หมอดูยอดอัจฉริยะ 521 รุมแย่ง

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 521 รุมแย่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนชี้ มีหินหยกขนาดเท่ากำปั้น สีสันไม่ค่อยคล้ายคลึงกับบริเวณโดยรอบ มันมีสีแดงสดใสกว่าเล็กน้อย อีกทั้งมีความโปร่งใสอย่างยิ่ง เมื่อใช้ไฟฉายกำลังสูงจ่อจากด้านบน ลำแสงราวกับสามารถส่องทะลุตลอด

คุณสมบัติของหยกพม่าอันยอดเยี่ยมที่สุดจนถูกเรียกขานว่าเป็นชนิดกระจกแก้ว จะต้องมีประสิทธิภาพโปร่งใสเช่นนี้โดยไม่ต้องสงสัย คุณสมบัติของหยกพม่าสีแดงสดชิ้นนี้ ถึงระดับขั้นกระจกแก้วได้แน่นอน ทั้งยังมีคุณภาพสูงกว่าหินหยกข้างๆเหล่านั้นมากนัก

“ถังเหล่า หยกไขกระดูกนี่คืออะไรหรือครับ? เป็นหยกพม่าเหมือนกันหรือเปล่า?”

เมื่อเห็นถังเหล่าตื่นเต้นอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากในนิยายกำลังภายในอยู่บ้าง แต่ระหว่างที่เยี่ยเทียนใช้พลังวิญญาณสัมผัส สิ่งนี้ก็น่าจะเป็นเพียงหินหยกชนิดหนึ่ง เพียงแต่ประสิทธิภาพของพลังวิญญาณที่กักเก็บอยู่ด้านในดีกว่าชิ้นอื่นๆ เท่านั้นเอง

“หึๆ คนแก่อย่างฉันขอเสียมารยาทแล้วนะ ของชิ้นนี้อาจเรียกว่าหยกไขกระดูก และสามารถเรียกว่าเป็นหยกแดงประเภทกระจกแก้วได้เช่นกัน!”

หลังจากที่ถังเหล่าใช้แว่นขยายและไฟฉายแรงสูงตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว จึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวว่า “ความจริงหยกไขกระดูกเป็นชื่อเรียกรวมๆ ชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มหยกอ่อนเหอเถียนหรือว่าหยกแข็งพม่า ล้วนสามารถเกิดหยกไขกระดูกทั้งนั้น เป็นประเภทที่พบได้บ่อยในโลกแห่งแร่ธาตุ

แต่ว่าในสายตาคนเล่นหินหยกอย่างพวกเรา หยกไขกระดูกที่แท้จริง คือหัวใจสำคัญภายในหยก คือส่วนที่มีแก่นอยู่ หล่อหลอมขึ้นมาจากพลังวิญญาณของฟ้าดินรวมกัน มีเพียงหินหยกชั้นเลิศชนิดนี้เท่านั้นที่พวกเราจะเรียกว่าหยกไขกระดูก”

ความจริงหินเลือดไก่และอาเกต ล้วนเป็นหยกไขกระดูกชนิดหนึ่ง เป็นความหลากหลายทั่วไปของผลึกควอตซ์ กำเนิดขึ้นโดยผ่านเงื่อนไขกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ทว่าหยกไขกระดูกที่ถังเหล่าพูดถึง กลับมีความหมายเป็นหัวใจหยก สื่อถึงตำแหน่งแก่นกลางหยกหนึ่งชิ้น

“ท่านผู้เฒ่าครับ ของชิ้นนี้เทียบกับหยกเขียวจักรพรรดิแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย หยกแดงภายในหินดิบชิ้นนี้ที่สามารถนำมาใช้วางค่ายกล มีน้ำหนักกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม ใช้จัดวางค่ายกลรวบรวมวิญญาณได้เหลือเฟือ อีกทั้งหยกแดงขนาดใหญ่เท่ากำปั้นชิ้นนี้ เยี่ยเทียนยังสามารถเก็บไว้ใช้เจียระไนเป็นหัวแหวนหรือกำไรก็ได้ทั้งนั้น ผู้หญิงในตระกูลเยี่ยมีไม่น้อย มอบให้เป็นของขวัญเพื่อเอาอกเอาใจก็ยังได้

“ไม่เหมือนกันนัก ต่างมีเอกลักษณ์ของมันเอง”

ถังเหล่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หยกเขียวมีราคา หยกแดงน่าเทิดทูนบูชา เมื่อทั้งสองสีนี้ล้วนมีความบริสุทธิ์ถึงขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าดีหรือร้าย พวกมันล้วนเป็นของล้ำค่าหาได้ยากเช่นเดียวกัน”

ได้เห็นหินหยกแดงสดไร้มลทินเจือปน ถังเหล่าก็ร้องขึ้น “น้องชาย ความสามารถในการผ่าหินนี้ของนาย ฉันยังละอายใจที่ไม่อาจเทียบเท่า หากว่าขยับพลาดไปเล็กน้อย หยกแดงชั้นเลิศชิ้นนี้อาจแตกเสียหาย ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเจียระไนได้เพียงแค่หัวแหวน แต่ไม่อาจเจียระไนเป็นกำไลสูงค่าราคาแพงได้”

“ผม…ผมก็แค่ผ่าตามใจเท่านั้นเองครับ!”

แม้ว่าเยี่ยเทียนจะหน้าหนาไม่ธรรมดา ถูกเหล่าถังชื่นชมด้วยคำพูดนี้ยังหน้าแดงไปถึงหู สวรรค์เมตตา ตอนที่เยี่ยเทียนผ่าออกมาตอนนั้นเมื่อครู่ ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณโกงตอนผ่าแม้แต่น้อย และยังตัดด้วยความเร่งรีบพอสมควร

แต่ด้วยความบังเอิญ การผ่าลงไปครั้งนี้ของเยี่ยเทียน กลับไม่ทำให้หยกแดงล้ำค่าชิ้นนี้เป็นแผลแม้เพียงเสี้ยว ด้วยน้ำหนักและขนาดของหยกแดงชิ้นนี้ จะแกะเป็นกำไลสักสองสามชิ้นหรือหัวแหวนสิบกว่าชิ้นก็ไม่เป็นปัญหาแน่นอน

 “น้องชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

ถังเหล่าได้ยินเข้าก็ยิ้ม แต่กลับไม่เชื่อในคำพูดของเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา เยี่ยเทียนจะต้องมีความรู้ความสามารถด้านแร่หินที่โดดเด่นแน่นอน เพียงแต่ไม่อยากเปิดเผยกับตัวเองเท่านั้น เขาเองก็ไม่โทษเยี่ยเทียนหรอก คงไม่มีใครยอมเปิดเผยทักษะที่แท้จริงของตัวเองต่อหน้าสาธารณะชนจำนวนมากเช่นนี้

“ถ่อมตัว? ผมยังไม่รู้เลยครับว่าอะไรคือการถ่อมตัว…” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อย นานๆ เขาจะพูดความจริง แต่กลับถูกคนเข้าใจผิดว่าถ่อมตัว

“เอาเถอะ น้องชาย วัตถุดิบชิ้นนี้นอกจากมีความล้ำเลิศถึงขั้นเป็นหยกแดงชนิดกระจกแก้วแล้ว คุณภาพของส่วนอื่นล้วนใกล้เคียงชนิดน้ำแข็งทั้งหมด และได้เนื้อหยกออกมามากที่สุดจากประสบการณ์การผ่าหินห้าสิบปีของฉันเลย แล้วยังเป็นหยกดิบที่มีมูลค่าสูงที่สุด!”

หลังจากที่ถังเหล่าคุยโวอยู่กับหินหยกที่ถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงแล้ว ก็เปลี่ยนประเด็นกล่าวว่า “ฉันเปิดบริษัทขายหยก   แบรนด์หนึ่งอยู่ในประเทศจีน ไม่รู้ว่าน้องชายสนใจจะร่วมงานกับฉัน เอาหยกแดงพวกนี้ไปพัฒนาร่วมกันไหม?”

สุภาษิตว่าความร่ำรวยสั่นคลอนใจคน เมื่อเผชิญหน้ากับหยกแดงมูลค่ามหาศาลเหล่านี้ ต่อให้เป็นคนอย่างถังเหล่า ก็ยังอดเอ่ยปากขอไม่ได้ เขาเชื่อว่า หากหยกแดงเหล่านี้ถูกแกะสลักเป็นเครื่องประดับอันวิจิตรทั้งหมด หรือว่าทำเป็นของตกแต่งออกสู่ตลาดแล้ว จะต้องเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมหาศาลแน่นอน

“อ้าว ถังเหล่า เยี่ยเทียนเป็นอาของผมนะครับ ของชิ้นนี้ต่อให้ต้องขาย ก็ต้องขายให้กับตระกูลจั่วค้าอัญมณีเท่านั้นสิ?”

เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ หลิ่วซีกั๋วที่อยู่ด้านข้างกลับหงุดหงิดซะแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนในวงการหยกพม่า ใครๆ ก็รู้ราคาของหยกพม่าเหล่านี้

มันไม่ได้แสดงถึงเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงชื่อเสียง หากว่าใครสามารถนำวัตถุดิบชิ้นนี้ใส่กระเป๋าได้ จะได้ยกระดับแนวทางเครื่องประดับหยกแดง จากนั้นไม่แน่ว่าอาจสามารถกำหนดตำแหน่งบริษัทค้าอัญมณีในวงการของตัวเองก็เป็นได้

ต้องรู้ว่า หยกพม่าในฐานะเครื่องประดับ ถึงแม้จะรุ่งเรืองในสมัยซูสีไทเฮาและสามสุภาพสตรีตระกูลซ่งที่เคยเรืองอำนาจ แต่ก็มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงทวีปเอเชียกลางและตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ทางฝั่งยุโรปและอเมริการู้จักเพียงเพชรและทองคำ ไม่มีความสนใจต่อหยกพม่าเท่าไรนัก และก็ไม่ยอมรับสถานะของมันในวงการอัญมณีอีกด้วย

ดังนั้นในช่วงเวลาอันยาวนานในยุคสถาปนาประเทศ จึงไม่มีการผลักดันจากผู้บริโภคในประเทศจีน ทำให้ธุรกิจขายหยกพม่าล้วนหยุดนิ่งอยู่กับที่ จวบจนกระทั่งปีที่ 80 ในศตวรรษนี้ หยกพม่าจึงได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง จากการผลักดันของคนภายในประเทศ จึงค่อยๆ เป็นที่ชื่นชอบในทวีปตะวันออกเฉียงใต้กับผู้คนทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา

อาจะพูดได้อย่างไม่เป็นการโอ้อวดว่า ตลาดการค้าหยกในประเทศจีน เป็นดั่งกังหันลมของตลาดค้าหยกนานาชาติ

ด้วยสาเหตุที่เครื่องประดับหยกพม่ารุ่งเรืองไม่นานนัก ปัจจุบันภายในวงการนี้ จึงยังไม่มีผู้นำที่แน่ชัด มีเพียงธุรกิจอัญมณีเก่าแก่ที่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง ครอบครองพื้นที่กว่าครึ่งประเทศ

แต่หากพูดตามความจริง ในมือของบริษัทเก่าแก่เหล่านี้ ก็ไม่มีสินค้าอะไรสามารถนำออกไปแข่งขันได้อย่างบริษัทตระกูลจั่วค้าอัญมณี ซึ่งเบื้องหลังพุ่งเป้าไปยังการพัฒนาตลาดหยกพม่า และแอบมีความคิดในการก้าวเป็นผู้นำอีกด้วย

เครื่องประดับหยกจักรพรรดิเหล่านั้นของเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้ ปลุกเร้าให้หยกพม่าเฟื่องฟูขึ้นมาบนเกาะฮ่องกง ทำให้บริษัทของจั่วเจียจวิ้นได้เป็นผู้นำกระแสอย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ปัจจุบันมีชาวฮ่องกงมากมายเลือกซื้อหยกพม่า โดยเริ่มต้นเลือกจากตระกูลจั่วค้าอัญมณี ซึ่งนี่ก็คือผลลัพธ์มาจากหยกพม่าชั้นยอดนั่นเอง

หยกแดงเดิมทีสวยงามหายาก เหมาะสมให้สตรีสวมใส่ หากเลือกนำวัตถุดิบชิ้นนี้ไปผลิตเป็นเครื่องประดับล่ะก็ เชื่อว่าจะทำให้สุภาพสตรีคนดังชาวฮ่องกงล้วนแข่งกันเพื่อช่วงชิงให้ได้มา ยังจะสามารถยกระดับแบรนด์อัญมณีตระกูลจั่วให้สูงขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นเมื่อเห็นเยี่ยเทียนผ่าหยกแดงชั้นเลิศนี้ได้ มีหรือที่หลิ่วซีกั๋วจะไม่หวั่นไหว? ถึงขั้นไม่เห็นแก่หน้าถังเหล่า เอ่ยปากยื้อแย่งออกมาตรงๆ ในสายตาของหลิ่วซีกั๋ว จึงนับว่านี่เป็นโอกาสในการขยับขยายตระกูลจั่วอัญมณีอีกครั้งหนึ่ง

ได้ยินคำพูดของหลิ่วซีกั๋วแล้ว ถังเหล่าก็ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม กล่าวว่า “เสี่ยวหลิ่ว คุณพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก วัตถุดิบชิ้นนี้ตระกูลจั่วอัญมณีของคุณจะกินหมดเลยหรือ?”

ทุกคนล้วนเป็นคนในวงการ ต่างรู้กำลังความสามารถของแต่ละบริษัทเป็นอย่างดี หยกพม่าภายในหินดิบสองก้อนนี้ของเยี่ยเทียน มีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านหยวนขึ้นไป ถังหล่ารู้ว่าเงินทุนหมุนเวียนในมือของตระกูลจั่วค้าอัญมณีไม่ได้มีมากมายอย่างนั้น

“นั่นสิ ประธานหลิ่ว ก็ต้องแบ่งให้กับทุกคนหรือเปล่า? หยกแดงพวกนี้ พวกเราขอหนึ่งในสามเป็นอย่างไร?” ทันทีที่เสียงของถังเหล่าเงียบลง เจิ้งต้าจวินก็กระโจนขึ้นมาบ้าง โอกาสทางธุรกิจอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครยอมปล่อยไปหรอก ไม่อย่างนั้นเขาเองก็คงไม่ใช่ผู้รับผิดชอบธุรกิจค้าหยกของตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีแล้ว

“น้องชาย พวกเราเองก็อยากซื้อบ้างเหมือนกัน ราคาให้น้องเปิดตามใจชอบ!”

“วัตถุดิบชนิดกระจกแก้วนั้นผมไม่ต้องการ หยกแดงชนิดน้ำแข็งนั่นแบ่งให้ผมสักสองชั่งก็แล้วกัน? น้องชาย ผมให้ห้าล้าน!”

“จริงด้วย จะให้พวกคุณได้เปรียบกันหมดได้ยังไง? ประธานหลิ่ว ประธานเจิ้ง ก็ต้องเหลือแบ่งให้บริษัทเล็กๆ อย่างพวกเรากินบ้างสิ?”

เห็นว่าหลิ่วซีกั๋ว ถังเหล่าอีกทั้งเจิ้งต้าจวินล้วนแสดงเจตนาว่าต้องการซื้อ พ่อค้าหินดิบที่ล้อมดูพวกนั้นกับประธานบริษัทอัญมณีก็อดรนทนไม่ได้เช่นกัน จดจ้องหินดิบสองชิ้นตาร้อนผ่าว ต่างคนต่างเร่งให้เยี่ยเทียนตัดสินใจ

ตอนนี้ตลาดหยกพม่ายังไม่สุกงอมเท่าไร บริษัทหยกหรูชั้นนำยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น พวกเขาจึงยังพอแทรกตัวอยู่ได้ ถ้าหากตลาดถูกรวมตัวกันเมื่อไร หากบริษัทเล็กๆ เหล่านี้ไม่มีของดีอะไรอยู่ในมือเลย ก็จะถูกเขี่ยทิ้งไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว

ในลานมีคนร้องเปิดราคาออกมาแล้ว ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีผู้ร่ำรวยทรงอำนาจย่อมไม่อยากเป็นรองใคร หลังจากเจิ้งต้าจวินกดโทรศัพท์คุยสั้นๆ สองสามประโยคแล้ว ก็เดินมาอยู่หน้าเยี่ยเทียน กล่าวว่า “น้องเยี่ยครับ หยกแดงชั้นเลิศชิ้นนั้นและวัตถุดิบชนิดน้ำแข็งทั้งหมด ผมต้องการหนึ่งในสามส่วน น้องว่าราคาแปดสิบล้านเหรียญฮ่องกงเป็นยังไง?”

“หนึ่งในสาม? แปดสิบล้าน?!”

พอได้ยินราคานี้แล้ว ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นล้วนสูดลมหายใจเฮือก เนื่องจากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เมื่อครู่ หยกพม่าที่อยู่ตรงกลางหินดิบสองชิ้นนี้ รวมราคากันแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยล้านหยวน เมื่อเจิ้งต้าจวินเปิดราคาทำให้บริษัทเล็กๆ ที่มีทุนทรัพย์ไม่พอถูกคัดทิ้งออกจากเกมนี้

ถังเหล่าที่แสดงออกว่าไม่ปรารถนาในเรื่องทางโลก ยังแอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ เขามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแท้จริง แต่ความมั่งคั่งกลับห่างไกลจากเจิ้งต้าจวินนัก ดูท่าคราวนี้ตระกูลเจิ้งค้าอัญมณีเตรียมตัวเพื่อมารวบรวมตลาดหยกอย่างแท้จริง แล้วจึงค่อยๆ เริ่มกำหนดมาตรฐานธุรกิจทีละน้อย

“ท่านอา พ่อขอให้คุณรับโทรศัพท์ครับ!” ขณะที่ผู้คนในลานล้วนหวนคิดถึงราคาที่ตระกูลเจิ้งเปิด หลิ่วซีกั๋วก็เหงื่อแตกเต็มหน้าเบียดแทรกตัวเข้ามาจากด้านนอกสู่ภายในฝูงชน ในมือชูโทรศัพท์มือถือขึ้นสูง

เป็นอย่างที่ถังเหล่าว่า เงินทุนตระกูลจั่วค้าอัญมณีไม่เพียงพอจะซื้อหยกเหล่านี้ทั้งหมด แต่ว่าหลิ่วซีกั๋วมีไพ่ตาย จึงออกไปโทรศัพท์หาพ่อตาเดี๋ยวนั้น บางครั้งมีคนรู้จักนับว่ามีประโยชน์ยิ่งกว่าเงินทอง

“โทรศัพท์ของศิษย์พี่หรือ?”

เห็นสีหน้าตื่นเต้นของหลิ่วซีกั๋วและผู้คนที่ล้อมมุงดู ในใจเยี่ยเทียนรู้สึกอยากจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออกจริง ๆ

ตั้งแต่ผ่าหยกออกมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่มีโอกาสพูดเลยสักประโยค หินดิบสองชิ้นนั้นที่เป็นของเขาดูเหมือนจะถูกผู้คนจัดสรรปันส่วนกันแล้ว ไม่มีใครถามเยี่ยเทียนสักคำว่าจะยอมขายหรือไม่

………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด