หมอดูยอดอัจฉริยะ 529 พร้อมหน้าพร้อมตา

Now you are reading หมอดูยอดอัจฉริยะ Chapter 529 พร้อมหน้าพร้อมตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไอ้เด็กนี่ ปกติแกเก่งนักไม่ใช่เหรอ?”

เยี่ยตงผิงกำลังไม่พอใจกับลูกชายที่อุ้มภรรยาเมื่อสักครู่ ไม่สนใจคำขอความช่วยเหลือของเยี่ยเทียน และหันหัวไปอีกทาง ส่วนน้ำตากลับไหลลงแก้มไม่หยุด

แม้ลูกชายไม่เรียกแม่ แต่การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสามคนเยี่ยตงผิงรอมานานกว่า 20 ปี ในเวลานี้เขารู้สึกเหมือนน้ำหลากที่ไหลอยู่ในใจ ความรู้สึกปลดปล่อยออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

“เยี่ยเทียน ลูก…..ลูกไม่ให้อภัยแม่เหรอ?”

ซ่งเวยหลันน้ำตาไหลไม่หยุด ในความทรงจำมีแต่ภาพเยี่ยเทียนที่อ้วนตุ้ยนุ้ย เธอรู้ว่าตัวเองพลาดช่วงชีวิตที่สำคัญของลูกชายไปกว่า 20 ปี ไม่มีสิ่งใดสามารถชดเชยได้

“ผม…..คุณให้ผมนิ่งก่อนได้มั้ยครับ?”

เยี่ยเทียนพูดไม่ออกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง ตั้งแต่เด็กเขาชินกับการใช้ชีวิตกับพ่อสองคน แม้ในความทรงจำจะมีรูปลักษณ์และรูปร่างของแม่บ้าง แต่การมาเจอกะทันหันเช่นนี้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ใช่ความจริง ยังคงรู้สึกเหมือนกำลังฝัน

“โอเค….โอเค ไม่เป็นไร ไม่รีบ”

ใบหน้าของซ่งเวยหลันเต็มไปด้วยรอยน้ำตา แต่ยังคงปลอบใจลูกชายอยู่อย่างนั้น ส่วนเยี่ยตงผิงที่กำลังใช้กระดาษฆ่าเชื้อเช็ดแผลของตนอยู่นั้น กลับไม่สนใจเลยสักนิด

เยี่ยเทียนลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินไปตรงหน้าต่างของห้องนอน มองไปทิศทางของพระราชวังต้องห้ามและสนามเทียนอันเหมินและทอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำใจให้สงบนิ่งแล้วพูดว่า “ตั้งแต่เด็กผมเห็นเด็กคนอื่นเรียกแม่ ผมรู้สึกอิจฉามาก เด็กคนอื่นๆมีแม่ทุกคน แต่ทำไมผมไม่มี?

เด็กคนอื่นๆเรียกผมว่าลูกนอกคอก ผมใช้หมัดต่อยพวกเขา ต่อไม่ชนะแต่ก็จะต่อย เพราะผมรู้ว่า ผมมีแม่ แต่ตอนนั้น……แม่อยู่ที่ไหน?”

พอเยี่ยเทียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว ภาพความทรงจำในวัยเด็กเหมือนการปล่อยภาพยนตร์เป็นฉากๆ ตัวคนเดียวอย่างเยี่ยเทียนกล้าสู้กับเด็กอายุ 12-13 ขวบ ตั้งแต่ตนเองอายุเพียง 7-8 ขวบ

แม้ทุกครั้งที่กลับบ้าน เยี่ยเทียนจะถูกพ่อตียกใหญ่ แต่ถ้าครั้งหน้ายังมีคนกล้าต่อว่าเขาแบบนี้อีก เขาก็ยังจะพุ่งเข้าไปอยู่ดี และทุกครั้งที่ทะเลาะกับคนอื่นเยี่ยเทียนไม่เคยพูดสักครั้งว่าเพราะเรื่องแม่

ซ่งเวยหลันที่ฟังคำพูดของลูกชายอยู่ ใจเหมือนมีดกำลังบาดหัวใจ น้ำตาก็ไหลลงอย่างไม่หยุดหย่อน ตัวสั่นไปทั้งตัว

ซ่งเวยหลันไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมา เขากัดริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น เขาจะฟัง…..จะฟังความในใจของลูกชาย เพราะเขาอยากรู้ 20 ปีมานี้ลูกชายของตัวเองต้องแบกรับความรู้สึกอะไรบ้าง?

“ต่อมาอายุมากขึ้นและโตขึ้น ผมเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจเลย ตอนนั้นแม่จะจากผมกับพ่อ?

ผมเคยเกลียด เกลียคุณจากข้างในใจเลย เกลียดที่คุณไร้ความปราณี ผมยังเคยคิด ชีวิตนี้มีแค่พ่อไม่มีแล้ว!”

“ที่แท้ ลูก……ลูกยังโทษแม่อยู่?” สายตาที่แสดงออกมาของซ่งเวยหลันแฝงความผิดหวังไว้ เธอไม่คิดเคยเลยว่าลูกชายจะเกลียดเธอได้ถึงเพียงนี้?

“ไม่ครับ……นั่นเป็นเรื่องเมื่อก่อน!”

เยี่ยเทียนส่ายหัว และหันตัวกลับ มองดูซ่งเวยหลันที่ใช้สองมือจับโซฟาไว้อย่างไม่รู้จะทำยังไง เล็บของเธอจิกเข้าโซฟาลึกพอควร เยี่ยเทียนรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

“หลายปีก่อนผมมาที่ปักกิ่ง และรู้ความเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมด ผมเพิ่งรู้ เรื่องนี้จะโทษคุณไม่ได้ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษยุคสมัยที่พิเศษนี้”

พูดตามตรง จนถึงวันนี้ เยี่ยเทียนไม่รู้สึกเกลียดแม่แล้ว เพียงแต่ว่าคำที่ไม่เคยเรียกเลยตลอด 20 ปี ยังไงก็พูดออกไปได้ยาก

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สายตาสิ้นหวังของซ่งเวยหลันจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาทันที ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และถามต่อด้วยเพราะไม่เชื่อว่า “ลูก……ลูก ลูก……ให้อภัยแม่แล้ว?”

“ครับ ตอนนี้ผมไม่ได้โทษคุณแล้ว”

เยี่ยเทียนพยักหน้า และพูดอย่างช้าๆว่า “ขอ….ขอเวลาผมหน่อย ผม….ยังไม่เคยเรียกคำนั้น!”

ในเวลานี้เยี่ยเทียนไม่มีท่าทางการตัดสินใจเฉียบขาดเหมือนเหตุการณ์ที่พม่าเลยสักนิด แต่เป็นผู้ชายที่ยังไม่ค่อยโต แม้จะรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังขานคำว่า “แม่” ออกมาไม่ได้

“ได้….ได้ แม่จะไม่บังคับลูก ลูก….ไม่ต้องรีบนะ อยากเรียกตอนไหนก็เรียนตอนนั้น แม่จะไม่จากลูกไปอีกแล้ว!”

ความรู้สึกของซ่งเวยหลันตอนนี้ เหมือนนั่งรถข้ามภูเขา ตั้งแต่เยี่ยเทียนพูดจนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งจะปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา แต่น้ำตาที่ไหลครั้งนี้กลับเป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี

เยี่ยเทียนนั่งลงข้างๆภรรยาอย่างเงียบๆ กุมมือเธอเอาไว้แน่น ให้ภรรยาอิงหัวมาที่ไหล่ของตนและปล่อยเธอร้องไห้

ส่วนผู้ชายอย่างเยี่ยตงผิงที่พบเจอเรื่องราวมากมายแต่ไม่เคยน้ำตาไหล ตอนนี้เสื้อของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ถ้าไม่เสียใจ น้ำตาลูกผู้ชายต้องไม่ไหลออกมา

“ที่จริง……หลายปีมานี้ผมลำบากมาตลอด แม้เขาจะไม่พูด แต่ผมรู้ เขาคิดถึงคุณมาก อยากให้คุณกลับมา…..”

มองเห็นพ่อที่เข้มแข็งมาตลอดกำลังน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น เสียงของเยี่ยเทียนก็สะอื้นอยู่บ้าง

หลายปีที่ผ่านสองพ่อลูกใช้ชิวิตพึ่งพากันและกันมาตลอด เยี่ยเทียนเคยบอกให้พ่อหาภรรยาใหม่ แต่สุดท้ายก็ถูกเยี่ยตงผิงปฏิเสธ ตอนนั้นเขาเพิ่งจะรู้ความสำคัญของแม่ที่อยู่ในใจตรงนั้นของพ่อ

“ตงผิง ลำบากพวกเธอจริงๆ!”

ซ่งเวยหลันเงยหน้าขึ้นมองไปที่สามี คำพูดของลูกชายทำให้เธอนึกถึงช่วงเวลาต่างๆในอดีต แม้ว่าตอนนั้นจะจนมาก แต่กลับมีความสุขในใจ และยากมากที่หาเจอในปัจจุบัน

มองดูหนุ่มที่มีความสามารถเด่นกว่าใครๆ ตอนนี้กลับมีผมขาวแซมอยู่ทั้งสองข้าง ซ่งเวยหลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นในทันที ความเข้าใจผิดในใจสุดท้ายก็ได้คลี่คลายลงทั้งหมด สองมือจับหน้าของสามีอยู่อย่างนั้น

“เวยหลัน ไม่ลำบากเลย ผมเชื่อเสมอ ครอบครัวของพวกเรายังไงก็ต้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาในสักวัน!”

เยี่ยตงผิงช่วยภรรยาเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้า สายตาของทั้งคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน เหมือนเวลากำลังหมุนกลับไป ให้สองคนกลับสู่เหมาซานที่เต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ

“แค่กๆ……”

มองเห็นท่าทางหวานเลี่ยนของพ่อ เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันๆที่คอ จึงไอออกมา และพูดว่า “เอ่อ….เอ่อคือ พ่อ ผมไปสูบบุหรี่ก่อนนะ พวกคุณสองคนคุยกันไปก่อน!”

เยี่ยเทียนมองออกว่าก่อนตัวเองจะมาถึงที่นี่ ความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ยังไม่สนิทสนมขนาดนั้น เขาต้องไม่เป็นก้างขวางคอสิ จึงต้องออกไปอยู่ข้างนอกก่อน

“รีบไปเลย ตอนกลางคืนกินข้าวด้วยกัน!”

เยี่ยตงผิงสะบัดด้วยความโมโห ไม่ง่ายเลยที่จะคุ้นเคยในด้านความรู้สึกกับภรรยาสักครั้ง แต่ก็ถูกเจ้าลูกชายขัดจังหวะซะงั้น ใครจะไปรู้ว่าภรรรยาจะปิดใจตัวเองอีกครั้งหรือไม่?

“ตงผิง ห้ามพูดกับลูกชายแบบนี้!”

คิดไว้ไม่มีผิด เยี่ยตงผิงเพิ่งพูดจบไม่ทันไรซ่งเวยหลันก็ไม่เห็นด้วยแล้ว ผลักสามีออกทันที เดินเท้าเปล่าดึงเยี่ยเทียนไว้ พูดว่า “สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่ต้องสูบหรอก ไม่ต้องไปไหนด้วย มานั่งข้างๆแม่ ให้แม่ดูลูกหน่อย!”

แม้ว่าแม่กำลังควบคุมตัวเองอยู่ แต่ในใจของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกอบอุ่น จึงพยักหน้าและนั่งลงที่โซฟาข้างๆแม่

แม้ว่าเยี่ยตงผิงจะโกรธจนทำตาโตและเป่าหนวดตนเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าต่อจากนี้ไปตำแหน่งในบ้านเขาคงจะอยู่อันดับสามแล้ว

ถ้าเยี่ยเทียนแต่งงานมีลูก ตำแหน่งก็คงตกอันดับไปเรื่อยๆ

พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของเยี่ยตงผิงยิ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เยี่ยเทียนถูกมองจนอดไม่ได้ที่จะทำสงครามเย็นด้วย รีบพูดต่อว่า “พ่อ พ่อให้ผมเอาของมาไม่ใช่เหรอ? อ่ะ……..”

ระหว่งที่พูดเยี่ยเทียนก็หยิบกำไลที่ใช้ผ้าแดงห่อหุ้มเอาไว้ออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับกระพริบตาให้พ่อหนึ่งที

“นี่คือ? อ่อ ฉันรู้แล้ว”

เยี่ยเทียนเห็นหน้าของลูกชาย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เข้าในล่ะ? จึงรับของสิ่งนั้นมาและลองจับดูจึงรู้ว่าคือกำไล

“เวยหลัน นี่เป็นของขวัญที่ฉันกับลูกเตรียมให้คุณ คุณลองดูว่าชอบมั้ย?”

แม้เยี่ยตงผิงจะหน้าหนาแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดว่านี่คือของขวัญที่ตัวเองเตรียให้ เพราะจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำไลนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

ซ่งเวยหลันจะไม่รู้ลูกเล่นของสองพ่อลูกนี้ได้ยังไงกัน? แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “ของที่ลูกชายให้ ฉันชอบหมดแหละ!”

“แค่กๆ ดูก่อนค่อยพูดถอะ ดูก่อนค่อยพูด”

เยี่ยตงผิงหน้าแดงและยื่นมือไปเปิดผ้าออก กำไลหยกสีเขียวที่ใสดั่งคริสตัลปรากฏอยู่ตรงฝ่ามือของเขา

แสงแดงจากข้างนอกทะลุผ่านกระจกและส่องมาที่กำไล ทันใดนั้นสีเขียวก็ยิ่งสว่างมากขึ้น แสงที่ส่องผ้าสีแดงที่รองไว้ ทำให้สียิ่งสดดั่งดอกกุหลาบที่สวยจนไม่สามารถอธิบายได้เป็นคำพูด

“นี่มัน….นี่มันสีเขียวราชา?”

เยี่ยตงผิงเล่นของเก่ามา 10 กว่าปี ดูของเหล่านี้เป็นอยู่แล้ว แต่ตอนที่เขาเห็นกำไลชิ้นนี้ กำไลที่อยู่ในมือยังเกิดการสั่น เกือบจะตกลงไปแล้วด้วยซ้ำ

ต้องรู้ว่า สีเขียวราคาพบได้ยากมากในท้องตลาดทั่วไป จะพบเจอเป็นครั้งคราวในงานประมูลเท่านั้น และจะเป็นที่สนใจและโดนแก่งแย่งจากพวกมหาเศรษฐีมากมาย

แต่กำไลที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ใช้วัสดุสีเขียวราชาในการทำทั้งหมด ของชิ้นนี้ราคาไม่อาจประเมินได้ แม้จะยอมจ่ายเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถซื้อได้

“พ่อ!”

เวลาพ่อเจอของดีมักจะเป็นแบบนี้ จนเยี่ยเทียนยังรู้สึกเกรงใจ เขาอยากช่วยพ่อทำคะแนนแต่ทำไงได้พ่อไม่สู้เอง?

“หา? เห้ ผม….ผม…..”

เยี่ยตงผิงรู้แล้วว่าความจริงถูกเปิดเผยแล้ว รู้สึกทำอะไรไม่ถูกและเริ่มเกาหัว ท่าทางของตัวเองเมื่อสักครู่ คนตาบอดยังดูออกเลยว่าเป็นอะไร

“ตงผิง กำไลนี้สวยมาก ขอบคุณคุณกับลูกชายนะคะ”

ซ่งเวยหลันรับกำไลนั้นจากมือเยี่ยตงผิง เธอเข้าใจสิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำให้เธอกับสามีเป็นอย่างดี

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด