หมอดูยอดอัจฉริยะ 489 ความขัดแย้ง

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 489 ความขัดแย้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โรงแรมแห่งนี้ที่จริงแล้วสร้างตามความเคยชินของคนญี่ปุ่น สไตล์ในห้องชุดประธานาธิบดียังเป็นสไตล์ญี่ปุ่น หลังจากที่พรรคพวกคิตะมิยะฮิเดโอะนั่งบนเสื่อทาทามิ ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงจากญี่ปุ่นเริ่มต้มชา

“นายท่าน ได้นำคนมาหมดแล้ว คุณจะพักผ่อนสักหน่อยไหม ค่อยไปพบเขา”ที่แท้ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นผู้นำที่อยู่ตรงด้านหน้า ก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคิตะมิยะฮิเดโอะ มีท่าทางเคารพนบน้อมอย่างมาก

คนที่พูดถึงคนนี้ก็คือคิตะมิยะนาโอกิ ปีนี้มีอายุ 45 ปี ตั้งแต่โรงแรมหน้าดาวแห่งนี้สร้างขึ้น เขาก็ทำงานที่นี่แล้ว

ฉากหน้าของคิตะมิยะนาโอกิคือรับผิดชอบการดำเนินกิจการในโรงแรม ที่จริงแล้วความสนใจหลักของเขาคือค้นหาที่อยู่ของทองคำล็อตนั้น เนื่องจากหลายปีไม่ได้มีความคีบหน้าอะไร ทุกปีต้องไปรายงานผลที่ต้นสังกัดญี่ปุ่น เขามักจะถูกเจ้านายตบหน้าอยู่หลายครั้ง ดังนั้นในตอนนี้สิ่งที่แสดงต่อหน้าคิตะมิยะฮิเดโอะก็คือต้องคอยระมัดระวัง

“ไอ้สาวเลว หรือว่าฉันให้มาที่พม่าเพื่อมาเที่ยวเล่นอยู่หรือไง”

คิตะมิยะฮิเดโอะที่ช่วงนี้ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ มือขวาก็ค่อยๆ ยกขึ้น แต่เมื่อคิดถึงคิตะมิยะนาโอกิที่ค้นหาในปีนั้นก็รู้สึกเห็นใจ ก็ถือว่ามีส่วนช่วยเหลือวงศ์ตระกูล ฝ่ามือไม่ได้ไปตกที่หน้าของเขา

“เฮ้ เดี๋ยวผมรีบพาเขามา!”

คิตะมิยะนาโอกิโค้งคำนับให้กับนายท่าน รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและก้าวออกมาจากห้องชุดประธานาธิบดี ในใจก็มีความเสียใจบ้างที่จะแจ้งข่าวนี้ให้กับคิตะมิยะ ถ้ากองกำลังทหารของครอบครัวเราในครั้งนี้ ยังหาทองคำล็อตนั้นไม่เจออีก เขาไม่รู้ว่าชีวิตสั้นๆนี้จะรักษาอยู่หรือไม่

“นายท่าน ผมไปกับเขาเอง!”ในขณะที่คิตะมิยะนาโอกิจะออกไป คิตะยันจุนก็ลุกขึ้น หลังจากที่ทราบเจตนารมณ์ของคิตะมิยะฮิเดโอะแล้ว จากนั้นก็ตามหลังไป

“นาโอกิ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งปีหนึ่ง ผมหงอกของนายเยอะขึ้นนะเนี่ย!”

คิตะมิยะยันจุนกับคิตะมิยะนาโอกิเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ปกติความสัมพันธ์นั้นดีมากๆ หลังจากที่ตามหลังเขาทัน มีเสียงพพูดต่ำลง “ช่วงนี้อารมณ์ของนายท่านโมโหง่าย ข่าวของคนนั้นเชื่อถือได้ไหม”

“คุณยังจุน คุณเองก็แก่มากแล้วนะ……”

คิตะมิยะนาโอกิถอนหายใจ ยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดว่า “ไม่ว่าของคนนั้นจะเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันก็ได้บอกนายท่านไปแล้ว แต่การกลับไปรายงานที่ประเทศในปีนี้ เกรงว่าเจ้านายจะสั่งผ่าท้องฉันก่อนนะสิ ยันจุน เจ้านายโหดเหี้ยมเกินไปไหม”

การผ่าท้องที่ญี่ปุ่น เป็นการฆ่าตัวตายวิธีหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก เป็นวิธีที่ฆ่าตัวตายโดยการใช้มีดผ่าตรงท้อง ที่เห็นว่า“เป็นเกียรติยศ”

จุดเริ่มต้นของการแพร่หลายการผ่าท้อง หลังจากผู้สำเร็จราชการคามูกูระ เพราะถูกลงโทษให้ถูกตัดตรงส่วนท้อง หรือละอายใจที่ถูกจับหลัวผ่าหน้าท้อง ทำอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงยุคสงคราม หลังจากที่เปิดตัวเอโดะ กฎทางสังคมค่อนข้างคงที่ และการผ่าท้องในเวลานั้น ส่วนใหญ่ใช้เป็นการลงโทษวิธีหนึ่ง

พอถึงยุคสงครามครั้งที่สอง พฤติกรรมการผ่าตัดหน้าท้องของคนญี่ปุ่นก็เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งกว่านั้นถูกตีความในภาพยนตร์และโทรทัศน์ต่างๆ และก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

พูดความจริงก็คือ ในฐานะผู้ควบคุมกองทัพโอซาก้า ตระกูลคิตะมิยะให้ความสำคัญกับความยุติธรรม และไม่สนับสนุนความรุนแรง ตั้งแต่ยุคโชกุน มีพฤติกรรมการฆ่าตัวตายผ่าตัดหน้าท้องน้อย

แต่หลังจากที่คิตะมิยะฮิเดโอะขึ้นเป็นใหญ่ กลับบังคับครอบครัวขุนนางหลายคนผ่าตัดหน้าท้อง และนี่ทำให้คนในตระกูลหลายคนไม่พอใจคิตะมิยะฮิเดโอะ แค่ความโหดเหี้ยมของคิตะมิยะฮิเดโอะนี้ ก็ไม่มีใครกล้าออกหน้าที่จะต่อต้านเท่านั้น

“นาโอกิ ระวังคำพูดหน่อยสิ!”

หลังจากที่ได้ยินลูกพี่ลูกน้องชาย สีหน้าของคิตะมิยะยันจุนถึงกับเปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก มองรอบๆทั้งสี่ทิศ พูดไม่กี่ประโยคด้วยเสียงที่ลดต่ำลงว่า  “การกระทำของนายท่าน ก็เพื่อประโยชน์ของวงศ์ตระกูล แต่พฤติกรรมของนายท่านก็ถูกคนเฒ่าคนแก่ตำหนิมาบ้าง ถ้าการค้นหาครั้งนี้หาทองคำล็อตนั้นไม่เจอ นายก็หลบหนีไปสักพัก หรือบางอย่างเปลี่ยนไปก่อน!”

ในฐานะผู้สืบทอดอำนาจเกือบพันปี ตระกูลคิตะมิยะนอกจากคิตะมิยะฮิเดโอะคนหนึ่งแล้ว ด้านบนของนายท่าน ยังมีผู้อาวุโสในครอบครัวที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเชี่ยวชาญในเคนโด้ คนพวกนี้คือหัวใจสำคัญของตระกูลคิตะมิยะ

เมื่อปีที่แล้ว คิตะมิยะฮิเดโอะบังคับให้สมาชิกในครอบครัวที่ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ลงโทษโดยการผ่าท้อง ใครจะรู้ว่าชายผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้เฒ่า เนื่องจากสิ่งนี้เองทำให้พวกบรรดาผู้เฒ่าไม่พอใจ มีคนเสนอให้เขาปลดออกการจาการเป็นหัวหน้า กลับเข้าไปที่อยู่เดิมฝึกเคนโด้อย่างลำบากลำบน

แน่นอน ในบรรดาผู้เฒ่าก็คนที่สนับสนุนคิตะมิยะฮิเดโอะ ไม่อย่างนั้นตอนที่คิตะมิยะฮิเดโอะได้ทำผิดพลาดในการลงทุนในปี 1980 เขาก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว

ดังนั้นข้อเสนอแนะนี้ได้ถูกโต้แย้ง เรื่องที่คิตะมิยะฮิเดโอะมาที่พม่ามาค้นหาทองในครั้งนี้ ก็เป็นการตัดสินว่าคิตะมิยะฮิเดโอะจะอยู่จุดสูงสุดที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลได้ต่อหรือไม่

การหาทองล็อตนั้นเจอ จะพิสูจน์ความถูกต้องของคิตะมิยะฮิเดโอะ ถ้าหาไม่เจอ ความขัดแย้งทั้งหมดในอดีตจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ต่อให้คิตะมิยะฮิเดโอะจะแข็งแกร่ง แต่เส้นทางที่มือสลัวก็ถอยลงได้

ก่อนที่มาพม่าในคราวนี้ ผู้อาวุโสที่เหลืออีกเพียงแปดคนจากตระกูลคิตะมิยะก็มาในครั้งนี้ด้วยสามคน ยังเป็นผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับคิตะมิยะฮิเดโอะ แต่พวกเขาชอบความสงบ ไม่ได้มาพร้อมกับคนส่วนใหญ่ และนั่งเครื่องบินพิเศษของตระกูลคิตะมิยะที่จะตามมาหลังจากนี้

“ฉันรู้แล้ว ขอบคุณยันจุน!”

คิตะมิยะนาโอกิก็ถือว่าเป็นสมาชิกสำคัญในตระกูล  สำหรับการขัดแย้งพวกนั้นรู้เองโดยธรรมชาติ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของพี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยความปิติยินดีออกมา คิตะมิยะฮิเดโอะเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลมาหลายสิบปี แทบจะใช้ประโยชน์จากตระกูลคิตะมิยะโดยไม่มีการเสียเปรียบด้วยซ้ำ ผลของการที่ไม่คิดหน้าคิดหลังก็แค่จักรพรรดิที่โง่ที่มีผู้คนเลื่อมใสยอมตายให้

“พอแล้ว นายเอกก็ระวังตัวหน่อย สองสามวันนี้ห้ามก่อเรื่อง ถ้านายท่านจะทำขึ้นมา ฉันก็ปกป้องนายไม่ได้นะ!”

คิตะมินะยันจุนกำชับน้องเสียงเบาๆ หลายปีมานี้เขาก็ปลูกฝังลูกน้องของตัวเองไม่น้อย คิตะมินะนาโอกิดำเนินกิจการโรงแรมระดับห้าดาวในพม่ามาหลายปี ก็ถือว่าเป็นลูกน้องที่ดี เขาไม่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

“ครับ ผมจะระวัง!”

คำพูดของผู้พี่ลูกพี่ลูกน้องทำให้คิตะมินะนาโอกิหวาดกลัวไปหมด เขารู้ว่าคิตะมิยะฮิเดโอะปกติแล้วก็ดูเหมือนชายแก่ท่าทางที่ไม่สบาย แต่ความจริงแล้วเขามีความรู้วิชาเคนโด้ที่ลึกซึ้งมาก

ตอนที่คิตะมิยะฮิเดโอะแย่งตำแหน่งหัวขงตระกูล คิตะมินะนาโอกิตอนนั้นเพิ่งจะอายุสิบขวบ ก็เห็นคิตะมิยะฮิเดโอะฆ่าคนด้วยมีดกับตาตัวเอง ตัดเขาพ่อและแม่ที่ให้กำเนิดเขาแต่ยามที่ดูแลหัวหน้าขณะนั้น การทำร้ยพ่อเขาถึงชีวิต แทบจะเผาคนทั้งคนเป็น ๆ

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คิตะมินะนาโอกิเก็บไว้ในใจหลายปี ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ นาโอกิถึงแม้จะไม่พอใจคิตะมิยะฮิเดโอะเป็นอย่างมาก แต่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของเขาเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้พี่แบบนี้ ในใจก็มีความหวังเล็กๆขึ้นมา

ระหว่างการพูดคุยของสองคน เดินมาถึงที่ห้องหนึ่งที่ชั้นสิบของโรงแรม ที่หน้าประตูห้อง มีคนสองคนยืนอยู่ คิตะมินะนาโอกิก็ทักทายพวกเขา หนึ่งในนั้นควักคีการ์ดมาเปิดประตูให้

หลังจากที่เข้ามาในห้องชุดที่หรูหราแล้ว คิตะมินะนาโอกิก็ใช้ภาษาพม่าที่คุ้นเคย นั่งบนโซฟาแล้วพูดกับชราคนหนึ่งที่กำลังดูโทรทัศน์ พูดว่า “ตะคีนบะเต้นติน อยู่ที่นี่มีความสุขไหมครับ”

“ชิน……ชินแล้ว แต่ คุณคิตะมิยะ ผม……ผมอยากกลับไปแล้ว”

ท่าทางของคนแก่วัยเจ็ดสิบกว่าปี บนศีรีษเต็มไปด้วยผมหงอก ใบหน้าที่พบเจอตามแทบภูเขา คล้ายๆกับผู้เฒ่าผู้แก่ดั้งเดิมของชนบทพม่า รูปร่างของเขาไม่สูงมาก หลังจากที่อายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายก็หลังค่อมบ้าง หลังจากที่ลุกขึ้นจากโซฟา  ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหนแล้ว สีหน้าเห็นได้ชัดว่ามีความระมัดระวังอย่างมาก

“อ้อ ตะคีนบะเต้นตินผมดูแลไม่ดีเหรอครับ คุณมีอะไรที่อยากได้ บอกผมได้นะครับ!”

คิตะมิยะนาโอกิยิ้มแล้วพูดว่า “ชาวชนเผ่าของคุณอยากให้คุณอยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่ง แต่ถ้าคุณอยากจะกลับไปจริง ๆ งั้นก็ได้ สักพักผมจะมาคุณไปเจอคนคนคนหนึ่ง คุณตอบคำถามสักสองสามคำก็พอแล้ว!”

“ได้ ได้ ถ้ากลับไปได้ก็คงดี!”

ตะคีนบะเต้นตินถึงแม้ว่าจะเป็นชายพม่าธรรมคนหนึ่ง แต่ตลอดชีวิตไม่เคยออกจากหมู่บ้านภูเขาที่เขาอยู่เลย แต่พอถึงอายุของเขานี้ ก็สามารถเห็นเรื่องราวในหลายเรื่อง รู้ว่าตัวเองอยู่ที่สุขสบาย แต่ที่จริงกลับกักบริเวณไว้

ส่วนที่คิตะมิยะนาโอกิบอกว่าครอบครัวของเขาอยากให้อยู่ที่นี่นานสักพัก ความจริงแล้ว ตะคีนบะเต้นตินเป็นคนรัฐฉานพม่า ตั้งแต่ราชวงศ์ชิงหมิงของจีน รัฐฉานถูกกษัตริย์ปกครองมาโดยตลอด ไม่ยอมรับการปกครองและผู้นำของพม่า พวกเขามีภาษาและตัวอักษรที่ใช้เอง เหมือนกับคนจีนทุกประการ

ในปี 1947 รัฐฉานพม่า รัฐคะฉิ่น รัฐชินและสำนักงานใหญ่ของพม่าตั้งอยู่ที่เมืองปินลองในรัฐฉาน ต่างก็ลงนามใน “สนธิสัญญาข้อตกลงปินหลง” เพื่อแสวงหาความเป็นอิสระร่วมกันจากรัฐบาลอังกฤษ ในที่สุดกษัตริย์แห่งรัฐฉานก็เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลพม่า จะเห็นได้ว่าอำนาจและสถานะของรัฐฉานมีความสำคัญในพม่า

แต่ในปี 1962น ายพลนินอินผู้แข็งแกร่งทางทหารของพม่ายึดอำนาจในการทำรัฐประหาร ในปีเดียวกัน “รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐ” ถูกโมฆะและคณะกรรมการจัดตั้งขึ้นเพื่อการปกครองแบบเผด็จการทหาร รัฐต่างๆได้ต่อสู้กับสำนักงานใหญ่พม่าจัดตั้งเอกราชดั้งเดิมของเขา สงครามกลางเมืองแพร่กระจายไปทั่วประเทศพม่า และไม่สามารถควบคุมได้

ท่ามกลางสงครามกลางเมือง แน่นอนว่ารัฐฉานเป็นกำลังหลักของรัฐบาลต่อต้านการทหารอย่างไม่ต้องสงสัย ในปี 1960 และ 1970 มีคนหนุ่มสาวหัวรุนแรงจำนวนมากในจีน เข้าร่วมสงครามกลางเมืองในพม่าเพื่อช่วยให้ชาวฉานต่อสู้เพื่อเสรีภาพ

สงครามยืดเยื้อนี้ดำเนินต่อไปสู่ยุค 1990 คุนซาพ่อค้ายารายใหญ่ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้คือผู้นำคนต่อมาของรัฐฉาน ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศในปี 1993 ว่ารัฐฉานถูกแยกออกจากสหภาพพม่าเพื่อจัดตั้งรัฐอิสระ

ถึงแม้ว่าคุนซาจะยอมจำนนให้กับทหารทางการพม่าแล้ว แต่ยังคงมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในรัฐฉาน กองทัพน่านฉานยังต่อสู้เพื่ออิสรภาพของรัฐฉาน

แต่การสูญเสียจากสงครามมีขนาดใหญ่ และบ่อยครั้งในพื้นที่รัฐฉานก็ยังได้รับการช่วยเหลือจากคิตะมิยะนาโอกิ กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติที่สำคัญของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นตะคีนบะเต้นตินที่อาศัยอยู่ในโรงแรมนี้ ที่จริงเกิดจากการฝากฝังใครบางคนในรัฐฉาน

……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด