หมอดูยอดอัจฉริยะ 456 มวยใต้ดิน (3)

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 456 มวยใต้ดิน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หือ? อู่เฉิน คุณมาคนเดียวเหรอ? แล้วเหล่าชิวล่ะ?”

ขณะที่เดินไปด้านนอกเรือนสี่ประสาน ก็ได้มีรถอเนกประสงค์จอดอยู่ที่นั่นคันหนึ่ง เยี่ยเทียนขึ้นรถมา นอกจากอู่เฉินที่ขับรถก็ไม่มีใครอยู่ในรถอีก

ชิวเหวินตงและเยี่ยเทียนสามารถเรียกกันแบบพี่น้องได้ แต่อู่เฉินไม่กล้า หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เขาจึงรีบพูดว่า “ท่านเยี่ย อาจารย์ไปที่สนามก่อนครับ วันนี้มีแข่งทั้งหมดหกนัด เขาจะต้องไปจัดการที่สนามเร็วหน่อยครับ “

“ อู่เฉิน ใครคือผู้เข้าร่วมการแข่งขันชกมวยทั้งหกนัดนี้บ้าง?” เยี่ยเทียนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความเสี่ยงในการเล่นชกมวยใต้ดินนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก อาจถึงชีวิตและตายได้ เขาไม่รู้ว่าผู้จัดงานไปหานักมวยเหล่านี้มาจากที่ไหนบ้าง?

“ท่านเยี่ย มีคนทุกประเภทครับ มีลูกศิษย์ในประเทศบ้าง แล้วก็มีพวกกองกำลังทหารพิเศษที่เกษียณบ้าง และแชมป์มวยใต้ดินต่างชาติบ้าง วันนี้มีราชามวยจากรัสเซียมาหนึ่งคนครับ”

อู่เฉินหยุดพูดไปครู่นึง และพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “คนที่เข้าร่วมในการแข่งขัน ส่วนใหญ่จะขัดข้องด้านการเงิน แต่ก็มีบางคนที่อยากจะหาแรงกระตุ้นและความเร้าใจให้ตัวเอง วันนี้ท่านเยี่ยก็จะเห็นได้ครับ”

แม้ว่าครั้งก่อนนั้นโจวเซี่ยวเทียนจะลงมือต่อยตีอู่เฉินจนเจ็บหนัก แต่หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ดีขึ้น ดังนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกันว่า “พี่อู่ ฝีมือกังฟูระดับพี่ ถ้ามีส่วนร่วมในการแข่งขันชกมวยด้วย จะจัดอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่กัน ?”

“การชกมวยใต้ดินแบบนี้ไม่ต้องจัดอันดับก็ได้ “

อู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถ้าฉันแข่งขันเองฉันสามารถขึ้นไปชกได้นิดหน่อย แต่มันเป็นการพนันต่อชีวิตและความตาย ถ้าฉันขึ้นไปต่อสู้ กลัวว่ายังไม่จบสามยก ฉันก็อาจจะถูกตีตายแล้ว”

ตาของโจวเซี่ยวเทียนเบิกกว้างเมื่อได้ยิน และพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่จริงมั้ง ฝ่ามือเหล็กของพี่อู่ไม่ธรรมดาเลยนะ ไม่สามารถแข่งถึงสามยกได้เชียวเหรอ?”

เยี่ยเทียนเหลือบมองไปที่ลูกศิษย์ของเขา ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เซี่ยวเทียน การต่อสู้แบบเอาชีวิตและความตายนั้นไม่เหมือนกับศิลปะการต่อสู้ จะอาศัยแต่วิชาการต่อสู้นั้นยังไม่พอ แต่ต้องมีความกล้าและพลังที่ดุร้าย มีเพียงผู้ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของพวกเขาเท่านั้น ที่จะสามารถไปต่อสู้มวยชนิดนี้ได้…”

การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ท่ามกลางยุทธภพนี้ ให้ความสนใจกับจุดสิ้นสุดเท่านั้น และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ในกระบวนท่าเดียว ก็จะไม่ดำเนินการต่อไปอีก

แต่มวยใต้ดินนั้นแตกต่างกัน ทั้งสองข้างถ้าไม่ตายก็จะไม่หยุดต่อสู้ ถ้าคุณทำให้อีกฝ่ายล้มลงแล้วคุณจะดึงกำปั้นของคุณกลับเพื่อออมมือ เกรงกว่าอีกฝ่ายจะฆ่าคุณด้วยมือที่โหดเหี้ยม

อีกประเด็นหนึ่งคือ การชกมวยชั้นสูงไม่ได้หมายถึงความกล้าหาญ บางคนฝึกมวยมาตลอดชีวิต และกังฟูก็ไม่ลึกนัก แต่เมื่อพวกเขาได้พบกับผู้ที่ไม่มีความสามารถในศิลปะการต่อสู้ เป็นไปได้ว่าอาจสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้

ก็เหมือนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเจิ้งโจว อาจารย์ไท๋จี๋ที่รู้จักกันดีในโลกศิลปะการต่อสู้ในประเทศ มีครั้งหนึ่งถูกปล้นระหว่างทาง อาจารย์ท่านนี้ฝึกฝนกังฟูมาสามถึงสี่สิบปี เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา แน่นอนว่าคนในยุทธภพจึงรู้กันทั่ว

โจรวัยหนุ่มคนนั้น น่าจะวัยยี่สิบต้นๆ เมื่อเห็นคนมาขวางทางก็ชักมีดพกออกมา ไม่สนใจอะไร แทงตรงไปหาอาจารย์คนนั้น

อาจารย์ไท่จี๋คนนี้เคยฝึก และสอนลูกศิษย์มาบ้าง มากที่สุดก็คือการประลองมวยกับคนสายเดียวกัน ไม่เคยได้เห็นสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตจริง ความกล้าหาญของเขาจึงหมดลงทันที

คำโบราณกล่าวว่า ในทางแคบได้เจอผู้กล้า อีกฝ่ายพยายามหลบหนีเอาชีวิตรอด และอีกฝ่ายแม้มีวิชากังฟูแต่ไม่มีความกล้าหาญ เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน อาจารย์ไท่จี๋ที่มีชื่อเสียงก็เลยถูกแทง อย่าพูดถึงการจับกุมผู้ลงมือก่อเหตุ เพราะแม้แต่ชีวิตของเขาเองก็เกือบจะถูกทำลาย

และนี่ก็เป็นที่รู้จักกันว่ากำปั้นที่ซี้ซั้วสามารถเอาชนะอาจารย์แก่ได้ การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย กับการประลองวิชา เป็นนิยามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ท่านอาจารย์ คนที่ฝึกมวยกับคนที่ไม่เคยฝึกยังไงก็มีความแตกต่างกันแหละมั้ง?” หลังจากฟังคำอธิบายของเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างไม่ยอมแพ้

“ แน่นอนว่ามันแตกต่างกัน แต่ตราบใดที่แรงผลักดันของนายไม่ถูกทำลาย คนธรรมดาจะไม่สามารถเอาชนะนายได้”

เยี่ยเทียนยิ้มและพูดว่า”เซี่ยวเทียนอย่าคิดว่ากังฟูของนายได้เข้าสู่ขั้นพลังแฝงแล้ว แต่ถ้าเหล่าหูต่อสู้กับเธอถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย แค่ประมือกันท่าเดียวเขาก็สามารถฆ่านายได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โดยปราศจากเลือด “

เมื่อฟังเยี่ยเทียนพูดถึงการได้เห็นเลือด หูหงเต๋ออดขนลุกไม่ได้ และพูดว่า “พอได้แล้ว เยี่ยเทียน สมัยนี้แล้วจะมีเลือดมากมายที่ไหนให้เห็นเล่า เซี่ยวเทียนเรียนรู้ฝึกฝนกังฟูให้มีสุขภาพแข็งแรงก็เพียงพอแล้ว”

ฉากการฆ่าฟันของเยี่ยเทียนในป่าไม้เก่า หูหงเต๋อยังจดจำได้ดี โจวเซี่ยวเทียนเป็นต้นกล้าที่ไม่ธรรมดา อย่าเรียนแบบอย่างเหมือนเยี่ยเทียนที่เหมือนดั่งปีศาจสังหาร

ขณะที่พูดอู่เฉินก็เริ่มสตาร์ทรถ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงทางแยกเขตของปักกิ่งและหลางฝาง แล้วมาหยุดที่ลานบ้านด้านนอกตึกอาคารเล็กสามชั้น

หลังจากจอดรถ อู่เฉินจึงมองเยี่ยเทียน และพูดว่า “ท่านเยี่ย เดิมทีที่นี่เป็นสโมสรส่วนตัว แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสนามมวยใต้ดิน นัดแรกจะเริ่มตอนสามทุ่ม พวกเราไปหาอะไรทานกันก่อนเถอะครับ”

“ได้สิ ฉันมาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตา วันนี้ไปตามที่พวกนายจัดการได้เลย ” เยี่ยเทียนพยักหน้า และผลักประตูออกจากรถ

“มีคนไม่น้อยเลยนะที่มาที่นี่?”

ชั้นแรกของสโมสรคือห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ มองผ่านหน้าต่างสูงจากเพดานจรดพื้น สามารถเห็นผู้คนที่อยู่ทั้งภายในและภายนอก มีทั้งชายและหญิง ดูแล้วเหมือนงานเลี้ยงค็อกเทลอย่างนั้น

อู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน คนรวยในปักกิ่งและเทียนจิน น้อยมากที่จะไม่มีใครเคยมาที่นี่”

เมื่ออู่เฉินนำทาง เยี่ยเทียนและพรรคพวกของเขาก็เดินไปอย่างปราศจากการขัดขวาง ทันทีที่ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องอาหาร พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก

โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของคุณปู่หูนั้นเด่นชัดมาก ความสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเมตรบวกกับผมสีเงิน อยากจะทำตัวธรรมดาหน่อยก็เป็นไปได้ยาก

อย่างไรก็ตามหูหงเต๋อไม่ใช่คนนิสัยดีเท่าไหร่ สายตาของเขาจ้องมองดวงตาที่มองมาเหล่านั้น ทันใดนั้นดวงตาที่แหลมคมก็ทำให้ทุกคนต้องหลบและหันกลับไป

“น้องเยี่ย มาแล้วหรือ ฉันกำลังคิดจะโทรหาเสี่ยวอู่อยู่พอดี”

เยี่ยเทียนหยิบจานและกำลังจะไปตักอาหาร เสียงของชิวเหวินตงก็ดังขึ้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ชิวเหวินตงเดินมากับผู้ชายคนหนึ่งในวัยสามสิบต้นๆ

ชายคนนั้นมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร มีใบหน้าค่อนข้างตอบ ดวงตาแคบยาวดูอ่อนโยน เพียงแต่เวลาจ้องมองผู้คน ดวงตาก็จะเผยประกายออกมาจนหมดโดยไม่รู้ตัว ทำให้ดูทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด

เยี่ยเทียนมองไปที่ชายคนนั้นแล้งจึงชักสายตากลับ พลางแอบพูดในใจว่า “ฝีมือของชายคนนี้ไม่อ่อนด้อยเหมือนกัน ดูเหมือนจะออกมาจากกองทัพ”

แน่นอนว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนเรียกว่าไม่อ่อนด้อยนั้น แค่เปรียบเทียบกับคนทั่วไปเท่านั้น แต่ไม่อาจเปรียบเทียบสิ่งใดกับเขาได้เลย

“น้องเยี่ย ฉันขอแนะนำให้คุณ นี่คือท่านประธานจู้ จู้เหวยเฟิง เป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้”

หลังจากมาถึงตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงจึงก้าวออกไปเล็กน้อย แล้วหลีกให้ชายคนนั้นไปที่ตำแหน่งของเขา เยี่ยเทียนมองออก ขณะที่ชิวเหวินตงพูด ในสายตาของเขาแฝงความกลัวประธานจู้คนนี้อยู่กลายๆ

“ท่านประธานจู้ นี่คือเยี่ย…”

ขณะที่ชิวเหวินตงกำลังจะแนะนำเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงจึงโบกมือแล้วพูดว่า “เหล่าชิว คุณไม่ต้องแนะนำ ชื่อเสียงที่โด่งดังของน้องเยี่ยฉันได้ยินมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จัก วันนี้น้องเยี่ยมาร่วมสนุกในสนามด้วย ช่างเป็นเกียรติของผมเป็นอย่างยิ่ง! “

“หือ? ท่านประธานจู้รู้จักผมหรือ?” ถึงแม้อีกฝ่ายเรียกว่าน้องเกือบทุกคำ แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังไม่ต่อคำพูดของเขา และเรียกขานอย่างมีมารยาท

จู้เหวยเฟิงยิ้มและพูดว่า “เรื่องที่น้องเยี่ยสั่งสอนหวงซือจื้อ ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว”

“ โอ้? ท่านประธานจู้กับคุณชายหวงรู้จักกัน?” ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงให้เห็นถึงความขี้เล่น คนนี้รู้จักหวงซือจื้อ ก็คงจะเป็นทายาทของพวกสร้างความดีความชอบเหล่านั้นด้วยแหละมั้ง

บนพื้นที่ของเมืองหลวง มีคนที่ได้ตำแหน่งสูงๆ เพราะความสามารถของตนเอง หากพวกเขาพูดคุยถึงอำนาจและความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนต่างๆ ก็คงมีส่วนเกี่ยวข้องซับซ้อนกับครอบครัวเหล่านั้นที่มีส่วนการก่อตั้งเปิดประเทศจีน

พลังอันยิ่งใหญ่ของคนเหล่านี้ แม้กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ในกำแพงสีแดงก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อพวกเขา เพราะลูกศิษย์ของชายแก่พวกนั้นอยู่ในวงการทหารและการเมืองเต็มไปทั่ว และหากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะถูกทำลายความสมดุลนั้นไป

แต่จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ตระหนักว่า ในสายตาของคนที่มีความรอบรู้บางคน เขาก็กลายเป็นบุคคลในแวดวงนี้ไปแล้ว และยังเป็นพวกที่อยู่ในระดับที่สูงมากอีกด้วย

“ หวงซือจื้อถือว่าเป็นคุณชายได้เหรอ?”

จู้เหวยเฟิงแสดงสีหน้าดูถูกออกมาและพูดว่า “ฉันไม่เป็นมิตรกับไอ้สุนัขบ้านั่น ถ้าฉันไม่เห็นแก่หน้าปู่ของมันที่ตายไป ก็คงจะลงมือสั่งสอนมันไปนานแล้ว การจัดการครั้งนั้นของน้องเยี่ยเป็นที่สะใจมากจริงๆ!”

“ท่านประธานจู้ชมมากไปแล้ว พี่ชิว คุณอยู่กับท่านประธานจู้ก่อนนะ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย ถ้างั้น…เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันภายหลังดีไหม?”

เยี่ยเทียนไม่ต้องการจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นอีก และจู้เหวยเฟิงก็ยืนอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งเกือบจะดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องอาหารมาทั้งหมด ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอึดอัดและไม่คุ้นเคย

ทันทีที่เยี่ยเทียนพูดในสิ่งนี้ ใบหน้าของผู้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็แสดงสีหน้าแปลก ๆ

จู้เหวยเฟิงมีสถานะเป็นใคร? แขกที่มาที่นี่หลายครั้งยังไม่เคยเห็นเขาอยู่เป็นเพื่อนใครเลย และชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่รับน้ำใจเลยสักนิด ถึงรังเกียจที่เขารบกวนตัวเองทานอาหารหรือ?

แต่จู้เหวยเฟิงก็ไม่ได้แสดงสีหน้าที่ไม่ดี แล้วจึงพยักหน้าพูด “ได้สิ น้องเยี่ยกินข้าวก่อน อีกสักพักฉันจะใช้ให้คนจัดส่ง เหล้าเหมาไถห้าสิบปีสองขวดมาให้ การแข่งขันชกมวยในวันนี้ ฉันเป็นคนดูแลน้องเยี่ยเอง! “

เมื่อจู้เหวยเฟิงกล่าวออกไป ไม่เพียงแต่บรรดาแขกที่มาต่างตกใจ แม้แต่ชิวเหวินตงเองก็มองเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเยี่ยเทียนสามารถทำให้ประธานจู้ที่อยู่เหนือกว่าเขาเสมอยินดีที่จะมานั่งรับรองแขก?

เดิมทีชิวเหวินตงแค่คิดว่าเยี่ยเทียนมีทักษะที่ดี และมีความอาวุโสของเขาในยุทธภพ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ เพราะถ้าเยี่ยเทียนมีตัวตนอยู่เฉพาะในยุทธภพนี้ จู้เหวยเฟิงจะไม่มีท่าทีเช่นนี้ต่อเขาเลย

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านประธานจู้”

เยี่ยเทียนพยักหน้าและไม่เกรงใจ เหมาไถห้าสิบปีไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน ตอนนี้จึงจัดเตรียมอาหารที่มีรสชาติถูกปาก และทักทายหูหงเต๋อทั้งสองแล้วจึงนั่งลงในที่ลับตาคนหน่อย

อย่างไรก็ตามด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อสักครู่ แม้ว่าการทำตัวของเยี่ยเทียนนั้นจะธรรมดา แต่มันก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนาของทุกคน ทำให้การกินอาหารมื้อนี้ค่อนข้างจืดชืด และหลังจากการดื่มสุราเหมาไถกับหูหงเต๋อหมดไปหนึ่งขวดแล้ว  จึงลุกออกไปจากห้องอาหาร

……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด