หมอดูยอดอัจฉริยะ 401 หญ้าคืนวิญญาณ

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 401 หญ้าคืนวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 401 หญ้าคืนวิญญาณ

ตอนที่โก่วซินเจียทำความรู้จักกับหูอวิ๋นเป้านั้น ถูกชาวญี่ปุ่นปิดล้อมพอดิบพอดี จากนั้นด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากการปิดล้อมบนเขาฉางไป๋กะทันหัน โก่วซินเจียจึงไม่มีเวลาสอบถามวิชากับหูอวิ๋นเป้าอย่างลึกซึ้ง

ดังนั้นหูหงเต๋อจึงเป็นคนที่รู้วิชารื่อเยว่เต้าที่เยี่ยเทียนพบเป็นคนแรก ปัจจุบันพอได้ยินชื่อเทพจิ้งจอกจากปากเขาอีก เยี่ยเทียนจึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ “บนโลกนี้มีเทพจิ้งจอกอยู่จริง ๆ เหรอครับ?”

“เรื่องนี้……ฉัน……ฉันเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแค่หลังจากร่ายคาถาแล้ว ก็สามารถสัมผัสพลังบางอย่างมาอยู่ในร่าง แล้วตั้งแต่ตอนแปดขวบที่อัญเชิญเทพจิ้งจอกมาคุ้มครองเสี่ยวเซียน เธอก็ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเยี่ยเทียน หูหงเต๋อเองก็อธิบายออกมาไม่ถูก เรื่องนี้ต้องโทษที่เมื่อในอดีตเขาไม่ยอมศึกษาวิชาคาถาอาคม ตอนนี้จะมานึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว

แต่หูหงเต๋อกลับเคยได้ยินพ่อกล่าวไว้ ว่าเมื่อสมัยอดีตที่เขาสามารถบุกเข้าไปลอบสังหารนายพลกองทัพในค่ายทหารญี่ปุ่นได้เพียงลำพัง นั่นเป็นเพราะอาศัยวิชาหลบหลีกจากในวิชาคาถาอาคม หากไม่มีวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังได้ขนาดนี้เช่นกัน

อีกทั้งหูหงเต๋อยังเคยเห็นท่านพ่อใช้เวทมนตร์ อัญเชิญเทพจิ้งจอกมาประทับร่างด้วยตาตนเอง ครั้งนั้นท่านพ่อที่อายุกว่าห้าสิบปีกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวราวกับลิงในเขาฉางไป๋ เป็นการเปิดหูเปิดตาหูหงเต๋ออย่างแท้จริง

แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันต่อชีวิตของหลานสาว ตอนนี้หูหงเต๋อจึงไม่มีกะจิตกะใจจะถกเรื่องคาถาอาคมกับเยี่ยเทียน ละล่ำละลักกล่าวว่า “เยี่ยเทียน อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เธอลองดูสิว่า จะสามารถติดต่อท่านอาหน่อยได้ไหม รบกวนเขาให้มาที่นี่สักหน่อยได้หรือเปล่า?”

หูหงเต๋อรู้ว่าโก่วซินเจียอายุล่วงเข้าเลขแปดแล้ว ว่ากันตามหลักควรจะให้ตนที่เป็นรุ่นหลังโขกหัวคำนับอัญเชิญมา แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ หูหงเต๋อเองก็ไม่คิดอะไรมากมายขนาดนั้น

เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล่าหู เมื่อครู่ผมโทรศัพท์หาศิษย์พี่ใหญ่แล้ว เขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับวิชาคาถาแถบนี้สักเท่าไหร่ เขาจะมาหรือไม่ความจริงเป็นเพราะสาเหตุนี้แหละ”

“ถ้า…… ถ้าอย่างนั้นเสี่ยวเซียนจะไม่?”

หูหงเต๋อได้ยินเข้าก็ตกตะลึงหนัก ถ้าหากแม้แต่โก่วซินเจียยังอับจนหนทางล่ะก็ บนโลกใบนี้เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตหลานสาวได้อีกแล้ว ใบหน้าของหูหงเต๋อพลันเผยให้เห็นถึงอารมณ์โศกเศร้า

” เหล่าหู ความหมายของผมก็คือ ผมอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่จะมาหรือไม่ล้วนมีค่าเท่ากัน!” เห็นว่าหูหงเต๋อฟังความหมายของตนไม่เข้าใจ เยี่ยเทียนจึงกล่าวย้ำคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง

“เยี่ยเทียน เธอ……เธอหมายความว่า เธอสามารถช่วยเสี่ยวเซียนได้งั้นเหรอ? ” ครั้งนี้หูหงเต๋อฟังเข้าใจแล้ว มองยังเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ภายในใจค่อนไปทางไม่เชื่ออยู่หลายส่วน

ในอดีตโก่วซินเจียใช้สามกระบวนท่าล้มท่านพ่อของตน อีกทั้งยังใช้คาถาสร้างค่ายกลสกัดกั้นผีน้อยเอาไว้ เหตุการณ์พวกนี้หูหงเต๋อล้วนเห็น ด้วยตาตัวเอง ท่วงท่าของวีรบุรุษไร้คู่ต่อกรผู้นั้น กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงห้าหกสิบปีแล้ว ยังคงประทับอยู่ในใจเขาอย่างไม่เคยจางหาย

แต่เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น กระทั่งใบหน้ายังคงแฝงด้วยความไร้เดียงสา ไม่ว่าอย่างไรหูหงเต๋อก็ไม่อาจเชื่อมโยงเขากับจอมขมังเวทย์ในความทรงจำได้เลย

“ไม่อาจรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ลองดูได้ครับ!”

จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนก็ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเซียนถูกคาถาอาคมประเภทไหน เพียงสามารถลองใช้วิชาจับวิญญาณดูเท่านั้น จึงไม่กล้ารับประกันต่อหูหงเต๋อ

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ว่าต่อ” เหล่าหูครับ หากอยากให้ผมช่วยรักษาหลานสาวคุณ ต้องมีเงื่อนไขสองข้อ”

“เธอว่ามาเลย ขอให้เป็นเรื่องที่ฉันทำได้ เงื่อนไขสิบข้อก็ตกลง!”

หูหงเต๋อเร่งรีบตกลงทันใด เขาและโก่วซินเจียมีความเกี่ยวดองกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีความสนิทสนมกับเยี่ยเทียนด้วย คนอื่นย่อมไม่ช่วยเหลือเรื่องของตนเปล่าๆ อยู่แล้ว

เยี่ยเทียนพยักหน้ากล่าว “อย่างแรก ตอนที่ผมร่ายอาคม ภายในห้องนอกจากคุณแล้ว ห้ามมีคนอื่นอีก ถ้าข้อนี้ทำไม่ได้ล่ะก็ หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอีกเลย”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ฉันจะไล่พวกเธอออกไปเอง ฉันไม่โมโหโวยวาย เจ้าเด็กพวกนี้คงนึกว่าหลายปีมานี้ฉันถือศีลกินเจจริง ๆ แล้วกระมัง?”

หููหงเต๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพื่อชีวิตของหลานสาว ถึงต้องพลิกสีหน้าใส่ลูกชายกับลูกสะใภ้ ก็ต้องรับประกันให้ได้ว่าขณะเยี่ยเทียนร่ายคาถาอาคมจะไม่ถูกก่อกวน

“งั้นก็ดีครับ เงื่อนไขที่สองคือ ผมจำเป็นต้องใช้รากของหญ้าคืนวิญญาณ สิ่งนี้คุณสามารถหาได้ไหม?”

จากคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่นั้น ต้องนำหญ้าคืนวิญญาณมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาผสมกับกำยานแล้วจุดไฟ หากไม่มีสิ่งนี้ ประสิทธิภาพการร่ายคาถาจับวิญญาณของเยี่ยเทียนจะลดลงอย่างมาก

” หญ้าคืนวิญญาณ? มันคืออะไรกันน่ะ? ” หูหงเต๋อได้ยินเข้าก็ตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินถึงเจ้าสิ่งนี้มาก่อน

“คุณไม่รู้จักเหรอครับ?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นความตกใจ ตามที่ศิษย์พี่ว่าไว้ พื้นที่อาณาเขตตะวันออกเฉียงเหนือนี้ควรจะมีหญ้าคืนวิญญาณขึ้นอยู่

หูหงเต๋อส่ายหน้ากล่าว “ไม่รู้จัก เธออธิบายรูปร่างลักษณะของมันมาหน่อยซิ? พวกต้นไม้ในป่าของพวกเรานี่ ล้วนมีชื่อเรียกหลายอย่างมาก

” มันเป็นพืชชนิดหนึ่ง สูงน่าจะระหว่างหกสิบเซนติเมตร ถึงหนึ่งเมตรครึ่ง รากแง่งหนาสั้น ขึ้นเป็นพุ่มส่วนใหญ่มีรากยาวละเอียด ผิวด้านนอกสีเทาอมน้ำตาล ใบไม้ทรงรีแบน

ต้นไม้นี้จะออกดอกหน้าร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ช่อดอกมีจำนวนมาก ใบประดับมีสามชั้น ทรงครึ่งวงกลม สีเขียวเหลือบม่วงเล็กน้อย ขอบของดอกย่อยเป็นสีม่วงน้ำเงิน เหล่าหู ผมเองก็รู้เท่านี้แหละ คุณว่ามีพืชที่ลักษณะคล้ายคลึงบ้างไหม? “

ความทรงจำของเยี่ยเทียนดีเยี่ยม โก่วซินเจียอธิบายลักษณะพิเศษของหญ้าคืนวิญญาณให้เขาฟังทางโทรศัพท์รอบเดียว เวลานี้ก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว

หูหงเต๋อครุ่นคิดอย่างละเอียด พลันดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา กล่าวขึ้นเสียงดัง “ต้นนี้มันเรียกว่าผักเฝือกลานี่  มี ในป่าเราก็เห็นต้นพวกนี้เหมือนกัน!”

“ผักเฝือกลา? ชื่อนี้น่าสนใจดีนะครับ เหล่าหู คุณแน่ใจใช่ไหม?” พืชพรรณไม้บนเขาฉางไป๋มีนับหมื่นชนิด เยี่ยเทียนเพียงกลัวว่าหูหงเต๋อจะเข้าใจผิดเท่านั้นเอง

“แน่ใจ ก็คือผักเฝือกลานั่นแหละ!” ตั้งแต่วันแรกที่เกิดหูหงเต๋อก็เติบโตภายในป่าเขาฉางไป๋ จากนั้นก็ติดตามผู้อาวุโสในครอบครัวเรียนรู้การแพทย์แผนจีน สำหรับสมุนไพรพวกนี้แล้วสามารถพูดได้ว่ารู้ลึกเหมือนบนฝ่ามือของตัวเอง

“แต่ว่าในฤดูนี้ใบของผักเฝือกลาคงร่วงหล่นหมดแล้ว จะหารากของมันคงไม่ง่ายนัก”

หูหงเต๋อพูดพลางขมวดคิ้ว ถ้าหากเป็นฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงสองฤดูนี้ล่ะก็ จะเป็นช่วงเวลาบานของผักเฝือกลาพอดิบพอดี สามารถเห็นได้ในหลายๆ ที่

แต่เวลานี้ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว บนเขานอกจากต้นสน พรรณไม้อื่นๆ ล้วนเตียนโล่งไปหมด อีกทั้งรากหญ้าสมุนไพรพวกนี้หลงเหลือก็ฝังอยู่ในดิน จะหาขุดขึ้นมานั้นค่อนข้างยากลำบาก

“เยี่ยเทียน เอาอย่างนี้ ฉันจะกลับขึ้นไปบนเขาเดี๋ยวนี้ เธอรอฉันที่นี่สักหนึ่งวัน อย่างช้าพรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันก็จะสามารถนำเอาหญ้าคืนวิญญาณมาได้ เธอเห็นว่าเป็นยังไง?”

เพื่อชีวิตของหลานสาว หูหงเต๋อเองก็ไม่คิดอะไรให้มากแล้ว ถึงต้องใช้มือขุด ก็จะต้องหาหญ้าคืนวิญญาณนี้มาให้ได้

“เหล่าหู ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีธุระอะไร ถ้ายังไงผมตามไปกับคุณดีกว่าครับ!”

เยี่ยเทียนคิด ๆ ดูว่าตัวเองเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วยเองก็น่าเบื่อเกิน โดยเฉพาะคนป่วยเป็นผู้หญิงแล้ว สู้ตามหูหงเต๋อไปเดินเล่นในเขาฉางไป๋สักรอบดีกว่า

“เยี่ยเทียน เขาฉางไป๋เดินทางไม่สะดวก เธอเป็นคนเติบโตภายในเมือง ถ้าไปเกรงว่าจะไม่เคยชินน่ะสิ” หูหงเต็อได้ยินแล้วส่ายหน้า เขากลัวว่าเยี่ยเทียนติดตามไปจะถ่วงเวลาเขาตามหาหญ้าคืนวิญญาณ

เยี่ยเทียนมองออกถึงความคิดของหูหงเต๋อ หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “เหล่าหู ผมไม่ได้เติบโตมาในเมืองหรอกครับ ตั้งแต่ผมอายุห้าขวบก็เที่ยวเล่นในเขาเหมาซานตลอดทั้งวันแล้ว อย่าดูถูกผมเชียว!”

“งั้นก็ได้ พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลย!”

หูหงเต๋อเป็นคนอารมณ์ร้อน ควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนังอีกสองร้อยเหรียญวางไว้บนโต๊ะ แล้วลากเยี่ยเทียนเดินออกมาจากร้านบะหมี่

หลังจากปิดคลินิกเล็กๆ ลงแล้ว หูหงเต๋อก็อาศัยอยู่ในเขาฉางไป๋ตลอดทั้งปี ช่วงปีหลังๆ มานี้มีการปิดเขาปลูกป่า ห้ามล่าสัตว์อย่างเข้มงวดแล้ว หูหงเต๋อก็มักไปเก็บสมุนไพรล้ำค่าอยู่บ่อยๆ จึงมีเงินใช้ไม่ขาดมือ

“เอ่อ ให้ผมโทรศัพท์ก่อนนะครับ”

เดิมทีเยี่ยเทียนตั้งใจจะกลับไปโรงพยาบาลเพื่อบอกอวี๋ชิงหย่าก่อนสักคำ นึกไม่ถึงว่าจะถูกหูหงเต๋อลากตรงขึ้นรถม้า ได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก โทรหาอวี๋ชิงหย่า

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนไปอยู่กับคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนได้ยังไง แต่อวี๋ชิงหย่าก็รู้ความสามารถของแฟนหนุ่มดี จึงไม่นึกเป็นห่วง เพียงให้เยี่ยเทียนระวังตัวหน่อยเท่านั้น

“เอ้า! ไป……”เยี่ยเทียนเคยนั่งรถยนต์รถไฟเครื่องบินมาหมดแล้ว แต่ว่าเพิ่งเคยนั่งรถม้าเป็นครั้งแรก เห็นหูหงเต๋อหวดแส้ฟาดม้า จึงรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง

เมืองฉางไป๋ไม่กว้างใหญ่นัก ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็ออกจากตัวเมืองแล้ว วิ่งบนพื้นดินขรุขระนั้น ยังไวกว่าในเมืองมาก

“เยี่ยเทียน วรยุทธ์ของเธอ เยี่ยมยอดจริงๆ”

หลังขึ้นรถม้ามาแล้ว หูหงเต๋อก็นั่งบนเพลารถคนละฝั่งซ้ายขวากับเยี่ยเทียน พอสองคนได้เคียงบ่าเคียงไหล่ จึงพบว่าภายในแจ็คเก็ตของเยี่ยเทียนนั้น สวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ เพียงตัวเดียว

ที่สำคัญ อุณหภูมิภายในเขาฉางไป๋เมื่อใกล้เดือนพฤษจิกายน ก็ติดลบแล้ว ต่อให้เป็นหูหงเต๋อ ก็ยังต้องใส่ทับด้วยเสื้อกั๊กขนจิ้งจอกไฟ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถต้านทานความหนาวเย็นขนาดนั้นได้

เวลานั้นหูหงเต๋อถึงเข้าใจว่าตนเองดูถูกเยี่ยเทียนเกินไป เรื่องอื่นนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความสามารถในการทนร้อนทนหนาวอย่างนี้ของเยี่ยเทียน ตนเองก็ห่างชั้นไปไกลแล้ว

เยี่ยเทียนยิ้มแย้มกล่าว “ผมโชคดีเท่านั้นแหละ เหล่าหู อีกไกลแค่ไหนจะถึงสถานที่ที่คุณอยู่หรือครับ?”

เวลานั้นรถม้าขึ้นไปทางบนเขาแล้ว สองข้างทางล้วนเป็นทางแคบขรุขระเต็มไปด้วยป่าต้นไป๋ฮว่า นั่งอยู่บนรถม้าราวกับกำลังเต้นรำ กระเด้งกระดอนไปหมดทั้งตัว

หูหงเต๋อยกแส้ม้าขึ้น ชี้ไปยังด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “ผ่านสถานีป่าไม้ด้านหน้า เดินเข้าไปข้างในแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง รถม้านี่เป็นของสถานีป่าไม้ ฉันต้องเอาไปคืน”

ขณะที่พูดอยู่นั้น ทางแคบด้านหน้าก็เปิดออก สถานีป่าไม้ที่เต็มไปด้วยท่อนไม้ดิบก็ปรากฎอยู่ต่อหน้าสายตา

“ท่านปู่หู เสี่ยวเซียนไม่เป็นไรใช่ไหม? ทำไมถึงกลับมาไวอย่างนี้ล่ะ แล้วน้องชายคนนนี้คือ?”

หลังจากหยุดรถม้าแล้ว ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าก็เข้ามาต้อนรับ มองยังเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัยเล็กน้อย ยื่นห่อซิการ์ให้แก่หูหงเต๋อกับเยี่ยเทียนมวนหนึ่ง

“ยัยหนูมันดวงแข็ง ไม่ต้องกลัวหรอก บุหรี่นี่ฉันไม่สูบ สูบยาเส้นของฉันดีกว่า”

หูหงเต๋อผลักซิการ์กลับไป กล่าวว่า “หัวหน้าสถานีซ่ง นี่คือเพื่อนนักเรียนของเสี่ยวเซียนน่ะ เข้ามาเที่ยวเขากับฉัน นายเอาเหล้ามาให้ฉันหน่อย ตอนกลางคืนจะได้อุ่นๆ!”

“ได้สิ ท่านปู่หู เดี๋ยวถ้าท่านล่ากวางได้ ก็แบ่งเนื้อให้ผมหน่อยล่ะ”

หูหงเต๋ออาศัยอยู่ในป่ามาสิบกว่าปี ในสถานีป่าไม้ใครเจ็บป่วยขึ้นมาเป็นต้องเชิญเขาให้ไปดูทุกคน จึงได้รับการต้อนรับจากทุกคนเป็นอย่างดี หัวหน้าสถานีซ่งผู้นั้นตอบรับคำแล้ว ก็กลับห้องไปหยิบเหล้าออกมาสี่ขวด

 ……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด