหลังของอาชีพนักการเมืองของเขา ที่แม้แต่จั่วเจียจวิ้นก็ไม่อาจทำนายออกมาได้นั้น กลับตามมาด้วยเรื่องอื้อฉาวกับภัยที่ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พูดหลังจากนี้

“ทุกคนถูกฆ่าถึงจุดตายในทีเดียว น่าจะเป็นวิธีการของศิษย์น้อง!”

หลังจากส่ง ส.ส.เฉิน ออกไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงเปิดผ้าสีขาวที่คลุมศพออกแล้วตรวจสอบดู หลังจากผ่านไปชั่วพักหนึ่งก็ปรากฏรอยยิ้มบนสีหน้าของเขา

เพราะดูจากสาเหตุการตายของคนพวกนี้ ก่อนที่พวกเขาจะตายได้สูญเสียความสามารถในการโจมตีเยี่ยเทียนให้ถึงจุดตายไปแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนน่าจะปลอดภัยดี

และการที่ไม่สามารถค้นหาร่องรอยของเยี่ยเทียนได้ จั่วเจียจวิ้นจึงเดาว่าหลังจากที่เขาฆ่าคนไปแล้วจึงไม่อยากเป็นจุดสนใจจากพวกทางราชการ ดังนั้นจึงแอบหนีไปอย่างเงียบๆ

เมื่อคิดว่าเรื่องน่าจะเป็นเช่นนี้จึงทำให้จั่วเจียจวิ้นอารมณ์ดีมาก ถึงแม้วิธีการของศิษย์น้องจะโหดเหี้ยมไปหน่อย แต่เมื่ออยู่ในช่วงแห่งความเป็นความตายจึงมีแต่ต้องให้ไม่ใครก็ใครต้องตายไปข้างหนึ่ง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พูดได้

“อธิบดีโจวครับ สั่งให้คนแยกย้ายเถอะ เยี่ยเทียนน่าจะถูกใครช่วยชีวิตไปแล้ว ทุกคนจึงไม่จำเป็นต้องล้อมภูเขา  ฝ่อกงซานอีกแล้วครับ!”

หลังจากกลับไปที่หน่วยบัญชาการชั่วคราว จั่วเจียจวิ้นจึงไปหาอธิบดีโจว เพราะในความคิดของเขา ถ้าหากคนล้อมภูเขาไม่ยอมถอนตัวออกไป เยี่ยเทียนคงไม่กล้าออกมาแน่นอน

“คุณจั่วครับ คงจะยุ่งยากมาก ต่อให้ไม่อยากถอยก็ต้องถอยครับ!”

หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว อธิบดีโจวจึงเผยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของเขา และเดิมทีทหารที่ล้อมรอบปากทางแต่ละที่ ก็เริ่มทอยขึ้นรถและถอนตัวกลับแล้ว

นอกจากนี้ ส.ส.เฉิน ก็มีสีหน้าขรึมเช่นกัน เมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้นกลับมาจึงได้ดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “คุณจั่วครับ ต้องขอโทษจริงๆ ผมต้องรีบกลับไปเพราะอีกฝ่ายเริ่มมีการเคลื่อนไหวบ้างแล้วครับ!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”

จั่วเจียจวิ้นถามอย่างน่าประหลาด เพราะ ส.ส.เฉิน มีรูปการณ์พัฒนาในไต้หวันที่ยอดเยี่ยม และถูกเรียกให้เป็นผู้นำคนต่อไปสูงมาก จึงไม่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้?

ส.ส.เฉิน ฝืนยิ้มขณะที่ชี้ไปทางนั้น แล้วจึงยิ้มพูดอย่างขมขื่น “อีกฝ่ายบอกมาว่า เยี่ยเทียนหายตัวไปในเขตของพวกเรา จึงต้องการให้พวกเราให้ความกระจ่างแจ้ง!”

“อีกฝ่าย?” จั่วเจียจวิ้นตกใจก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงเข้าใจทันที ที่แท้ ส.ส.เฉิน พูดถึงก็คือประเทศจีน

“อ้อ คุณจั่วครับ เยี่ยเทียนเป็นใครกันแน่ครับ? ทำไมถึงทำให้ฝั่งโน้นต้องตื่นตระหนกด้วย? คุณก็ตามหาเขาเหมือนกัน สามารถอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมครับ?”

ส.ส.เฉิน เพิ่งจะรับโทรศัพท์ เพราะอีกฝ่ายที่ทักทายมาเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงมาก เขาเป็นนายพลอาวุโสคนหนึ่ง มีรุ่นน้องอยู่ในกองทัพนับไม่ถ้วน สามารถพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง

และอย่ามองแต่ไต้หวันมัวแต่ร้องขอความเป็นอิสระตลอดทั้งวัน ความจริงอีกฝ่ายแค่ไม่อยากถือสาเอาความเท่านั้นเอง หากมีครั้งไหนที่ไต้หวันทำเกินไป เพียงแค่อีกฝ่ายส่งเรือซ้อมรบออกมาหนึ่งลำ ก็สามารถทำให้ฝั่งไต้หวันตื่นเต้นไปได้อีกพักใหญ่

จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้าแล้วพูด “คุณอย่าถามเรื่องสถานะดีกว่า ผมจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองครับ!”

จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าเมื่อวานตอนที่เขามาถึงไต้หวัน ถังเหวินหย่วนกำลังติดต่อกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งของประเทศจีน และเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าถังเหวินหย่วนจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้นสิบชั่วโมงกว่าก็สามารถทำให้ฝ่ายนั้นเริ่มการเคลื่อนไหวได้แล้ว

หลังจากโทรไปที่ฮ่องกง และแล้วก็เป็นเหมือนที่จั่วเจียจวิ้นคิดเอาไว้ แท้จริงแล้วถังเหวินหย่วนได้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของตัวเองเพิ่มแรงกดดันให้กับทางไต้หวัน หลังจากแจ้งสถานการณ์ที่ตัวเองลองคำนวณออกไปแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงตัดสาย

“ฝั่งนั้นไม่น่าจะมีปัญหาแล้วครับ ส.ส.เฉิน ผมว่าอย่าแพร่เรื่องนี้ออกไปแล้วก็เผาศพพวกนี้ไปเลยดีกว่าครับ” หลังจากวางสายแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงมองไปที่ ส.ส.เฉิน พลางคิดว่าเยี่ยเทียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตัวเองในฐานะศิษย์พี่จึงต้องจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังให้เรียบร้อย

“คุณจั่วครับ แบบ…แบบนี้ก็ได้แล้ว?” ตอนที่จั่วเจียจวิ้นโทรศัพท์ ส.ส.เฉิน ก็อยู่ข้างๆ ตลอด จึงมองเห็นเขาพูดอย่างสบายเพียงสองสามประโยค ก็สามารถทำให้เรื่องนี้สงบลงแล้ว?

จั่วเจียจวิ้นมองเห็น ส.ส.เฉิน ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อจึงยิ้มพูด “ครับ ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองโทรศัพท์ไปถามดูสิครับ?”

“ได้ครับ คุณจั่วรอผมสักครู่นะครับ ผมขอโทรศัพท์ก่อน” ส.ส.เฉิน พยักหน้า เพราะไม่เชื่อคำพูดของจั่วเจียจวิ้นง่ายๆ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์เดินออกไปจากเต้นท์บัญชาการชั่วคราว

“เอ๊ะ พวกคุณสองสามคนมาทำอะไร? โอ๊ย…”

ส.ส.เฉิน เพิ่งจะเดินออกมา ก็เกิดเสียงคำรามดังมาจากข้างนอกเต้นท์ จากนั้นก็มีเสียงร้องเจ็บดังตามมา จั่วเจียจวิ้นจึงรีบมุดออกมาจากเต้นท์เช่นกัน

“พวกคุณเป็นใคร?”

มีผู้ชายชาวตะวันตกสี่คนยืนอยู่ข้างนอกเต้นท์ หัวใจของจั่วเจียจวิ้นสั่นไหวโดยเฉพาะตอนที่มีผู้ชายหนึ่งคนในนั้นมองมาที่ตัวเอง ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกสัตว์ที่ดุร้ายจ้องมองอยู่

เนื่องจากเวลานี้นายทหารได้กลับไปหมดแล้ว จึงเหลือแต่ตำรวจของสถานีบางส่วน และพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเห็นว่าตัวเองเสียเปรียบจึงรีบชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่คนเหล่านี้

“พวกเราได้รับการไหว้วานให้ตามหาคนจีนที่ชื่อเยี่ยเทียนและคุ้มครองความปลอดภัยของเขาครับ นี่คือรูปภาพของเขา พวกคุณอย่าเข้าใจผิดครับ!”

เมื่อเห็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ชักปืนออกมา และถึงแม้ใบหน้าของชาวตะวันตกสองสามคนนั้นจะยังเหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ยังอธิบายออกมา และหนึ่งคนในนั้นก็เอาภาพถ่ายทางแฟกซ์ออกมาใบหนึ่ง

“ใครเป็นคนไหว้วานพวกคุณ?” จั่วเจียจวิ้นถาม

ผู้ชายผิวขาวพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอโทษครับ พวกเราไม่สามารถเปิดเผยความลับของนายจ้างได้!”

“คุณหญิงซ่ง?”

ในใจของจั่วเจียจวิ้นปรากฏเงาของคนหนึ่งออกมา และตอนนี้อธิบดีโจวที่ได้ยินการเคลื่อนไหวก็รีบออกมาพอดี จากนั้นจึงดึงเขาเอาไว้พลางพูด “อย่าเพิ่งให้คนสองสามคนนี้ออกไป ผมขอโทรศัพท์ก่อน!”

หลังจากรู้ข่าวที่เยี่ยเทียนถูกคนไล่ฆ่าเมื่อวาน ปฏิกิริยาแรกของจั่วเจียจวิ้นจึงรู้ว่าเป็นฝืมือของลูกหลานสกุลซ่ง ดังนั้นเขาจึงโทรหาซ่งเวยหลัน แล้วตำหนิติโทษเธอด้วยความโกรธ

แล้วผู้ชายผิวขาวสองสามคนนี้ก็ปรากฏอย่างกะทันหัน หนำซ้ำทุกคนไม่ใช่รุ่นน้องที่ว่าง่าย จึงสร้างแรงกดดันให้จั่วเจียจวิ้นเป็นอย่างมาก ที่สามารถว่าจ้างคนสองสามคนภายในระยะเวลาอันสั้นได้ นอกจากซ่งเวยหลันแล้ว คิดว่าคงไม่มีใครที่มีความสามารถสูงขนาดนี้

และจั่วเจียจวิ้นก็เดาถูก หลังจากเขาได้รับโทรศัพท์ ซ่งเวยหลันก็เกือบจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวและรีบมาที่ไต้หวัน

แต่การควบคุมอาณาจักรธุรกิจใหญ่ จึงทำให้ซ่งเวยหลันยังพอมีสติ เธอรู้ดีว่าถึงแม้ตัวเองมาถึงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอทำก็คือใช้เงินจำนวนหนึ่งว่าจ้างทีมทหารรับจ้างระดับสูงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ

พร้อมกับให้ค่าคอมมิชชั่นที่พวกเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกด้วย ซ่งเวยหลันจ่ายเงินไปครั้งนี้เกือบสามสิบล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าสำหรับชีวิตของลูกชายแล้ว เงินพวกนี้จึงไม่สำคัญ

ตอนที่จั่วเจียจวิ้นกำลังโทรศัพท์หาซ่งเวยหลัน เธอก็กำลังสั่งให้คนไปสืบการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของหลานชายของเธอ หลังจากที่รับสายของจั่วเจียจวิ้นและรู้ว่าลูกชายไม่น่าจะเป็นอะไร จึงทำให้เธอโล่งอก

ทว่าก็ได้ว่าจ้างทหารรับจ้างชาวตะวันตกพวกนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกเงินคืนได้

จากนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงพาสองสามคนนี้ไปเดินบนภูเขาหนึ่งรอบ หลังจากเห็นร่องรอยประจัญบานกัน เดิมทีทหารรับจ้างที่มีความยโสโอหังในตอนแรกอย่างผิดปกติ ต่อมาก็กลายเป็นความถ่อมตนและนอบน้อมมากขึ้น

พวกเขาเป็นบุคคลชั้นยอดในวงการทหารรับจ้าง ดังนั้นจึงรู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวพวกเขาเอง คาดว่าจุดจบก็คงไม่น่าจะต่างจากศพทั้งยี่สิบสองศพพวกนั้น

และภายใต้การควบคุมของฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไต้หวัน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นของฮ่องกง ไต้หวัน ประเทศจีนและวงการทหารรับจ้างสากลได้ถูกควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่เล็กที่สุด

แต่หลังจากสองวันผ่านไป เดิมทีจั่วเจียจวิ้นคิดว่าเยี่ยเทียนจะปรากฏออกมาเองก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาอีกแล้ว เพราะเยี่ยเทียนเหมือนกับคนที่หายตัวไปจากโลกนี้ และไม่มีข่าวใดๆ แพร่ออกมา

 ……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด