หมอดูยอดอัจฉริยะ 464 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 464 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“จวินจื่อ นี่พวกเขาจะไปทำอะไรกันน่ะ?”

หลังจากรอจนเยี่ยเทียนและหูหงเต๋อเดินจากไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็มองไปทางหูจวินด้วยสีหน้าสงสัย เขายังงงๆ อยู่เลยว่า คนที่เป็นถึงครูมวยอย่างหูหงเต๋อนี่ ทำไมจะต้องไปเชื่อฟังเยี่ยเทียนขนาดนั้นด้วย?

ควรทราบว่า ยอดฝีมือชั้นครูในยุทธจักรที่แท้จริงนั้น มักจะยึดหลักเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่า และจะยกย่องกันที่ความสามารถในการต่อสู้ของคนนั้นๆ ด้านนิสัยก็มักจะเย่อหยิ่งทะนงตนเอามากๆ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว แม้จะไม่ถึงขนาดว่าดูถูกแม้กระทั่งพวกขุนนางหรือคนใหญ่คนโต แต่ถ้าจะให้พวกนี้ยอมถวายชีวิตให้ละก็ แบบนั้นคงจะเป็นนิทานก่อนนอนเสียมากกว่า

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนซึ่งเป็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่ง หูหงเต๋อกลับมีท่าทางเคารพนับถือพอสมควรเลย จู้เหวยเฟิงเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะตอนสุดท้ายเยี่ยเทียนยอมให้หูหงเต๋อรับศึก ตาแก่คนนั้นก็คงไม่มีทางยอมขึ้นเวทีแน่ๆ

“นายถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ?”

หูจวินค้อนใส่อย่างขุ่นเคือง “นายอย่าโยงเยี่ยเทียนไปเกี่ยวกับพวกตระกูลซ่งล่ะ เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงเรื่องนี้ อีกอย่างนะ อาศัยความสามารถของเยี่ยเทียนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพิงตระกูลซ่งเลยด้วยซ้ำ”

หูจวินเคยเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนมาก่อน คนที่ทำให้ถังเหวินหย่วนพินอบพิเทาได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่เพราะมีตระกูลซ่งอยู่เบื้องหลังหรอก ถังเหวินหย่วนมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินอย่างลึกซึ้งยิ่ง หากจะกล่าวถึงอิทธิพลที่มีอยู่ในต่างประเทศแล้ว ก็อาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลซ่งเลย

“ทำไม? เยี่ยเทียนยังมีเบื้องหลังอย่างอื่นอีกงั้นรึ?” จู้เหวยเฟิงได้ยินก็อึ้งไป เมื่อก่อนเขาไม่รู้จักเยี่ยเทียนเลย เคยได้ยินมาแค่เรื่องเกี่ยวกับเขาและตระกูลซ่งเท่านั้น วันนี้เมื่อเห็นชิวเหวินตงพาเยี่ยเทียนมา ถึงได้นึกอยากสร้างสัมพันธไมตรีกับเยี่ยเทียน

หูจวินส่ายหน้าแล้วตอบว่า “จะมีเบื้องหลังอย่างอื่นอีกไหมฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ถังเหวินหย่วนที่ฮ่องกงน่ะซี้กับเขาสุดๆ เลย แล้วตัวเยี่ยเทียนเองก็ชำนาญการดูดวงเสี่ยงทายมาก ที่ปักกิ่งก็มีเส้นสายคนรู้จักอยู่ไม่น้อย”

“ดูดวงเสี่ยงทาย? หรือว่าจะเป็นคนในแวดวงศาสตร์ลี้ลับ?” สืบเนื่องจากอาชีพเดิมของเขา จู้เหวยเฟิงจึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพมากกว่าหูจวินมาก หลังจากได้ฟังเขาตอบมา ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไปมาก

ภาษิตว่า จอมยุทธมักใช้กำลังในการละเมิดกฎ ตั้งแต่โบราณมา ชาวยุทธบางคนอาจจะถูกราชสำนักชักจูงไปเป็นเบี้ยรับใช้ได้ แต่คนในแวดวงศาสตร์ลี้ลับส่วนมากกลับดูถูกดูแคลนทางราชการกันเหลือเกิน นักปรุงยาวิเศษหลายคนที่เคยไปปรากฏอยู่ในวังนั้น ก็มักจะเป็นพวกที่อยู่ในวงการศาสตร์ลี้ลับได้อย่างไม่ราบรื่นนัก

เทียบกับชาวยุทธที่เอะอะเป็นรบราฆ่าฟันแล้ว วงการศาสตร์ลี้ลับซึ่งมีวิชาพิสดารหลากหลายแขนงนั้น ยังเป็นภัยต่อสังคมและแวดวงสังคมชั้นสูงบางกลุ่มยิ่งกว่าเสียอีก ดังนั้นตั้งแต่เริ่มสถาปนาประเทศเป็นต้นมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงอ้างนโยบายกำจัดแนวคิดศักดินางมงาย เพื่อปราบปรามวงการศาสตร์ลี้ลับและวงการยุทธภพให้หมดสิ้น

แน่นอนว่า ค่ายสำนักต่างๆ ที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยๆ หรือถึงขั้นเป็นพันๆ ปีเหล่านี้ ย่อมไม่อาจถูกขุดรากถอนโคนได้โดยง่าย ศาสตร์ลี้ลับจึงดำรงอยู่ตลอดมา เพียงแต่เสื่อมถอยลงไปทุกวัน และผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริงจำนวนหนึ่งก็ปลีกกายออกจากโลกีย์โลก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงค่อยๆ ผ่อนปรนมาตรการเกี่ยวกับวงการศาสตร์ลี้ลับลง

“เยี่ยเทียนอายุเพิ่งจะแค่นั้น คงจะเป็นศิษย์ใหม่ของค่ายสำนักไหนสักแห่งละมั้ง?” เมื่อนึกถึงอายุของเยี่ยเทียนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจู้เหวยเฟิงก็ไม่อาจเชื่อมโยงเยี่ยเทียนเข้ากับบรรดายอดนักพยากรณ์ศาสตร์ในตำนานผู้สามารถทำนายเป็นตาย สื่อสารกับหยินหยางได้เลยจริงๆ จึงส่ายหน้าแล้วเลิกคิดถึงเรื่องนั้นไป

“อ้าว? เยี่ยเทียน คุณหู มาแล้วหรือครับ?”

ระหว่างที่จู้เหวยเฟิงกำลังซุบซิบกับหูจวินอยู่ เงาร่างสองร่างก็ผ่านสนามมวยกลับมาอยู่ข้างๆ ที่นั่งอย่างเงียบเชียบ พอจู้เหวยเฟิงเงยหน้าขึ้นมามองหูหงเต๋อ เขาก็สะดุ้งไปทันที

คุณตาหูที่เดิมทีก็มีรูปลักษณ์ที่ดูเหี้ยมหาญอยู่แล้วนั้น ยามนี้ราวกับร่างกายสูงใหญ่ขึ้นมาอีก เขาดูเหมือนกระบี่คมที่ถูกชักออกจากฝักก็ไม่ปาน ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็แผ่ไอปราณที่อันตรายน่าพรั่นพรึงออกมา ทำให้แม้แต่จู้เหวยเฟิงที่ต้องเฉียดตายอยู่เป็นประจำยังรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา

หากจะกล่าวว่าเมื่อครู่นี้อันเดรวิชเป็นดั่งภูเขาไฟสงบที่ไม่รู้จะปะทุขึ้นมาอีกเมื่อไร ตอนนี้หูหงเต๋อก็เป็นดั่งราชสีห์ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ราวกับพร้อมจะตะปบคนกินได้ทุกเมื่อ ถ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดหน่อย สงสัยแค่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คงขาอ่อนแล้ว

“อย่ามัวพูดมากอยู่เลย จัดการประลองเสียตอนนี้แหละ!” ตอนนี้เยี่ยเทียนดูจะไม่มีมารยาทกับจู้เหวยเฟิงที่เดินเข้ามาหาเอาเสียเลย โบกมือแล้วบอกว่า “อีกสามนาทีก็ต้องเริ่มการประลองแล้วนะ!”

เมื่อจู้เหวยเฟิงเห็นเยี่ยเทียนมีสีหน้าร้อนรน ก็รีบตอบว่า “ได้ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ!”

ยามนั้นอันเดรวิชยังยืนอยู่บนเวที หลังจากจู้เหวยเฟิงถ่ายทอดคำสั่งไปทางวิทยุสื่อสาร พิธีกรคนนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถือไมโครโฟนประกาศว่า “ต่อไปขอเรียนเชิญคุณตาหูผู้เชี่ยวชาญวิชากรงเล็บอินทรีย์จากภูเขาฉางไป๋ซานขึ้นเวที!”

“คุณตาหู? นี่มันใครเนี่ย?”

“ไม่เคยได้ยินนะ คนหนุ่มๆ ยังสู้ไอ้ผีฝรั่งนี่ไม่ได้เลย แล้วดันส่งคุณตามาคนนึงจะใช้ได้เรอะ?”

“นั่นสิ สนามมวยนี้เล่นตลกอยู่รึเปล่าเนี่ย คนหนุ่มกลัวตายไม่กล้าขึ้นสู้ เลยให้คนแก่ไปตายแทนเนี่ยนะ?”

ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ ฝูงชนรอบเวทีก็โวยวายขึ้นมาทันที บางคนถึงกับด่ากราด แล้วปาขวดน้ำแร่ เม็ดกวยจี๊ ถั่วลิสงและอะไรต่อมิอะไรใส่พิธีกรคนนั้น

พิธีกรนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างรุนแรงปานนี้ ยื่นมือออกไปปรามเสียงพร้อมหลบหลีกขยะที่ถูกขว้างปามา พลางประกาศว่า “เงียบก่อน ทุกคนเงียบกันก่อน ผมรับประกันว่าการประลองรอบต่อไปนี้จะต้องมีสีสันยิ่งกว่ารอบก่อนแน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงลงพนัน มีเวลาสองนาทีเท่านั้น เชิญเพื่อน ๆ ทุกท่านรีบลงพนันกันเถอะ!”

เพราะเยี่ยเทียนเร่งเร้ามา ช่วงลงพนันที่ปกติมีเวลาห้านาทีจึงถูกบีบลงจนเหลือสองนาที เมื่อแสงไฟทั่วสนามสว่างขึ้น หูหงเต๋อก็เดินขึ้นสู่เวทีอย่างช้าๆ

หูหงเต๋อทำเช่นเดียวกับอันเดรวิช คือให้เจ้าหน้าที่เปิดเชือกกั้นออกก่อนแล้วจึงขึ้นไปบนเวที สำหรับครูมวยที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่ไม่จำเป็นนั้น ต่างก็เป็นการทำให้ตัวเองเสียพลังไปโดยใช่เหตุ ซึ่งเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง

เมื่อหูหงเต๋อไปยืนอยู่บนเวทีแล้ว เสียงอึกทึกรอบด้านก็สงบลงไปทันที เพราะการปรากฏกายของหูหงเต๋อนั้น ทำให้ทุกคนตาเป็นประกายวาวไปตามๆ กัน

ปกติหูหงเต๋อมีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่า หลังจากออกไปเดินเล่นกับเยี่ยเทียนมารอบหนึ่งเมื่อครู่ ตอนนี้ร่างกายก็กลับดูเหมือนสูงขึ้นไปอีกสิบเซนติเมตร ถึงจะมายืนอยู่กับอันเดรวิชบนเวที ก็ไม่ได้ดูเตี้ยไปกว่ากันเท่าไรเลย

นอกจากนี้แม้หูหงเต๋อจะอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แต่กล้ามเนื้อทั่วร่างกลับไม่ได้หย่อนคล้อยไปเลย กล้ามเนื้อที่หุ้มโครงกระดูกหนาใหญ่ของเขาไว้นั้นดูเป็นสีเหลืองทองราวกับโลหะ ดูกำยำตั้งแต่ลำคอไปที่หน้าอกและแผ่นหลัง รวมไปถึงต้นขา

ประกายเลื่อมดั่งโลหะภายใต้แสงไฟนั้น ทำให้หูหงเต๋อดูราวกับเครื่องจักรเหล็กกล้าที่ถูกหลอมออกมาจากแม่พิมพ์ก็ไม่ปาน ถ้าไม่ใช่เพราะได้เห็นกับตาตัวเอง บรรดาผู้ชมเหล่านี้ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อว่า คนผิวเหลืองจะมีโครงสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนจากยุโรปและอเมริกา

“ท่านนี้ก็คือคุณตาหูผู้เชี่ยวชาญวิชากรงเล็บอินทรีย์จากภูเขาฉางไป๋ซาน คุณตาแกสามารถฉีกทั้งเสือสิงห์กระทิงแรดได้ทั้งเป็นเลย การประลองรอบต่อไปนี้ จะต้องดุเดือดเข้มข้นดั่งมังกรตะลุมบอนกับพยัคฆ์แน่นอน…”

พิธีกรบนเวทีก็ตะลึงงันไปกับรูปลักษณ์ภายนอกอันดูเหี้ยมหาญของหูหงเต๋อเช่นกัน จึงยืนพูดยกยอเขาอยู่บนเวทีอย่างสุดความสามารถ ที่จริงเขาก็ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับหูหงเต๋อหรอก ที่พูดมานี้เขาคิดเองเออเองเอาทั้งนั้น

“พูดมากจริงโว้ย!” เมื่อเห็นพิธีกรจ้ออยู่บนเวทีไม่หยุด เยี่ยเทียนที่อยู่ด้านล่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วพลันตะเบ็งเสียงขึ้นมาว่า “เหล่าหู ยี่สิบนาทีนะ!”

ถ้าหูหงเต๋อหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปี บางทีอาจจะพอสูสีกับอันเดรวิชได้อยู่ แต่อายุเขาเกือบจะเจ็ดสิบปีอยู่แล้ว ไม่มีทางใช้กำลังปะทะกับอันเดรวิชตรงๆ ได้แน่นอน ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้เลือกใช้วิธีอื่น

เมื่อครู่นี้พอไปถึงห้องพักผ่อน เยี่ยเทียนก็ระบำทรงเจ้าต่อหน้าหูหงเต๋อ ตามวิธีที่ได้มาจากคลื่นพลังของกลองหนังแพะใบนั้น ถึงเขาจะไม่มีอุปกรณ์ในการทำพิธีทรงเจ้าเข้าผีอยู่ในมือ แต่คลื่นพลังชี่ที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมาเลียนแบบนั้น ก็เรียกเจ้ามาเข้าทรงได้สำเร็จ ทำให้ภายในกายของหูหงเต๋อมีพลังเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้

เพียงแต่พลังแบบนี้เป็นการหยิบยืมพลังจากภายนอก ไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานานๆ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้เตือนหูหงเต๋อว่า จะต้องยุติการต่อสู้ให้ได้ภายในยี่สิบนาที ไม่อย่างนั้นก็จะต้องยอมแพ้แล้วลงมาจากเวทีเสีย!

หลายคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ายี่สิบนาทีนี้หมายความว่าอะไร มีเพียงหูหงเต๋อที่อยู่บนเวทีที่ฟังเข้าใจ จึงกำแขนของพิธีกรคนนั้นไว้ แล้วตวาดว่า “แกน่ะลงไปได้แล้ว!”

หูหงเต๋อสะบัดมือออกไป แล้วร่างหนักหนึ่งร้อยกว่าชั่งของพิธีกรคนนั้นก็ลอยปลิวออกมาจากเวทีมวยราวกับไร้น้ำหนัก

ที่หูหงเต๋อใช้ไปเป็นทักษะการใช้พลังอย่างหนึ่ง หลังจากพิธีกรกระเด็นออกไปกลางอากาศได้เจ็ดแปดเมตร สองขาก็กลับยืนลงไปบนพื้น แต่พลังจู่โจมอันมหาศาลนั้นก็ยังคงทำให้พิธีกรต้องก้าวถอยหลังไปติดๆ กันหลายก้าว สุดท้ายก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งกับพื้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทั้งสนามมวยเงียบกริบกันไปหมด นั่นมันคนหนักตั้งหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดสิบชั่งเลยนะ กลับถูกโยนทิ้งออกไปอย่างกับปาของเล่นเฉยเลย ร่างของหูหงเต๋อจึงดูสูงใหญ่ในสายตาของบรรดาฝูงชนขึ้นมาทันที

อันเดรวิชที่ตอนแรกไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏบนใบหน้าเลย เมื่อเห็นฉากนี้ก็หรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณอันตรายรุนแรงจากชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เหมือนกับหมีสีน้ำตาลดุร้ายหนักเจ็ดแปดร้อยชั่งที่อันเดรวิชเคยเจอเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่มีผิด

เรื่องนี้ทำให้รอยแผลเป็นบนหน้าของอันเดรวิชกระตุกขึ้นมา เพราะแผลเป็นนี้ก็เป็นของที่ระลึกที่หมีสีน้ำตาลตัวนั้นฝากไว้ให้เขานั่นเอง ตอนนั้นอุ้งตีนมันตบมาทีเดียวก็ทำหน้าเขาเละไปครึ่งซีกแล้ว ถึงจะเคยทำศัลยกรรมมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถกำจัดแผลเป็นนี้ไปได้

หูหงเต๋อจับจ้องไปที่อันเดรวิชด้วยสายตาราวกับนกอินทรีย์ ปากก็ตวาดว่า “มาเลย ให้ฉันได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของพวกคนยุโรปอย่างแกหน่อยซิ!”

ศิลปะการต่อสู้ที่หูหงเต๋อพูดถึงนั้น ก็คือวิชามวยปล้ำนั่นเอง เป็นศิลปะการต่อสู้อีกอย่างหนึ่งของยุโรปนอกจากการชกมวย อย่างวิชาที่ชาวต่างชาติเคยใช้บนเวทีที่เมืองเซี่ยงไฮ้สมัยก่อนที่จะได้รับการปลดปล่อยนั้น ที่จริงก็คือต้นเค้าของวิชามวยปล้ำนี้นี่เอง

หลังจากผ่านการพัฒนามาเกือบหนึ่งศตวรรษ วิชามวยปล้ำของต่างประเทศก็เริ่มเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงแล้วประสิทธิภาพในการต่อสู้และพลังทำลายล้างของท่าโจมตียังสูงยิ่งกว่ารูปแบบการต่อสู้ของวิชายุทธบางแขนงในประเทศเสียอีก จึงได้รับการยกย่องจากบุคคลในกองกำลังพิเศษและวงการมวยใต้ดินของแต่ละประเทศ

แต่ต่างจากจางซานที่ใช้การเคลื่อนไหวหลบหลีกในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ หูหงเต๋อในขณะนี้กลับเป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อน ปากแผดร้องคำราม สองเท้าถีบกระทืบลงกับพื้น ร่างเคลื่อนเข้าไปหาอันเดรวิชราวกับรถถังที่พร้อมจะบดขยี้ก็ไม่ปาน

……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด