หมอดูยอดอัจฉริยะ 407 เรียกวิญญาณ (3)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 407 เรียกวิญญาณ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 407 เรียกวิญญาณ (3)

หลังจากเข้าไปในห้อง เยี่ยเทียนก็หันหน้าไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “เหล่าหู เฝ้าประตูไว้นะ ห้ามใครเข้ามาแม้แต่คนเดียว!”

บรรดาวิชาที่เยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดมาในสมองนั้น ส่วนมากเขาก็เข้าใจหลักการและเหตุผลของวิชาเหล่านั้นอยู่ แต่มีเพียงวิชาเรียกวิญญาณนี้เท่านั้น ที่เยี่ยเทียนไม่เคยรู้เลยว่าหลักทฤษฎีของมันนั้นอยู่ตรงไหน จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นไปด้วย

“ได้เล้ย คุณวางใจเถอะนะ ต่อให้เป็นท้าวโลกบาลผมก็จะไม่ปล่อยให้เข้ามาได้เด็ดขาด!”

หูหงเต๋อตอบรับ มองซ้ายมองขวาแวบหนึ่ง แล้วเดินตรงไปที่ข้างเตียง ย้ายตู้ข้างหัวเตียงไปไว้ข้างประตูห้อง จากนั้นก็หย่อนก้นนั่งลงไปบนตู้นั้นเลย

“เหล่าหู นี่ถ้าคุณเกิดเร็วกว่านี้สักสามสิบปีละก็ จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าพ่อของคุณเองแน่นอนเลยละ!”

เมื่อเห็นการกระทำของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี ตาเฒ่านี่ไม่เสียทีที่เกิดมาในรังโจร อายุปาเข้าไปหกเจ็ดสิบแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรเหมือนพวกกุ๊ยพวกโจรอยู่อีก

เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหน้า นำถุงย่ามของหูหงเต๋อมา แล้วหยิบตะเกียงแอลกอฮอล์และชุดเข็มที่เพิ่งซื้อนั้นออกมาจากถุง

เมื่อจุดตะเกียงแอลกอฮอล์และนำเข็มไปฆ่าเชื้อแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปยืนอยู่หน้าเตียงของหูเสี่ยวเซียน นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ข้างขวาถือเข็มขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วฝังลงไปที่เส้นลมปราณตำแหน่งอกและท้องของหูเสี่ยวเซียน

หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว มือขวาของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ฝังเข็มเงินอีกห้าเล่มลงไปบนร่างของหูเสี่ยวเซียนทั้งที่ยังมีผ้ากั้นอยู่ จนหูหงเต๋อที่อยู่ข้างประตูเห็นแล้วตะลึงอึ้ง เขาเป็นแพทย์แผนจีนมาทั้งชีวิต เพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าเขาฝังเข็มกันแบบนี้ก็ได้ด้วย

เมื่อฝังไปห้าเข็มแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มหอบเบาๆ ในเข็มเงินทั้งห้าเล่มนี้ แต่ละเล่มล้วนแฝงไว้ด้วยพลังแห่งชีวิต และแยกย้ายกันฝังไปบนตำแหน่งเส้นลมปราณหัวใจ ม้าม ปอด ไตและตับของหูเสี่ยวเซียน

เส้นลมปราณหัวใจ ม้าม ปอด ไตและตับนั้นถูกเรียกรวมเป็นอวัยวะภายในทั้งห้าของมนุษย์ ซึ่งตรงกับธาตุทั้งห้าอันได้แก่ ไฟ ดิน ทอง น้ำ ไม้

เยี่ยเทียนกำลังใช้พลังจากเข็มเงินกระตุ้นปราณที่อวัยวะภายในทั้งห้าของหูเสี่ยวเซียน เพื่อให้ระบบการทำงานในร่างกายของเธอฟื้นฟูกลับมาได้ในเวลาเพียงเล็กน้อย

หลังจากฝังลงไปห้าเข็ม เยี่ยเทียนก็หยิบเข็มเงินออกมาอีกเล่มหนึ่ง แล้วฝังลงไปที่จุดอิ้นถัง (หว่างคิ้ว) ของหูเสี่ยวเซียน โดยเข็มนี้สำหรับใช้ตรึงวิญญาณ

ร่างกายของคนนั้นมีสามจิตเจ็ดวิญญาณ ซึ่งเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณของคน ปกติวิญญาณของคนจะอยู่กับร่างกาย แต่หากคนผู้หนึ่งประสบเรื่องไม่คาดฝันหรือตื่นกลัวขึ้นมา วิญญาณของคนผู้นั้นก็จะหลุดออกจากร่าง และยากที่จะกลับคืนมาได้

หากเสียไปหนึ่งจิตและหนึ่งวิญญาณ ก็จะทำให้เซื่องซึมไม่มีชีวิตชีวา สติเหม่อลอย หากเสียไปสองจิตก็จะทำให้หลับไม่ตื่น หากสามจิตเจ็ดวิญญาณกระเจิงหายไปจนหมด เวลาตายของคนผู้นั้นก็จะมาถึงแล้ว

จนถึงตอนนี้หูเสี่ยวเซียนก็ยังมีพลังปราณแห่งชีวิตอยู่ แปลว่าสามจิตเจ็ดวิญญาณของเธอไม่ได้ถูกคนชักนำไปจนหมด เข็มที่เยี่ยเทียนฝังลงไปเข็มนี้สามารถตรึงสกัดวิญญาณในร่างของเธอได้ และช่วยกระตุ้นความรู้สึกตัวของหูเสี่ยวเซียน

หลังจากขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ใบหน้าของหูเสี่ยวเซียนที่ตอนแรกขาวซีดนั้น ก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว การเคลื่อนไหวที่หน้าอกขณะหายใจก็ค่อยๆ คงที่มากขึ้น เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า คราวนี้เขาไม่ได้เสียแรงไปเปล่าๆ แล้ว

เยี่ยเทียนกระถางธูปใบนั้นออกมา แล้วใส่สมุนไพรเรียกวิญญาณที่บดเป็นผงแล้วลงไปในกระถาง แล้วลูบวนจนเป็นเส้นลายก้นหอย จากนั้นก็จุดไฟแช็กที่ปลายเส้นนั้น

อาจเพราะมันมีคุณสมบัติเหมือนธูปอยู่แล้ว ควันกลุ่มหนึ่งจึงลอยออกมาจากกระถางธูป แต่ที่เผาอยู่นั้นเร็วยิ่งกว่าเผาธูปมากนัก ผ่านไปไม่นาน ทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ปกคลุมไปด้วยควันที่ให้กลิ่นขมปร่าเล้กน้อย

หูเสี่ยวเซียนที่นอนมาสามวันแล้ว หลังจากได้กลิ่นนี้ ร่างก็กระตุกขึ้นมาในฉับพลัน ไอปราณที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมานอกร่าง แล้วลอยอยู่กลางอากาศเหนือร่างของเธอ

‘ที่เรียกกันว่าวิญญาณนั้น ที่จริงแล้วก็คือสิ่งที่ก่อขึ้นจากไอปราณในร่างกายคนนั่นเอง สาเหตุที่เสี่ยวเซียนหลับใหลไม่ตื่นนั้น ก็น่าจะเป็นเพราะพลังปราณถูกคนอื่นดูดไปนี่แหละ!’

เมื่อเห็นไอปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของหูเสี่ยวเซียน เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมาทันที พลังปราณนั้นเป็นพื้นฐานของร่างกายคน หากพลังปราณสิ้นไป คนก็ย่อมจะสิ้นชีพเป็นธรรมดา

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะมาขบคิดใคร่ครวญ เยี่ยเทียนจึงชูสองมือขึ้นมาวาดค่ายกลกลางอากาศสองชุด ปากก็ตวาดว่า “ไป!”

หลังจากสิ้นเสียงตวาดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นอุณหภูมิทั่วทั้งห้องคนไข้ก็ลดวูบลง ม่านหน้าต่างพัดโบกขึ้นมาสูงทั้งที่ไร้ลม ส่วนร่างของหูเสี่ยวเซียนก็เหมือนจะเปล่งประกายออกมาวาบหนึ่ง แล้วก็ดับวูบไปทันที

เยี่ยเทียนหลับตาลง แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นห่างจากเตียงของหูเสี่ยวเซียนไปสามเมตร มือจับนิ้วร่ายอาคมไปที่ร่างของหูเสี่ยวเซียนไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันปากก็เปล่งเสียงขรึมต่ำออกมา “ธิดาตระกูลหู นามว่าเสี่ยวเซียน วิญญาณจงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้!”

ระหว่างที่เยี่ยเทียนท่องประโยคนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนบริกรรมคาถา พลังชี่ภายในห้องคนไข้ก็เริ่มปั่นป่วนขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลที่เยี่ยเทียนร่ายออกไปกลางอากาศเหนือร่างของหูเสี่ยวเซียนนั้นปล่อยแรงดึงดูดออกมา ทำให้พลังชี่ภายในห้องพุ่งไปยังร่างของหูเสี่ยวเซียนอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อพลังชี่เหล่านั้นไปสัมผัสกับไอปราณที่ปกคลุมร่างของหูเสี่ยวเซียนอยู่ ก็แตกกระจายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าทั้งสองไม่อาจสัมผัสกันได้เลย

และเสียงบริกรรมขรึมต่ำของเยี่ยเทียนนั้นก็ชักนำพลังปราณของหูเสี่ยวเซียนทะลุผ่านหน้าต่างออกไปสู่ท่ามกลางค่ำคืนอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างกับมีเวทมนตร์ ราวกับจะออกไปเสาะหาวิญญาณที่กระจายหายไปของตัวเอง

“นี่มันเรียกวิญญาณหรือดูดวิญญาณกันแน่เนี่ย?”

ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังนั่งร่ายอาคมโดยไม่สนสิ่งรอบข้างอยู่นั้น หูหงเต๋อที่อยู่ข้างประตูก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เสียงของเยี่ยเทียนนั้นราวกับเป็นคำสาปก็ไม่ปาน ทำให้สมองเขาปวดตื้อขึ้นมา และถึงขั้นรู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

หูหงเต๋อหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมจิตใจไว้ เขาถึงจะพอมีสติขึ้นมาบ้าง จึงรีบฉีกผ้าจากเสื้อผ้าบนร่างออกมาสองชิ้น แล้วอุดหูเอาไว้แน่น

……

หิมะตกหนักไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ จนภูเขาฉางไป๋ทั้งลูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ที่เชิงเขาทางทิศเหนือห่างจากที่พักของหูหงเต๋อไปหกสิบกว่ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีอยู่สิบกว่าครอบครัวตั้งอยู่

หมู่บ้านยามฤดูหนาวนั้นเงียบเหงากว่าปกติ แม้แต่สุนัขล่าเนื้อก็กลับไปขดตัวอยู่ในรังกันหมด แต่ในกระท่อมไม้หลังหนึ่งตรงปลายหมู่บ้านฝั่งที่ติดกับภูเขานั้นกลับสว่างเจิดจ้า และมีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังออกมาเป็นครั้งคราว

กระท่อมหลังนี้สร้างอย่างปุปะ อยู่ห่างไกลจากบ้านหลังอื่นๆ ในหมู่บ้านมาก จึงดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง ตรงฝั่งซ้ายของประตูบ้านนั้น มีเสาไม้ไผ่ลำยาวตั้งอยู่ต้นหนึ่ง บนยอดเสาไม้ไผ่นั้นผูกผ้าแดงยาวสามนิ้วเศษไว้ผืนหนึ่ง

บนผ้าแดงปักป้ายธงสีดำรูปสามเหลี่ยมไว้ ปลายถูกฉีกเป็นสามแถบ โดยแถบตรงกลางกว้างกว่า และแถบข้างๆ แคบกว่าและสั้นกว่าเล็กน้อย ปลายด้านล่างปักพู่ดำเป็นทรงห้านิ้วไว้ ส่วนปลายแถบตรงกลางปักพู่ดำทรงฟันเลื่อย

ถ้าเยี่ยเทียนหรือหูหงเต๋อมาอยู่ตรงนี้ มองปราดเดียวก็คงจะดูออกแล้วว่า นี่คือธงดูดวิญญาณซึ่งมีแต่ชนเผ่าแมนจูเท่านั้นที่จะมี และบนแถบผ้าที่อยู่ตรงกลางธงนั้น ยังเขียนชื่อของหูเสี่ยวเซียนไว้อีกด้วย

ในกระท่อมมีคนนั่งอยู่ห้าคน และกำลังดื่มสุรากันอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่ทำจากสัตว์ป่าบนเขา ชามตรงกลางเป็นซุปที่ใสจนมองเห็นก้นชาม ซึ่งก็คือซุปมังกรบินที่ซ่งฉ่างฉางพูดถึงไปนั่นเอง

“ปู่เมิ่ง มา ผมคารวะปู่หนึ่งถ้วย!”

ชายวัยสามสิบต้นๆ ปากแหลมแก้มลิงยกถ้วยสุราดื่มจนหมดแล้วเช็ดปาก “ปู่เมิ่ง กับดักที่พวกเราวางไว้พวกนั้นโดนไอ้หูสามทำลายไปหมดแล้วนะ นี่ถ้ายังไม่ได้ตัวมาอีกละก็ เงินนั่นก็เสียไปเปล่าๆ น่ะสิ!”

ชายคนนี้ชื่อกัวจื่อเชิน เดิมทีเป็นนักเลงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เดินทางไปรัสเซียคนเดียว สามปีให้หลังเมื่อกลับมาก็กลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้ว

ตอนแรกคนอื่นๆ ต่างก็นึกว่าเขาร่ำรวบขึ้นมาได้จากการค้าขาย แต่ความเป็นจริงแล้วเขาทำธุรกิจมืดลักลอบล่าสัตว์หายากบนภูเขาฉางไป๋แล้วนำไปขายให้ต่างประเทศ และได้กำไรมาก้อนโตจากธุรกิจนี้

หากไปเดินตามถนนยามกลางคืนบ่อยครั้งเข้า สุดท้ายก็จะต้องเจอผี ตอนที่ไปล่าเสือโคร่งไซบีเรียครั้งหนึ่ง กัวจื่อเชินก็ไปเจอกับหูหงเต๋อ จึงถูกจับไปเข้าตะรางด้วยโทษจำคุกสามปี

อาชญากรพวกนี้มักจะเป็นโรคเหมือนๆ กันคือ คิดแต่จะหาผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง หลังจากกัวจื่อเชินรับโทษจนครบกำหนดและกลับบ้านไปใช้เงินที่เหลืออยู่ได้สองปี ในที่สุดก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว และตกลงรับธุรกิจไปรายหนึ่ง

แต่ในใจเขาก็ยังหวาดกลัวหูหงเต๋ออยู่ การลักลอบล่าสัตว์ครั้งนี้นอกจากเขาจะติดต่อกับพวกที่เคยถูกหูหงเต๋อจัดการไปเหมือนๆ กันแล้ว เขายังมาหาไอ้บอดเมิ่งที่อยู่ในหมู่บ้านอีกด้วย

ไอ้บอดเมิ่งที่จริงก็ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่บ้านนี้ ว่ากันว่าปู่ของเขาเคยเป็นขุนนางใหญ่ที่เมืองเฟิ่งเทียน แต่ทว่าหลังจากที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกจับเป็นนักโทษ ครอบครัวของไอ้บอดเมิ่งก็เลยมาอยู่ที่นี่

แต่พ่อของไอ้บอดเมิ่งนั้นโชคไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นหลังจากที่หูอวิ๋นเป้าเร้นกายเข้าป่า เขาก็ไปเข้าร่วมพรรคก๊กมินตั๋ง เมื่อปี 1949 ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ไปไต้หวันอีก หลังจากสถาปนาประเทศก็ถูกคนไปรายงานเปิดโปง สุดท้ายจึงจบชีวิตลงโดยการประหารยิงเป้า

ตอนนั้นไอ้บอดเมิ่งแม้เพิ่งจะอายุเพียงสิบสองสิบสามปี แต่เมื่อหาเลี้ยงชีพอยู่บนภูเขาฉางไป๋ ถึงอย่างไรก็คงไม่อดตายแน่ ผ่านไปหลายสิบปี ไอ้บอดเมิ่งก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในถิ่นภูเขาฉางไป๋

ทว่าตั้งแต่บิดาถูกลงโทษยิงเป้า ไอ้บอดเมิ่งก็กลายเป็นคนนิสัยประหลาดพิลึก มิหนำซ้ำยังไปหัดวิชาทรงเจ้าเข้าผีมาจากไหนไม่ทราบ ขนาดวันปกติธรรมดายังดูท่าทางน่าขนลุก จึงทำให้บรรดาชาวบ้านต่างพากันถอยห่างด้วยความเคารพ

แต่กัวจื่อเชินรู้ว่า ไอ้บอดเมิ่งนั้นฝีมือยิงปืนเยี่ยมมาก ถ้าจะพูดถึงคนที่พอสูสีกับหูหงเต๋อได้ในรัศมีหลายร้อยลี้แถบภูเขาฉางไป๋นี้ ก็คงจะมีแต่ไอ้บอดเมิ่งคนเดียว กัวจื่อเชินถึงได้ลากเขามาเอี่ยวด้วย

“กับดักนั่นที่จริงมันก็ไม่ได้เอาไว้จับเสือโคร่งไซบีเรียอยู่แล้ว” ไอ้บอดเมิ่งกรอกเหล้าแรงลงท้องไป แล้วกลอกตามองบน ปกติเขาก็มีเนื้อตาขาวเยอะอยู่แล้ว พอทำแบบนี้เลยยิ่งมองไม่เห็นลูกตาดำเข้าไปใหญ่

“ปู่เมิ่ง ไอ้หูสามมันก็อยู่บนเขานี่มาหลายสิบปีแล้ว ถึงวางกับดักไปก็คงทำอะไรมันไม่ได้หรอกมั้งครับ?”

ขณะที่กัวจื่อเชินพูดถึงหูหงเต๋อ ในดวงตาก็เต็มเปี่ยมด้วยความเจ็บแค้น ภูเขาฉางไป๋นี่ก็ไม่ใช่ของหูหงเต๋อคนเดียวเสียหน่อย แล้วมันมีสิทธิ์อะไรมาห้ามพวกตนไม่ให้ล่าสัตว์ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเล่า?

“ทำอะไรมันไม่ได้ แต่ฉันทำหลานสาวมันได้ก็แล้วกัน ผ่านไปอีกเจ็ดวัน หูเสี่ยวเซียนจะต้องตายแน่นอน อาศัยจังหวะนั้นจัดการเรื่องให้เสร็จ แล้วฉันจะไปเก็บไอ้แก่นั่นเอง!”

ไอ้บอดเมิ่งฉีกขาหมูป่าที่ย่างจนเหลืองเกรียมมาข้างหนึ่ง แล้วกัดลงไปอย่างดุเดือด เขาเองก็มีความแค้นต่อหูหงเต๋อไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนี้เลย

ภาษิตว่า ให้ข้าวหนึ่งกำมือก่อบุญคุณ ให้ข้าวหนึ่งทะนานก่อความแค้น หลังจากที่พ่อของไอ้บอดเมิ่งถูกประหารยิงเป้า หูอวิ๋นเป้าก็ช่วยดูแลครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี แต่ละเดือนส่งข้าวส่งแป้งมาให้ไอ้บอดเมิ่งกับแม่มากมาย

แต่ต่อมาหูอวิ๋นเป้าเองก็มีเรื่องต้องเข้าไปหลบอยู่ในส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋เช่นกัน อีกทั้งข่วงหลายปีนั้นภัยธรรมชาติก็รุนแรงมาก ครอบครัวหูหงเต๋อเองก็ต้องอดมื้อกินมื้อ จึงย่อมไม่มีกำลังจะช่วยเหลือไอ้บอดเมิ่งเป็นธรรมดา

แต่ไอ้บอดเมิ่งผู้จิตใจคับแคบ กลับเกิดความแค้นต่อครอบครัวของหูอวิ๋นเป้าขึ้นมาด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็มักจะหาเรื่องปะทะกับหูหงเต๋ออยู่เสมอ จนในถิ่นภูเขาฉางไป๋อันกว้างใหญ่นี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่รู้ว่าทั้งสองคนไม่ถูกกัน

“กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง!” ขณะที่คนกลุ่มนั้นกำลังเจรจากันเรื่องการล่าเสือโคร่งไซบีเรียอยู่ จู่ๆ กระดิ่งใบหนึ่งที่มุมห้องก็ดังขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีลม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด